ReadyPlanet.com


มาถึงวงในของวิชาวารสารศาสตร์ กลุ่มวารสารต้านนิติราษฎร


ไม่เข้าใจเหมือนกัน  ทำไมจึงมีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นในวงการวิชาวารสารศาสตร์   ......   เป็นเรื่องที่น่าอับอาย  ..... เพราะเท่ากับบอก เปิดเผยตัวเองว่า  นี่ไม่รู้เรื่องรู้ราวของประชาธิปไตยกับเขาเลย    ทั้ง ๆ ที่ควรจะเป็นส่วนวิชาการที่จะต้องเข้าใจประชาธิปไตยก่อนส่วนอื่น ๆ ของวิชาการทั้งสิ้น  ....ก็เพราะวิชาการด้านนี้จะเจริญไปไม่ได้ หากสังคมไม่เป็นประชาธิปไตย นั่นเอง     ในระบอบเผด็จการ วารสารศาสตร์ไม่อาจจะเจริญไปได้     ไม่เข้าใจหรือไง   ......

 

มากันหมด ตั้งแต่ครูสอน  อดีตคณบดีวารสารศาสตร์  ที่เขาว่ากะเทยน่ะ  นายเสรี วงศ์มณฑา     แล้วก็มีนักจัดรายการชื่อดัง   ดังหรือเปล่า ?   นายกนก รัตน์วงศ์กุล  ที่ไม่เข้าใจอะไรกับประชาธิปไตย  ก็เพราะไปคบหากับ พวกประชาธิปัตย์ พวกเด็ก ๆ  ที่เป็นรัฐบาลก็รัฐบาลเด็ก ทำประเทศชาติล่มจม  ....แล้วออกมาเป็นฝ่ายอิจฉาริษยา คนเขาจะทำประโยชน์แก่ประเทศชาติ  คอยขวางทุกอย่าง ๆ กับเด็ก ๆไร้หัวคิดเลย

ก็คอยดูเขาไป   

 

พอ ๆ กับอธิการบดี   ชอบเขียนเฟสบุ๊ค  ไม่ค่อยกล้าเผชิญหน้าคนตรง ๆ   ....   นี่ก็ควรไปได้แล้ว   เพราะอยู่ธรรมศาสตร์แต่ไม่เข้าใจธรรมศาสตร์ .........  คือธรรมศาสตร์สอนฉันให้รักประชาชน   คุณสมคิด เลิศไพฑูรย์ แกไม่เข้าใจ  ว่าเป็นหัวใจของประชาธิปไตยอย่างไร  

 

เป็นปัญหา  นักวิชาการที่จบมาจากนอก แต่ไม่เข้าใจประชาธิปไตย     นี่ก็อีกคนหนึ่ง  พอ ๆ กับ อมรา พงศาพิศ     สมบัติ ธำรงค์ธัญญวงศ์   ......แล้วล่าสุด  ก็ธีรยุทธ  บุญมี   อดีต ผู้นำนักศึกษา 14 ต.ค. 2516  นั่นแหละ  โผล่ออกมาก็แสดงความเบี้ยวเสียแล้ว    พวกไม่รู้จักประชาธิปไตยจริง ๆ ตามที่ประชาธิปไตยจริงเป็นอย่างไร   .....    นี่แหละปัญหาประชาธิปไตยไทย  

 

และทำท่าจะล้าหลังพม่ายุคทหารพม่าเริ่มตั้งหางเสือไปสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริง   ไปเสียแล้ว   

คอยดูต่อไปก็แล้วกัน     ทำไมนายสมคิดถึงละทิ้งอุดมการแห่งธรรมศาสตร์ไปได้  .....

 

 

 



ผู้ตั้งกระทู้ พิศิษฐ์ สาธุกล่ำ :: วันที่ลงประกาศ 2012-02-02 20:43:24


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (3324999)

นายสมคิด  เลิศไพฑูรย์ นี่แกเป็นอาจารย์สอนประชาธิปไตยได้อย่างไรไม่รู้จักประชาธิปไตย คราวก่อนก็ไปเขียนพาดพิงถึงอาจารย์ปรีดี  พนมยงค์กับคณะรัฐประหาร  จนบุตรสาวของท่านปรีดีออกมาต่อว่าแบบผู้ดีๆ แกยังแถไปได้ ธรรมศาสตร์เคยรุ่งเรืองด้วยจิตวิญญาณประชาธิปไตยในสมัยอาจารย์ปรีดี สมัย ดร.ป๋วย มาวันนี้ได้ ดร.สมคิด ปิดประตูไม่ให้แสดงความคิดเห็นทางวิชาการ ที่อีกลุ่มหนึ่งที่คิดตรงข้ามกับกลุ่มนิติราษฎร์ถึงได้สิทธิ์มาใช้พื้นที่ในมหาวิทยาลัย ตอบให้ประชาชนทราบด้วยว่ามีมาตรฐานเดียว ทางที่ดีควรพิจารณาตัวเองเถอะ คนต่อไปที่จะเสนอตัวมาเป็นอธิการบดีก็ควรมีอุดมการณ์ปแระชาธิปไตยจึงจะเชิดชูเกียรติศักดิ์ศรีของมหาวิทยาลัยไว้ตามที่ประกาศว่า " ธรรมศาสตร์รักประชาชน " 

ผู้แสดงความคิดเห็น กระจกเงา วันที่ตอบ 2012-02-02 23:27:53


ความคิดเห็นที่ 2 (3325101)

พม่าเขาเปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็นทางการเมืองได้อย่างเสรีแล้ว  เริ่มต้นด้วยคืนสิทธิ์ให้พรรคการเมืองของนางอองซาน ซูจีได้ลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อม ประกาศจะปล่อยนักโทษการเมือง อาจารย์สมคิดคิดอย่างไรถึงจะจำกัดเสรีภาพของประชาชนไม่ให้ไปใช้สถานที่แสดงออกทางการเมือง อยากถามหน่อยว่ากฎหมายที่ล้าหลังเปิดโอกาสให้คนเอาไปใช้ผิดๆในการใส่ร้ายป้านสีกันทางการเมืองกับคนที่คิดเห็นต่างกันมันไม่เกี่ยวกับการเมืองตรงไหน มันต้องเกี่ยววันยังค่ำ พูดตลกเอามากๆ ว่าการแสดงออกทางวิชาการแสดงได้ แต่ห้ามแสดงออกทางการเมือง ก็ในเมื่อมีองค์กรที่ใช้การเมืองในแบบอวิชชา เช่น รัฐประหาร ฉีกรัฐธรรมนูญ ตั้งองค์กรอิสระมาล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง สังหารประชาชนมือเปล่าผู้บริสุทธิ์ที่มาเรียกร้องประชาธิปไตยยัดเยียดข้อหาว่าล้มสถาบันและเป็นผู้ก่อการร้าย นักวิชาการอย่างคณะนิติราษฎร์ผู้รักความถูกต้องเป็นธรรมก็ต้องเป็นแนวหน้ามีหน้าที่กำจัดการเมืองอวิชาออกไป  แล้วทำการเมืองให้เป็นวิชชา เพื่อประชาชนไทยจะได้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานอย่างไรเล่า เวลานี้ประชาชนเขาเข้าใจอะไรๆดีแล้ว ไม่มีทางที่ประชาชนจะยอมให้ความมืดมาบดบังแสงสว่างได้ ทางที่ดีเปิดพื้นที่ให้นักวิชาการเขาแสดงวิสัยทัศน์ที่แตกต่างกันอย่างเต็มที่ แล้วประชาชนเขาจะเรียนรู้และตัดสินเองได้ ประชาชนเขาฉลาดพอที่จะรู้ว่าใครมีเหตุมีผล มีความจริง ต้องขอยืมคำพูดของคุณชูวัส ฤกษ์ศิริสุข ที่ว่า " ประชาชนเขาคิดเป็นแล้ว คุณทำให้เขาหยุดคิดไม่ได้แล้ว "

ผู้แสดงความคิดเห็น กระจกเงา วันที่ตอบ 2012-02-03 16:16:54


ความคิดเห็นที่ 3 (3325425)

วันนี้เห็น ผบ.ทบ. ให้สัมภาษณ์นักข่าวโจมตีกลุ่มนิติราษฎร์ทางทีวีช่องเนชั่น กล่าวหาว่ากลุ่มนิติราษฎร์ให้ยกเลิกกฎหมายหมิ่น แล้วยังพูดพาดพิงว่าหากใครไปว่าหรือหมิ่นประมาทพ่อแม่คุณ คุณจะโกรธไหม อีตา ผบ.ทบ. นี่ถ้าจะเลอะๆเลือนๆพูดอะไรก็พูดไม่หมด ประชาชนเขาอ่านกฎหมายที่กลุ่มนิติราษฎร์เสนอแก้ไขแล้ว เขาเพียงอยากทำกฎหมายที่มีปัญหาในการบังคับใช้ให้เป็นประชาธิปไตยตามหลักนิติธรรมนิติรัฐ แต่ผบ.ทบ. คงยังไม่ได้อ่านหรือคงอ่านไม่เข้าใจ เพราะกฎหมายลงโทษกรณีหมิ่นประมาทก็ยังอยู่ เพียงแต่เขาขอแก้ไม่ให้ใครก็ได้นำมาฟ้องร้องกับคนที่คิดเห็นต่าง นักข่าวก็กระไรเลยรู้ทั้งรู้แต่ก็ไม่กล้าท้วง ปล่อยให้แกผิดจริงครึ่งเดียว อย่างนี้คนไม่เข้าใจก็คิดว่าแกพูดจริงทั้งหมด นี่แหละสื่อไทยไม่กล้านำความจริงมาตีแผ่

ผู้แสดงความคิดเห็น กระจกเงา วันที่ตอบ 2012-02-06 21:02:25


ความคิดเห็นที่ 4 (3325613)

ในทัศนะของผม เห็นว่ากลุ่มนิติราษฎร์ มองกว้างขวางและครบองค์รวมมากทีเดียว   เขาไม่ได้มองแค่ ม.112 นะครับ  แต่มองว่า ม.112 มีความเกี่ยวข้องไปถึงปัญหาอะไร ไกลไหน ๆ  อะไร  องค์กรหรือสถาบันใดด้วย .......ประเด็นคือ  องค์รวมของระบบยุติธรรมไทยเรานี้ ควรจะต้องมีการแก้ไข เปลี่ยนแปลงให้เป็นธรรมขึ้น   โดยให้สอดคล้องระบอบของประชาธิปไตย ซึ่งโดยนัยะนี้  แม้ ม.112 มีความชัดเจนในลายลักษณ์อักษร แต่เมื่อการบังคับใช้มีปัญหา  ก็ย่อมต้องมีการพิจารณาโดยการเชื่อมโยงไปยังองค์รวมทั้งหมดของปัญหา และอาจจะมีการแก้ไขให้รับกับองค์รวมได้  

 

สิ่งที่ผมเห็นว่าตรงประเด็นของนิติราษฎร์ก็คือ  สถาบันศาลไทย  ยังอาจสามารถใช้เป็นเครื่องมือของเผด็จการได้อยู่  เนื่องเพราะขาดการเชื่อมโยงไปถึงประชาชน   ทุกวันนี้ระบบยุติธรรมไทยเป็นอิสระอย่างมากมายจนกลายเป็นสถาบันอำนาจสูงสุดทีปราศจากการตรวจสอบโดยสิ้นเชิง  เป็นอำนาจเผด็จการสูงสุด .... ตามหลักอำนาจทางการเมืองระบอบประชาธิปไตย  ทุกอำนาจจะต้องอยู่ใต้การตรวจสอบของประชาชนได้  .......โดยหลักการ  อำนาจเป็นของประชาชน....ประชาชนเป็นนาย......ข้าราชการ หรือสถาบันบริหารทั้งหมด ต้องอยู่ใต้การตรวจสอบของประชาชนผู้เป็นนายได้ ...... เหมือนนายนั่นแหละครับ ตรวจสอบได้ทุกอย่าง ....   แต่โดยสถานะการณ์ทุกวันนี้   เรามีสถาบันนิติบัญญัติ คือ รัฐสภา   นี่ก็อยู่ใต้การตรวจสอบของประชาชนเต็ม ๆ  เนื่องเพราะไปเกี่ยวกับการเลือกตั้งโดยตรง    อำนาจบริหารหรืออำนาจการจัดการประเทศก็เช่นเดียวกัน เป็นอำนาจที่ได้มาโดยประชาชน  อยู่ใต้การตรวจสอบของประชาชน   เพราะโดยระบบรัฐสภานั้นทำให้รัฐบาลจำต้องบริหารไปตามสัญญาที่ให้ไว้แก่ประชาชน  และยังต้องเสนอนโยบายที่ถูกใจประชาชนอีกด้วยเป็นเรื่องการควบคุมที่ยิ่งใหญ่ของประชาชน   

 

แต่ถ้าเรามองอำนาจอีกอำนาจหนึ่ง  ซึ่งทางรัฐธรรมนูญเราจำเป็นต้องกำหนดไว้เสมอ  เพื่อให้ได้ชื่อว่าเป็นประชาธิปไตย  ก็ให้เป็น 1 ในอำนาจสูงสุดทั้ง 3 เพื่อให้สอดคล้องความหมายในแง่การถ่วงดุลอำนาจทั้ง 3 เอง คือ นิติบัญญัติ  บริหาร  และ ตุลาการ     แต่จริง ๆ แล้ว  เหตุใดจึงไม่มีการระวังเลยว่า มีอำนาจตุลาการนี้แหละ  ที่รอดปลอดไปจากการตรวจสอบของประชาชนโดยสิ้นเชิง   และในประเด็นของเจตนารมณ์ของประชาธิปไตย ที่ต้องการให้มีการถ่วงดุลกันระหว่างอำนาจทั้ง 3 อย่างจำเป็น   แต่กลับปรากฎว่าไม่มีอำนาจใดจะทัดทาน ต่อรอง หรือถ่วงดุลอำนาจตุลาการได้เลย    นี่คือสภาพที่เป็นอยู่ของอำนาจตุลาการขณะนี้ 

 

นั่นคือ   ความไม่เป็นธรรม     ที่รัฐธรรมนูญปล่อยให้มีอำนาจสูงสุดเกิดขึ้แต่เพียงอำนาจเดียว   คืออำนาจตุลาการซึ่งโดยพฤตินัย   เป็นอำนาจที่สูงสุดเพียงอำนาจเดียวขณะนี้   เพราะขาดอำนาจการถ่วงดุลจากนิติบัญญัติ  และบริหาร  และจากการตรวจสอบของประชาชน   ........โดยสิ้นเชิง    จนกระทั่งมีกฎหมายระบุเอาโทษต่อผู้ที่วิจารณ์การตัดสินความของอำนาจตุลาการอีกด้วย  .........   แต่ในที่สุด กาลเวลาก็ได้พิศูจน์ ในด้านความเชื่อในคุณธรรมของผู้พิพากษา   ก็เชื่อถือไม่ได้  เพราะเขาก็คือคน ๆ หนึ่ง  ผู้มีกิเลส  นั่นเอง    ฉะนั้นทำให้ประเทศไทยกลายพันธ์ทางตุลาการไปเป็น  ตุลาการภิวัฒน์.... จนถึงตุลาการศาลสถิตศรีธนญชัยเผด็จการไป  นั่นคือรูปธรรมของสองมาตรฐานเกิดขึ้นอย่างชัดเจน ในวงการตุลาการไทย ......มาจนถึงทุกวันนี้

ดังจะเห็นว่าฝ่ายเผด็จการไทยระยะหลัง ๆ มานี้ สามารถครอบงำอำนาจสูงสุดนี้ ....โดยลับโดยทุจริต  ไม่ปรากฎต่อสายตาประชาชน  จนสามารถล้มล้างรัฐบาลประชาธิปไตยได้ถึง 2 รัฐบาล   ......(ล้มนายสมัคร สุนทรเวช นรม.ที่มาจากการเลือกตั้งโดยอ้างว่าการทำรายการอาหารทางโทรทัศน์....ไม่ผิดกฎหมายแต่เอาผิดจากผิดพจนานุกรมจนได้   ประเด็น  ..ล้มพรรค.เพื่อเอาสมชาย วงษ์สวัสดิ์ออกจากตำแหน่งนรม.คนต่อมา ......และยังสามารถคุ้มครองป้องกันพรรคประชาธิปัตย์ให้รอดจากการ ถูกล้มพรรค...โดยอ้างว่าคดีหมดอายุความ  อายุความ 15 วัน   ซึ่งเป็นการอ้างอย่างกล้าหาญในการบิดเบือนเรื่องราว อย่างหมิ่นแคลนประชาชนอย่างยิ่ง.....)      นั่นเป็นความไม่เป็นธรรม  .......เป็นสิ่งที่เห็นชัดเจนมากถึงความอยุติธรรมของสถาบันยุติธรรมไทย และเป็นสิ่งที่ไม่พึงบังเกิดขึ้นได้ในระบอบประชาธิปไตย   และย่อมจะมีการเรียกร้อง   เอาคืน   จากการกระทำทุจริตเช่นนั้น  ....  อย่างมีเจตนาทุจริต.....

 

 

ในขณะนี้  ฝ่ายตุลาการกำลังจะใช้อำนาจยับยั้งรัฐบาลของประชาชน ไม่ให้สามารถดำเนินนโยบายการบริหารอันชอบธรรมของรัฐบาล กล่าวคือรัฐบาลยิ่งลักษณ์เร่งการบริหารงานด่วนเพื่อประชาชนเรื่องการป้องกันน้ำท่วม.....รวมถึงผลอันจะเกิดทางเศรษฐกิจแก่ประเทศชาติและประชาชนอย่างตรงสถานก รณ์ ถูกกาลถูกสมัย   ........  กรณี พรก. 4 ฉบับ  ที่ทางศาลรัฐธรรมนูญรับจากพรรคฝ่ายค้าน.....ที่ค้านทุกเรื่อง..ไว้พิจารณา   .....มีอำนาจได้อย่างไรไม่ทราบ.....ที่จะอาจยับยั้งการบริหารตามนโยบายที่ให้ไว้แด่ประชาชน และล้มล้างรัฐบาลของประชาชนได้   (รัฐธรรมนูญ 2550 ของคณะรัฐประหารสนธิ บุณยรัตกลิน เขียนเอาไว้ ให้อำนาจไว้เช่นนี้....) ......  นี่คืออำนาจที่เลยเถิดเกินจะถ่วงดุลได้  (ซึ่งจำเป็นต้องพูดถึงและแก้ไขเสีย)  .......... การที่เห็นกันชัดเจนอยู่เช่นนี้ ว่า อำนาจตุลาการ   เป็นอำนาจสูงสุดเกินที่อำนาจอื่นถ่วงดุลได้  และขาดการตรวจสอบจากประชาชนอย่างสิ้นเชิง   และนั่นเป็นเหตุของความผิดพลาดอย่างมหันต์ โดยได้กลายเป็นเครื่องมือของเผด็จการมาได้ระยะหนึ่ง ก่อความเลวทรามมาระยะหนึ่งจนถึงบัดนี้   และโดยหลักการประชาธิปไตย  คนย่อมเชื่อถือไม่ได้  ฉะนั้นคนผู้บริหาร  ผู้จัดการเรื่องสำคัญ อำนาจสำคัญ ๆ  จะต้องได้รับการตรวจสอบอยู่เสมอ....ถ้าปล่อย...กิเลสก็จะครอบงำเขา.....ฉะนั้นคนผู้อยู่ในอำนาจจะต้องยอมรับการตรวจสอบของประชาชน    

 

คณะนิติราษฎร์ ได้พูดถึงประเด็นสำคัญ ๆ เช่นนี้ไว้หมดแหละครับ   .....  แต่ก็มีพวกคับแคบเพราะไม่เข้าใจหลักการประชาธิปไตย เช่น ฝ่ายทหาร ....ที่ออกมาพูด ให้เตรียมปฏิวัติ รัฐประหาร(พล.อ.ทหารนอกราชการนายนั้น กับนายสนธิ ลิ้มทองกุลเจ้าเก่า) แสดงความคิดเห็น หรือแม้กระทั่งปฏิเสธอย่างแรงต่อแนวคิดสร้างสรรค์ของคณะนิติราษฎร์   ..........  (ที่จริงทหารไม่มีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์การเมือง ....... แต่ที่พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. พูดครั้งแรก ที่ว่าให้คณะนิติราษฎร์หนีไปอยู่ต่างประเทศเสีย  ประเทศไทยไม่ต้อนรับนั้น  ....และล่าสุด วันสองวันมานี้ .....ให้หยุดคณะราษฎร์...หยุดการเคลื่อนไหวลงเสียทันที...... เสมือนพูดสั่งการต่อรัฐบาลด้วยซ้ำ   ซึ่งถือว่าไม่ถูกต้อง  ....(คนที่จะพดคำเหล่านี้ไม่ควรเป็น ผบ.ทบ. ควรเป็นรัฐบาลเผด็จการัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง   แต่รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลประชาธิปไตย  ก็เลยไม่จำเป็นต้องพูด.......เลยให้ผบ.ทบ.สั่งการเอากับรัฐบาลว่าให้หยุดคณะราษฎร์)   เพราะทหารเป็นเพียงเครื่องมือของรัฐบาล....ตามระบอบประชาธิปไตย หรือระบอบไหน ๆ  .....นั่นแสดงถึงการหลงตัวในอำนาจที่เคยมีมา........เช่นเดียวกับ ผบ.ทบ.คนก่อน  พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา   ที่ออกความเห็นว่ารัฐบาลสมัคร ควรลาออก  และไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง  ตามพรก.สถานการณ์ฉุกเฉิน คราวพันธมิตรยึดทำเนียบรัฐบาล  และยึดสนามบินนานาชาติ ......   

 

ซึ่งความไม่ถูกต้องเหล่านี้  จำเป็นต้องมีผู้เข้าใจ  ผู้รู้ ให้การศึกษาแก่ประชาชน  แก่คนที่ไม่รู้ให้รู้   หรือที่เรียกว่า   ให้  ตาสว่างขึ้นทั้งแผ่นดินนั่นแหละครับ  

 

ฉะนั้น   ถ้าคุณจะให้หยุดคณะราษฎร์  แล้วก็แปลว่าหยุดการอบรม ให้ความรู้เชิงความเห็นทางสร้างสรรค์ แก่ประชาชนในระบอบประชาธิปไตย นั่นเอง  ...........   ทุกวันนี้ มีประชาชนส่วนหนึ่ง (รวมทั้งพวกสื่อสายหลัก..ข้าราชการพวกหนึ่ง...รวมทั้ง ผบ.ทบ. หลายยุคมา)  ที่ยังไม่เข้าใจประชาธิปไตยเลย  ......เมื่ออยากเป็นประชาธิปไตย  ก็ต้องให้มีการแสดงความคิดเห็นเช่นนี้  .....และเปิดเสรี  ตามที่รัฐธรรมนูญทุกฉบับรับรองไว้ .....เพื่อประโยชน์ทางการตกผลึกทางความคิดขึ้น   เพื่อประโยชน์แด่ชาติและสถาบันอย่างแท้จริง   คุณทหารก็เพียงอยู่เฉย ๆ  รอฟังรัฐบาลพูดดีกว่า อย่าชิงพูดแทนรัฐบาล  อยากให้ดูทหารประชาธิปไตยอย่างทหารสหรัฐอเมริกานะครับ     ....   และเร็ว ๆ  นี้ก็คอยดูทหารพม่า    ทำท่าจะไปในระบอบประชาธิปไตยไกลกว่าทหารไทยเสียแล้ว   

  

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆิน วันที่ตอบ 2012-02-08 10:22:16


ความคิดเห็นที่ 5 (3325717)

ขอเตือนอีกครั้งหนึ่ง ถ้าทหารไทยจะทำรัฐประหารไม่ว่าจะด้วยข้ออ้างใดก็ตาม  โปรดดูชะตากรรมของ จอมพลถนอม กิตติขจร  จอมพลประภาส จารุเสถียรและ พล.อ.ณรงค์ กิตติขจร  ไว้บ้าง ขนาดในตอนนั้นยังไม่มีคนเสื้อแดงยังต้องหนีออกนอกประเทศ ผบ.เหล่าทัพดูไว้นะเดี๋ยวจะว่าไม่เตือน

ผู้แสดงความคิดเห็น แมงกุดจี่ วันที่ตอบ 2012-02-09 13:32:12



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.