ReadyPlanet.com


ปรัชญาชีวิตวัฒนธรรมเก่า-ใหม่ อะไรก็ได้ อะไรเป็นอะไร ทำไม ??


เรื่องราวที่สับสน ๆ ในเรื่องเช่นนี้ ๆ



ผู้ตั้งกระทู้ พีระพร แก่นจักร :: วันที่ลงประกาศ 2011-04-04 15:26:17


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (3290759)

วัฒนธรรมเจ้าขุนมูลนาย  ยังคงครอบงำประชาชนไทยอยู่แทบทั้งแผ่นดิน  ................... เป็นอุปสรรคแก่การเดินไปของประชาธิปไตย   ก็ยากที่จะเป็นประชาธิปไตย

ฉะนั้น   หลังปฏิวัติการเมืองของประชาชนแล้ว   ก็ต้องตามด้วยการปฏิวัติวัฒนธรรมทันที..... เพื่อให้เป็นวัฒนธรรมประชาธิปไตย

ผู้แสดงความคิดเห็น พีระพร แก่นจักร วันที่ตอบ 2011-04-08 23:00:27


ความคิดเห็นที่ 2 (3291149)

ให้อภัย...............คำสอนเก่า

 

แนวใหม่คือ          ความยุติธรรม

 

จะให้เราให้ภัยแด่โจร  ผู้ปล้นชาติปล้นประชาชน  ปล้นประชาธิปไตย........อ้างหลักคำสอนพระพุทธเจ้า   นั่น................เราก็จะเสียในเรื่อง    การดำรงความยุติธรรม..................

 

และการดำรงความยุติธรรม   ก็เป็นธรรมะเหมือนกัน   

 

 

ประเด็นคือ     กาละเทศะ  เหตุ  ผล   บุคคล  เวลา   อย่างไร

 

ในกรณีนี้   เราเห็นด้วยกับ   โรเบิร์ต  อัมสเตอร์ดัม   เมื่อเขายืนยันจะไม่มีการให้อภัยแด่ทรราชผู้ฆ่าประชาชน 91 ศพ    จะต่อสู้จนกว่าจะนำตัวมาลงโทษได้  จนกว่าความยุติธรรมจะกลับคืนมา

 

แน่นอน   ความยุติธรรม   เป็นสิ่งจำเป็นสูงสุด   ทางการปกครองประชาชน ตามระบอบประชาธิปไตย

 

 

การให้อภัย   เป็นเครื่องมือของอมาตย์เพื่ออมาตย์เอาตัวรอดมานานแล้ว  จึงทำให้ไทยงมงายต่อไป    การยุติธรรมจึงเสียหายไปไกลสุดกู่อยู่อย่างขณะนี้   ............   

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น เทอม ธนาธุรกุลดี วันที่ตอบ 2011-04-13 09:49:15


ความคิดเห็นที่ 3 (3291205)

การให้อภัย    กับ    การเสียสละ     เป็นผลเสียต่อความเป็นธรรมครับ   และเสียความยุติธรรมด้วย 

 

ความยุติธรรมคือ       มาตรฐานเดียวกัน      เมื่อเราให้อภัย  หมายถึงไม่เอามาตรฐานที่ตั้งไว้

เช่นกระทำสิ่งที่กฎหมายบัญญัติไว้ให้เป็นความผิด

 

ตัวอย่าง    การฆ่าคน      ของ  นักรัฐประหารไทย  ทุก ๆ ครั้งที่ผ่านมา   การฆ่าคนย่อมมีโทษตามกฎหมาย      แต่คนเหล่านั้นได้รับ  การอภัย    เลยไม่มีการลงโทษ          ก็ทำให้เสียมาตรฐานที่ตั้งเอาไว้        คือคนกลุ่มนี้ทำผิดกฎหมาย  ฆ่าคน  แต่ไม่ได้รับการลงโทษ  เพราะมีการให้อภัย     ด้วยเหตุนี้จึงมีผลเสียหายต่อความยุติธรรม     ทำให้เสียหลักการปกครองประเทศไปเรื่อย ๆ   จนกำเริบเสิบสานมาเป็นการใหญ่เท่าทุกวันนี้

 

เมื่อเราให้อภัยแด่คนชั่ว  ไม่เอาผิด  ไม่เอาความกับเขา      ก็เสียความเป็นธรรม       แต่ความเป็นธรรมก็คงรักษาความเป็นธรรมอยู่เสมอ   นั่นคือ  กลฺยาณการี  กลฺยานํ   ปาปการี  จ  ปาปกํ    ทำดีได้ดี  ทำชั่วได้ชั่ว   อภัยให้ไม่ได้ ถึงให้อภัยแต่กรรมก็ยังคงสนองตามความเป็นธรรมจนได้

 

ตัวอย่าง   นักรัฐประหารไทยที่ฆ่าประชาชน  ถึงได้รับการอภัย      ก็หาพ้นกรรมไม่   

 

 

 

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ขนิติ ขันคำ วันที่ตอบ 2011-04-14 06:38:24


ความคิดเห็นที่ 4 (3291206)

ในระบอบประชาธิปไตย   เราจำเป็นต้องเน้นที่ความยุติธรรม

 

เพื่อให้เกิดมาตรฐานเดียวกันแด่  ประชาชนทุกชั้นในราชอาณาจักร   และเพื่อความเสมอภาคของประชาชนเจ้าของประเทศ

 

เพราะผู้ที่ได้รับอภัยมักเป็นชนชั้นเจ้าขุนมูลนายเอง     ส่วนชาวนาชาวไร่ กรรมการ   ชีวิตไร้การอภัย 

 

ตัวอย่างเช่น   ชาวเสื้อแดง   ทำอะไรก็ผิดหมด   แต่ชาวเสื้อเหลืองทำอะไรก็ถูกหมด   

พรรคทักษิณ  ต้องถูกยุบ พรรคแล้วพรรคเล่า   แต่พรรคอมาตย์ ใต้เปรม  คือประชาธิปัตย์  ผิดเพียงไหนก็ไม่ถูกยุบ......

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ขนิติ ขันคำ วันที่ตอบ 2011-04-14 06:44:45


ความคิดเห็นที่ 5 (3292208)

อะไรเป็นความคิดเก่า  อะไรเป็นความคิดใหม่ครับ ???

ผู้แสดงความคิดเห็น นายบัฟฟาโล(นายควาย) วันที่ตอบ 2011-04-25 08:05:59


ความคิดเห็นที่ 6 (3294076)

ผมไม่เข้าใจคำว่า    การยึดติดทำให้เราเป้นทุกข์.............................. เท่าที่ผมเห็น  คนที่ไม่ยึดติดเป็นพวกคนขี้เกียจ   วัน ๆ ไม่ทำอะไร  ไปนั่งเฉย ๆ  ...........................  อ้างว่าทำสมาธิได้ระดับสูงแล้วก็ไม่ยึดติด.......................................ผมว่าคนคิดเช่นนี้แหละ   พวกหัวคิดเก่า ๆ ....

ผู้แสดงความคิดเห็น xxx yyy วันที่ตอบ 2011-05-12 20:43:07


ความคิดเห็นที่ 7 (3305758)

      เห็นด้วย !!!

ผู้แสดงความคิดเห็น นายบัฟฟาโล(นายควาย) วันที่ตอบ 2011-09-01 19:04:25


ความคิดเห็นที่ 8 (3314439)

มาดู  ผมลอกมาจากเฟสบุคครับ  เรื่องน่าสนใจมาก เกี่ยวกับชีวิตอัจฉริยะชีวิตหนึ่ง  steve Job  ครับ  เจ้าของ Apples  ที่เพิ่งวายชีพไป และโลกทั้งโลกกำลังหวั่นไหวด้วยความรู้สึกเสียดายเขา อายุไม่ยืนครับ แค่ 50 กว่า ๆ   ขออนุญาตคุณ Wesun Ponsawad  ด้วยครับ

 

คนเราเกิดมามี 3 สถานะ
1. เกิดมาหรือไม่เกิดมามีค่าเท่ากั
2. เกิดมาเพื่อทำให้ตัวเองมีความสุ
3. เกิดมาเพื่อทำให้ตัวเองและคนอื่นมีความสุข
Steve Job ได้ทำในสิ่งที่คนทั่วไปไม่ค่อยได้ทำ สิ่งที่เหลืออยู่ให้คนกล่าวขานถึง คือ สิ่งที่เขาได้สร้างไว้เพื่อคนรุ่นหลัง แล้ววันนี้เรามีสถานะแบบไหน คำถามที่ต้องตอบตัวเองจะได้ไม่ขึ้นชื่อว่าเกิดมาหรือไม่เกิดมามีค่าเท่ากัน "เราจะไม่ได้ในสิ่งที่เราต้องการ เราจะได้ในสิ่งที่เราคู่ควรเท่านั้น" โชคดีครับ พี่น้องชาวไทย

 

เห็นด้วยครับ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ  โดยเฉพาะตรงที่ว่า   "เราจะไม่ได้ในสิ่งที่เราต้องการ เราจะได้ในสิ่งที่เราคู่ควรเท่านั้น"

ผมก็เพิ่งทราบว่า  Steve Job มหาเศรษฐีคนนี้ (เขามีเงินเหลือไว้ก่อนตายถึงแสนล้านบาท)นับถือศาสนาพุทธ นะครับ  ฟังสุภาษิตของเขาก็ทึ่งอยู่แต่แรกแล้ว เขาว่า  The truth  a happy life   อะไรประมาณนี้แหละครับ  ผมจะตามศึกษาเรื่องราวเขาไปอีกสักหน่อย จะเอามาเล่าให้ฟัง และบันทึกถึงเขา   ที่ผมชอบคือดูเหมือนเขาเรียนหนังสือไม่สูงนัก  ออกกลางคันเรียนไม่จบ .....

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พีระพร แก่นจักร วันที่ตอบ 2011-10-08 06:38:06


ความคิดเห็นที่ 9 (3314440)

ยังมีอีกครับเกี่ยวกับ Steve Job   แสดงความเห็นต่อ  wesun    เธอเป็นเจ้าหน้าที่ด้านอนามัยครับ น่าคิด

 

Tip Porntip เสียดายที่ Steve Job ไม่รู้จักน้ำมันรำข้าว จมูกข้าวอ่ะ ไม่ว่าจะรวย จะเก่งแค่ไหน จะประสบความสำเร็จ มีความสุขเพียงไร สิ่งที่สำคัญที่สุดก็ยังเป็นสุขภาพที่จะทำให้เรามีสิ่งนั้นไปนานๆ และมีชีวิตอยู่เพื่อสร้างคุณค่า สร้างความสุขให้ผู้อื่นได้ต่อไป

ผู้แสดงความคิดเห็น พีระพร แก่นจักร วันที่ตอบ 2011-10-08 06:44:28


ความคิดเห็นที่ 10 (3314441)
แล้วนี่ล่ะครับ
 

listening to the Prime Minister, Yingluck Shinawatra of Thailand on a special speech about the great flood that harms over 59 provinces of Thailand and in a few days is flowing south to Bangkok and its people

กำลังฟังท่านนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แห่งประเทศไทยออกโทรทัศน์พิเศษ เรื่องน้ำท่วมครอบ59จังหวัดของประเทศไทยและในสองสามวันนี้จะหลากหลั่งลงใต้และเข้าสู่กรุงเทพมหานครและชาวกรุง

ผู้แสดงความคิดเห็น พีระพร แก่นจักร วันที่ตอบ 2011-10-08 06:50:30


ความคิดเห็นที่ 11 (3325996)

มาเรื่องเอกยุทธ อัญชัญบุตร   คนโกง  คน 8 เหลี่ยมคบไม่ได้ โกงแชร์แม่ชม้อย แม่นกแก้ว แชร์ชาร์เตอร์และแชร์อื่น ๆ อีก แล้ว เป็นคดีความ  ตัวเองหอบเงินหลายพันล้านหนีไปเยอรมัน  เปลี่ยนชื่อเป็นนาย จอร์จ ตัน หากินทางการโกง  แล้วครั้นคดีหมดอายุความกลับเข้ามาประเทศไทย ไปคบคิดทางการเมืองกับพรรคบางพรรค   ก็ประชาธิปัตย์นั่นแหละครับ พวกเลวพอ ๆ กัน(ก็พวกฆาตกรฆ่าประชาชนกลางกรุง 91 ศพ) .แล้วเริ่มช่วยเหลือพรรคด้วยบทบาททางการโฆษณาชวนเชื่อ.... ก็งานดิสเครดิต์  นั่นแหละครับ เป็นเบื้องต้นของการโฆษณาชวนเชื่อ ....   นายคนนี้ก็ออกเฟสบุคตัวเอง ....ด่าท่านนายกรัฐมนตรีอย่างหยาบคายมาก   ว่าผู้หญิงชาวเหนือทำอะไรไม่เป็นหรอก เพราะชอบงานสบาย .....   ก็ไม่ควรมาเป็นนายกรัฐมนตรี  ควรไปทำงานสบาย ๆ อย่างเคยดีกว่า  (เขาหมายถึงว่าหญิงชาวเหนือชอบงานเบา ๆ คืองานขายตัวอย่างนั้นแน่ะ  ...  ทำอย่างอื่นไม่ได้  มาเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้)  ทำให้สตรีชาวเหนือโกรธ   นางลัดดาวัลย์ วงศ์ศรีวงศ์ ประธานชมรมสตรีแห่งชาติ ออกมา..........หลายกลุ่มสตรีก็ออกมาแสดงความโกรธแค้น.................   

มาวันนี้ นายเอกยุทธ  ยังทำงานโฆษณาชวนเชื่อต่อไป  (แทนเจ๊กลิ้ม   ที่หายหน้าไป) ทำงานด้านดิสเครติตถ์อีกครั้ง  กะจะเอานรม.หญิงให้อยู่   ด้วยเหตุผลเดิม คือสตรีชาวเหนือชอบงานสบาย นั่นแหละ  .....    ก็ไปกล่าวหาว่า  นรม.ไปโรงแรมโฟซีชั่น อย่างลับ ๆ  หายเข้าไป 2 ชั่วโมง   ไม่ทราบไปพบใคร  ไปทำอะไร  ......แล้วนายเอกยุทธที่ไปด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ก็ถูกการ์ดของ นรม.ต่อยเบ้าตาเข้าให้   เอามาออกเฟสบุคตัวเอง  เห็นรอยแดงเถือกบริเวณคิ้ว  อ้างว่าโดนการ์ด นรม.ต่อยเอา.......  นี่คือคนเลวที่สุดแห่งยุค ในประเทศไทย  ....คงเป็นน้อง ๆ เจ๊กลิ้มได้ในระดับความเลว   ............ทางพวกพ้องคือพรรคประชาธิปัตย์  ก็แสดงความเป็นพวกเดียวกับคนเลวคนนี้ ด้วยการเข้าโอบอุ้ม ป้องกันทันที   โดยออกมาแถลงชี้แจงว่า   นายกรัฐมนตรีต้องชี้แจงว่าไปโรงแรมด้วยเหตุผลอะไร  มีผลประโยชน์ทับซ้อนส่วนตัวหรือเปล่า  น่าสงสัย... ...... นี่คือพรรคเลว    ที่ถูกอุ้มโดยศาลเลวให้ทำความเลวต่อมา    

 

ที่ผมอยากพูดต่อเป็นข้อสรุปก็คือ    แม่หญิงเหนือ  ก็ไม่เห็นทำอะไร   ..........  นั่งรอกรรมให้มาทำให้.......   ก็รอไปสิบชาตินู่นแหละครับ  

     

ผู้แสดงความคิดเห็น ขนิติ ขันคำ วันที่ตอบ 2012-02-13 08:44:30


ความคิดเห็นที่ 12 (3326452)

แล้วพวกเลวด้วยกันก็เข้าโอบอุ้มกันใหญ่  สส.ประชาธิปัตย์ นางรังสิมา รอดรัศมี ตั้งกระทู้ถามในสภา ...พยายามจะให้นายกรัฐมนตรีมาตอบด้วยตนเอง โดยถามหานายกรัฐมนตรี  ระนามว่าไม่มาฟัง ไม่มาตอบกระทู้ ....ทั้ง ๆ ที่รู้ว่านายกรัฐมนตรีติดภาระหน้าที่ตรวจ วางแผนป้องกันน้ำท่วมอยู่   ราวกับว่ากระทู้ของตนสำคัญเหลือเกิน อย่างกับความเป็นความตายของประเทศ  ....ให้คนอื่นตอบแทนก็ไม่ได้  ใช้วาทะแบบหาเรื่อง    จนถูกประธานสภาสั่งหามออกไปจากสภา  ....   นี่ไม่ใช่ครั้งแรก เป็นครั้งที่เท่าไร  ที่สส.นางนี้ถูกหามออกนอกสภา  .....    ยังไม่อับอายอีก.....การที่เอาเรื่องราวเดียวกันกับนายเอกยุทธ อัญชัญบุตร มาทำต่อในสภาที่ทรงเกียรติ์นี้  นั่นแสดงถึงการสอดคล้องกับคนชั่ว พวกคนเลว  ก็เป็นพวกเลวอย่างแท้จริง 

ผู้แสดงความคิดเห็น พีระพร แก่นจักร วันที่ตอบ 2012-02-17 21:04:14


ความคิดเห็นที่ 13 (3342579)

สัจธรรมวันละข้อ
ข้อที่ 5 ธรรม ธรรมชาติ


 
1.    ทำไมท่านจึงบอกเขาว่า ให้ไปมีความหวังเอาในสวรรค์ชั้นฟ้า ในโลกหน้า ภายหลังตายไปแล้ว   ในเมื่อชั่วกัปชั่วกัลป์ที่ผ่านมา หรือชั่วร้อย-พันล้านปีของวิวัฒนาการของมนุษย์ ไม่มีใครได้เห็นสวรรค์เลย   เรารู้เรื่องเหล่านี้จากนิทานหรือเรื่องเล่าจากจินตนาการทั้งสิ้น

๒.    คนที่ตายไป ก็ไม่เคยกลับมาบอกเราว่าเขาไปอยู่ที่ไหน เขาได้ไปสู่สวรรค์หรือไม่   คนที่เราคิดว่าเขาได้ไปสวรรค์แล้ว ก็ไม่เคยปรากฏว่าเขาได้กลับมาบอกเราเลย คนในแผ่นดินไทยตายไปแล้วกี่ร้อย-พันล้านคนเล่า แต่มีสักคนหรือ ที่เขากลับมาบอกเรา มาออกรายการโทรทัศน์ให้ประชาชนเห็น?

๓.    แต่เราก็ชอบบอกคนเป็นส่วนมากว่าให้ทำความดีเพื่อที่จะได้ไปสวรรค์ เพื่อที่ได้ไปโลกหน้าอยู่สุขสบายในโลกหน้า ชีวิตข้างหน้า ซึ่งไปเน้นกันเกินไปอย่างไม่ระวัง

๔.     ทำไมเราจึงไม่บอกสอนคนส่วนมากให้รู้ความจริงที่พิศูจน์ได้ ด้วยตัวเขาเอง   ว่าไม่ต้องโลกหน้า แต่โลกนี้ ไม่ต้องแผ่นดินสวรรค์หรอก แต่เป็นแผ่นดินนี้   ที่นี่ และ เดี๋ยวนี้

๕.     ไม่ใช่ชีวิตหลังความตายของเรา แต่เป็นที่นี่และเดี๋ยวนี้ เวทีนี้ ชีวิตนี้ ที่เราเป็นอยู่ปัจจุบันนี้ ที่เราเผชิญทั้งทุกข์และสุขอยู่ขณะนี้ เพราะนี่คือชีวิตที่เรามองเห็นเหตุผลด้วยตาของเราเองทุกอย่าง ด้วยการพิศูจน์ของเราเองได้ทุกอย่าง

๖.     เราพิศูจน์ได้ว่า การที่เรามีข้าวกินพอ ก็เพราะเราได้ปักดำ ทำนา ที่พอ เราได้เก็บได้เกี่ยว และเราค้าขาย ได้ต้นทุนกลับมา พร้อมทั้งกำไร จากประเทศนั้นประเทศนี้

๗.     ในปีที่เราปักดำได้ ไม่พอ เราก็พิศูจน์ได้ว่า เพราะมีเหตุมาอย่างไรบ้าง   การค้าขายของเราที่ได้ผลกำไรน้อยนั้นเป็นเพราะอะไรเราก็พิศูจน์ได้ และเรารู้วิธีที่จะแก้ไข และทำการเกษตรนาข้าวของเราให้ได้ผลการเก็บเกี่ยวมากขึ้น เรารู้เหตุผลที่จะทำการค้าขาย ให้ได้กำไรมากขึ้น ด้วยตัวเราเอง ตาเรามองเห็น

๘.    ทำไม่ลูก ๆ จึงไม่บำรุงบิดามารดา ผู้แก่ชราเสียอย่างดี ตั้งแต่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ตั้งแต่ท่านยังไม่ตายไป   ทำไมไม่อุทิศตนอย่างมากเพื่อบำรุงท่านในเวลาที่ท่านมีชีวิตอยู่ มีใครสอนท่านหรือว่า เมื่อท่านตายไปแล้วจึงค่อยให้ทำบุญกับนักบวชให้มาก ๆ ท่านก็จะได้บุญนั้นอย่างมากมาย ?

๙.     ทำไมไม่อุทิศ ทรัพย์สินอันมากมาย หรือหากไม่มีทรัพย์สิน ก็อุทิศความกตัญญูทั้งสิ้นแด่ท่าน บำรุงท่านบิดามารดาเมื่อท่านมีชีวิตอยู่ ตั้งแต่เวลาก่อนตายของท่าน ท่านรอเวลาหลังการตายของบิดามารดาเพื่ออะไรที่โง่เขลา เพราะเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ เราบำรุงท่าน เราก็เห็นท่านมีความสุข สบาย เห็นท่านน้ำตาไหล และเราก็มีความสุขใจกับความสุขสบายของบิดามารดา เราสามารถเห็นผลบุญของเราเองชัดเจนเมื่อเราทำคุณความดีต่อบิดามารดาของเราเมื่อท่านมีชีวิตอยู่ ด้วยตาของเราเอง ชัดเจน ไม่พร่ามัว

1๐.    ถ้าท่านคิดว่าคอยตอบแทนบิดามารดา ภายหลังการตายของท่าน   นั่นเป็นความบกพร่องทางความคิด สติปัญญา และทั้งจริยธรรมอันสูงสุด  และนั่นเป็นคำสอนของผู้ที่เห็นแก่ตัว  และท่านเองก็จะไม่สามารถพิศูจน์ได้ เพราะท่านจะมองผลไม่เห็นประจักษ์ชัดเจนด้วยตาของตนเองเลย

11.    แม้ตัวท่านเอง คิดหวังความสำเร็จเอาในชาติหน้า โลกหน้า  นั่นก็เป็นความบกพร่อง เพราะแท้จริง ท่านพึงทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ปรากฏในโลกนี้ ชาตินี้ ท่านต้องต่อสู้ในโลกนี้ ชาตินี้ ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ก่อนการตาย ไม่ใช่หวังจากหลังความตายที่เลื่อนลอย งานหนักและงานสำคัญในชีวิตของท่านก็คือท่านต้องแก้ไขเส้นทางชีวิตให้ตรงและถูกต้อง ท่านจึงต้องต่อสู้ และดูผลของมัน พิศูจน์ผลของมันด้วยตาของตนเอง เมื่อท่านปรับเส้นทางให้ตรง เดินตรง ไปสู่เป้าหมายของความสุขจริงแท้ ท่านก็จักได้ผลอันนั้น ได้อย่างเห็นด้วยตาตนเอง   นี่แหละเป้นสิ่งที่ชัดเจนและพิศูจน์ได้ด้วยตนเอง ว่าความสุขที่เหนือกว่าสวรรค์ มิได้อยู่ที่สวรรค์ แต่อยู่ที่นี่  อยู่บนดิน ในธรณีนี้ อยู่ที่ชีวิตปัจจุบัน ก่อนการตายของเราเอง โดยแท้จริง  
 
  • อรบุศป์ ละอองธรรม
    1๖ พ.ย. 2551
 
ผู้แสดงความคิดเห็น บก. วันที่ตอบ 2012-08-20 08:59:19


ความคิดเห็นที่ 14 (3343691)

 

"พระ" ที่ตรงตามตัวหนังสือ

การถือพุทธศาสนา ที่มุ่งตรงแต่ตามตัวหนังสือ กับ การถือที่มุ่งจะเอาแต่ใจความนั้นย่อมทำให้เกิดผลแตกแยกตรงกันข้าม เป็นสองฝ่าย เกิดบุคคล เป็นสองพวก และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก็คือ เกิดพุทธศาสนา เป็นสองชนิดนั่นเอง และ ผลที่ตามมาก็คือ ความปั่นป่วน.พวกที่ถือ ตรงตามตัวหนังสือ นั้น ครั้นความต้องการของตน เกิดขัดกันขึ้น กับความหมายเดิม ก็ถือเลิศเอาแง่ตามตัวหนังสือนั่นเอง เป็นข้อแก้ตัว ครั้นเห็นว่า วินัยบางอย่าง เป็นอุปสรรคของการงาน ก็ประกาศ เลิกกัน เสียตรงๆ อย่างเปิดเผย เท่าๆ กับ ที่พวกถือตรงตามตัวหนังสือ เลิกกันอ้อมๆ หรือ ลับๆ ความเปลี่ยนแปลงของโลก นับด้วยศตวรรษๆ ย่อมทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เหลือที่มนุษย์เรา จะยังคงยึดถือหลักเกณฑ์บางอย่างที่ตั้งไว้ เมื่อหลายพันปี มาแล้วได้ เช่นในบัดนี้ ไม่มีภิกษุณีแล้ว แต่ภิกษุ ก็ยังต้องสวดปาฏิโมกข์ ส่วนที่ว่าด้วยระเบียบ อันจะพึงปฏิบัติต่อภิกษุณี อยู่นั่นเอง ทั้งที่ ภิกษุพวกนั้น ก็ถืออย่างเด็ดขาดว่า ภิกษุณี จะมีขึ้นในโลก อีกไม่ได้ เป็นอันขาดทั้งนี้ เพียงเพื่อให้ได้ชื่อว่า ภิกษุยังคงถือวินัยครบ ๒๒๗ สิกขาบท (รวมทั้งสิกขาบทที่เกี่ยวกับภิกษุณีด้วย) เท่านั้นกระมัง ดูก็น่าอัศจรรย์อยู่ ฝ่ายพวกที่ถือเอาแต่ใจความ ก็เปลี่ยนแปลงสิกขาบท ที่จะยกขึ้นสวดเป็นปาฏิโมกข์ เอาตามชอบใจ แล้วแต่เหตุผลและกาลเทศะ จนกระทั่ง บทสวดที่เคยเป็นวินัยกลายเป็นบทธรรมไปก็มี ทั้งนี้ เนื่องจากมุ่งเอาความรอดพ้นจากทุกข์ เป็นของสำคัญ ไม่เห็นว่า ระเบียบเล็กๆ น้อย ๆ ประจำหมู่ เป็นของสำคัญ พวกที่ถือตามตัวหนังสือมีโอกาส "อวดเคร่ง" ได้มากเพียงใด พวกที่ถือเอาแต่ใจความ ก็มีโอกาส "อวดหลวม" ได้มากเพียงนั้น แต่ถ้าปราศจาก เจตนาอันบริสุทธิ์ เสียแล้ว ทั้งพวกที่เคร่งจัด และหลวมจัด ก็ยังคงไม่เฉียด ต่อนิพพาน อยู่นั่นเอง โดยที่ต่างก็ถือ "ขวาสุด" และ "ซ้ายสุด" ไปเสียคนละทาง ตามที่เขาสมมุติ กันนั้น พวกขวาสุด ก็คือ พวก เถรวาท หรือ หินยาน พวกซ้ายสุด คือ พวก อาจาริยวาท หรือ มหายาน และตามที่เขาเชื่อกันนั้น พุทธศาสนาในยุคพุทธกาล ไม่เป็นทั้งอย่างเถรวาท และอย่างมหายาน

ข้าพเจ้าไม่ประสงค์ ให้พุทธศาสนาในประเทศไทย ที่รักของเรา เป็นอย่างขวาสุด หรือ ซ้ายสุด แต่ต้องการให้ เป็นไปอย่างที่เรียกว่า "พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ" (สาตฺถํ สพฺยญฺชนํ) เป็นที่น่าเคารพ น่าไว้ใจอย่างยิ่งกว่า พุทธศาสนาในถิ่นไหนๆ ของโลก ถ้าศาสนา ยังต้องอาศัย ความทรงอยู่ ของชาติ และ ความจำเป็น ทางการเมืองเป็นของด่วนกว่าความต้องการของทางศาสนาแล้ว พระที่ตรงตามตัวหนังสือน่าจะช่วยอะไรแก่ชาติไม่ได้ และ พระพวกที่ถือแต่ใจความนั้นเล่า ก็น่าจะได้แต่พลิกศาสนาให้หัวกลับและลงอยู่ภายใต้ชาติ เท่านั้น ซึ่งรวมความว่า ชาติจะไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลย จากทั้งสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งจะนั่งดูตาปริบๆ อีกฝ่ายหนึ่ง จะฉุดพาล้มลุก คลุกคลาน ไปจนเสียหลัก ท่านลองนึกดูทีหรือว่าข้างไหน จะเป็นพุทธศาสนา หรือ ศาสนาที่มีประโยชน์แก่มนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ พวกไทยเรา

สังฆสภาของประเทศไหนก็ตาม จะเป็นไปอย่างขวาสุด หรือ ซ้ายสุด หรือ สายกลางนั้น ย่อมแล้วแต่ จิตใจของสมาชิกส่วนมาก เป็นข้อสำคัญ 
แต่ข้อที่สำคัญ ยิ่งไปกว่านั้นอีก ก็คือ ข้อที่ว่า ทำไมสมาชิกนั้นๆ จะรู้สึกว่า แค่ไหน เป็นการเอียงไปฝ่ายขวา และแค่ไหนเป็นการเอียงไปฝ่ายซ้าย ได้เล่า 
ถ้าหากว่า ท่านนั้นๆ ก็ล้วนแต่คลอดขึ้นมา ภายในหมู่ของบุคคลที่เป็นขวาสุดหรือซ้ายสุด อย่างใดอย่างหนึ่ง มาเสียแล้วแต่กำเนิด.

น่าคิดว่ากระบวนการยุติธรรมไทยกำลังเหมือนพระตามตัวหนังสือเข้าไปทุกทีหรือไม่ ประชาชนจึงเสื่อมศรัทธาและยื่นเรื่องถอดถอนตลก.ศาลรัฐธรรมนูญ แล้วคนไทยจะไดประโยชน์อะไร ในที่สุดความจริงจะค่อยๆเผยตัวออกมา

ผู้แสดงความคิดเห็น กระจกเงา วันที่ตอบ 2012-08-31 01:43:42


ความคิดเห็นที่ 15 (3344755)

น่าคิดมากครับ   เรื่องศาลไทย

ศาลไทยดูเหมือนจะกลัวชื่อ   เจ๊กลิ้ม ขึ้นขมอง   วันนี้ศาลอุธร ก็ยืนตามศาลชั้นต้น ยกฟ้อง  คดีทักษิณฟ้องหหมิ่นสนธิ ลิ้ม กับพวกแกนนำ พธม.  

 

ผู้แสดงความคิดเห็น นายธรรมดา วันที่ตอบ 2012-09-12 12:53:09


ความคิดเห็นที่ 16 (3344756)

เห็นเจ๊กลิ้มไปศาล  อวดขบวนรถสีดำล้วน  ออกมาดนักโฆษณาชวนเชื่ออยู่นั่นเอง

 

เวลาที่หมอนี้กบดานอยู่นิ่ง ๆ นี่   มันไม่อยู่นิ่งหรอกครับ  มันจะเจาะหาความลับของคนสำคัญ ๆ เอาไว้  รอการดิสเคนดิตถ์ตามโอกาสอำนวย    นี่คือความน่าเกลียดของคนเจ๊กตนนี้  

 

เชื่อได้เลยว่า  คนในหลายสถาบัน แหยงกับความลับในกำมือของเจ๊กลิ้ม 

ผู้แสดงความคิดเห็น นายธรรมดา วันที่ตอบ 2012-09-12 13:02:54



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.