ReadyPlanet.com


รายงานอภิปรายไม่ไว้วางใจหนแรกพล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม พร้อมแง่คิดประชาธิปไตยไทย


วีรบุรุษเชิร์ตแดง  2  ท่าน   ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อกับ จตุพร พรหมพันธ์ ออกข่าว พร้อมให้ความคิดเห็นไว้ดีครับ  ในรายการชูธง   ทำให้ผมอยากฟังการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้เสียแล้ว

ทั้ง ๆ ที่ผมเองคิดว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีน้ำยาอะไรในยุคนี้   ผมเห็นให้เวลาทั้งวันอภิปรายคน ๆ เดียว  ยิ่งชอบใจ  พล.ต.อ.ประชา ท่านไม่คัดค้านเลย  นี่แหละเรารู้ทั้งรู้ว่า  พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีอะไร  จะมีก็คำด่า เสียดสี เยาะเย้ย  เหมือน สนธิ ลิ้มทองกุล นั่นแหละ   ก็จะได้เห็นว่าพรรคฝ่ายค้าน  แสดงอะไรออกไปแค่ไหน  ผมว่าฝ่ายรัฐบาลตามทัน และแน่ละมีกลลวง

 

ก็ที่ผมว่ายอมให้ฝ่ายประชาธิปัตย์ พรรคเดียว  พรรคฝ่ายค้านอื่นไม่เอาด้วย  อภิปรายได้ทั้งวัน  อภิปรายคนเดียว   ผู้อภิปรายก็มีรายชื่อเปิดเผยออกมาแล้ว  มีคนที่ผมชอบอยู่ก็ นับแต่อภิสิทธิ์ แหละครับ   ผมมองว่าเด็กคนนี้จะพูดตลบแตลงอย่างไร  ภายหลังตกจากเก้าอี่มาเป็นฝ่ายค้าน และยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อนกับนายโรเบิร์ต อัมสเตอดัม ที่มาเยี่ยมบ่อยขึ้นพร้อมกับโชว์กรง 2 กรง  ....  ที่พรรคนี้ถนัดก็วาทะแหละครับ     แล้วก็มีนายสาธิต  วงศ์หนองเตย  จะออกวาทะกรรมอะไร ที่ดู ๆ เกินตัวไปอีกบ้าง  มีกรณ์ จาติกวณิช์ด้วย  อาคม เอ่งฉ้วน ด้วย   มีฝ่ายหญิง  นางอะไร ที่เคยถูกอุ้มออกไปจากสภา ยุคชัย ชิดชอบ    พอ ๆ กับ บุญยอด สุขถิ่นไทย  มาอภิปรายกับเขาด้วย    ยังมีอีกหลายคนครับ   ทางพท.ไม่ยั่นเลย ปล่อยให้ด่าตามสะดวก 

 

ผมว่าที่จริง พรรคเพื่อไทยอยากจะเปิดโอกาสให้พรรคประชาธิปัตย์เผลออภิปรายไปอย่างสุด ๆ ไม่ทราบคิดอย่างผมหรือเปล่า   คือผมจะได้ดูว่า .......พรรคนี้มีคนวาทะทราม ๆ  ระดับกุ๊ย   จะเป็นกุ๊ยข้างถนนแค่ไหน .......เป็นกุ๊ยการเมือง...ก็ตาม    แค่ไหน   คงจะได้เห็นคราวนี้แหละครับ    จะได้แยกประเภทกุ๊ยได้ 

ผมคิดว่าถ้าผมเป้นพรรคเพื่อไทย  ผมจะไม่ขัดคอ ปชป.เลย    มองอย่างเด็ก ๆ ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมก็แล้วกัน

 

ผมอยากจะแนะนำว่า   ให้พูดจาสุภาพกับเด็ก ๆ หน่อยนะครับ   เท่านั้นเองแหละ......

 

ผมก็ชักนึกขี้เกียจขึ้นมา  คอยฟังคุณณัฐวุฒิ กับคุณจตุพรมาวิเคราะห์ให้ฟังดีกว่า   ถึงกึ๋นจริง ๆ  

 

ขอเชิญทุกท่านเข้ามาร่วมบันทึก ข่าว  และ ความเห็นต่อไปได้จากลำดับนี้ครับ  

 



ผู้ตั้งกระทู้ ประยุกต์ นามเสพ :: วันที่ลงประกาศ 2011-11-26 20:33:20


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (3318337)

อาจารย์ธิดา ถาวรเศรษฐ์   แม่ทัพแดง    ร้องเพลงเพราะมากครับ เพราะระดับ  มืออาชีพจริง ๆ     แทบไม่น่าเชื่อว่าท่านจะร้องเพลงนั้นได้แบบ อมตะนะครับผมว่า 

 

มาเข้าเรื่องต่อครับ  ผมเพียงแต่จะบอกว่า

พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีวันเข้าใจอะไรหรอกครับ เชื่อผมเถอะ     เป็นเด็กที่น่าเบื่อมาก ๆ       เมื่อเป็นรัฐบาลก็เป็นรัฐบาลเด็ก    เมื่อเป็นฝ่ายค้านก็เป้นฝ่ายค้านเด็ก   ....    ระบบให้คุณเป็นฝ่ายค้านนั่นถูกแล้ว   แต่ดันมีอีโก้ ตั้งตนเป็นรัฐบาลเงา ..... ไม่รู้เอาหลักการไหนมา ..... ก็นี่แหละที่บอกถึงคนไม่รู้หน้าที่  เพราะทำหน้าที่ฝ่ายค้านไม่เป็น   ........   น่าเบื่อมากที่มีคนอย่างนี้ในวงการเมืองไทย 

 

พรุ่งนี้จะเป็นการอภิปรายของเด็กครับ     .........      คือแกไม่เข้าใจว่ารัฐบาลบริหารอย่างไร   .........    ดูเขาไม่ออก  ..........  ก็เท่านั้น.......ก็หาเรื่องเหมือนเด็ก ๆ  

 

ผมจะคอยฟังดูเหมือนกันครับ   

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น สถาวร ผดุงสิทธิ์ วันที่ตอบ 2011-11-26 21:16:35


ความคิดเห็นที่ 2 (3318339)

ใจตรงกันเลย    สวัสดีครับ  คุณสถาวร  และคุณ ประยุกต์   

 

เห็นด้วยเรื่องอาจารย์ธิดา    เดิมผมคิดว่าเสียงคนอื่น  แต่ฟัง ๆ  ก็เชื่อว่าเป้นเสียง อ.ธิดาเอง   ถูกละ   อมตะ  ผมชอบมาก

 

มาสู่ประเด็นนะครับ    ปชป.ประกอบด้วยคนในสายกฎหมาย   เป็นพวกทนายความ  แทบทั้งหมด  จึงแคบไงครับ    อย่างนายถาวร เสนเนียม นี่ก็ทนายเก่า   นายชวน หลีกภัยเอง  ก็นักกฎหมาย   ไล่ไปกี่คน ๆ ก็นักกฎหมายแหละครับ   ....  มีนายอภิสิทธิ์ นี่แหละแหกคอกไป แล้วมาอยู่ในหมู่เขาก็โดนกดดันไปแบบเขา  

ผมหมายถึงนักกฎหมายในระบบเก่าของสถาบันกฎหมายไทย   ..........   ผลก็คือ  แคบไงครับ     นักกฎหมายเหล่านี้ไม่ร้จัก ประชาธิปไตย     ดูไปถึงศาลด้วย   ปปช.    กกต.    ฝ่ายตุลาการ  ทั้งหมด   อ้างว่าเป้นหนึ่งในสามอำนาจสูงสุด   แต่หาเข้าใจไม่ว่า   อำนาจสูงสุดทุกอำนาจ ต้องรับใช้ประชาชน   ต้องฟังเสียงประชาชน.........

 

อย่างตัดสินอากงคนนั้น วันวานนี้เอง   ส่งเอสเอ็มเอส 4 ครั้ง  ผิดม.112  ลงโทษ 4 กระทง ๆ ละ 5 ปี รวมจำคุกอากง 20 ปี ฐานหมิ่นสถาบัน   ................   นี่คือสถาบันกฎหมายไทยที่น่าเบื่อหน่าย    และไม่เข้าใจวิถีทางประชาธิปไตย

 

นั่นแหละครับ   หน้าที่ของเชิร์ตแดง จึงยังต้องเดินต่อไปอย่างเหนียวแน่น   เพื่อเอาศาลมาไว้ใต้ประชาชนให้จงได้   

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ประชา ไทยเสรีชน วันที่ตอบ 2011-11-26 21:33:18


ความคิดเห็นที่ 3 (3318340)

มีนักกฎหมายอย่างนายนิพิธ  อินทรสมบัติ   นี่หัวล้าหลังที่สุด   แกเพิ่งแสดงความเห็นว่านายกรัฐมนตรีทำงานไม่เป็น  ไร้ประสิทธิภาพ  ขาดประสพการณ์  ควรลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปได้แล้ว  

 

นี่คือทนายหัวเก่า คร่ำครึจริง ๆ    นอกจากไม่เข้าใจวิถีทางประชาธิปไตยแล้ว  ยังไม่เข้าใจหลักการบริหารเลยแม้แต่น้อย    ฉะนั้น มองอย่างพรรคประชาธิปัตย์และคนอย่างนายนิพิธ นี่  ไม่มีวันเข้าใจคนอย่างทักษิณ ชินวัตร และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร     เอื้อมไม่ถึงหรอก   ก็เป็นเพียงเด็ก ๆ   ไงครับ   น่าทุเรศจริง ๆ  

 

พรุ่งนี้ก็คอยฟังเด็ก ๆ   อย่าเพิ่งรำคาญเสียก่อนก็แล้วกัน 

 

จะคอยดูว่า  กุ๊ยระดับไหน  ตามที่ ประยุกต์ นามเสพ เกริ่นเอาไว้ก็ได้ครับ 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ประชา ไทยเสรีชน วันที่ตอบ 2011-11-26 21:44:26


ความคิดเห็นที่ 4 (3318351)

ในหลักการประชาธิปไตย   พรรคประชาธิปัตย์เข้าใจอย่างไรบ้าง  ?   

เข้าใจเพียงส่วนที่ตนเองจะได้ประโยชน์  เอาหลักการมาใช้อย่างไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ 

แต่แท้ที่จริง ประชาธิปไตยต้องมีจริยาของประชาธิปไตยค่อนข้างสูงครับ     นั่นคือ จิตใจต้องสูง จึงจะเคลื่อนระบอบประชาธิปไตยไปได้   ตามหลักศาสนาพุทธแทบทุกประการ ในด้านนามธรรม   หรือด้านธรรมะ

แปลกที่ว่า  ชาวพุทธไทย กลับไม่ได้ซาบซึ้งเท่าชาวประชาธิปไตยในอเมริกา  และตะวันตก  ที่เป็นแบบอย่างประชาธิปไตยโลก 

 ผมหมายถึงจิตใจประชาธิปไตยต้องยิ่งใหญ่ครับ    โดยประการแรก  จิตใจต้องรักในประชาชน   มองประชาชนสูงพอ ๆ กับตน  อย่าคิดว่าตนพิเศษ จนอาจไปเหยียดหยามคนอื่นว่าเขาต่ำต้อย  ฯลฯ   (เช่นแนวคิดที่ว่า  ชาวอีสานบ้านนอกเลือกรัฐบาลห่วย ๆ มา คนกรุงทนไม่ได้ ต้องล้ม  อย่างนี้เป็นตัวอย่างที่เลวต่อระบอบประชาธิปไตยมาก)   หรืออย่าคิดว่าตนด้อย จนถึงต้องคอยประจบ เอาอกเอาใจคนอื่นเขา ทำให้เราเป็นทาส    แต่ให้เสมอภาค   มีความเป็นคนเสมอกัน  มองคนเป็นคน   อย่ามองคนเป็นสัตว์ (เช่นพวกเอเอสทีวี พวกสันติอโศก โพธิรักษ์  พรรคเพื่อฟ้าดิน  จำลอง ศรีเมือง เจ๊กลิ้ม ผู้เข้าใจผิดว่าตนเป็นอริยะ  มองคนอื่นต่ำต้อยเป็นกระบือ เป็นสิงสาราสัตว์ ดังปรากฎในช่วงการเลือกตั้งครั้งล่าสุด 3 ก.ค.2554)   ประชาชน ทุกคน ทุกชั้นในประเทศประชาธิปไตย ต้องประพฤติเช่นนี้  ครับ     นั่นคือ มองด้านจิตใจ การจะสร้างประชาธิปไตยต้องสร้างด้วยจิตใจอย่างแท้จริง  และเพื่อให้เกิดทางสายกลางขึ้น จำเป็นต้องร่วมสร้างกติกา ขึ้นทุก ๆ ประเด็นปัญหาครับ  และเราต้องยึดมั่นในกติการ่วมกันอย่างเหนียวแน่น     นี่คือจิตใจที่ยิ่งใหญ่   และนำไปสู่เป้าหมาย(เป็นทั้งเป้าหมายและเป็นทั้งเครื่องมือ คือเป็นทั้ง objective และ mean ในขณะเดียวกัน)ผลที่เราต้องการ นั่นคือ หลักการว่าด้วย  EQUALITY  คือ ความเสมอภาค  ความเป้นญาติ(ในความหมายญาติธรรมก็ได้เลย) หรือตามศัพท์ ว่า  ความเป็นพี่ ๆ น้อง ๆ  นั่นคือ  ภราดรภาพ  ที่ทำให้ชีวิตมีความหมายและอบอุ่น   และจิตใจที่ยิ่งใหญ่ย่อมนำไปสู่ความเคารพผู้อื่น พอ ๆ กับการเคารพตัวเอง  นั่นคือ ทำลายความคิดจิตใจใฝ่ในความเป็นทาสลงเสียเกลี้ยง   นั่นคือ  Liberty  หรือ  Freedom   แต่ความหมายก็คือ  เคารพในสิทธิของผู้อื่น  เรามีสิทธิ มีเสรีภาพ   แต่ระวังว่า  คนอื่น ๆ ก็มีเช่นเดียวกับเรา   ทางกลาง ๆ ก็คือ   เคารพในสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น  ด้วยการอย่างใช้สิทธิและเสรภาพของเราไปละเมิดสิทธิของผู้อื่น    นั่นอย่างไรครับ    วิถีทางประชาธิปไตย

เอาละ   เราจะมาตามดูเรื่องราวของคนระดับผู้นำของประชาชน เพื่อนำประชาชนไปสู่ประชาธิปไตย     ในสภาผู้แทนราษฎร   วันนี้  

ดูว่า   เป็นอย่างไร        พรรคการเมืองที่เก่าแก่ แต่อ่อนด้อยในระบอบใหม่  พรรคประชาธิปัตย์  จะมีการพัฒนา  จาก ความไม่รู้   มาสู่ความเป็นผู้รู้บ้างหรือไม่   จะจัดการอย่างไรกับคนที่ไม่รู้เรื่องราวของประชาธิปไตย  ในประเทศที่กำลังเคลื่อนไปสู่ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง  

 

ผู้แสดงความคิดเห็น นายประชาธิปไตย วันที่ตอบ 2011-11-27 08:56:05


ความคิดเห็นที่ 5 (3318400)

 

น.พ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อภิปรายแรงไป
ถูกหิ้วออกนอกห้องประชุมสภา เมื่อ 27 พ.ย.2554

มีหมอวรงค์  เดชกิจวิกรม  สส.ปชป.พิษณุโลก  พูดดุเดือดเกินไปเลยถูกประธานสภาสั่งห้ามพูด  ก็ไม่ยอมหยุด  ประธานเลยถามว่า  คุณจะนั่งลงไหมครับ  ถ้าไม่นั่งลงขอให้ เจ้าหน้าที่เชิญออกนอกสภา ......  หมอวรงค์ นี่แกชอบสอนประธานสภาเป้ฯประจำ  มักพูดเสมอ ๆ ติดปากว่า  ประธานจะต้องฟังผม...นอกจากนั้นยังเป็นมือประท้วง...เดี๋ยวยกมือ ๆ ....คนนี้แหละ    ไม่ยอมนั่งลง ประธานสภาสั่งเจ้าหน้าที่มาเชิญออกไปพักข้างนอกห้องประชุม  ก่อน 1 ชม. แล้วจึงเข้ามาใหม่    ......   ปรากฎว่าออกไปสัก 3 นาทีโผล่เข้ามาใหม่ จนมีฝ่ายรัฐบาลประท้วงว่า  ไม่เป้นไปตามคำสั่งประธานสภา ที่ให้ไปพักก่อน 1 ชม.   

 

เหตุที่หมอวรงค์เดือดขึ้นก็มีลำดับเรื่องราวมาจากฝ่ายค้านที่ลุกขึ้นอภิปรายมาตามลำดับ เอาคลิปภาพมายืนยันแทบทุกประเด็น  มีประเด็นหนึ่งคือฝ่ายค้านระบุว่า มีนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลหลายคนเอาของไปตีตราแจกประชาชน ในนามของตนเอง เท่ากับเป็นการยักยอกทรัพย์ มีความผิด  รวมทั้งไปกล่าวหาว่า อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ยักยอกเอาเรือไปแจก  ประชาชนด้วย จนฝ่ายรัฐบาลต้องลุกขึ้นค้านไปตาม ๆ กัน  เฉพาะท่านพล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ได้พยายามประนีประนอม ว่าเรื่องอย่างนี้ไม่น่าจะถือเป็นเรื่องสำคัญกันนัก เพราะไม่มีเจตนาทุจริต แต่เจตนานั้นเป็นการช่วยประชาชน   ช่วยกันทำงาน ในสถานการณ์วิกฤต  แล้วท่านขอให้จนท.สภาฉายคลิป ๆ หนึ่ง  ปรากฎภาพ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ หัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน ไปแจกถุงยังชีพที่พิษณุโลก  ในภาพที่กำลังแจกถูงยังชีพนั้นมีหมอวรงค์ยืนอยู่ด้วย กับนายอภิสิทธิ์  แต่บนถุงยังชีพนั้นมีตีตราว่าเป้นของ กระทรวงพลังงาน

 

เมื่อกลายเป็นเรื่องขายหน้ายิ่งใหญ่ขนาดนี้  หมอวรงค์ก็ดิ้น คัดค้าน แก้ตัวแทนนาย คือ หน.พรรค    พอดีประธาน ชี้จตุพร พรหมพันธ์ พูด ในฐานะพาดพิงให้เสียหาย กรณีเอาของไปแจก..........หมอวรงค์ก็เดือดจัด  ตะโกนจะพูดให้ได้  ยกไม้ยกมือ  ประธานขอให้ฟังจตุพรพูดก่อนก็ไม่ฟัง ......ประธานก็เลยใช้ไม้เด็ดเตือนว่า......คุณจะนั่งลงไหมครับ  ถ้าไม่นั่งลงขอให้ เจ้าหน้าที่เชิญออกนอกสภา .....แกไม่ยอมนั่ง   ประธานก็เลยสั่งให้ จนท.สภา เอาตัวออกไป   ...... เขาไม่ให้เห็นตอนจนท.หิ้วปีกออกไป   .....   ไปประเดี๋ยวเดี๋ยว  ก็กลับเข้ามา ........   ยังยกมือขอพูดอีก.....   แกคงขายหน้าน่ะนะ   แล้วก็พยายามจะกลบเสียอะไรประมาณนั้น ....ทางนายอภิสิทธิ์หรือ    ก็แก้ตัวพัลวัลไป   .......

 

ผมเองมองว่า  มัวแต่ด่าเขาเพลิน   ตัวเองยิ่งทำขายหน้าไปอย่างสุด ๆ เสียอีก   ในกรณีนี้  ทางรมว.พลังงาน ที่เป้นเจ้าขงถุงยังชีพ ก็ออกมาบอกความจริงว่า  ทางพรรคประชาธิปัตย์ไปบังคับผู้ว่าราชการจังหวัดให้เอาของไปให้หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์แจก   ซึ่งเป็นการผิดระเบียบของ กท.พลังงาน    .....  ผมว่าน่าอายนะ

 

 

ขณะนี้นางรังสิมา  รอดรัศมี ปชป.สมุทรสงคราม  กำลังอภิปราย ว่าโกงข้าวกล่อง  โกงถุงยังชีพ   โกงส้วม  กางบัญชีแจกจ่ายถุงยังชีพอยู่ มีนายบุญยอด สุขถิ่นไทย คอยเชียร์อยู่ข้างหลัง   2 คนนี้เคยมีประวัติถูกอุ้มออกไปจากห้องประชุมด้วยกัน  .........  ปรากฎว่าไปพาดพิงหลายคน .....แล้วโดนถอนคำพูด   เพราะฉอดเกินไปหน่อย ลืมตัวไป ......ก็ยอม    ถอนก็ถอน   คือใช้คำไม่สุภาพ  มันเป็นใคร  มันกินขี้  มันกิน  ส้วม  ...........    ทำท่าจะไปไม่รอด  สรุปว่า  "ขนาดงานเล็ก ๆ อย่างนี้ท่านยังคุมไม่ได้เลย  .แล้วนับประสาอะไรท่านจะไปเป็นรมว.ยุติธรรม  ..รับไม่ได้  ไม่ไว้วางใจ.... "    พูดจาส่อเสียดดีมาก   สมเป็นสส.ปชป.    ดูท่านายบุญยอด  สุขถิ่นไทย จะลุกขึ้นช่วยละมั้ง ดูท่ากระดิก ๆ   

ก็พาดพิงไปหลายคน   ท้วงว่า  กล่าวความเท็จ     การที่หน่วยงานต่าง ๆ คนต่าง ๆ มาช่วยกัน เขาทำอย่างสุจริตใจทั้งนั้น ........มีหลายชุมชนที่ตั้งครัว 

แล้ว จิรายุ  ห่วงทรัพย์  พท. ก็พูดชัดเจนดี ว่า  สส.ดูแลประชาชน .....เสียดสี ปชป.นิดหน่อยว่า  มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ  แล้วเถียงกันกับจิรายุ   .......  พูด ๆ อยู่  รังสิมา เอากระดาษมายัดให้จิรายุ   ประธานร้อง   นั่งกับที่  ไม่งั้นให้ออกไปทั้งคู่    .....  พล.ต.อ.ประชา  พูด   ....เรื่องข้อเท็จจริงการย้าย ศปภ.   แล้วข้อเท็จจริงเกี่ยวกับข้าวของที่ว่าถูกปล่อยให้น้ำท่วม   ........   ว่าไม่มีของมีค่าหลงเหลือ  เป็นเพียงเสื้อผ้าเก่า ๆ ให้ พม.รับไปซัก  แจกจ่ายต่อไป..........ฝ่ายโสตเปิดคลิปผิด   ประธานให้ไปตรวจฝ่ายโสต มาได้อย่างไร  ...แล้วให้เปิดคลิป นายอภิสิทธิ์ไปดูปัญหาน้ำ  .......อภิสิทธิไปบ้านแหลม  ......  อธิบายว่าท่านมืออาชีพจริง ๆ ท่านให้ความสนใจเรื่องน้ำ........ในระยะที่เป็น นรม.อยู่      คลิปที่ 3  24 ตค.2553   อภิสิทธิ  ว่าไม่มีใครตอบได้ว่าจะมีน้ำมาเท่าไร   คลิปที่ 4  อภิสิทธิ์ติดตามน้ำท่วมต่อ    คลิปที่ 5  3 สค.54    ติดตามน้ำอย่างใกล้ชิด    ผมชื่นชม    คลิปที่ 6  มหาอุทกภัย 2554 สร้างความเสียหายร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย     4000 ล้านลบ.เมตร เป้ฯเหตุ   เขื่อนสองเขื่อน ถูกควบคุม  แล้วมาปล่อยลงในวันที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์เข้าบริหรประเทศ   กค.สค.กย.ต.ค.  น้ำลงมา 4000 ล้าน ลบ.เมตร  

อภิสิทธิ์  ว่าบิดเบือน      สร้างนิยายขึ้นมา  

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ประยุกต์ นามเสพ วันที่ตอบ 2011-11-27 22:32:51


ความคิดเห็นที่ 6 (3318401)

ประเด็นที่ พล.ต.อ.ประชา  ยกมานี้     มีเหตุผลค่อนข้างชัดเจนมาก   

นับตั้งแต่ คลิปที่ 1 ถึงคลิปที่ 6   ภาพการตรวจตราน้ำของ นรม.อภิสิทธิ์ ที่ให้ความหมายว่า  มีการใช้หัวคิดอย่างลึกซึ้งของอดีตนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการบริหารเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิต  เพื่อใช้ในแผน  เทวดาทดน้ำทำลายเมือง    

 

ในกราฟที่เอามาแสดงระดับน้ำ ข้อมูลกรมชลประทาน ปี 2552 กับ 2553 เหมือนกันก็ว่าได้  ระดับน้ำเท่ากัน  ซึ่งอยู่ระดับต่ำมาก   แต่ปี 2554  น้ำในเขื่อนทั้งสองถูกเก็บกักเอาไว้     ระดับน้ำในเขื่อนสูง  จนในเดือน ส.ค.2554  น้ำในเขื่อนทั้งสอง เต็มเขื่อน  เข้าระยะรัฐบาลยิ่งลักษณ์  ก็จำเป็นต้องปล่อยน้ำลงมาจำนวนมหิมา   4000 ล้านลูกบาศเมตร   20 พล.ต.อ.ประชา ก็จัดการไม่อยู่  น้ำไม่ท่วม กทม.ถึง 2 เมตรก็นับว่ามีความสามารถสุด ๆ เกินธรรมดาอยู่แล้ว  

 

น่าจะเป็นประเด็นที่ฉกรรจ์และสส.ปชป.คาดไม่ถึงว่าจะมีประเด็นนี้   ดูเหมือนจะตกตะลึงกัน  เครียดไปหมด   เหลือสส.ปชป.อีก 1 คน(นายประเสริฐ ปชป.ยะลา) พูดก่อนปิดรายการ ...หาว่าศปภ.ทุจริตโกงถุงยังชีพ โกงเต๊นท์ ต่อไป   ......  ก็ดูไม่มีชีวิตชีวา 

 

ประเด็นปล่อยน้ำจากเขื่อนนี้ ต้องคอยดูปฏิกริยาจากสังคม ภายหลังปิดการอภิปรายวันนี้ไปอีกครั้ง     โดยเฉพาะ การเอาข้อมูลนี้มาดูอย่างละเอียดรอบคอบอีกครั้งหนึ่ง  

ข้อสังเกตุก็คือ    ทำไมรัฐบาลอภิสิทธิ์จึงไม่ปล่อยน้ำ  พร่องเขื่อนเอาไว้ เหมือน ปี 2552-2553

 

คนฟังเข้าใจว่า  เป็นแผนร้ายของนายอภิสิทธิ์   เตรียมน้ำเอาไว้ถล่มรัฐบาลยิ่งลักษณ์     จนเกิดท่วมใหญ่ขณะนี้    คนฟังเข้าใจว่านายอภิสิทธิ์ และรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ วางแผนร้ายนี้อย่างเลือดเย็น  เป็นผลให้คนตายเพราะน้ำท่วมไป กว่า 600 ศพ คนนับแสนไร้บ้านอยู่  ......    และคิดว่าจะตบตาประชาชนได้

น่าติดตามต่อไป..

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ประยุกต์ นามเสพ วันที่ตอบ 2011-11-27 23:08:22


ความคิดเห็นที่ 7 (3318404)

 

นางรังสิมา รอดรัศมี  พูดฉอด ๆ ๆ แล้วโยนผ้าขาว ยอมแพ้   เป็นอันจบการอภิปราย  ประธานให้ฝ่ายค้านสรุป    นายอภิสิทธิ์ พูด    จะใช้เวลา 47 นาทีต่อไป  

จะพูดอะไรเกี่ยวกับประเด็น ทดน้ำทำลายเมืองหรือไม่ ?   คอยฟัง.....

 

เอาละ  นี่คือคำพูดของ อภิสิทธิ์   ไม่อธิบายกราฟเส้นนั้น   โยนว่า  รัฐบาลบริหารน้ำผิดพลาดในเดือน ส.ค.-ก.ย.2554

แล้วเบี่ยงเบนไปเรื่องอื่น ๆ   หลงไปตามวาทะกรรมตนเอง    นั่นคือ เพ้อเจ้อไปตามตรรกะอันเป็นนามธรรมที่ความฝัน   นั่นเอง   คือสาระของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ   แต่ไหนแต่ไรมา    

 

ผมว่านายอภิสิทธิ์ วิเคราะห์สถานการณ์ไม่ถูก  ไม่เข้าใจสถานการณ์  และยังทำการโจมตีแบบไร้น้ำจิตน้ำใจ  อย่างน้อยก็น่าจะให้ความเป็นธรรม  หรือมีจิตใจรักความเป็นธรรมบ้าง  แต่นี่ไม่มีเลย  แต่นั่นแหละ มันบอกถึงการทำงานไม่เป็น  ดีแต่พูดจริง ๆ   เพราะแกน่าจะเข้าใจว่า  นี่เป็นการบริหารงานในสถานการณ์ที่แปรปรวนจัด   เพราะสถานการณ์เปลี่ยนไปในในแต่ละนาที ๆ ชั่วโมง  ๆ  สถานการณ์เปลี่ยนไปตลอด ๆ  ไม่ต่างอะไรกับการรบในระยะประชิด  ถึงขั้นประจัญบาญ  ระหว่างทัพขนาดใหญ่  ที่เปิดการรบหลายแนวรบ   สิ่งที่วัดความสามารถนั้นมันอยู่ที่ความสามารถในการปรับหรือเปลี่ยนแผน  และการมององค์รวมให้ทั่วถึงทุกแนวรบ  จะต้องไม่ยึดติดอยู่กับวิธีการใดหนึ่ง  ต้องปรับเปลี่ยนอยู่ตลอด  เพื่อให้ทันสถานการณ์   และถ้าคนทำงานเป็น ก็จะได้เห็นว่ารัฐบาล และศปภ.ทำงานได้ผล  โดยจะเห็นว่ารัฐบาลได้ทำการปรับเปลี่ยนแผนไปตลอด มีแผนหนึ่งแผน 2  แผน 3 ..... เมื่อแผน 1 ใช้ไม่ได้ เขาก็ใช้แผน 2 ทันที   ดังจะเห็นแต่แรกว่า รัฐบาลใช้โมเดล บางระกำ  แต่แล้วพลาด  ซึ่งมันพลาดได้ครับ อย่าถือเป็นสิ่งน่าตำหนิ และสิ่งที่น่าชื่นชมก็คือ ความสามารถในการปรับแผนให้รับสถานการณ์ได้ จนทันสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนั้น  จนกระทั่งบัดนี้ ปัญหาก็ค่อยลดลงไปตามลำดับ  ยังเหลืออยู่ก็ภายในรอบ ๆ กทม.เท่านั้น  แต่บัดนี้ก็เห็นว่าเอาอยู่อย่างมั่นใจแล้ว ภายหลังทำงานหนักมา 2 เดือนเศษ ๆ  แต่วิธีการมองของพรรคประชาธิปัตย์ เหมือนเด็ก ๆ ที่พอเริ่มก็พลาดเสียแล้ว  นั่นคือประเมินสถานการณ์ไม่ถก  มองเสือว่าเป็นหมู   นี่มันไม่ใช่น้ำท่วมธรรมดา อย่างที่นายอภิสิทธิมอง    เปรียบปานสินามิ  (มีหนังสือพิมพ์ และนักวิชาการกล่าวว่าเป็น สินามิน้ำจืด)  ฉะนั้นจะไปบังคับว่ารัฐบาลควรทำอย่างนั้นอย่างนี้อย่างที่ สส.ปชป. และหน.พรรคชี้ได้อย่างไร  นั่นแหละความที่ดีแต่พูด  เริ่มด้วยการไม่เข้าใจสถานการณ์ที่แท้จริง   แล้วอวดดี อวดฉลาด  (ไม่มีใครจะกำหนดได้หรอกครับว่าจะต้องใช้วิธีการอะไร อย่างไร  เพราะต้องติดตามศึกษาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด จนเข้าใจมันเสียก่อน จึงจะกำหนดยุทธวิธีที่เหมาะได้   การไปเสนอว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้  นั่นเท่ากับไม่เข้าใจสถานการณ์ ไม่ตระหนักว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร   และแล้ว ครั้นรัฐบาลและ ศปภ.เอาสถานการณ์อยู่ขึ้นมา  แทนที่จะมาร่วมไชโยโห่หิ๊ว  กลับดันมาทำตนเป็นปฏิปักษ์ไปเสีย    นี่แหละน่าคิดว่ามาจากพลังอิจฉาริษยาจากภายในนั่นเอง   (กลัวเขาได้ดีล้ำหน้าตนเอง)  

 

แล้ววาทะกรรมของนายอภิสิทธิ์นั้นก็คือ ลืมความจริง  พูดไปตามความฝัน หลับตาพูดไป   นั่นเอง     คือฟังแกพูดเหมือนแกลืมโลกที่เป็นจริง  

 

แล้วก็ขัดความรู้สึกตนเอง   เมื่อแกพูดถึงจิตอาสา มามากมายมหาศาล   ......  ทั่วประเทศ  และต่างประเทศ..ระดมมาช่วยไทย ...ซึ่งนั่นหมายถึงความศรัทธาในรัฐบาล และ ศปภ.  แกลืมไปว่า นี่คือคำสรรเสริญรัฐบาลยิ่งลักษณ์       โดยตรง    พอรู้สึก แกก็หาเรื่องมาเบี่ยงเบน ทับถม    ว่าของกองพะเนินเทินทึกไปไม่ถึงพี่น้องผู้หิวโหย      จัดซื้อเต๊นท์ใน"อัตราจองหอง"....(เขาคงหมายถึงว่า ราคาแพงไป)     วันนี้บริหารน้ำให้เป็นเรื่องแตกแยกใหม่  ....เกิดความแตกแยก นี่คือผลงานของ ศปภ.   ................  สรุป  นายอภิสิทธิ์เป็นคนดีแต่พูดจริง ๆ      แม้จะเป้นฝ่ายค้านก็ใช้ไม่ได้ เพราะค้านแบบไม่สอดคล้องวิถีทางประชาธิปไตย  จิตใจยังไม่ยิ่งใหญ่พอจะเป็ฯประชาธิปไตย

แต่นั่นแหละ  เขาหาเรื่อง เพื่อที่จะลงสุดท้ายว่า  ผมไม่อาจจะยินยอมให้ท่านอยู่ในตำแหน่งได้   ....

 

ผมจะยกตัวอย่างหนึ่ง   มีเรือเอี่ยมจุ้นลำหนึ่งจมอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยา ขวางทางน้ำ  ทำให้กระแสน้ำซัดเข้าฝั่ง ไปกัดเซาะฝั่งจนบ้านประชาชนพังลงไปในรัฐบาลอภิสิทธิ์ ช่วงระหว่างการเลือกตั้ง 3 ก.ค.2554  .........   นายอภิสิทธิ์ไม่เคยรีบไปดูเลยทั้ง ๆ ที่เป็นรัฐบาลอยู่  .......ปัญหาแค่เรือเอี่ยมจุ้นลำเดียว  นายอภิสิทธิ์ปล่อยให้คาราคาซังไปถึง 2 เดือน จึงแก้ปัญหาเสร็จ    ท่านคิดว่า  นี่มันบอกอะไร   แน่นอน   มันบอกถึงความไม่เอาไหนของรัฐบาลอภิสิทธิ์    งานแค่นี้ก็ยังเสียเวลาบริหารถึงเดือนสองเดือน  ในขณะที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์เจอสินามิ เอาอยู่ภายใน 2 เดือนเช่นเดียวกัน  เวลา 2 เดือนพอ ๆ กันระหว่าง รัฐบาลประชาธิปัตย์ กับรัฐบาลเพื่อไทย  เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว  ผลงานช่างแตกต่างกันจริง ๆ  รัฐบาลยิ่งลักษณ์บริหารจัดการสินามิน้ำจืดไทย 2554 จนเอาอยู่ เอานิ่งได้ ควบคุมได้ ภายใน 2 เดือนเช่นเดียวกัน กับที่นายอภิสิทธิ์กู้เรือเอี่ยมจุ้น 1 ลำ ใช้เวลาถึง 2 เดือน    น่าคิดว่า  ทำไมนายอภิสิทธิ์พูดกล่าวหาว่าคนอื่นทำงานล้มเหลวไปได้อย่างไม่นึกละอายใจ   ทั้ง ๆ ที่เป็นภัยพิบัติมโหฬาร  กว่ากรณีเรือเอี่ยมจุ้นลำนั้น อย่างเทียบกันไม่ได้    และภายใน 2 เดือนพอ ๆ กัน 

 

ก็เพราะได้สร้างนิสัย  มองคนในแง่ร้ายมาแต่เด็ก ๆ  นั่นเอง    สร้างนิสัยการจับผิดคนอื่น  แม้เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ  มาตลอด   เลยกลายเป็น   ดีแต่พูด  ทำไม่เป็น  เอาดีเข้าตัวเอาชั่วเข้าคนอื่น ได้อย่างหน้าด้าน ๆ  นั่นเเอง   ........  นี่ก็แค่ข้อสมมติฐานนะครับ แต่น่ามีความจริงถึงเกือบ 100 % เข้าไปแล้ว

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ประยุกต์ นามเสพ วันที่ตอบ 2011-11-28 01:11:08


ความคิดเห็นที่ 8 (3318406)

ผมมีสิ่งที่อยากพูดก็คือ    ท่านรมว.ยุติธรรม  พล.ต.อ.ประชา  พรหมนอก  ท่านเป็นสิงห์ หรือ อินทรี จริง ๆ ครับ   เห็นคราวนี้เองชัด ๆ    และ อินทรีอีสาน นั้นเหมาะจริง ๆ   ชาวอีสานย่อมพอใจ

คนอีสานเป็นคนซื่อ สุจริตเสมอแหละครับ   แม้ได้เป็ฯใหญ่เป้นโตก็ไม่เย่อหยิ่งจองหอง

 

แต่ภาพที่เห็นบ่งถึงความเป็นตำรวจระดับ ผู้บัญชาการ   และระดับ องครักษ์พิเศษของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจริง 

 

ปชป.คิดผิด  นึกว่าหมู  ที่ไหนได้เจอเสือ  สิงห์ อินทรี เข้าแล้ว   

 

ผมพอจะเข้าใจตอนนี้เองว่าทำไม ปชป.จึงตั้งใจกำจัด อินทรีอีสาน  

ก็ทำไป หากทำได้  แต่ พล.ต.อ.ประชา   อย่างไร ๆ ก็จะต้องอยู่ กท.ยุตธรรม  และเอาคนเข้าคุกให้ได้ อยู่ 2 คนเห็น ๆ   

และแน่นอน    ต้องเอาทักษิณ ชินวัตร กลับบ้านได้ในยุค ประชา พรหมนอก นี่แหละ

 

ปชป.   คุณอย่านึกว่าคนเสื้อแดงมองไม่เห็นความในใจของคุณ

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ประชา ไทยเสรีชน วันที่ตอบ 2011-11-28 02:15:13


ความคิดเห็นที่ 9 (3320951)

เรื่องในสภาอีกแหละครับ  วันนี้  นายองอาจ คล้ามไพบูลย์  สส.สัดส่วน ปชป. ตั้งกระทู้ถามนายกรัฐมนตรี กรณีออกบัตรเดินทางให้  อดีต นรม.ทักษิณ ชินวัตร     เรียบร้อยไปแล้ว  

ผู้แสดงความคิดเห็น ประยุกต์ นามเสพ วันที่ตอบ 2011-12-22 13:25:42


ความคิดเห็นที่ 10 (3322236)

ช. โหรชนบททำนายไว้แม่นจริงๆตรงที่ว่า ไม่ว่าประชาธิปัตย์จะเคลื่อนไหวจะโจมตีรัฐบาลอย่างไรก็ไม่มีผลสะเทือน เพราะอะไรเพราะประชาธิปัตย์ได้ปล่อยอาวุธออกมาจนหมดไส้หมดพุงประชาชนรู้ไต๋หมดแล้ว นั่นคือดีแต่พูด พูดเอาเข้าตัวเอาชั่วให้คนอื่น ถ้าเป็นไพ่ก็ไม่มีแต้มให้เล่นแล้ว การชกของ ปชป. จึงเหมือนการชกลมทำอะไรรัฐบาลไม่ได้จริงๆ เพราะรัฐบาลเขาใช้ยุทธวิธีพูดน้อย แต่ทำมากๆ ดูซิทั้งนักธุรกิจไทย นักธุรกิจต่างชาติ รวมทั้งรัฐบาลในประเทศต่างๆตอบรับกันเป็นแถว พรรคเก่าแก่ล้าหลังเห็นหรือไม่ พรรคไทยรักไทย พลังประชาชนและพรรคเพื่อไทยเขาตั้งมาไม่นาน แต่เขาได้รับการยอมรับ ลองมองดูซิว่าเขาทำนโยบายอย่างไรจึงผงาดขึ้นมาได้

ผู้แสดงความคิดเห็น กระจกเงา วันที่ตอบ 2012-01-06 23:08:32



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.