ReadyPlanet.com


ศาสนาพุทธไทย ตื่นพระธุดงค์ธรรมกาย บ้าบุญบ้าสวรรค์ บ้าอริยอรหันต์เก๊ ผิด ๆ


คนไทยนับถือศาสนาพุทธ  เป็นเอกลักษณ์ของพุทธไทย  อย่างไร ?

แนวคิดเรื่องศาสนาพุทธ  แบบพุทธไทย 

พุทธเขมร  พุทธลาว  พุทธพม่า 

และพุทธอื่น ๆ..............

พุทธแท้ ๆ  เป็นอย่างไร หรือควรจะเป็นอย่างไร ?



ผู้ตั้งกระทู้ อรบุศป์ ละอองธรรม :: วันที่ลงประกาศ 2011-06-15 00:30:38


[1] 2 ถัดไป >>

ความคิดเห็นที่ 1 (3301032)

พุทธพม่า น่าสนใจจริง ๆ    ............   ดูเหมือนในทางปฏิบัติธรรม  คนไทยนับถือพุทธพม่ามาก ๆ   ยกเป็นครูบาอาจารย์ด้านกรรมฐาน  ด้านปฏิบัติ  ..........  แต่พม่ากลับอ่อนด้อยในระบอบการปกครอง  เพราะเป็นเผด็จการที่ปิดปากประชาชน  ต่อต้านประชาธิปไตย    .......... ฉุดพม่าล้าหลัง............  มันเกี่ยวกับศาสนาหรือเปล่าครับ ?

ผู้แสดงความคิดเห็น นายควายด่อน เมืองแคน วันที่ตอบ 2011-07-14 19:46:29


ความคิดเห็นที่ 2 (3306025)

เกี่ยวแน่ ๆ  ในด้านที่ไปยึดมั่นว่า  นี่คือ ดี   นี่คือ  ชั่ว     พม่าฝังใจในสิ่งที่ชื่อว่า ดี  เกินไป

ผู้แสดงความคิดเห็น อรบุศป์ ละอองธรรม วันที่ตอบ 2011-09-04 22:16:50


ความคิดเห็นที่ 3 (3322033)

ประเด็นคืออะไรครับ เมื่อเราตั้งหัวข้อนี้ขึ้นมา  ?

ผู้แสดงความคิดเห็น นายธรรมดา วันที่ตอบ 2012-01-05 10:20:25


ความคิดเห็นที่ 4 (3322125)

บวชพระแสนรูป แล้วเหลือเพียงไม่กี่ร้อยรูป มี3ร้อยรูปมาจบลงที่พิธีการแบกกลดเดินเหยียบไปบนถนนที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ   ทราบว่ากุหลาบที่เอามาแกะกลีบโรยให้พระธุดงค์เหยียบเดินไปนั้น เอาจากทั่วประเทศไทยยังไม่พอเลย ต้องเอามาจากต่างประเทศด้วย    อะไรจะขนาดนั้น    นี่คือการสร้างภาพหรือการแสดงความจริง....

 

แน่นอน  นี่คือการสร้างภาพ    การโฆษณาชวนเชื่อแน่นอน   

 

มีหลายพิธีกรรมในระบบศาสนาปัจจุบัน  ที่แท้จริงทำอะไรใหญ่ ๆ โต ๆ ไป มิใช่เพื่อคุณธรรมคุณความดีอย่างแท้จริง   แต่แฝงไว้ด้วยผลประโยชน์   มีเงินเป็นเป้าหมายสุดท้ายทั้งสิ้น

 

ไม่มีนิพพานหรอก     ...ไม่มีพระอรหันต์ แต่คนก็ยังหลงใหลว่ามี  

คนจำนวนมากคงคิดว่า  ที่เดินเหยียบกลีบกุหลาบไปนั้นเป็นพระอรหันต์ หรืออริยบุคคล.....?  

ท่านคิดว่าอย่างไร ? 

 

ผมเห็นที่ไปออกรายการ   บ้านเลขที่ 111 เมื่อเย็นนี้แล้ว   ไม่คอยสนิทใจ   ผมว่าคนเห็นแก่เงินกันเกินไป  เงินก็เอาไปต่อยศถาบรรดาศักดิ์ สรรเสริญเยิรยอ ต่อไปอีก....

ศาสนาทุกวันนี้   ไม่ใช่ของแท้  ...

 

ของแท้ต้องเป็น ประชาธิปไตย  จริงหรือเปล่าครับ 

เป็นศาสนาเจ้าขุนมูลนายอยู่  ก็ไม่ใช่ ...

ผู้แสดงความคิดเห็น นายธรรมดา วันที่ตอบ 2012-01-05 22:32:26


ความคิดเห็นที่ 5 (3322299)

คนที่พูดถึงเรื่องเหล่านี้   คำว่าดี คำว่าประเสริฐ และคำว่าเนื้อนาบุญ  นาบุญอันล้ำเลิศสูงค่า  คำว่า พระแท้..... ไม่เคยมีรูปธรรมที่แท้จริงในยุคนี้.......รูปธรรมที่แท้จริง หายไป........

 

ก็เป็นเพียงความเพ้อเจ้อของถ้อยคำวาจา  ...  เท่านั้น    มันเป็นเพียงเงา  

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น นายหัวหมอ วันที่ตอบ 2012-01-07 20:37:15


ความคิดเห็นที่ 6 (3322481)

ที่จริงก็คือ   การโชว์แบบหนึ่ง  เหมือนเล่นละคร 

ที่เห็นคือ  ละคร

ไม่ใช่ของแท้จริง

ผู้แสดงความคิดเห็น นายหัวหมอ วันที่ตอบ 2012-01-09 19:47:10


ความคิดเห็นที่ 7 (3323069)

ถูกละครับ  นี่เป็นการเผยแผ่พระพุทธศาสนาทางหนึ่ง  ทำสิ่งที่คนไม่เคยเห็นได้เห็น   นับแต่การบวชพระ 1 แสนรูป ก็เป็นเรื่องที่หาดูยาก    แล้วการเดินทางด้วยเท้า  ระยะทางไกลของพระภิกษุสงฆ์จำนวนมาก ที่ว่ากันไปต่าง ๆ บ้างว่าพันกว่ารูป  บ้างว่า 3ร้อยกว่ารูป   โดยเดินเป็นแถวแนวระเบียบนั้นก็หาดูได้ยาก................

 

แต่สิ่งที่น่าคิดก็คือ   การมองเรื่องอย่างนี้  จะต้องมองให้ถูกต้องอย่างไร    .....

 

หากเรามองผิด ๆ   มองไม่ตรงกับความจริงที่ควรมอง  ผลก็คือ    เราไม่อาจจะก้าวหน้าไปตรงสู่จุดหมายที่แท้จริงของพระพุทธศาสนาได้    ...   เราก็จะได้แต่เพียงเปลือก ๆ  ไม่ได้แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา 

 

เห็นจากคนที่สรรเสริญ   ...........เป็นการสรรเสริญด้วยการเข้าใจผิด  และไม่รอบคอบพอ 

เช่นสรรเสริญในเรื่องจำนวน   ว่าดีที่มีพระมาร่วมจำนวนมากมายมหิมา   นั่นหมายถึงความเจริญของพระพุทธศาสนา..........      น่าจะไม่ใช่  .........   ปริมาณ ไม่ได้หมายถึงคุณภาพ......  และถ้าเราหลงเอาปริมาณเป็นมาตรฐาน............ก็จะเดือดร้อนประชาชนเอง  ................เช่นงานศพแต่ละศพ   ก็จะมีการแข่งนิมนต์พระมามาก ๆ  แข่งกันเอาบุญ ..คิดเอาแบบนี้  ว่าทำบุญกับพระมาก ๆ ยิ่งได้บุญมาก   ...วัดเดียวไม่พอ  เอามาหมดทั้งอำเภอ ตำบล..... ..........ได้หน้าได้ตา แต่ไม่เหลือเงินไปลงทุนในการงานอาชีพเลย  เพราะคิดหลงเพลินไปเรื่องบุญ ๆ  ก็   ทุ่มเงินลงใส่จำนวนพระมาก ๆ   ......แข่งกัน  กลายเป็นค่านิยมผิด ๆ ไป   ทำให้เกิดคติ   คนตายขายคนเป็นขึ้นเพราะเหตุนี้    ...   หรืองานอื่นใดก็ตาม ...... เช่นทำบุญเลี้ยงพระวันครบรอบ 50 วัน  100 วัน ฯลฯ  มันได้นำความคิดของประชาชนไปในทางที่ทำลายวิถีทาง ความสามารถ พลังในการลงทุนทำการงานอาชีพลงไป   เพราะคิดแต่จะหาเงินมาเลี้ยงพระจำนวนร้อย   จำนวนพัน    จำนวนหมื่น.......ว่าได้บุญ.........ซึ่งเป็นเรื่องเพ้อเจ้อเพ้อฝัน  ..   เรื่องที่เป็นรูปธรรมจริง ๆ จึงไม่ได้คิด ไม่ได้ทำ   คือการลงทุนของประชาชนไทยนี้   แทบไม่มีความคิดในด้านนี้    .     

 

บวชพระ 1 แสนรูป  เราก็ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า  การลงทุนในเรื่องนี้เป็นการลงทุนของแผ่นดิน ๆ จะต้องคิดให้ถูกว่า   คุ้มค่าอย่างไร     สังคมได้อะไรจากการบวช   ตามหลักการในพระพุทธศาสนาหรือไม่ ?   ...........   

 

ประการที่ 2  ความเข้าใจผิดในประเด็นต่อไป     พระที่เดิน ๆ มานี้   ไม่ได้แสดงอะไรว่าเป้น   การธุดงค์    ก็ชื่นชมว่าเป็นพระธุดงค์  เป็นพระฝึกหัดเดิน  เหมือนลูกเสือฝึกเดินทางไกลเท่านั้นเอง   ทั้งหมดล้วน เป็นพระบวชใหม่ ได้อายุพรรษาแค่   2-3 เดือนเอง   แล้วก็มีบางรูปเข้าใจผิดไปไกล     ว่าตัวกำลังจะบรรลุนิพพานแล้ว......พระพุทธศาสนาจะเจริญเทียบเทียมยุคพระพุทธองค์แล้ว........  แค่ได้เดินทางแค่นี้น่ะ   จะบรรลบุนิพพาน............   แค่ความเข้าใจว่า  อะไรคือ  ธุดงค์  ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวเลย    ...............   นี่แหละครับ ที่ผมว่าประเด็นทำความเข้าใจให้ถูกต้องเป็นเรื่องสำคัญ..........ไม่งั้นจะพัฒนาไปตรงทางพระพุทธศาสนาที่แท้ได้อย่างไร     ก็จะกลายเป็นแค่การโฆษณาชวนเชื่อ   หลอกเอาเงินทองประชาชนเท่านั้นเอง        

 

ประการที่ 3  จะบรรลุอรหันต์ได้อย่างไร ให้ทัดเทียมยุคพุทธองค์   .........  ไม่ใช่ปริมาณนะครับ   แต่คุณภาพ   .......   การบรรลุธรรมเป็นเรื่องของคุณภาพ    ........     ยุคใหม่นี้  การประพฤติธรรมต้องเข้มเป็นระบบงานที่มีขั้นตอน  แผน  และวิธีการแบบวิทยาศาสตร์  ผมหมายถึง มีการทดลอง การทดสอบผลการปฏิบัติทุกระยะ ขั้นตอน   เหมือนนักวิทยาศาสตร์ทำงานวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์นั่นแหละครับ.....  วิธีการต้องปรับเปลี่ยนไปจากยุคพุทธองค์แต่ในหลักการเดียวกันครับ   นั่นคือ   คุณภาพต้อง 100 %  จึงจะบรรลุธรรมได้............

 

ผมอยากให้สะท้อนการปฏิบัติธรรมอย่างอุกฤษ  แม้เพียงคนเดียว  รูปเดียว............ดีกว่าพระบวชใหม่แสนรูป แค่เดินแบกกลดไปก็นึกว่าตนเป็นพระธุดงค์จะบรรลุเสียแล้ว   .....  แค่คำว่า  ธุดงค์ก็ยังไม่เข้าใจเสียแล้ว........ 

 

 

   

ผู้แสดงความคิดเห็น บัวระย้า ชะบาบุญเศรษฐ์ วันที่ตอบ 2012-01-14 18:41:58


ความคิดเห็นที่ 8 (3323357)

ผมว่าคนพุทธไทย มีความนับถือ  มีความบูชา  ในสิ่งที่เป็นเพียงการโฆษณาชวนเชื่อ    ...........   พระธุดงค์จริง ๆ  แท้ ๆ  ก็มี   แต่ ไม่นับถือ  ไม่คิดทำบุญ..........  ไปนิยมของเก๊ ๆ   ทำบุญเอาหน้าเอาตา   เห่อตามความนิยมไป.....ในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง   

 

แบบนี้   สิ่งไร้สาระก็พอกพูน   ในขณะที่สิ่งมีสาระลดถอยลงไป.......ต่อเมื่อสิ่งไร้สาระเต็มสังคม ๆ ถูกดูด ถูกเก็บภาษี ถูกรีดเงิน ทรัพย์สินด้วยอุบายต่าง ๆ  อย่างกับรีดเลือดเอากับปู         จึงจะได้สำนึก........ 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น นายธรรมดา วันที่ตอบ 2012-01-17 11:01:50


ความคิดเห็นที่ 9 (3323358)

อุปมาก็เหมือนการโฆษณาสินค้าครับ         คุณต้องไม่โฆษณาเกินความจริง   ไม่เกินคุณภาพของสินค้านั้น   

 

แต่นี่เป็นการโฆษณาเกินความจริงไปไกลมาก    เช่นโฆษณาเรื่องก้อนดิน-ก้อนหินธรรมดา ๆ  ว่าเป็นเพชร  ประมาณนั้น 

มันไม่เป็นธรรมแก่ประชาชน   และไม่เป็นประชาธิปไตย    

ผู้แสดงความคิดเห็น นายหัวหมอ วันที่ตอบ 2012-01-17 11:07:43


ความคิดเห็นที่ 10 (3323490)

ถูกต้องเลยครับ นายหัวหมอ         คุณต้องโฆษณาตัวคุณเอง  สินค้าคุณเอง  กิจกรรมของคุณเอง   ให้ถูกตามคุณภาพของคุณ  ของสินค้าที่จะขาย    

ในทางโลก   เขาจะมีการควบคุมการโฆษณาสินค้า   ไม่ให้โฆษณาเกินความจริง  ซึ่งจะถูกมองว่าเป็นการหลอกลวง  หลอกขายของที่มีคุณภาพต่ำว่าเป็นคุณภาพสูง    ซึ่งนี่ก็คือการหลอกลวงในเรื่องคุณภาพ โดยหวังหลอกลวงหาความนิยมหาเงิน.......

 

โครงการ  ธุดงค์ธรรมชัย   ของวัดพระธรรมกาย  ที่เอาคลิปมาโชว์ เห็นได้ทั่วไปขณะนี้  ดูดั่งมีประสงค์จะปั่นความนิยมขึ้น   ในยุคที่ชัยชนะเป็นของฝ่ายประชาธิปไตยคนเสื้อแดง   ....    เช่นนี้   เอาดีเข้าตัวเอาชั่วเข้าคนอื่น   เพราะไปโน้มน้าวการโฆษณาไปแบบเห็นแก่ตัวว่า  ที่ฝ่ายประชาธิปไตยชนะนั้น  เป็นเพราะทำบุญกับโครงการพระธรรมกาย  และถ้าประสงค์ชัยชนะต่อไปอีก ก็ต้องเร่งทำบุญกับโครงการวัดพระธรรมกายให้มากยิ่ง ๆ ขึ้น        นี่ไม่ใช่การโฆษณาเกินความจริง  แต่เป็นการโฆษณาความเท็จ  และเห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง     

 

สำหรับคลิปวีดิโอที่เอามาเผยแพร่   เริ่มต้นโดยนาย เบญจชัย ธรรมดำรงค์กุล ฝ่ายเผยแพร่  โฆษณา  ก็เริ่มผิดเสียแล้ว  มิจฉาทิฏฐิตัวยง   ทำนองว่า   โครงการบวชพระแสนรูป  แล้วเหลือพระจำนวนหนึ่งมาเดินฝ่ากลีบกุหลาบของญาติโยมหามาตลอดเส้นทาง  เพื่อเอาบุญกันอย่างมโหฬารนั้น    เป็นการธุดงค์อันศักดิ์สิทธิ์   เป็นปรากฎการณ์ที่ประเสริฐ ยิ่งใหญ่ ไม่เคยมียุคใดสมัยใดปรากฎมาก่อน    ในยุคก่อนพระพุทธศาสนา ก่อนยุคพระพุทธองค์  หรือยุคพระพุทธองค์เอง   และในยุคหลังต่อมา ๆ  ก็ไม่เคยมีปรากฎการณ์ยิ่งใหญ่เท่านี้  ............

คนฟังก็คงได้ยิน.............  แต่คนฟังไม่นึกว่า   นี่เป็นการพูดที่ยิ่งกว่าการโกหก 

 

ก็เพราะคนพุทธทั่วไป เป็นคนพุทธแต่ในทะเบียนสำมะโนครัว   นั่นเอง  อย่างที่พระเถระ ท่านปัญญานันทะภิกขุ  สอนไว้  หรืออย่างที่ นายหลุย โยคะโบก นักวิชาการทางศาสนาจากฝรั่งเศส มาทำการวิจัยชาวพุทธไทย ยุคเสนีย์ ปราโมช สรุปว่าคนพุทธไทยเป็นพุทธแบบ  subbordinate คือ อือ ๆ ออ ตามคนที่เดินนำหน้าไปโดยไม่รู้เรื่อง  คือพุทธที่คุ้นชินกับอำนาจเผด็จการ จำนน จำยอมต่อนายเหนือหัวไปอย่างไม่กระดิกกระเดี้ย นั่นเอง อันห่างไกลไปจากความเป็นเสรีชน เป็นอุปสรรคต่อการเจริญแบบประชาธิปไตย นั่นเอง(ดูเรื่องเดิมได้จากสำนักสวนโมกขพลาราม)

 

คนฟังไม่สะดุดว่า    จะยิ่งกว่าสมัยพุทธองค์ไปได้อย่างไร   ..............  เว้นเสียแต่ว่า   ยิ่งไปกว่าในด้าน   มิจฉาทิฏฐิ   หลงผิด   ไปอีกทางหนึ่ง แบบเทวทัตเท่านั้นเอง.........ยิ่งกว่าที่ไม่มีสมัยใดโปรยดอกกุหลาบให้พระเหยียบเดินไป .... 

 

นี่คือประเด็นที่จะต้องระวัง   เพราะเจตนาที่จะให้เป็นการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้รุ่งโรจน์  อย่างพระเด็ก ๆ รูปหนึ่งบวชใหม่ มาเดินกับเขา พบกับการเอาอกเอาใจของญาติโยม  การประคบประหงม ยกยอปอปั้นหรือในสิ่งที่เรียกกันว่า  ให้กำลังใจ   มีคนคอยให้กำลังใจในการเดินธุดงค์ตั้งแต่ออกจากวัด ไปจนกลับคืนมาสู่วัด (แล้วได้ ปฏิบัติจิตวิเวกกันตอนไหน?) ตั้งความหวังไว้ว่า   เริ่มใกล้เข้ามาแล้ว ซึ่งยุคการฟื้นฟูพระพุทธศาสนา ต่อไปนี้จะมีแต่ความรุ่งโรจน์สว่างไสว ของการพระพุทธศาสนาไทยและโลกอย่างแน่นอน   นั้น  ......  เป็นการหลงประเด็นเพราะความโง่เขลาโดยแท้   

 

การโฆษณาชวนเชื่อ  ไม่ได้ช่วยอะไรหรอกครับ   คนยุคใหม่นี้ เขาเป็นเสรีชน  เขาจะค่อยเข้าใจได้ไปตามลำดับละครับ  ว่านี่เป็นเพียงการโฆษณาชวนเชื่อแอบแฝงผลประโยชน์    ซึ่งนี่ไม่ใช่ทางเจริญ   เป็นทางเสื่อมอย่างแน่นอน   น่าเป็นห่วง    

 

ทำไมคุณไม่โฆษณาให้ตรงกับความจริง   แม้ว่าคุณมีจุดประสงค์เพื่อทำการพุทธพาณิชย์ก็ตาม   พุทธพาณิชย์ หรือพาณิชย์ใดใด ก็ต้องโฆษณาตามคุณภาพจริง   ทำไมต้องโฆษณาสินค้าเกินคุณภาพที่เป็นจริง ถ้าคุณสุจริต และนับถือธรรมะจริง ๆ ?  

 

วันนี้คนยังมองไม่ออก  แต่วันหน้าคนก็ต้องมองออก   เช่นที่นาย เบญจชัย ธรรมดำรงค์กุล  พูดว่า     แม้ยุคก่อนพระพุทธศาสนา   มายุคพุทธองค์ก็ไม่เคยเห็น   อย่างนี้    แล้วไปสรุปเอาว่านี่เป็นสัญญาณของการรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา     

 

มันไม่ใช่หรอกคุณเอย  ยิ่งแสดงว่าคุณมองเกิน  มองข้ามยุคพุทธองค์ไป   มองเกินพระพุทธเจ้าไปอีก ...(คุณเบญจชัย ธรรมดำรงค์กุลรู้ตัวหรือเปล่าว่าคุณพูดไม่ถูก ....ผมว่าผิด ผิดอย่างไร ?  ที่ไปพูดว่าแม้ยุคก่อนพระพุทธเจ้า  ยุคพระพุทธเจ้าก็ไม่เคยมีอะไรประเสริฐ ๆ เท่าที่เห็นจากโครงการธุดงค์ธรรมชัยนี้ ......)......... แล้ว จะให้คิดอย่างไร   จะมีศาสดาใหม่เกิดขึ้นมาอย่างนั้นหรือ   .........    มันจะพังนะผมว่า   ลองคนอกตัญญู  ไม่รู้คุณ  ไม่รู้ธรรมพระพุทธเจ้าเช่นนี้แล้ว   อวดตัวใหญ่กว่าพระพุทธเจ้า โดยโง่เขลาเบาปัญญาแล้ว  จะเจริญไปได้อย่างไร ...........   เพราะพระพุทธเจ้าทรงเป็นตัวแบบ.....คุณบอกว่าคุณทำได้เกินตัวแบบ.......ก็จริงที่มันเกินไปในทางมิจฉาทิฏฐิน่ะซี   ....    .นั่นมันพูดผิด....ทางกฎหมายว่า  ผิดในสาระสำคัญ เสียด้วย  ..)  ..แล้วที่ว่าจะเจริญ ๆ อย่างไรได้......นอกจากตั้งศาสนาใหม่  ศาสนาปฏิรูปที่อยู่ได้ด้วยพุทธพาณิชย์  .............(แต่นั่นแหละ   การโฆษณาเกินความจริง หรือโฆษณาความเท็จ  แม้พุทธพาณิชย์ก็อยู่ไม่ได้   เนื่องเพราะยุคประชาเสรีชน  ยุคประชาธิปไตย  ใครจะหลอกลวงประชาชนได้   )

 

คิดจะลองอย่างนั้นละมัง..........  ขอบอก  อย่า   เสียเวลา..............................ไม่สำเร็จหรอก    จะพังน่ะ

 

มาทำอย่างผมว่าดีกว่า    ละเลิกแผนการโฆษณาชวนเชื่อเสีย  ทำพุทธพาณิชย์ของคุณนั่นแหละต่อไป   แต่อย่าโฆณาเกินความจริง   เอาคุณภาพจริง ๆ มาแผ่ให้เห็นกันจะจะ และฟังนักปราชญ์สายอื่นเขาบ้าง   เพราะแค่พุทธพาณิชย์นี้ ก็นำพุทธศาสนาออกไปนอกทางมากแล้ว   ไปโฆษณาเกินความจริง เป็นการโฆษณาชวนเชื่อ   นั่นคือ การโกหกหลอกลวงประชาชน   เมื่อประชาชนรู้เข้า เรียนรู้สัจธรรมที่แท้แล้ว   ธุรกิจนี้ย่อมพังลง 

 

ขายสินค้าตามคุณภาพจริง   โฆษณาสินค้าตามคุณภาพจริง   .....   ถ้าอยู่ไม่ได้ ก็ล้มเสีย  ดีกว่าจะดันไปแบบโกหกพกลมไปเพื่อกอบโกย.......ขยายออกไปอย่างผิด ๆ 

ยิ่งขยายไปถึงกับว่า   อยากพบพระอรหันต์ ทำบุญกับพระอรหันต์  ก็ต้องมาที่นี่  ละก็     พังนะครับ   พังง่าย ๆ  ผมจะบอกให้   

 

เพราะวิถีทางนั้น....มันผิดยุคนะครับ    ผิดยุคประชาปไตย

คุณเข้าใจประชาธิปไตยไหม   ประชาธิปไตยเป็นของสังคมทั้งหมด   คุณก็ต้องเป็นประชาธิปไตยด้วย  

 

ทางเดียวเท่านั้น  ศาสนาต้องเป็นประชาธิปไตย  นั่นเป็นทางเจริญของศาสนา  

   

 

ผู้แสดงความคิดเห็น บัวระย้า ชะบาบุญเศรษฐ์ วันที่ตอบ 2012-01-18 16:17:59


ความคิดเห็นที่ 11 (3323491)

ชอบทุกคอมเมนต์ครับ   แต่ผมอยากจะถามนายธรรมดาต่อ  ความเห็นที่ 8 ที่ว่า 

 

ผมว่าคนพุทธไทย มีความนับถือ  มีความบูชา  ในสิ่งที่เป็นเพียงการโฆษณาชวนเชื่อ    ...........   พระธุดงค์จริง ๆ  แท้ ๆ  ก็มี   แต่ ไม่นับถือ  ไม่คิดทำบุญ..........  ไปนิยมของเก๊ ๆ   ทำบุญเอาหน้าเอาตา   เห่อตามความนิยมไป.....ในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง   

 

แบบนี้   สิ่งไร้สาระก็พอกพูน   ในขณะที่สิ่งมีสาระลดถอยลงไป.......ต่อเมื่อสิ่งไร้สาระเต็มสังคม ๆ ถูกดูด ถูกเก็บภาษี ถูกรีดไถ ปอกลอกเงิน ทรัพย์สินด้วยอุบายต่าง ๆ  อย่างกับรีดเลือดเอากับปู         จึงจะได้สำนึก........ 

 

แบบ   ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา   ประมาณนั้นไหมครับ    ?

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น นายตาถั่ว วันที่ตอบ 2012-01-18 16:31:19


ความคิดเห็นที่ 12 (3323620)

นั่นแหละ   ถูกต้องครับ.....   ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา    

ผู้แสดงความคิดเห็น นายธรรมดา วันที่ตอบ 2012-01-19 17:39:28


ความคิดเห็นที่ 13 (3329750)

แบบว่า  โฆษณาชวนเชื่อ   เกินไป     ดอกกุหลาบ 1 ดอกราคาแพงเท่าไรไม่คิด  แต่เขาอุตส่าห์ทุ่มเงินทองจำนวนมหาศาล .....ซึ่งได้มาจากไหน  ก็จากประชาชนนี่แหละ ....ซื้อเสียดอกกุหลาบหมดประเทศไทย  ต้องไปซื้อมาจากต่างประเทศ    เพื่ออะไร  เพื่อสร้างภาพ.................. นี่แหละการโฆษณาชวนเชื่อ.....

 

เบื่อจังครับ  ไร้เหตุผลจริง ๆ   ยิ่งมองในเชิงหลัดธรรมแล้ว  ยิ่งไร้สาระ

 

ภาพที่เห็นก็คือ  ระดมคนมาแกะกลีบกุหลาบใส่ภาชนะแจกจ่ายไปวางโรยระหว่างเส้นทางยาวเป็น10 กิโลเมตร .......   แล้วก็มีพระบวชใหม่  เป็นตัวละคร   แสดงการเดินแบกกลดแบบพระธุดงค์   เดินย่ำไปบนเส้นทางที่ปูด้วยกลีบกุหลาบราคาแพงจนเห็นเป็นทางปูพรมดอกกุหลาบนุ่มเท้าไปหมด.................

 

คนคงนึกว่าพระที่เดินไปบนกลีบกุหลาบนั้น    ล้วนเป็นพระอริยบุคคล  นำทางด้วยพระอรหันต์   อะไรประมาณนั้น   ........ก็ตื่นเต้นกันใหญ่

 

แต่แล้วก็มีหมู่สามเณรนับร้อยอีกเหมือนกัน  เดินย่ำดอกกุหลาบตามมา...............คนก็คงนึกสงสัยขึ้นมาว่า    เอ.....เมื่อตะกี้ล้วนพระภิกษุอาวุโส   เป็นเหล่าพระอรหันต์ อริยบุคคลก็ยังน่าเชื่อหน่อย ถึงว่าเราโง่เง่าเต่าตุ่นไม่รู้อะไรเลย ........  แต่นี่ล้วนหมู่สามเณร .....เอ  สำนักไหนหนอมีสามเณรบรรลุระดับอรหันต์........  ไม่เคยได้ข่าว  แม้ในยุคพุทธองค์ก็ไม่ค่อยได้ยินว่ามีหมู่สามเณรบรรลุธรรม...............  คนยุคใหม่เขาก็คิดกันอย่างนี้แหละครับ   

 

เขาไม่เชื่อหรอกว่า   พระเหล่านั้น   สามเณรเหล่านั้น  เป็น อรหันต์ หรือแม้แค่โสดาบัน  อริยบุคคล   .......  เขาก็ไม่เชื่อ...... เขารู้อยู่ว่าเป็นเพียงการแสดง เล่นละคร  สร้างภาพเท่านั้นเอง    ผมจะบอกให้ตรง ๆ

 

แล้วสร้างภาพเหล่านี้ขึ้นมาทำไม ...........

เพียงเพื่อให้ได้อวดอ้าง โฆษณาเพื่อประโยชน์ของพุทธพาณิชย์.................     เช่นที่นาย เบญจชัย ธรรมดำรงค์กุล  พูดอย่างกล้าหาญว่า     แม้ยุคก่อนพระพุทธศาสนา   มายุคพุทธองค์ก็ไม่เคยเห็น   อย่างนี้ .......ธุดงค์ธรรมชัยนี้ยิ่งใหญ่และศักดิสิทธิ์ล้ำยุคสมัยปรากฎในยุคนี้แล้ว   แล้วไปสรุปเอาว่านี่เป็นสัญญาณของการรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา     

(ในคลิปวีดิโอที่เอามาเผยแพร่   เริ่มต้นโดยนาย เบญจชัย ธรรมดำรงค์กุล ฝ่ายเผยแพร่  ประกาศอย่างตื่นเต้นว่า   โครงการบวชพระแสนรูป  แล้วเหลือยอดพระจำนวนหนึ่งมาเดินฝ่ากลีบกุหลาบของญาติโยมหามาตลอดเส้นทาง  เพื่อเอาบุญกันอย่างมโหฬารนั้น    เป็นการธุดงค์อันศักดิ์สิทธิ์   เป็นปรากฎการณ์ที่ประเสริฐ ยิ่งใหญ่ ไม่เคยมียุคใดสมัยใดปรากฎมาก่อน    แม้ในยุคก่อนพระพุทธศาสนา ก่อนยุคพระพุทธองค์  หรือแม้ในยุคพระพุทธองค์เอง   และในยุคหลังต่อมา ๆ  ก็ไม่เคยมีปรากฎการณ์ยิ่งใหญ่เท่านี้.......)

 

นี่หรือคือความประสงค์............. เพื่อการสร้างภาพ  และการโฆษณาชวนเชื่อ    ....เพื่อเพียงให้ได้เอาไปโฆษณาต่อได้   อย่างยิ่งใหญ่ในเชิงการพาณิชย์  

 

ผมว่าการลงทุนเพื่การสร้างภาพในโครงการนี้   มหาศาลเลยทีเดียว  ........  น่าจะมีการเรียกร้องให้เปิดเผยค่าใช้จ่าย รวมทั้งค่าบริหารจัดการทั้งหมดของโครงการนี้ออกมาสู่สาธารณชน................เพราะงเนที่ได้ไปนี้ล้วนเป็นเงินบริจาคของประชาชนทั้งสิ้น .........ไปลงทุนทั้ง ๆ ที่สาระไม่มีอะไรเลย เป็นการโฆษณาชวนเชื่อเท่านั้น ................ซึ่งสำนักธรรมกายนี้ทำมาอย่างเป็นปกติ.นั่นก็เพราะพุทธพาณิชย์  ก็คือการพานิชย์ชนิดหนึ่งเท่านั้น  ในที่นี้เป็นการค้าการขายศาสนาพุทธ   ... ขายวัตถุ  วัตถุมงคล ขายแร่ธาตุ  ขายวัฒนธรรมพุทธ   ขายฝัน หรือจินตนาการแห่งความเชื่อแบบพุทธ (เช่นขายทัวร์เที่ยวนรกสวรรค์...เที่ยวชมจุฬามณีเจดีย์สวรรค์เป็นต้น) ........ร่วมมือกันหลายฝ่าย เป็นเชิงหุ้นส่วน  มีทั้งฝ่ายพ่อค้าวาณิชย์จริง ๆ  กับพระสงฆ์.......

 

เมื่อเป็นธุรกิจการค้าการขาย มันก็จำเป็นเหลือเกินที่ต้องมีการโฆษณาสินค้า.........

 

แต่ผมบอกแล้ว  ผมไม่ว่าอะไร  เมื่อคุณจะทำพุทธพาณิชย์คุณก็ทำไป  โฆษณาไป   แต่อย่าโฆษณาเกินความเป็นจริง    หรือสร้างภาพเกินความจริง  หรือ การโฆษณาชวนเชื่อ   เพราะ   ถ้าคุณโฆษณาแบบนี้แล้ว  มันก็ผิดศีลธรรมแห่งพระพุทธศาสนาไปหมด  เป็นวจีทุจริตอันยิ่งใหญ่  และน่าขาดไปจากความเป็นสมณสารูป   ...........อันขัดแย้งอุดมการณ์แห่งพุทธศาสนา  หรือศาสนาสากลก็ขัดเหมือนกัน    เพราะขึ้นชื่อว่าศาสนาแล้ว  อยู่ที่วาทะทั้งนั้นแหละ  แต่วาทะนั้นต้องเป็นความจริง

 

ตามพุทธสุภาษิตว่า      สจฺจํ เว อมตา วาจา    คำจริงเป็นสิ่งที่ไม่ตาย   นั่นแหละครับ    แค่คุณโฆษณา สร้างภาพตามเนื้อหาสาระของสินค้าของคุณ ไม่เกินความจริง...............ก็ถือว่ามีมนทิลแล้ว.....แต่นั่นแหละคุณจะอยู่ได้อย่างไร  โดยนโยบายพุทธพาณิชย์ของคุณ   ........   คุณต้องโฆษณา    เป็นสิ่งที่จำเป็นเหลือเกิน ขาดไม่ได้  แน่ละ................แต่ระวัง  แม้สินค้าของโลกมนุษยธรรมดา ฆราวาสเขา พวกพ่อค้าวาณิชย์เขายังต้องถูกจำกัดว่า  การโฆษณาต้องไม่เกินความจริง   ............  การโฆษณาเกินความเป็นจริงต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย   ใคร ๆ ก็ยอมรับ      ระวังการโฆษณาพุทธพาณิชย์ของคุณ  ......  อย่าให้เกินความจริง.......   คนยุคประชาธิปไตยเขารู้........ระวังพุทธพาณิชย์ และหุ้นส่วนพุทธพาณิชของคุณ  จะพัง เพราะคนได้รู้ความจริง ......

   

 

ผู้แสดงความคิดเห็น บัวระย้า ชะบาบุญเศรษฐ์ วันที่ตอบ 2012-03-25 09:38:02


ความคิดเห็นที่ 14 (3332926)

พระกลุ่มนี้เข้าใจว่าการเดินแบกกรดไปตามถนนมีเสียงประชาชนบ้าบุญมาส่งเสียงสรรเสริญเยินยอเป็นการธุดงกระมัง นี่แหละเป็นผลจากการขาดการศึกษาเล่าเรียนศัพท์ทางธรรมให้เข้าใจ เมื่อเข้าใจผิดก็ปฏิบัติผิด ที่แน่ๆไปเดินในที่ที่การจราจรติดขัดมากอยู่แล้ว ประชาชนเขาจะต้องเดินทางไปทำมาหากิน ก็ต้องมาเจอรถติดหลายกิโล ทำงานสายก็โดนหักค่าแรงอีก ประชาชนกลุ่มนี้เขาก็ส่งเสียงเหมือนกันแต่เป็นเสียงบ่นรำคาญ แล้วจะเป็นนิพพานได้อย่างไรกันเล่านี่

ผู้แสดงความคิดเห็น กระจกเงา วันที่ตอบ 2012-05-05 14:44:04


ความคิดเห็นที่ 15 (3332927)

ประเทศไทยมี 2 สำนักสุดโต่งทั้งคู่ สำนักแรกสันติอโศกนั่นก็ให้บริจาคอย่างเดียว ที่นาเรือกสวน บริจาคให้เจ้าสำนัก ทำงานก็ไม่มีค่าแรงบอกว่าเป็นงานบุญเพื่อนิพพาน อีกสำนักก็ธรรมกายบริจาคเยอะๆเพื่อสวรรค์นิพพาน เป็นผลมาจากระบบการศึกษาของไทยที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงของชีวิต ทุกสถานศึกษาแข่งกันสร้างปรัชญา อัตลักษณ์ เอกลักษณ์อะไรมากมายเน้นคำพูดสวยหรู ตีสำบัดสำนวน ใช้คล้องจองเป็นหลัก ไม่มีความจริงใจในการพัฒนาให้ได้ตามปรัชญาที่ตั้งไว้อย่างจริงจัง เช่น ลองดูสัก 1 ปรัชญาก็ได้ ทักษะเยี่ยม เปี่ยมคุณธรรม ล้ำเลิศวิชา ใช้เวลาให้เกิดคุณ แล้วไปๆมาไม่ได้ทำจริงสักอย่างเอาสำบัดสำนวนเข้าว่า จึงกลายเป็นสังคมหลอกลวงสร้างภาพ เอะอะก็เดินรณรงค์หมดงบประมาณไปตั้งเยอะ แก้ปัญหาอะไรไม่ตรงจุด คนไทยเลยคิดอะไรง่ายๆไม่อดทนไม่ต้องฝึกฝนอะไรมากเพราะใช้เวลานาน สู้เดินรณรงค์ไม่ได้ใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมง ของเกาหลีเขามีปรัชญาว่าการทำงานหนักคือดอกไม้ของชีวิต เขาจึงมุ่งมั่นฝึกเด็กทำงานอย่างจริงจังไม่ทอดทิ้งหน้าที่ ดูเขาเข้าใจชีวิต คอยดูเป็นประชาคมอาเซี่ยนเมื่อไรจะเห็นผลของการทำอะไรไม่จริงจัง

 

ผู้แสดงความคิดเห็น กระจกเงา วันที่ตอบ 2012-05-05 14:58:04


ความคิดเห็นที่ 16 (3332928)

สมัยรัฐบาลที่แล้วก็เกณฑ์คนทุกจังหวัดมาร้องเพลงชาติเพื่อสร้างความสามัคคี รักชาติหมดงบประมาณจังหวัดละไม่ต่ำกว่าล้านบาท รัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ถ้าอยากให้ประเทศพัฒนาก็ต้องทำอะไรที่ฉลาดๆ จริงใจจริงจัง ใช้คนให้เหมาะกับงาน อย่ามัวให้รัฐมนตรีเล่นเก้าอี้ดนตรีอยู่ เพราะประเทศชาติทำเล่นๆไม่ได้ หากยังอยู่ในวังวนเดิมๆก็คงล้าหลังเหมือนเดิม 

ผู้แสดงความคิดเห็น กระจกเงา วันที่ตอบ 2012-05-05 15:03:21


ความคิดเห็นที่ 17 (3344221)

เขาลงทุนเพื่อการโฆษณาชวนเชื่ออย่างมากมายมหาศาล  และพูดถึงเรื่องราวที่สูงส่งอย่างน่าเหลือเชื่อ

 

เช่นเรื่องในสงครามโลกครั้งที่ 2 มี แม่ชีปัดลูกระเบิดปรมาณูไปตกประเทศญี่ปุ่น จน 2 เมืองญี่ปุ่นพินาศในพริบตา ปัดจากประเทศไทย อ้างด้วยว่าที่จริงอเมริกาจะทิ้งในไทย หากตกในประเทศไทย ไทยทั้งประเทศคงพินาศ นี่จึงเป็นเรื่องไทยทั้งชาติตกเป็นหนี้บุญคุณแม่ชี   จันทร์ ขนนกยูง  แห่งธรรมกาย     เขาก็เอามาโฆษณาโอ้อวดได้อย่างไร้ความอาย   และแน่นอนคนไทยก็ตื่นไปตามและเลื่อมใสสำนักนี้ว่าเป็นสำนักสูงสุด   และผลของความเลื่อมใส  ก็ทำเงินไงครับ   ได้เงินมากมายอย่างมโหฬารจากการสร้างภาพนี้

เรื่องแม่ชีปัดลูกระเบิด  ต่อมามีพระลูกวัดเล่าถึงเรื่องแม่ชีนี้ว่า  ที่จริงก็เป็นชีธรรมดา ๆ   ถูกอุปโลกขึ้น ให้ความสำคัญขึ้นเท่านั้นเอง เพื่อกอบโกยเงินทองจากประชาชน . จนสร้างวัดได้ยิ่งใหญ่ (........ต่อไปคงกลายเป็นวัดร้าง.........เพราะใช้เงินดูแลมาก)   หลังพระลูกวัดเผยความจริง  ก็ปรากฎว่า มีอุบัติเหตุเกิดกับพระลูกวัดนั้นถึงมรณภาพในวัดพระธรรมกาย  ...........เรื่องนี้ดูจากกูเกิลได้ครับ พิมพ์และ คลิกไปที่ แม่ชีไทย  ก็ได้     มีเรื่องแม่ชีปัดลูกระเบิด.......... มีคนค้านว่า ไร้เหตุผล ถ้าเก่งขนาดนั้นจะปัดไปหาคน หาเมืองคนทำไม น่าจะปัดลงมหาสมุทรแปซิฟิก  คนจะได้ไม่ตายกันทั้งเมือง  .........นี่แหละแสดงว่าเขาปั้นเรื่องหลอกคนโง่ได้   ผมเล่านี้เพื่อความเป็นธรรมของสังคม  

พระธัมชโยเองก็เคยถูกตัดสินว่าเป็นปาราชิกไปแล้ว    โดย สด.พระสังฆราช   

เรื่องแม่ชีลอยน้ำก็เหมือนกัน    ทางวิทยาศาสตร์เขาค้านว่าไม่ใช่มีฤทธิ์แรงบุญอะไรหรอก  เขาเอาเกลือใสลงในน้ำมากพอ จนคนลอยได้  คล้าย ๆ ทะเลเดดซี ในตะวันออกกลาง นั่นแหละ     คนไทยนี้เขลาเบาปัญญาจริง  พอเลื่อมใสก็คิว่าทำบุญจะได้บุญเยอะ  ก็รีบไปทำบุญ....ขายนาไปทำบุญก็มี   ............   นี่มีเรื่องจริงครั้งเห่อจตุคามรามเทพ........ มีคนในโคราชขายนาไปหลายล้านเพื่อไปซื้อเหรียญหรือวัตถุรูปจตุคามรามเทพเพียงเหรียญเดียว   นี่คือความโง่เง่าอย่างแท้จริง   ตัวเองมีทรัพย์นับล้านอยู่แล้ว  ไม่มีจตุคามรามเทพก็ไม่เห็นเป็นไร   แต่พอได้จตุคามรามเทพมา ก็จนลง  เหมือนขอทานคนหนึ่ง  เขาเล่ากัน   ...

 

กระบวนการโฆษณาชวนเชื่อยุคนี้  ไม่มีที่ไหนเท่าธรรมกายครับ   .........เริ่มมาตั้งงแต่   วิชชาธรรมกาpนู้น   .......  พูดกันจนถึงว่าหลวงพ่อสดถึงอรหันต์แล้ว เราเป็นลูกศิษย์รับการถ่ายทอดวิชชาสำคัญของแผ่นดินพุทธศาสนา .....เดี๋ยวนี้พูดอวดสรรพคุณไม่ออกแล้ว ว่าวิชชานี้ดีอย่างไรบ้าง   ทำอย่างไรจึงจะบรรลุธรรมกาย ....เพราะเมื่อไม่มีความจริง  ก็เสื่อมลง ๆ ไปธรรมดา   สอนไม่ออกแล้ว   เป็นเพียงหวังผลทางการโฆษณาชวนเชื่อล้วน ๆ นั่นเอง       

 

ในศาสนา   มีการโฆษณาชวนเชื่อครับ   ต้องค่อย ๆ เรียนรู้ไป   .............

 

ผู้แสดงความคิดเห็น บัวระย้า ชะบาบุญเศรษฐ์ วันที่ตอบ 2012-09-06 21:48:08


ความคิดเห็นที่ 18 (3344661)

พูดถึงเรื่องการโฆษณาชวนเชื่อแล้ว  ก็น่าเศร้าใจและน่าประหลาดใจจริง ๆ  เพราะที่จริงเป็นเรื่องโกหก มดเท็จ หลอกลวง  แต่คนกลับนับถือ  เข้าใจว่าเรื่องเท็จนั้นเป้ฯความจริง  เป็นพวกคนโง่ ๆ 

 

มีมาแต่ยุคเดิมแล้ว  แต่นั่นมันอภัยกันได้ เพราะแต่เก่าก่อนคนเรายังโง่  แต่มาสมัยนี้ ยังมีเรื่องโกหก ที่โกหกออกไปแล้วคนกลับนิยม   ก็มีอยู่อย่างที่เล่ามาข้างต้นนั่นแหละครับ 

 

ที่ศรีสะเกษก็มีหลายราย .............   รายหนึ่ง  เป็นเณร...เด็กแท้ ๆ  เรียกตัวว่าเป็น ปู่      เฉพาะชื่อเรียกตัวเองว่า   หลวงปู่เณรคำ 

คนก็ถามกันว่าทำไมจึงเป็น  หลวงปู่เณรคำ   .............    ก็ว่าท่านสำเร็จ(อรหันต์)แล้ว  ตั้งแต่เป้ฯเณร  ก็เลยเรียก  เณรคำ

 

นี่คือการโกหกพกลม ................  แต่ทำไมคนจึงเชื่อถือ..........ก็เพราะการสร้างภาพ  มีการโฆษณาชวนเชื่อ......สร้างภาพตนเองให้สำคัญขึ้น  นั่นคืออานุภาพของการโฆษณาชวนเชื่อ   .............

 

อีกกรณีหนึ่ง  ไม่ทราบจะตำหนิว่ากล่าวใครดี    เพราะคนที่ตายไปแกไม่รู้เรื่อง  คนที่เป็นยกเอาเรื่องราวของแกมาปั้นแต่งให้สำคัญ ให้กลายเป็นเรื่องมหัศจรรย์ขึ้น .............    เพื่อหาเงิน          หลวงปู่เหมือนกัน   หลวงปู่สรวง    .....

 

ไม่อยากขัดหรอก  อยากให้ได้เงินอยู่  แต่วิธีหาเงินแบบนี้มันเลว  .....

 

ผู้แสดงความคิดเห็น กงจักร เสมาคำ วันที่ตอบ 2012-09-11 15:50:29


ความคิดเห็นที่ 19 (3344702)

หลวงปู่เณรคำ นี้  มี 2 รายการนะครับ    ชื่อเหมือนกัน

รูปที่ 1  คือสามเณรน้อยอวดอุตตรินี่แหละ  เดิมชื่อ สามเณรวีรพล มาเป็นพระแล้ว ก็เป็นพระวีรพล ฉัตติโก  นี่บ้านเดิมอยู่ อ.พิบูลมังสาหาร อุบล  มาอยู่วัดป่าขันติธรรม อ.กันทรารมย์ ศรีสะเกษ เป็นสายธรรมยุติ(ที่มีพระอริยะหันต์เยอะแยะ   นั่นแหละ.....แต่ล้วนอริยะหันทั้งนั้น) 

รูปที่ 2 ชื่อทองใบ  ปัญญาพโล........ แก่แล้ว   ว่าอวดอุตตริมนุสธรรมเป็นว่าเล่นเหมือนกัน  มีหลักฐานว่าโดนปาราชิกไปแล้ว   รูปนี้อยู่ทางอิสานสูงใกล้แม่โขง

ดูพฤติกรรมแล้ว พอ ๆ กัน

 

เรื่องของเรื่องก็คือ  คนอยากเห็นพระอรหันต์กัน  ..... คนยุคทุกข์ยากลำบากรอบด้าน ฝันว่าวันหนึ่งจะมีอรหันต์มาโปรด  คนโง่ .... เห็นอะไรแปลก ๆ ไปหน่อย ก็เข้าใจว่าเป็นพระอรหันต์  พอมีการโฆษณาชวนเชื่อ อวดตนเองไปหน่อย   เช่นโฆษณาว่าได้นิโรธสมาบัติ   "...นิโรธสมาบัติ(หลวงปู่เณรคำ) อภิญญา สมาธิ ..หากจะพูดให้ถูกก็คือหลวงปู่คำบรรลุอรหันต์ที่ภูตึกนั่นเอง..."     ลอกมานะเนี่ย  ไม่ได้พูดเอง

"ไปบิณฑบาตรสวรรค์ รับบาตรพระอินทร์เป็นประจำ "   ว่าไปโน่น  คนก็ยังงมงาย ........ ยิ่งเชื่อสนิทไปอีก    

"หลวงปู่เณรตำท่านเป็นอริยหันต์เจ้า ท่านเป็นเนื้อนาบุญให้ธรรมะยิ่ง อย่าคิดบาปให้ตัวเราเลย บาป..."      แล้วก็เชื่อกันว่าคิดไม่ดี คิดอกุศลต่อพระอรหันต์แล้ว  บาปใหญ่เลย ......   ก็เลยไปกันใหญ่.............ไม่มีหรอกครับพระอรหันต์  เชื่อเถอะ.....ถึงมีพระอรหันต์จริง ๆ ท่านจะไม่พูดอวดอย่างนี้เลย 

คนอวดอุตตริ  ก็เลยได้ดังกันมา     นับแต่สมีนิกร ธรรมวาที.....มาสมียันตระ อมโร ถึง สมีภาวนา พุทโธ(ติดคุกอยู่ เพราะข่มขืนเด็กลูกศิษย์ตัวเอง)  ......... ก็มาแนวเดียวกันทั้งนั้นแหละครับ..........อย่าลืมประวัติศาสตร์ซี

ผมกลัวว่าอีกสักหน่อยสังคมไทยก็จะมีงานหนัก   ไล่สมีกันอีกครั้งใญ่ ในประเทศไทยละครับ ....คราวนี้สมีเด็กอวดอุตริมนุสสธรรมว่าตนเป็น  พระอริยหันต์เจ้า  (ไม่ใช่อรหันต์เจ้านะครับ   อริยหันต์เจ้า  ตลก)    ..............  เป็นสามเณรว่าตัวเป็น  หลวงปู่    เณรทองเสียด้วย  คนโง่ เงินและคำสรรเสริญบังตา

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น บัวระย้า ชะบาบุญเศรษฐ์ วันที่ตอบ 2012-09-11 23:17:50


ความคิดเห็นที่ 20 (3344735)

ใช่ว่าจะเห็นขัดแย้งนะครับ.......  ถ้าไม่มีอะไรดีบ้างก็คงไม่ดังขนาดนี้ ?

ผู้แสดงความคิดเห็น มามกชน คนเลื่อมใส วันที่ตอบ 2012-09-12 09:36:30


ความคิดเห็นที่ 21 (3344739)

คุณมามกชน คนเลื่อมใส เคยสังเกตไหมครับ เวลาไปงานเผาศพ.....ก่อนเผาจะมีพระเทศน์ฯ 1 กัณฑ์ เป็นธรรมเนียมปกติ   ที่คุณอาจจะไม่ทันสังเกตก็คือ เวลาพระพูดถึงผู้ตาย  ..ท่านจะกล่าวด้วยสำนวนคล้าย ๆ กันหมด ในทำนองยกย่อง ให้เครดิตถ์ทุกศพไปแหละครับ  แต่บางครั้งก็กลายเป็นตลกเพราะท่านไม่ทราบความจริงเบื้องหลังอะไรเลย  ก็เกินไป คือตามทำนองของท่านก็ว่าไปว่า   ผู้ตายนี้ปกติเป็นคนดี มีอัธยาศัย ใจใหญ่ใจดี มีเมตตาต่อผู้คนทั้งหลาย จิตใจโอบอ้อมอารี ชอบเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้ความช่วยเหลือเพื่อนบ้านเป็นปกตินิสัย ใครคบหาก็รักในน้ำจิตน้ำใจของท่าน......เมื่อตายลงจึงเป็นที่อาลัยของลูกบ้านทุกคน.......ชาวบ้านฟังก็หัวเราะหรืออมยิ้มไปตาม ๆ กัน เพราะแท้จริงคนตายนี้เป็นคนที่ใจดำใจคับแคบไม่เคยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่  ไม่เคยให้อาหารหรือใส่บาตรทำบุญพระภิกษุสงฆ์ ไม่เคยเข้าวัดฟังธรรม เป็นคนที่ชาวบ้านรังเกียจ.......นี่แหละครับ  ก็กลายเป็นการโฆษณาชวนเชื่อไปโดยเขลา ก็มี

 

เวลาคนไทยพูดถึงพระ    เขาก็พูดดี ๆ  แต่เรื่องดี ๆ    

เขาเขียนประวัติ   ก็เขียนเรื่องดี ๆ  

เมื่อตั้งใจหลอกคนให้เลื่อมใส   ก็แต่งเรื่องเอา  ให้ดี  วิเศษ ไปกว่าเรื่องธรรมดา ๆ  

 

เรื่องที่ดีของพระมีเยอะครับ

ไม่ว่าใคร พอบวชก็ได้ห่มผ้าเหลือง เครื่องหมายของอริยบุคคลแล้ว    นี่ก็ดีมากอยู่แล้ว  โดยไม่ต้องมีคุณภาพอะไร พอได้บวชห่มผ้าเหลือง  แม้พ่อแม่ก็ก้มลงกราบ  ...................   ก็มีดีอย่างนี้แหละครับ

 

แล้วพออ่านในประวัติก็พบว่า   ไปธุดงค์กรรมฐาน  จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ที่ภูตักแล้ว.........  นี่ก็ดีที่สุดละ

เพียงแต่คุณไม่ทราบว่า   มันเลวอย่างไร  เท่านั้นเอง  

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น กงจักร เสมาคำ วันที่ตอบ 2012-09-12 10:01:33


ความคิดเห็นที่ 22 (3344750)

ต่อไปนี้ คือสิ่งที่ผมลอกมาจากเวบไซต์นะครับ
เป็นเรื่องราวถามตอบปัญหา สามเณรปู่รูปนั้นแหละครับ   ลองฟังดู

 

หลวงปู่เณรคำ...มีกี่หลวงปู่กันแน่ครับ....และองค์ไหนของจริง จริงๆ....
1.Phyadham 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา
 
ความเป็นพระสงฆ์ทรงวินัยนั้นต้องปลูกศรัทธา ไม่ใช่เรียกร้องศรัทธา ถ้าเป็นพระดี คือ ศีลดี สมาธิดี พระวินัยดี ปัญญาดี นั่นแหละจึงจะถูกดี ใครชมว่าดี พูดธรรมะได้ แต่ศีลไม่ดี สมาธิไม่ดี พระวินัยไม่ดี ก็ไม่ถูกดี ใครจะชมสักเท่าไร ก็ป่วยการ
2.OMELETAON 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา
 
พระพุทธศาสนา ไม่ใช่การเเสดงอำนาจ เวทมนตร์ ของคลัง แต่เป็นเรียนรู้เกี่ยวกับสัจธรรมของชีวิต การหลุดพ้น การแก้ไขปัญหาในชีวิต การดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ต่างหาก ขอรับ
3.patbokezaa 1 เดือนที่ผ่านมา 3 
 
ตนเองพึงรู้เอง..........
4.diegopudee 2 เดือนที่ผ่านมา
 
วิจารณ์พระสงฆ์ กล้ามาก ใครทำอย่างไรก็จะได้อย่างนั้น ปล่อยวางแล้วให้ทุกสิ่งเป็นไปตามกรรม อย่างเพิ่มกรรมให้กับตัวเองเลยครับ มันไม่คุ้มหรอก
5.itsayang 2 เดือนที่ผ่านมา
 
ภิกษุทั้งหลาย ๑ ! พรหมจรรย์นี้ เราประพฦติมิใช่เพื่อหลอกลวงคน มิใช่เพื่อเรียกร้องให้คนมานับถือมิใช่เพื่ออานิสงสส์ลาภ สักการะ และความสรรเสริญ มิใช่เพื่ออานิสงสส์เป็นเจ้าลัทธิ และแก้ลัทธิอย่างนั้นอย่างนี้ มิใช่เพื่อให้ใครรู้จักตัวว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ที่แท้พรหมจรรย์นี้ เราประพฦติเพื่อสังวระความสำรวม เพื่อปหานะความละ เพื่อวิราคะความหายกำหนัดยินดี เพื่อนิโรธะความดับทุกข์ ( ๑ จตุกกังคุตตร.๒๓/๓๓ )
6.anucha2012zz 2 เดือนที่ผ่านมา
 
ท่านใดที่ฟังแล้ว ไม่เชื่อก็อย่าติเตียนเลยครับ เด๋วนรกจะกินหัวเอา
7.Birdaor 3 เดือนที่ผ่านมา
 
ให้ผลของกรรม ตัดสินเถิด
8.nvdgodman 3 เดือนที่ผ่านมา
 
เฮ้อ!!!!!! เฮ้อออ เฮ้อ!!!!!!!เฮ้อออ เฮ้อ!!!!!! สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข­์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทั้งสิ้น กัมมัสสะกา เป็นผู้มีกรรมเป็นของของตน กัมมะทายาทา เป็นผู้รับผลของกรรม กัมมะโยนิ เป็นผู้มีกรรมเป็นกำเนิด กัมมะพันธุ เป็นผู้มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ กัมมะปะฏิสะระณา เป็นผู้มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ยัง กัมมัง กะริสสันติ กระทำกรรมอันใดไว้ กัลยาณัง วา ปาปะกัง วา ดีหรือชั่ว ตัสสะ ทายาทา ภะวิสสันติ จักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น สืบไป ระลึกถึง หลวงตา มหาบัว ด้วยเศียรเกล้า นี่หละของจริง
9.nvdgodman 3 เดือนที่ผ่านมา 2 
 
พูดโอ้อวดอุตริ ขอให้ผู้ฟังพิจารณา นรกกินหัวอ้างพระพุทธเจ้าด้วย
10.Backbackback1000 3 เดือนที่ผ่านมา 2 
 
คุณแหละครับพูดแบบนี้ นรกจะกินหัวเอา
11.Birdaor ตอบกลับไปที่ Backbackback1000 (แสดงความคิดเห็น) 3 เดือนที่ผ่านมา
 
 

เหอะๆ ติเตียน พระสุปฏิปัณโณ โดยไม่ไคร่ควรกันเลย

 

 

พระพุทธเจ้าท่านรู้โลก และก็ตรัสบอกว่ารู้โลก

 

 

พระสงฆ์ท่านปฏิบัติตามๆ กันมา ก็รู้ตามๆ กันมา

 

 

และต่างก็มายืนยันจุดหมายปลายทาง และก็ประกาศธรรมตามๆ กันมา

 

อันตรายกับตัวท่านเองนะสิบอกไห่... 0_o!
12.pisitgas 3 เดือนที่ผ่านมา
 
ทำได้จริง ผมเชื่อ เพราะฟังหลายเทป แล้วปฏิปทาไม่เพี้ยนจากครูบาอาจารย์ สายป่า ผมก็ฝึกมาแต่ปี ๒๕๒๔ ใช้หลายวิธี เช่น บริกรรมพุทโธ สัมมาอรหัง หรืออานาปานสติ และ พิจารณาร่างกาย ผลคือ ความสงบ เข้าสู่สมาธิ ตั้งแต่ ขณิกะ และ พัฒนา เข้าสู่ อุปจาระ อัปนา สมาธิ เหมือนกัน หากได้สมาธิ ขั้น อัปนาสมาธิแล้ว ญาณจะเกิดครับ ต้องขยัน นั่งสมาธิ และเดินจงกรม บ่อยๆ สมาธิและญาณจึงจะเกิดครับ สนใจร้วม ศึกษา สมาธิ ปรึกษาผมได้ครับ ผมชื่อ จำลอง โทร 089 5794272
13.pieoable 3 เดือนที่ผ่านมา
 
โม้
14.kovitloaw 3 เดือนที่ผ่านมา
 
โม้
15.kovitloaw 3 เดือนที่ผ่านมา
 
คุณนับถือศาสนาใหนก็เอาเวลาไปสรรญเสริญศาสนาคุณสิครับ ไม่ใช่เอาเวลามาวิจารณ์ศาสนาอื่น 
16.mohos110 3 เดือนที่ผ่านมา
 
ชาติหน้าไม่ขอเกิด เพราะตกนรกอเวจีอยู่ไง เลยไม่ได้มาเกิด แมร่งขี้โม้ชิบหาย
17.yurnero82 4 เดือนที่ผ่านมา
 
คุณครับ คุณแหละครับคิดแบบนี้ นรก นะครับ หลวงปู่ไม่มาเกิด เพราะเป็นผู้พ้นโลกแล้ว ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด ตอนคุณอยู่ในนรก อย่าลืมนึกถึงคำพูดของผมแล้วกัน
18.Birdaor ตอบกลับไปที่ yurnero82 (แสดงความคิดเห็น) 3 เดือนที่ผ่านมา
 
ลบความคิดเห็นแล้ว
19.มีการระงับผู้เขียน
 
เป็นพระภิกษุ ไม่สมควรพูดทำนองโอ้อวดคุณวิเศษแบบนี้ ชาวพุทธที่ฉลาดควรไตร่ตรอง ว่าอะไรคือเพชรจริง เพชรปลอม ระวังพวกหน้าไม่อาย เกาะพระศาสนาหากิน หาลาภเลี้ยงชีวิต
20.win2601 4 เดือนที่ผ่านมา
 
ท่านรู้แบบไหน ท่านก็พูดให้ฟังครับ ท่านรู้จริงก็เลยอย่ากให้เรารู้ตาม
21.Birdaor ตอบกลับไปที่ win2601 (แสดงความคิดเห็น) 3 เดือนที่ผ่านมา
 
การฟังเทศน์สิ่งไม่เคยฟังทำให้พุทธศาสนิกชนเกิดมีปัญญาฉลาดรู้ทันเหตุการณ์ได้นะครับ
22.hodonbankam 5 เดือนที่ผ่านมา
 
เหอๆๆๆ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เดียวก็รู้
23.mmm2662 5 เดือนที่ผ่านมา
 
อีดอก ตอแหล................
24.zhang2528 5 เดือนที่ผ่านมา
 
สาธุ
25.nuippc 5 เดือนที่ผ่านมา
 
ร้ายกาจมาก ที่ว่าเคยเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
26.NattChann 6 เดือนที่ผ่านมา
 
จะเอาพระที่วัดมานั่งอยู่ข้างหลังทำไมเยอะเเยะ สงสัยช่วยกันทำมาหากินมั้งงงง
27.NattChann 6 เดือนที่ผ่านมา
 
ขอคุณบารมี คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ ปัดป้องคนชั่วทั้งหลายที่แอบแฝงในพระศาสนาให้หมดไป ขอความจริงจงบังเกิดโดยเร็ว อย่าให้ศาสนาต้องด่างพร้อยเลย!!!! สาธุ สาธุ
28.kai252300 6 เดือนที่ผ่านมา
 
ก๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก­กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก.....
29.dimeoxide 6 เดือนที่ผ่านมา
 
อวดอุตริขาดจากความเป็นพระแล้ว ไม่เชื่อไปถามหลวงพ่อถาวรที่วัดปทุมวนารามดูได้ ท่านยืนยันว่าบุคคลในผ้าเหลืองในวีดีโอนี้ไม่ได้เป็นอรหันต์แน่นอน หรือไปถามหลวงตาสมบูรณ์ที่วัดป่าดอนธาตุดูก็ได้ ขนาดท่านเคยเป็นอาจารย์ท่านยังไม่รับรองเลย
30.Niwatpoet 6 เดือนที่ผ่านมา
 
ลองหาเปิดดูคลิปหลวงปู่สมบูรณ์ที่พูดถึงปู่เณรคำนะครับถ้าบอกว่าหลวงปู่สมบูรณ์ ไม่รับรอง มั่วได้ใจจริงๆ
31.pottykung ตอบกลับไปที่ Niwatpoet (แสดงความคิดเห็น) 5 เดือนที่ผ่านมา
 
เรื่องนี้ไม่ใช่ผมจะพูดขึ้นมาลอ­ยหรอกครับ พวกผมเคยไปกราบและสอบถามจากปากหลวงตาสมบูรณ์ที่วัดป่าดอนธาตุมาแล้วนะครับ ลองไปถามท่านดูได้ครับ ที่บอกว่าคลิปหลวงตาพูดถึงหลวงปู่เณรคำ ท่านก็เพียงพูดถึงนะครับ ที่เคยอยู่ร่วมกัน แต่ก็ไม่ได้รับรองคุณวิเศษอะไร ลองใช้เหตุผลใคร่ครวญดู ทุกๆคนมีมุมมองทีต่างกันเป็นธรรมดา
32.Niwatpoet ตอบกลับไปที่ pottykung (แสดงความคิดเห็น) 4 เดือนที่ผ่านมา
 
 

พระหรือนักบวช ที่อายุน้อยๆ แต่อยากเป็นหลวงปู่ จากประสบการณ์ ไม่เพี้ยนก็มีนัยแฝง

 

 

คำสอนที่ดี สอนให้คนฉลาด แต่ที่อ้างคุณวิเศษ อ้างเรื่องที่ไมทำให้คนรู้ คนฉลาด ล้วนตรงข้ามพระศาสดา

 

 

โลกเจริญขึ้น แต่คนฉลาดน้อยลง คนโง่ยอ่มเป็นเหยื่อคนฉลาด ทุกยุคทุกสมัยไม่ว่าวันก่อน วันนีร้ และวันหน้า

 

ระดับ ด๊อกเตอร์ ถูกหลอกให้ไปถ่ายภาพเปรตในป่าในเขา ก็เคยมี พวกที่เชื่อในปาฏิหาร ที่ปราศจากความฉลาดเฉลียวแม้การ­ศึกษาสูงก็ไม่พ้น ตามหลักบัวสี่เหล่า
33.Pet405gr 6 เดือนที่ผ่านมา
 
เห็น ด้วย เป็น อย่าง ยิง
34.1Theera ตอบกลับไปที่ Pet405gr (แสดงความคิดเห็น) 6 เดือนที่ผ่านมา
 
 

พระผู้พระภาคอันชาวโลกนับถือทั่วแล้ว ได้ตรัสตำหนิคนทุศีลว่ามีมรรยาท

 

 

สกปรก นึกแล้วกินแหนงตัวเองได้ภายในรกชัฏ เป็นคนบ้ากามลามกเน่าใน. ทุด

 

 

! ทุด!! ชีวิตของเขาผู้ไม่มีปัญญา หุ้มห่อร่างกายด้วยเครื่องหมายของสมณะ ก็ไม่

 

เป็นสมณะ ดีแต่จะทำตัวเองให้ถูกเขากำจัด ให้ถูกเขาขุดอยู่เสมอ.
35.kohhhh 7 เดือนที่ผ่านมา
 
สาธุ 3
36.1381charlie 7 เดือนที่ผ่านมา
 
ขึ้นชื่อว่าพระท่านดีหรือไม่ดีข้าพเจ้าไม่เคยแสดงความคิดเห็น บาปหนักคะถ้าไม่เป็นความจริง
37.nanoot24 7 เดือนที่ผ่านมา
 
หมดแล้วไม่เหลือแล้ว ไม่ใช่กิเลสหมดน่ะ แต่หมดจากความเป็นพระ ชาติที่เกิดเป็นมานพโง่แล้วมาชาตินี้โง่หนักกว่าเดิมอีก
38.bigband915 7 เดือนที่ผ่านมา
 
เดี๋ยวก็รู้
39.mmm2662 7 เดือนที่ผ่านมา
 
 

ปาราชิก ขาดจากความเป็นภิกษุทันที

 

 

มี ๔ ข้อได้แก่

 

 

๑ เสพเมถุน แม้กับสัตว์เดรัจฉานตัวเมีย (ร่วมสังวาสกับคนหรือสัตว์

 

 

๒ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้มาเป็นของตน จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี (ขโมย)

 

 

๓พรากกายมนุษย์จากชีวิต (ฆ่าคน)หรือแสวงหาศาสตราอันจะนำไปสู่ความตายแก่ร่างกาย มนุษย์

 

๔กล่าวอวดอุตตริมนุสสธัมม์ อันเป็นความเห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้าในตัวว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้.(ไม่รู้จริง แต่โอ้อวดความสามารถของตัวเอง)
40.prataid 9 เดือนที่ผ่านมา
 
 

พระพุทธเจ้าห้ามอวดอุตริมนุษยธรรม มิใช่หรือ

 

 

พุทธบัญญติไม่ให้ภิกษุอวดอุตริมนุษยธรรม คือ คุณวิเศษหรือการบรรลุธรรมอย่างสูงที่เกินปกติของมนุษย์สามัญ เช่น สมาธิ ฌาน สมาบัติ มรรคผล ถ้าอวดโดยที่ตนไม่มีคุณวิเศษนั้นจริง คือ หลอกเค้าย่อมต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นภิกษุ

 

แต่ถึงแม้ว่าจะได้บรรลุคุณวิเศษนั้นจริง ถ้าพูดอวดหรือบอกเล่าแก่ชาวบ้าน หรือผู้อื่นใดที่มิใช่ภิกษุ หรือภิกษุนี ก็ไม่พ้นเป็นความผิดเพียงแต่เบาลงมา เป็นอาบัติปาจิตตีต์
41.alonekei 11 เดือนที่ผ่านมา 2 
 
ควรใช้หลักกาลามสูตรประกอบการพิจารณา
42.lucklanna 11 เดือนที่ผ่านมา
 
หลวงปู่เณรคำองค์แท้ที่
nenkum.com
43.nenkum 11 เดือนที่ผ่านมา
 
พวกโม้ ทั้งนั้น ลวงโลก เหมือนพระย่างช้าง ทำเดรัจฉานวิชา หรือ ภาวนาพุทโธ อายุน้อย แต่ให้คนโง่เรียกหลวงปู่ พวกบ้าๆบอๆ หลงตัว อัตตา ทีมงานโปรโมท วางแผนโฆษณา ลวงโลก หลอกคนโง่ ได้เก่งเหลือเกิน สงสารคนไทยที่โง่ หาที่พึ่งบ้าๆบอๆ
44.boom222boomable 1 ปีที่ผ่านมา
ผู้แสดงความคิดเห็น 001 วันที่ตอบ 2012-09-12 11:04:39


ความคิดเห็นที่ 23 (3344803)

 

ขอแจมหน่อยนะครับ     ก็มี 2 คนนะครับ หลวงปู่เณรคำ   พอ ๆ กัน  คือพวก อรหันเก๊พอ ๆ กัน   จึงกลายเป็นพวกอวดอุตตริมนุศธรรม   ....   ถูกต้อง

 

 

หลอกลวงคนโง่  และคนฉลาดที่ฉลาดพอปานกลาง ๆ  อย่างคุณจำลอง คนในเรื่องนี้แหละครับ   ยิ่งหลอกได้ง่ายกว่าคนโง่ ธรรมดา ๆ อีก  ฟังซิครับ  คุณจำลองนี่แกเก่งทีเดียว ที่เล่าว่า  ผมเชื่อ เพราะฟังหลายเทป แล้วปฏิปทาไม่เพี้ยนจากครูบาอาจารย์ สายป่า ผมก็ฝึกมาแต่ปี ๒๕๒๔ ใช้หลายวิธี เช่น บริกรรมพุทโธ สัมมาอรหัง หรืออานาปานสติ และ พิจารณาร่างกาย ผลคือ ความสงบ เข้าสู่สมาธิ ตั้งแต่ ขณิกะ และ พัฒนา เข้าสู่ อุปจาระ อัปนา สมาธิ เหมือนกัน หากได้สมาธิ ขั้น อัปนาสมาธิแล้ว ญาณจะเกิดครับ ต้องขยัน นั่งสมาธิ และเดินจงกรม บ่อยๆ สมาธิและญาณจึงจะเกิดครับ สนใจร่วม ศึกษา สมาธิ ปรึกษาผมได้ครับ ผมชื่อ จำลอง โทร 089 5794272

 

 

แต่ผมว่าคุณจำลองนี่กำลังจะสับสน เข้าใจตัวเองผิดไปนะครับ .....  ไม่ทันไรคิดตั้งตัวเป็นครูบาอาจารย์กรรมฐานเข้าแล้ว..........อย่างนี้แหละสำคัญตนเองผิด ......... นึกว่าตนบรรลุธรรม คิดใหญ่จะตั้งตัวเป็นครูบาอาจารย์ ...........สติกำลังจะลอยแล้วนะนี่ .......ที่แกพูด  ก็เข้าขั้นอวดอุตตริมนุสธรรมเข้าไปแล้ว ............ที่อ้างว่า  หากได้สมาธิ ขั้น อัปนาสมาธิแล้ว ญาณจะเกิด ต้องขยัน นั่งสมาธิ และเดินจงกรม บ่อยๆ สมาธิและญาณจึงจะเกิด........

 

 

นี่แหละครับพวกญาณทิพย์ละ    คือพวกกำลังจะบ้าเราดี ๆ นี่เอง    พวกเดียวกันก็เข้าใจกันครับ  เพราะบ้าด้วยกัน   ....เป็นเด็กอยู่แท้ ๆ ดันเรียกตนเองว่า ..หลวงปู่เณรคำ  ก็บ้าละ 

 

 

 

บ้าอีกพวก   ก็พวกแก้กรรมในอดีต   มีญาณทิพย์รู้กรรมคนในอดีตได้    ก็แม่ชีอะไร ..ธนพร หรืออะไรนี่แหละ บอกให้หญิงสาวไปแก้กรรมด้วยการให้เอากับหนุ่ม ๆ 2 ที    นี่ก็บ้า  ลามกจกเปรตอีกต่างหาก  .......พวกมีญาณนี่บ้ากันหมดแหละ..........บางพวกใช้ญาณทำนายทายทักดวงชะตาคน  เช่นพระที่อยู่สิงห์บุรี  ว่าผู้ปกครองต้องเป้นชาย ถ้าผู้หญิงเป็นกาลกิณีชาติบ้านเมือง  ..........หลวงปู่เณรคำนี่ก็ใช้ญาณทิพย์ทำนายประเทศไทยเหมือนกัน ว่าปีนี้ร้ายแรงกว่าปีกลาย ให้แก้กรรมให้ประเทศไทยเสียจึงจะรอด ....

 

 

เห็นไหม  ...... มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่พูดอย่างนี้ 

 

 

 

อวดว่าตนเป็นอรหันต์ไปบิณฑบาตรที่สวรรค์นรกทุกวัน   นี่บ้าที่สุด ในบรรดาพวกบ้า...

 

 

 

 

  

ผู้แสดงความคิดเห็น ธำรงค์ สนธิประชา วันที่ตอบ 2012-09-12 21:46:55


ความคิดเห็นที่ 24 (3344832)

 

ลองฟังคำทำนาย ซึ่งอ้างว่าทำนายด้วยญาณทิพย์วิเศษ ดังต่อไปนี้ ของหลวงปู่เณรคำ  พบในเวบไซต์.......ฟังแค่ตอนเดียว จะนำมาลงทั้งหมดอีกที

 

.................ในช่วงปี 2555 จะเกิดมหันตภัยใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ จะจารึกไว้ให้มนุษย์โลกในช่วงเดือน 1-7 จะเกิดดินยุบตัว ตึกถล่มน้ำท่วมน้ำท่วมใหญ่กรุงเทพฯ เกิดพายุกลืนกินมนุษย์ไปเป็นแสน น้ำจะกลายเป็นยักษ์กลืนกินมนุษย์ ลมจะกลายเป็นผีห่ากินมนุษย์ ดวงอาทิตย์จะร้อนผิดปกติเหมือนมี 2 ดวง เกิดความร้อนมหาสาร 2 เท่าตัว ประเทศที่เป็นหิมะหรือน้ำแข็ง อย่างเช่น เทือกเขาหิมาลัย หรือยุโรปจะเกิดละลาย เกิดเป็นน้ำอย่างมากไหลเข้าท่วมทะลักหลายจุดแต่ละที่ ทุกประเทศริมแม่น้ำโขงน้ำท่วม ริมฝั่งทรุดตัว................

 

ฟังดี ๆ  นะครับ...........นี่คนบ้าชัด ๆ เลย   

ผู้แสดงความคิดเห็น ธำรงค์ สนธิประชา วันที่ตอบ 2012-09-13 08:49:09


ความคิดเห็นที่ 25 (3345019)
ตรงนี้  ก็เผยแผ่ออกไปด้วยความเข้าใจผิด  ที่หลวงปู่พูดไว้ว่า ชาติหน้าไม่ขอเกิดอีก  นั่นก็เพราะในหลักพระพุทธศาสนายืนยันว่า พระอรหันต์ตายแล้วไม่เกิด  
 
แต่ฝ่ายค้านในที่นี้ไม่เห็นด้วยอย่างแรงจึงค้านว่า
ชาติหน้าไม่ขอเกิด เพราะตกนรกอเวจีอยู่ไง เลยไม่ได้มาเกิด แมร่งขี้โม้ชิบหาย
 
และคำตอบก็คือนายจำลองยืนยันว่า  หมอเณรคำนั่นเป็นพระอรหันต์  ดังนี้ไง   
คุณครับ คุณแหละครับคิดแบบนี้ นรก นะครับ หลวงปู่ไม่มาเกิด เพราะเป็นผู้พ้นโลกแล้ว ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด ตอนคุณอยู่ในนรก อย่าลืมนึกถึงคำพูดของผมแล้วกัน
 
 

มีการขู่ด้วยนะ  ว่าตอนคุณอยู่ในนรก อย่าลืมนึกถึงคำพูดของผมแล้วกัน

 

แท้ที่จริงหมอจำลองนี่แหละตัวดี  นึกว่าตัวสำเร็จอรหันต์   เพราะแกก็คงเข้าใจสัจธรรมที่ว่า  อรหันต์เท่านั้นที่อาจพยากรณ์ความเป็นอรหันต์   ................ในที่นี้ หมอจำลองแกพยากรณ์ว่าหมอเณรคำเป็นอรหันต์  เป็นผู้พ้นโลกแล้ว  ชาติหน้าไม่เกิดอีก  ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป............ก็พวกบ้า ๆ นี่แหละครับสรรเสริญกันไปมาว่าตน...เพื่อนพ้องตนเป็นอรหันต์  ..............หลอกต้มประชาชนต่อไป  แต่ประชาชนไม่รู้หรอกว่า  อรหันต์จริง ๆ เป็นอย่างไร   ผมเองคิดว่านี่คืออรหันต์จริง ๆ 

 

 

.....ภิกษุทั้งหลาย ๑ ! พรหมจรรย์นี้ เราประพฦติมิใช่เพื่อหลอกลวงคน มิใช่เพื่อเรียกร้องให้คนมานับถือมิใช่เพื่ออานิสงสส์ลาภ สักการะ และความสรรเสริญ มิใช่เพื่ออานิสงสส์เป็นเจ้าลัทธิ และแก้ลัทธิอย่างนั้นอย่างนี้ มิใช่เพื่อให้ใครรู้จักตัวว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ที่แท้พรหมจรรย์นี้ เราประพฦติเพื่อสังวระความสำรวม เพื่อปหานะความละ เพื่อวิราคะความหายกำหนัดยินดี เพื่อนิโรธะความดับทุกข์ ( ๑ จตุกกังคุตตร.๒๓/๓๓ ) ......

 

 

 

..ลอกมาจากข้างต้นนั้นแหละครับ  

 

 

 

จะเห็นว่าขบวนการเณรคำ   ล่าหาเงินหาทองกันไม่รู้หยุดหย่อน  ในชั่วเวลา 4-5ปีมานี้  โดยทำเป็นขบวนการโฆษณาชวนเชื่อ มีทีมงานโปรโมท  วางแผนอย่างเป็นล่ำเป้นสัน เป็นกิจลักษณะ .... นี่หรืออรหันต์ .........แสดงออกซึ่งพฤติกรรมว่าอยากให้คนรู้ว่าตนเป็นผู้สำเร็จธรรมถึงอรหันต์ พูดว่าตนจะไม่เกิดอีก  พูดว่าตนบรรลุญาณทิพย์ รู้เหตุการณ์ในอนาคต   ล้วนมีเจตนาอยากแสดงตัวตนหรืออัตตาของตนอย่างเต็มที่......  นี่ก็ไม่เหมาะที่จะเป็นพระอรหันต์......มององค์รวมแล้วไม่ได้มีพฤติกรรมใกล้เคียงพุทธวจนะที่ว่าบทนี้เลย......เราประพฤติเพื่อสังวระความสำรวม เพื่อปหานะความละ เพื่อวิราคะความหายกำหนัดยินดี เพื่อนิโรธะความดับทุกข์ ( ๑ จตุกกังคุตตร.๒๓/๓๓ ) ......

 

 

ลึก ๆ  เป็นขบวนการโปรโมทของคณะธรรมยุติทั้งคณะ    ...  เป็นการเมืองในหมู่สงฆ์ธรรมยุติ ที่ต้องการขยับฐานะตัวเองขึ้นให้เหนือมหานิกาย   ทั้ง ๆ ที่มีพรรคพวกอยู่หยิบมือเดียว  ขณะที่มหานิกายมีมหาศาล เมื่อเปรียบเทียบกัน  .....  เราขอบอกว่า   อย่า ......

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ธำรงค์ สนธิประชา วันที่ตอบ 2012-09-14 21:48:52


ความคิดเห็นที่ 26 (3345104)

นี่คือเจ้าของวาทะตัวจริง

 

 
 
 
 
อรหันต์จริงหรือเปล่า ? 
 
 
ผู้แสดงความคิดเห็น คนนอก วันที่ตอบ 2012-09-16 20:24:09


ความคิดเห็นที่ 27 (3345367)

วันนี้มีข่าวครับ

เจ๊กลิ้ม ติดคุก 3 เดือน ไม่รอการลงอาญา  ศาลว่าเพื่อให้เข็ดหลาบ    ฐานดูหมิ่นนพดล ปัทมะ ทางเอเอสทีวี

ให้ลงขอโทษในหนังสือพิมพ์อีก 10 วัน

 

เกี่ยวอะไรหรือ ?

ก็เกี่ยวกับพระอรหรรษ์  องที่ว่าจะไม่มาเกิดอีกนะแหละ

 

เจ๊กลิ้ม หรือ สนธิ ลิ้มทองกุล นี่ไปหลอกตาบัว  ยืมปากตาบัวให้ด่าว่า สาปแช่งทักษิณ ชินวัตร ให้ล้มละลายกลายเป้นคนจน ไม่มีแผ่นดินอยู่   เอาไปโอ้อวดบ่อย ๆ ทางเอเอสทีวี  บ่อย ๆ ว่าถ้าทักษิณ เป้นคนดีแล้วตาบัวไม่สาปแช่งให้พังลงอย่างนี้

แล้วตาบัวก็ยังเกณฑ์พระป่าร่วม 1000 รูปมาทำพิธีคว่ำบาตรทักษิณ ในวัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพ

 

ผมว่า  เจ๊กลิ้มนี้ฉลาดกว่าตาบัวอีก  ทำได้อย่างไร เอาตาบัว มาเป้ฯเครื่องมือได้   แล้วอย่างนี้น่ะหรือ  อรหันต์  ......อรมหันต์ มากกว่า 

ผู้แสดงความคิดเห็น นายธรรมดา วันที่ตอบ 2012-09-19 12:54:56


ความคิดเห็นที่ 28 (3347742)

เจ๊กลิ้มนี่ตัวฉิบหายของชาติบ้านเมืองครับ    นี่แหละนักโฆษณาชวนเชื่อตัวจริง

มันไปหลอกพระมาร่วมมือกับมันได้ อย่างแยบคายในความคิด คือมันมองว่าอย่างโพธิรักษ์  ตาบัวนี้  มีคุณสมบัติคล้าย ๆ กันคือ เห่อ อรหันต์     คิดว่าตนเองบรรลุอรหันต์   เจ๊กลิ้มมันรู้ใจว่าคนอย่างนี้ ถ้ายกยอปอปั้นเอาหน่อย จะขออะไรก็ได้  มันก็เข้าไปยกยอปอปั้นเอากับโพธิรักษ์  ว่า  พ่อท่านอริยะบุคคลโสดาบันโพธิรักษ์ ........   โพธิรักษ์จะยกเท้าถีบเอาก็จริง  แต่นึกไปนึกมาเจ๊กลิ้มมันมายอมเราก็ดีจะได้ประโยชน์ (คือแกคิดว่าแก่อยู่เหนือโสดาบันไปแล้ว  ระดับอนาคามี......ไปถึงอรหันต์นู่น.....โพธิรักษ์เคยพูดอวดตนไว้เช่นนี้  พอเจ๊กลิ้มไปให้เกรดว่าโสดาบันก็ขัดใจแทบยกเท้าถีบเจ๊กลิ้ม   แต่แล้วเจ๊กลิ้มก็คือเจ๊กลิ้ม แหละ คือรู้ในใส้ดีว่าโพธิรักษ์ใฝ่สูง อยากเป็นสังฆราช ก็เลยชี้แจงว่างานต่อสู้ครั้งนี้ถึงเปลี่ยนประเทศไทยเลยนะพ่อท่าน  ถึงตรงนั้นพ่อท่านจะได้เป็ฯใหญ่ฝ่ายศาสนจักร.........เท่านั้นเอง โพธิรักษ์ที่ว่าแน่ ๆ  ก็แพ้แก่กลลวงของเจ๊กลิ้ม   เช่นนี้ จะอวดตนเองเป็ฯอริยะบุคคล  ไปทำไม  ขายหน้าที่โดนหลอกไปเป็นเครื่องมือของเจ๊กลิ้ม.........แล้วยังไง .......พัง  

 

ส่วนตาบัว  ก็ยิ้มกริ่ม   คอยเงี่ยหูฟังแต่ว่าใครจะชมเชยเรารอบทิศ   ไม่ฟังอะไร  คอยฟังแต่ว่า ใครจะตาถึงเราบ้าง    เจ๊กลิ้มมันฉลาดจะตาย มันรู้ใจตาบัวอยู่แล้ว   มันก็หมอบคลานไปยกย่องเอาว่า ท่านพระอริยบุคคลผู้ยิ่งใหญ่แห่งอีสาน....... เท่านั้นเอง  จะใช้อะไรก็ได้

 

 

ที่พูดนี้ก็เพื่อจะให้เห็นเล่ห์เหลี่ยมของเจ๊กลิ้มมัน  ชอบไปยกยอปอปั้นพระ ๆ ว่าเป็นอรหันต์  เป็นอริยบุคคล อย่างนั้นอย่างนี้   โดยโง่เขลาไม่รู้ธรรมะในพระพุทธศาสนาเลย   ก็เพื่อจะเอาไปใช้ประโยชน์ตามหลักการโฆษณาชวนเชื่อหลักที่ว่า   อ้างอิงสถาบัน  หรือมาจากหลักทางฝรั่งว่า     The sun also rises  .   ดวงอาทิตย์ก็พลอยส่องแสงกับเข้าบ้าง    นั่นแหละครับ     และเมื่อปลายเดือน ก.ย.2555 นี้เจ๊กลิ้มก็เข้าไปกราบหลวงตาอีกรูปหนึ่ง  ไปยกย่องใหญ๋เลยว่า  หลวงปู่บุญมี  โชติพโล เป็นอริยะสงฆ์ของชาวอุบลราชธานี  ดินแดนของพระอรหันต์ที่มีมากที่สุดในประเทศไทย

 

ดูพฤติกรรมทรามสุดยอดผนวกกับความเขลาของเจ๊กลิ้มมัน .....

 

มันไม่รู้หลักสูตรนักธรรมตรีโทเอกเลย  เปรียญก็ไม่รู้ มันจะไปทึกทักเอาอย่างไรว่าพระองค์ใดเป็นพระอริยบุคคล ไม่เป็นพระอริยบุคคล  มันไม่รู้สัจธรรมของพระอรหันต์ที่ว่าหมู่อรหันต์ย่อมรู้ในความเป็นอรหันต์   มันจึงเป็นได้แค่กลการโฆษณาชวนเชื่อของเจ็กลิ้ม  เท่านั้นเอง   หรือมิฉะนั้นมันก็เป็นอรหันเสียเอง  ............

ไอ้หมอนี่แหละตัวการทำลายสถาบันเสียเอง   ทั้งสถาบันกษัตริย์ และศาสนา ทำลายตาบัว ทำลายโพธิรักษ์  และพระรูปอื่น ๆ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น นายธรรมดา วันที่ตอบ 2012-10-15 16:38:08


ความคิดเห็นที่ 29 (3347886)

ผมว่าตาบัวไม่ใช่พระอรหันต์หรอก เพราะพระอรหันต์อะไรจะพูดเช่นนั้น   ดูแกอยากเด่นอยากดังเหลือเกิน  อุตส่าห์พิมพ์ข้อความ ที่บ่งบอกถึงความเป็นอรหันต์ปิดภาพตนเองออกโฆษณาไปทั่วโลก  เป็นเชิงว่าข้านี่แหละพระอรหันต์ 

 

ไม่เข้าใจว่าทำไปเพื่ออะไร

ที่ว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา เราจะไม่ขอมาเกิดอีกตลอดอนันตกาล   ..........   คนเขาไม่เข้าใจหรอก  มาเกิดอีกหรือไม่มาเกิดอีกไม่มีความหมายอะไร   มีความหมายอะไรคนเขาไม่เข้าใจ   .............หรือจะเป็นอย่างที่ตอบโต้กันข้างต้น   ที่ว่าไม่มาเกิดอีกเพราะตกนรก ใช้โทษในนรกไม่หมด......

 

และที่สำคัญมันก็เป็นเรื่องของตาบัว  จะมาเกิดหรือไม่มาเกิดก็เรื่องของตาบัว   เอามาประกาศทำไม    ............   ที่สำคัญมันพิศูจน์ไม่ได้  มีใครพิศูจน์ได้ว่าตายแล้วไปไหน  ปู่ย่าตายายตาบัวเองตายแล้วเกิดอีกหรือไม่เกิด. ตาบัวรู้หรือ?   พิศูจน์ได้อย่างไร ?    แล้วพูดไปทำไมในเรื่องที่พิศูจน์ไม่ได้ .........  ผมก็เลยมั่นใจว่า คนที่พูดคำนี้ใครก็ตาม  ไม่ใช่พระอรหันต์อย่างแน่นอน 

 

แล้วเป็นอะไร?

 

ก็ไม่แน่ครับ   อาจจะเป็นโรคจิตชนิดหนึ่งก็ได้  โรคชอบยกตนเป็นอะไรที่เหนือ ๆ มนุษย์   แพทย์เพิ่งค้นพบใหม่ที่ว่า  โลกาเมเนีย  นี่แหละ ...........   ก็เฉียด ๆ บ้าละครับ ......  เขายกตัวอย่างจิม โจนส์ ที่พาสาวกฆ่าตัวตายหมู่ในนิคมชาวคริสต์ในอาฟริกา  หลายสิปปีก่อน ...........เขาพิศูจน์ได้ว่า  บ้า วิกลจริตชนิดหนึ่ง หลงตัวเอง หลงภาพหลอนว่าพระเจ้าสั่งอย่างนั้นอย่างนี้  และที่สุดพระเจ้าสั่งให้รีบ ๆ ไปอยู่กับพระองค์บนสวรรค์.................. ก็พาสาวกร่วมร้อยฆ่าตัวตายหมู่เป็นข่าวใหญ่ในเวลานั้น   นี่บ้าจริง ๆ   ....

 

ที่ผมไม่เข้าใจก็คือแกโกรธอิจฉาทักษิณ ชินวัตรไปทำไม ?......พระอรหันต์ย่อมใจบริสุทธิ์  ให้อภัยได้ทั้งมิตรและศัตรู  ต่างหาก ........นี่แกยังแบ่งข้าง   ว่าฝ่ายเขาฝ่ายเราอยู่  ...

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น กงจักร เสมาคำ วันที่ตอบ 2012-10-16 20:22:42


ความคิดเห็นที่ 30 (3347890)

โพธิรักษ์นี่แกเป็นกว่าอรหันต์นะครับ    ก็แกยกตนเป็นพระโพธิสัตว์   ไปดูที่สำนักราชธานีอโศก  มีแดนพระโพธิสัตว์  มีประวัติโพธิรักษ์ ไว้โอ้อวกมวลชน .........

 

นี่แหละพวกโฆษณาชวนเชื่อ

แต่โพธิรักษ์นี่ทำไปโดยเขลาบ้องตื้นมากกว่า

 

เห็นได้จากไปชุมนุมกับพวกพันธมิตรเมื่อไร ทำอะไรบ้าง  ไปยึดทำเนียบ ไปปิดกั้นถนนหนทาง  ปิดเส้นทางพระราชดำเนิน ไปยึดทีวี ไปยึดสนามบิน ไปก่อเรื่องที่สภา เมื่อไร  มีคนจากสาขาของตนจากสาขาไหนบ้าง  ไปทำอะไรกับเขา    แกเอาไปรายงานไว้หมดแหละในหนังสือสารอโศกของแก    เอาไปเป็นหลักฐานการก่อการร้ายได้ เป็นอย่างดี................คือบ้องตื้นน่ะ...................คนอะไรบันทึกหลักฐานการกระทำผิดของตนเอาไว้หมด บ้องตื้นขนาดนี้ ......... เหมือนคราวที่เป็นคดีกับฝ่ายมหาเถรนั่นแหละ ...........แกไม่เข้าใจว่าแกทำผิดกฎหมาย ..........  แกกระทำสิ่งที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่าทำเป็นผิด  .............   แกก็ไปอ้างต่อศาลว่าตนเป็นพระสงฆ์ เป็นอริยะบุคคล  โสดาบัน สกทาคามี โพธิสัตว์............แล้วโพธิสัตว์จะทำผิด มีเจตนาชั่วร้ายได้อย่างไร ......  คือแกไม่รู้อะไรเป็นกฎหมาย ........แกไม่ได้เอาหลักฐานทางกฎหมายมาสู้  แกไปเอาเรื่องราวจากโลกสวรรค์นิพพานซึ่งศาลเขาฟังไม่รู้เรื่องมาพูด .......  ก็แพ้คดี ............  ต้องเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น  สมณะโพธิรักษ์   สมณะอโศก  ห้ามแต่งกายเลียนแบบสงฆ์  หวิดถูกให้สิกหาลาเพศไปโดยเขลา  ..............  นี่คือบ้องตื้น  เป็นอริยบุคคลอย่างไรไม่รู้เรื่อง  กระทั่งว่าโดนเจ๊กลิ้มหลอกไปใช้งาน ยังไม่รู้เรื่องเลย  พอ ๆ กับตาบัว  อริยะหันบ้านตาดนั่นแหละครับ       ตลกจริง ๆ  !!!!

 

ถ้าจะเอาพวกสันติอโศกนี้ไปดำเนินคดีก่อการร้าย หรือหมิ่นพระบรมเดชานุภาพฐานยกพวกปิดเส้นทางพระราชดำเนินละก็  ไปเอาหลักฐานได้เลยจากหนังสือสารอโศก  บันทึกไว้หมดแหละครับ   แถมแจกจ่ายไปทั่วประเทศด้วย     ตลกน่าสมเพชที่สุด !!!!

 

ผู้แสดงความคิดเห็น กงจักร เสมาคำ วันที่ตอบ 2012-10-16 20:55:03


ความคิดเห็นที่ 31 (3348244)

กรณีจิมโจนส์ ความเห็นที่ 29 มีข้อเท็จจริงดังข้างล่างนี้ครับ ขอแก้ไขข้อมูลหน่อย ;-

 

ในวงการศาสนาคริสต์เองก็ได้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ทำนองเดียวกันนี้ที่โลกตื่นตระหนกก็คือ กรณี จิม โจนส์ ซึ่งเป็นบาทหลวงคริสต์ เดิมอยู่อเมริกาแล้วพาสาวกไปอยู่ในดินแดนพระเจ้าที่เมืองโจนส์ทาวน์ประเทศกายานา ในอเมริกาใต้ โดยสร้างเป็นนิคมขึ้นมาแล้วเกิดคุ้มคลั่งเพราะวิกลจริตพาสาวกฆ่าตัวตายหมู่ทั้งหมด รัฐบาลอเมริกาพบศพทั้งหมด 900 ศพในนิคมนั้น อีกกรณีหนึ่งเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2543 นี่เอง บาทหลวงคริสต์เช่นเดียวกัน คราวนี้พาสาวกฆ่าตัวตายที่ประเทศอูกันดา ไม่น้อยกว่า 500 ศพ แต่กรณีนี้พบในภายหลังว่า บาทหลวงหัวหน้าไม่สุจริต เพราะหลอกลวงสาวกให้รวบรวมเงินมาให้ตามคำสั่งของพระแม่มาเรีย แล้วให้ฆ่าตัวตายไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์ ส่วนตนเองหอบเงินและทรัพย์มีค่าหายตัวไป เหตุผลที่อ้างในการฆ่าตัวตายก็คืออ้างว่าพระเจ้ามีบัญชาให้ไปอยู่กับพระองค์บนสวรรค์นั่นเอง พวกนี้จึงหลงเพ้อเจ้อไปจนต้องพลีชีพ

            แต่นี่เป็นเรื่องของความผิดปกติทางจิตใจ และระวังว่าจะเป็นโรคจิตชนิดร้ายแรง คลุ้มคลั่งฆ่าตัวตายได้เหมือนกัน
 
จาก ดีเล่ม 35
ผู้แสดงความคิดเห็น บก. วันที่ตอบ 2012-10-21 11:00:22


ความคิดเห็นที่ 32 (3351916)

ในวันที่ 24 พ.ย.2555  โพธิรักษ์ นำพวกที่นุ่งเหมือนกันผ้าย้อมกรัก....เลียนแบบสงฆ์มหาเถรสมาคม(ซึ่งผิดกฎหมาย)  คือนักบวชสันติอโศกนะครับจำนวนร่วมร้อย ไปร่วมชุมนุมกับกบฏเสอ้าย ...........เห็นโดนแก๊สน้ำตาวิ่งกันกระเจิงไปกับพวกม็อบ.   โพธิรักษ์ ซึ่งพวกนั้นเรียกว่าพ่อท่านนี่ ก็จะต้องถูกดำเนินคดีกบฏด้วยจึงจะถูก  ......   แต่อย่างว่าครับ  แกไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแกทำผิดอะไร ......พระอาริยะบุคคลอย่างไร  ไม่รู้ว่าตนทำอะไร  ผิดกฎหมายบ้านเมืองเขาอย่างไร    

ผู้แสดงความคิดเห็น นายธรรมดา วันที่ตอบ 2012-11-28 19:43:36


ความคิดเห็นที่ 33 (3351917)

ตัวบุคคลต้นเรื่องก่อความรุนแรงก็คนพวกนี้ พวกถือศีลกินเจ กินผักกินหญ้านี้เอง คือ ร.ต.แซมดิน เลิศบุศป์  ขับรถหกล้อติดเครื่องขยายเสียงบุกแนวกั้นของตำรวจลุยฝ่าเข้าไปก่อน.......แล้วเกิดดันกัน แล้วมีพวกสันติอโศกโยนระเบิดแก๊สน้ำตาใส่ตำรวจก่อน  ตำรวจจึงโยนแก๊สน้ำตาไล่ ......ตรงนี้ด้านสะพานมัฆวาน.............  

ผู้แสดงความคิดเห็น นายบัฟฟาโล(นายควาย) วันที่ตอบ 2012-11-28 19:51:10


ความคิดเห็นที่ 34 (3353852)

นั่นแหละพวกครึ่งคน รู้อะไรรู้ด้านเดียว  แล้วดันไปอวดรู้ในเรื่องที่ตนไม่รู้เลยเสียอีก   คือพวกสันติอโศกนี่ไม่รู้เรื่องกฎหมายบ้านเมืองเลย แต่พยายามแสดงบทบาทที่เกี่ยวกับการปกครองบ้านเมือง    ความจริงมีพรรคของสันติอโศกชื่อว่า  พรรคเพื่อฟ้าดิน  ตอนสมัครเลือกตั้ง พ.ค. 2554 เห็นยายแก่เดินกระย่องกระแย่งไปจับฉลากกับเขา .........  ดูแล้วภาพมันไม่ให้......เหมือนคนบ้านนอก ๆ มาจากไหนก็ไม่รู้............แล้วตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาทำไม  ก็ไม่รู้อีกเหมือนกัน .......  รวมแล้วเหมือนพวกสติไม่ค่อยสมประกอบ   ยกพวกไปร่วมกับเสอ้าย เข้าใจหรือเปล่าว่าเป็นเรื่องการเมือง ........เราไปในนามอะไร ถ้าไม่ใช่ในนามพรรคเพื่อฟ้าดิน

ผู้แสดงความคิดเห็น นายธรรมดา วันที่ตอบ 2012-12-20 20:54:31


ความคิดเห็นที่ 35 (3355643)

กลับมาเรื่องโฆษณาชวนเชื่อต่อ.....

 

ประเด็นคือ ทำไมโฆษณาชวนเชื่อแล้วคนเชื่อ ?

ผู้แสดงความคิดเห็น นายธำรงค์ สนธิประชา วันที่ตอบ 2013-01-12 19:52:20


ความคิดเห็นที่ 36 (3355644)

เพราะเขาลงทุนมากครับ

เช่นธรรมกายนี่ลงทุนซื้อกุหลาบจนหมดประเทศไทย  ต้องไปเอามาจากต่างประเทศอีก  เพื่อให้พระอรหันต์เดินธุดงค์....... คนก็ตื่นว่าเป็นพระอรหันต์จริง ..........   คนยุคนี้มีปัญหามาก  พวกเขาคิดเพียงว่า  ถ้าได้พบพระอรหันต์แล้วก็เป็นบุญ จะพ้นเคราะห์ พ้นทุกข์โศรก    คิดง่าย ๆ เช่นนี้ ......

ธรรมกายนี้เขาได้แบบการโฆษณาชวนเชื่อมาจาก ไสยบาบา ไง เป็นลูกศิษย์ไสยบาบา  เช่นไสยบาบาโฆษณา  ว่า  มีคนเห็นไสบบาบาอยู่ในดวงจ้นทร์ มีภาพถ่ายยืนยัน  คนก็ตื่นไปทั้งโลก   ธรรมกายเอาบ้าง  ว่าหลวงพ่อสดอยู่ในดวงจันทร์เหมือนกัน ....... ปั้นแต่งเรื่องแม่ชีปัดลูกระเบิดปรมาณุขึ้นมา ...    หลอกคนไทยทั้งประเทศ  

ผู้แสดงความคิดเห็น นายตาดี วันที่ตอบ 2013-01-12 20:13:19


ความคิดเห็นที่ 37 (3355647)

นายตาดีหมายถึงใครครับ ไสยบาบา

องค์ภควันต์ ศรีสัตยา ไสยบาบา หรือเปล่า...............  นี่แค่ตั้งชื่อให้ตัวเองก็เกินโฆษณาชวนเชื่อแล้ว ...  ในหนังสือนางนวลจันทร์ เพียรธรรม  สานุศิษย์ผู้เลื่อมใส ชาวสุราษฎร์ กล่าวว่าพระองค์คือพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป ที่จะอวตารกลับมาหลังจากที่พระพุทธศาสนามีอายุได้ 5000 ปี ......เป็นองค์อวตารของพระเป็นเจ้ากฤษณะ  มาเป็นศาสดาองค์ใหม่สุดของโลก

 

อาจารย์ของ ดร.อาจอง ชุมสาย เคยเป็นผู้แทนราษฎรสังกัดพรรคพลังธรรม ผู้เลื่อมใสจนจัดตั้งสำนักมูลนิธิสัตยาไส   เคยมีพระสงฆ์ดัง ๆ ของไทยไปถวายสักการะมาแล้ว นับแต่นิกร ธัมมวาที เชียงใหม่  อาจารย์จำเนียร วัดถ้ำเสือ กระบี่  และกิตติวุฑโฒ บางละมุง ชลบุรี ........

นี่แหละต้นตำหรับโฆษณาชวนเชื่อกระเดื่องโลก  และเข้าประเด็นที่ตั้งนี้คือ ทำไมโฆษณาชวนเชื่อคนจึงเชื่อ ? 

ผู้แสดงความคิดเห็น กงจักร เสมาคำ วันที่ตอบ 2013-01-12 21:10:28


ความคิดเห็นที่ 38 (3355891)

ไสยบาบา  เมื่ออายุ 14 ปีก็ประกาศตนเป็นองค์อวตารของพระเป็นเจ้า  ..........และว่าจะขอทำหน้าที่ที่สวรรค์มอบหมาย......

คนเดียวกับที่ กงจักร เสมาคำพูดถึงแหละครับ  คนนั้นแหละ  จอมหลอกลวงโลกแห่งยุคนี้   

ผู้แสดงความคิดเห็น นายตาดี วันที่ตอบ 2013-01-15 14:16:50


ความคิดเห็นที่ 39 (3355922)

หัวฟู ซาดิสม์ องค์ภควันต์ ศรีสัตยา ไสยบาบา พระเจ้าของคนโง่เง่า

พอตายลง  มีทรัพย์สินถึง 5.5 พันล้านปอนด์

ก่อนตายเป็นอัมพาต เคลื่อนไหวไม่ได้  นอนอยู่กับที่ ....แล้ววันหนึ่งก็ประกาศจะลุกขึ้นเดินให้ประชาชนดู ......  ปรากฎว่าลุกขึ้นยืนได้จริง ๆ ต่อน้าประชาชนมหาศาล ..... โบกไม้โบกมือให้ดูแล้วเดินลงไป........   แล้วไม่นานก็กลับเหมือนเดิม และที่สุดเสียชีวิต  รายงานว่า ตายเพราะหัวใจล้มเหลว

 

แกหลอกลวงแม้กระทั่งปีเกิด เดือนเกิด  ไม่มีใครแน่ใจว่าแกเกิดปีไหนแน่  แต่พวกศิษย์ ๆ สาวกว่าวันตายอายุได้ 85 ปี เกิด ค.ศ. 1926 ตาย ค.ศ.2011  หลังตายก็มีเบื้องหลังโผล่เยอะแยะ  เช่นเป็นคนวิปลาตทางเซกส์ เสพกามกับเด็กหญิงจนเสียชีวิตไปมากมายหลายคน  เป็น ซาดิส  ที่รัฐบาลอินเดียเพ่งเล็ง  และรัฐบาลสหรัฐได้เตือนประชาชนของตนไว้   

 

เป็นนักเล่นกล    สิ่งที่เปิดเผยออกมาล้วนมาจากคนที่ใกล้ชิด เช่น  Gethin Chamberlain เขียนเอาไว้เมื่อ 24 เมษายน 2555  เป็นต้น  คนพวกนี้เป็นนักวิจัย ได้ประกบติดพฤติกรรมไสยบาบามานับสิบ ๆ ปี เพื่อศึกษาวิจัยหาความจริง เกี่ยวกับคน ๆ นี้ และสิ่งที่เปิดเผยออกมาล้วนเป็นทางลบของไสยบาบาทั้งสิ้น  ......

เป็นนักโฆษณาชวนเชื่อตัวยง  ซึ่งมีวิธีการโฆษณาชวนเชื่อ ที่เป็นแบบอย่างของหลายสำนัก เช่นธรรมกาย ในประเทศไทย เป็นต้น 

 

 

ทำไมคนจึงเชื่อ  ก็เพราะแกสร้างตนเป็นพระเจ้า   และอินเดียมีคนโง่มาก ๆ  คนฉลาด ๆ เช่นสมาคมเหตุผลของอินเดีย ก็ได้โอกาสเตือนสติคนที่หลงเชื่อว่า   เห็นไหม  ที่ประกาศเอาไว้ว่าจะตายเมื่ออายุ 91 แต่ตายก่อนแค่อายุ 85  ก็แสดงว่าไม่ใช่พระเจ้าแล้ว .....และเห็นไหม ตัวเองยังเป็นอัมพาต กระดุกกระดิกไม่ได้ แม้จะช่วยตนเองไม่ได้แล้วจะไปช่วยใครได้ ...........

 

ผู้แสดงความคิดเห็น กงจักร เสมาคำ วันที่ตอบ 2013-01-15 21:53:43


ความคิดเห็นที่ 40 (3355925)

ดูว่าการโฆษณาชวนเชื่อ ต้องลงทุนทุกอย่าง  ทางจิตใจก็ต้องมาก  เช่น   แม้เป็นอัมพาตนอนกับที่มาหลายปีแล้ว  ก็ยังตั้งใจจะแสดงว่าตนได้พลังวิเศษจากพระเจ้า ให้หายจากอัมพาตฉับพลัน  อันนี้หมายถึงจิตใจที่รวมพลังมาอย่างสุด ๆ  มีเรี่ยวแรงเท่าไรระดมมาให้หมด  เพื่อให้การหลอกลวงของตนเองน่าเชื่อ .......... แล้วก็ทำได้จริง ๆ   .....   คนเชื่อเลยว่านี่คือกฤษณะอวตารมาเอาชนะความเกิดแก่เจ็บตายได้จริง......แต่ก็ได้แค่นั้น พอลับตาคนก็ล้มลงไปใหม่  และยังไง   ก็ตาย........แล้วตายก่อนที่คุยโม้เอาไว้เสียด้วย  คือคุยโม้เอาไว้ว่าตนกำหนดวันตายได้ จะตายเมื่ออายุ 91 ปี ซึ่งจะตรงกับพ.ศ. 2561 แล้วยังอวดต่อไปอีกว่าพอตายแล้วก็จะกลับมาเกิดใหม่ เพราะภาระกิจเมตตาต่อมนุษย์ในยุควินาสน์นี้ยังไม่สำเร็จ  จึงต้องมาเกิดใหม่เพื่อสืบทอดงานช่วยชาวโลกให้พ้นภัยต่อ โดยบอกว่าจะมาเกิดใหม่เป็นคน และต้องชื่อศาสดา  เปรมใส

เห็นไหมครับ    คนหัวฟูคนนี้กล้าโอ้อวดอย่างแรงไปทุกเรื่อง ๆ    คนก็เลยเชื่อ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น กงจักร เสมาคำ วันที่ตอบ 2013-01-15 22:40:31


ความคิดเห็นที่ 41 (3356021)

กลที่ไสบาบาเล่นหลอกลวงประชาชน ว่าเนรมิตเอามานั้น  ทางสื่อมวลชนอินเดีย และบีบีซี จับโกหกได้ทุกครั้ง  ส่วนมากเป็นกลเรียกของวิเศษของพระเจ้ามาจากอากาศ มาเข้ามือ แล้วมอบตอบแทนแด่เจ้าภาพผู้บริจาคจำนวนมาก......... นักเล่นกลมืออาชีพ ที่มาอธิบายกลของไสยบาบาบอกว่า  เป็นการแสดงกลที่ราคาถูก ๆ เท่านั้นเอง

ผู้แสดงความคิดเห็น กงจักร เสมาคำ วันที่ตอบ 2013-01-16 22:02:24


ความคิดเห็นที่ 42 (3356022)

มีคลิปวีดิโอ ถ่ายเก็บภาพการแสดงของไสยบาบาเอาไว้แทบทุกครั้ง  เขาเอามาเผยแผ่เพื่อเตือนว่า นายคนนี้เป็นนักเล่นกล

เช่น  After the Death of Sattaya Sai Baba his Tricts completely exposed  หลังการตายของสัตยา ไสยบาบา  กลโกงของสัตยา ไสยบาบาก็ได้รับการเปิดเผยอย่างล่อนจ้อน

TV9  Bala  Sai Baba plays tricks again on hs birth day  ทีวี 9 บาลา  ไสยบาบาเล่นกลโกงอีกแล้ว ในวันเกิดของตนเอง

Sai Baba is he cheating?     ไสยบาบาขี้โกงใช่ไหม?

 

ผู้แสดงความคิดเห็น นายตาดี วันที่ตอบ 2013-01-16 22:14:02


ความคิดเห็นที่ 43 (3356025)

 

ภาพนี้ เอากุหลาบมาแกะกลีบ โปรยไกลหลายกิโลเมตร  จนกุหลาบเมืองไทยไม่พอ ต้องซื้อเพิ่มเติมจากต่างประเทศ   มองเหมือนการสร้างภาพว่า หมู่เราเป็นพระอรหันต์แล้ว  เร่งมาทำบุญกับเรา.....

 

ผู้แสดงความคิดเห็น สุไหงปาดี ชินะกุล วันที่ตอบ 2013-01-16 22:28:55


ความคิดเห็นที่ 44 (3356026)

   เป็นเรื่องทุเรศจริง  

ผู้แสดงความคิดเห็น เรืองวิทย์ วันที่ตอบ 2013-01-16 22:31:53


ความคิดเห็นที่ 45 (3363968)

เป็นศิษย์เดินตามก้น ศรีสัตยา ไสยบาบา  องค์กฤษณะอวตาร ยุคใหม่ของอินเดีย   (ตายไปแล้ว)    ..... ทำโฆษณาชวนเชื่อคล้าย ๆ กัน   มุ่งหาเงินหาทองเป็นหลัก   ได้เงินมาก็เอามาโปรยหว่านซื้อสาขาไปทั่วประเทศ  ..........   ก็บริหารเงินจำนวนมหิมาไปเพื่อการสร้างภาพทั้งนั้น  เพื่อการขยายสาขาออกไปทั้งนั้น

 

สาขาก็ได้มาจากท้องที่ที่ยากจน  ..........   อยู่ในอาณัติ ธรรมกาย ก็มีเงินทำอะไร ๆ 

 

ที่ว่าเป็นศิษย์ ไสย บาบา ตาเฒ่าหัวฟู   ก็มีชัด ๆ   คือศรีสัตยา  ลอยในดวงจันทร์    มีภาพปรากฎในดวงจันทร์ .....ถ่ายภาพได้.......   ซึ่งมุขนี้ทางธรรมกายก็เอามาแหกตาประชาชนเช่นกัน   อยู่ ๆ ก็ตะโกนกันว่า  หลวงพ่อสดอยู่บนดวงจันทร์  ดู ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ   เห็นหรือไม่เห็นก็ว่าตามกันไป ........................ แต่นี่คือการโกหกหลอกลวงประชาชน  ผิดวิสัยสมณะ ในพระพุทธศาสนา 

 

ไสยบาบา ว่าตนสวมแหวนกฤษณะ   เล่นกลให้คนดู..................คว้าเอาแหวนมาจากอากาศ................ซึ่งนักเล่นกลตัวจริงเขาว่ากลเช่นนี้เป็นเพียงวิชากลราคาตลาด ๆ  คือราคาถูก ๆ ที่นักเล่นกลมือสมัครเล่นแบกะดินเล่นกัน  เท่านั้นเอง    แต่เขาก็หลอกคนอินเดียได้ทั้งประเทศ  .........................ทางลูกศิษย์ก็มีทัวสวรรค์ นรก   มีอัญมณี มีหัวแหวนวิเศษ   ฯลฯ......................

 

เลยโดนฟ้าผ่า........  ขณะมีงานใหญ่........  ตายไปคนหนึ่ง

 

 

 

 

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น นายตาดี วันที่ตอบ 2013-04-19 09:52:31


ความคิดเห็นที่ 46 (3363970)

ถังแตกแล้วครับ.................ฝืดแล้ว..........คอยดูต่อไป ว่าเขาจะหาทางรีดเงินประชาชนแบบไหน

 

ผู้แสดงความคิดเห็น คนนอก วันที่ตอบ 2013-04-19 09:58:06


ความคิดเห็นที่ 47 (3368401)

เมื่อถังแตกก็หันมาเล่นงานกระทรวงศึกษาสิครับสั่งเป็นหนังสือเลยให้ครูนักเรียนไปอบรมครูจะทะเลาะกันก็ปี56นี่แหละครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น คนรักศาสนา วันที่ตอบ 2013-06-14 22:08:27


ความคิดเห็นที่ 48 (3368665)

มีหลายแห่งปลุกเสกเครื่องรางของขลังปีละหลายครั้งไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร แต่ก่อนผมก็เชื่อว่าเครื่องรางจะช่วยให้รวยได้ซื้อมามากแต่ก็เหมือนเดิม ถ้าอยากจะมีชีวิตที่ดีขึ้นจงหมั่นบูชามือเท้า สมอง ของตนเองเพิ่มความขยันอดทนได้ผลกว่าหวังพึ่งสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่สอน คนรวยคือพวกขาย คนซื้อจนลงครับ มีที่ไหนพระรวยกว่าชาวบ้าน ใครที่สอนให้ทำบุญเพื่อให้รวยอย่าไปเชื่อมัน มันไม่เป็นเหตุ เป็นผลสมมุติว่าเราหิวข้าวจะมานั่งสวดมนต์อ้อนวอนให้เครื่องรางของขลังเอาอาหารมาให้กินกับคุณเดินไปกินเองเองอันไหนมันจะได้ผลมากกว่ากัน บางทีคนที่เรากราบไหว้นั้นคุณธรรมไม่ดีเท่าเราก็มี ว่าคนที่ไม่ดีส่วนคนดียกย่องไว้ยังมีเยอะพระที่สอนแต่ธรรมมะตรงด้วย...ดูพระปลอมง่ายนิดเดียวคือ รวยเงินทรัพย์สมบัติไม่ชอบให้คนอื่นชอบแต่เอาเข้าหาตนเอง

ผู้แสดงความคิดเห็น คนไทย วันที่ตอบ 2013-06-18 17:10:33


ความคิดเห็นที่ 49 (3368851)

 

เอาเข้าแล้ว   ภาพว่อนในเฟสบุ๊คและอินเทอเนต

นี่ไง เด็ก บวชเณร แล้วยกตนเป็นหลวงปู่เณรคำ เพราะบรรลุอรหันต์

ภาพล่างขวามือ  ผมเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่านอนกับสีกา เป็นปราราชิกไปแล้ว .............. ภาพเหล่านี้ ทำให้รำลึกเหตุการไล่สมีใหญ่คนก่อน  คือยันตระ อมโร   ภาพโรงแรม  ภาพทำอะไรแปลก ๆ  ..........  นี่มีได้กับ อรหันต์เก๊ จริง ๆ 

ผู้แสดงความคิดเห็น บัวระย้า ชะบาบุญเสฏฐ์ วันที่ตอบ 2013-06-20 21:25:52


ความคิดเห็นที่ 50 (3368853)

 

 

ที่จริงนี่คือคนวิปลาสน์ เข้าใจตนเองผิดไป ว่าบรรลุธรรมสูงส่ง  เท่านั้นเอง  ก็เหมือนคนวิปลาสน์ ขาดสติสตังเท่านั้นเอง   และที่น่าแปลกใจมาก ๆ ก็คือ  คนที่แวดล้อมเขา เช่นฆราวาส ในภาพนี้ ...........ทำไมโง่จังเลยนะ........

ผู้แสดงความคิดเห็น บัวระย้า ชะบาบุญเสฏฐ์ วันที่ตอบ 2013-06-20 21:44:52



[1] 2 ถัดไป >>


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.