ความเป็นมาของวัดของฉัน หรือวัดของเรา
You can click to see the English translation.
ประวัติย่อของพระครูพุทธิพงศานุวัตร(พระ ร.อ.พยับ ปัญญาธโร)
อดีต เลขานุการเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ(พระเทพวรมุนี เสนปัญญาวชิโร) ,
ผจล. วัดมหาพุทธาราม ศรีสะเกษ
อดีตผู้ที่ได้สละราชการทหารอันสูงเกียรติ์มาสู่การแสวงหาสัจธรรมอันสูงสุดของพระพุทธศาสนา
ด้วยเวลาตั้งแต่หนุ่มจนถึงแก่วัยชราภาพจึงสำเร็จผ่านสู่เส้นชัยชนะได้อย่างสมบูรณ์
16วัน15คืนเตโชกสิณ -สมาธิในป่าช้าโพนเขวา พ.ศ.2533 มีดนตรีผีปีศาจกล่อมแบบถล่มป่าทั้งคืนสุดท้าย
16วัน15คืนในภาพขณะทำเตโชกสิณ ในป่าช้าโพนเขวา ที่คนเก่งไสยศาสตร์บอกว่าถามหาป่าช้าผีดุ ก็นี่แหละป่าช้าผีดุที่สุดละ ไปคนเดียวโดดเดี่ยวห้ามคนเข้าไปหา ได้พบผีปีศาจมากมาย และคืนวันที่ 11 มีดนตรีป่าช้า มาเร่ิมแสดงให้ฟังตั้งแต่สองทุ่มไป จนถึงตีสอง แบบถล่มป่า คือเสียงดังสนั่นหูแทบแตก ไปเลย ต้นไม้ใบไม้หวั่นไหวไปหมด จากป่าช้าไทยโพนเขวาไปต่อป่าช้าจีน สุสานสุขาวดีอีก 21 วัน มาเล่นดนตรีให้ฟังแบบเดียวกันถึง2คืน
21วัน20คืนมาธิโดดเดี่ยวคนเดียวในป่าช้าจีนกว้างใหญ่ถึง500ไร่ มีดนตรีป่าช้าบรรเลงกล่อมแบบถล่มป่าอยู่2คืน
21วัน20คืนทำสมาธิวิปัสสนาคนเดียวโดดเดี่ยวในป่าช้าจีน สุสานสุขาวดี กว้างใหญ่เป็นป่าพงดงปีศาจ 500 ไร่ เดือน พ.ค.2533 ต่อจาก โพนเขวา ในเดือน เม.ย.-พ.ค.2533 วันเกือบสุดท้ายมีดนตรีป่าช้าบรรเลงกล่อมแบบถล่มป่าคือดังสนั่นหวั่นไหวแทบหูแตกเกือบตลอดคืน คืนแรกตะโกนบอกไปว่า สู้โพนเขวาเขาไม่ได้ เลยมาแก้ตัวอีกคืนหนึ่ง เป็น 2 คืน แบบถล่มป่าช้ากันเลยทั้ง2คืน
ศึกษาภาคธรรมปฏิเวธแห่งการธุดงค์
เป็นพระอาจารย์วิปัสสนา(พระวิปัสสนาจารย์) 1. ในโครงการอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติ์ ร.9ระหว่างวันที่ 25 ก.ค.-13 ส.ค.2550 2. โครงการอุปสมบทถวาย 100 วันสวรรคต ร.9 ระหว่างวันที่ 16 ม.ค.-25 ม.ค.2560 พระบวชถวาย 189 รูป ณ วัดมหาพุทธาราม พระอารามหลวง
เป็นความริเร่ิมมาตั้งแต่หลายปีมาแล้ว โดยเร่ิมลงประกาศใน เวบไซต์ของเรา วันที่ 10 พ.ค. 2555 เวลา 08.32 น. ขณะนั้น พระร.อ.พยับ เติมใจ(พระพยับ ปัญญาธโร หรือ พระครูพุทธิพงศานุวัตร) มีอายุ 69 ปี 9 เดือนเศษ ๆ ได้ดำริว่า น่าจะได้นำธรรมะที่ท่านได้รู้ได้ปฏิบัติมา มีประสบการณ์มาล้วน ๆ ร่วม 70 ปีแล้ว มาเผยแผ่ เป็นแบบที่มาจากประสบการณ์การปฏิบัติธรรม การวิจัยธรรมะภาคปฏิบัติมาชั่วชีวิตก็ว่าได้ มาเผยแผ่ให้คนทั้งหลายได้ศึกษาได้แนวทางการวิจัยธรรมะเฉพาะตนไปตามแบบแผนในด้านการปฏิบัติจริง และน่าจะเอาเรื่องที่ตนเองมีประสบการณ์มาแล้ว มาบันทึกลงไว้ โดยเฉพาะเรื่องที่ไม่มีการสอน เรียนรู้ของฝ่ายเถรวาท คือพระไทย เขมร พม่าเลย คือ วิชาปราณ จึงได้คิดตั้ง วัดของฉัน ขึ้นมา โดยคิดว่าเป็นวัดของทุก ๆ คน เป็นวัดของเรา เมื่อคุ้นเคยติดปากก็จะได้นึกคำเดียวว่า วัดของฉัน จะได้ผูกจิตผูกใจคนทั้งหลายให้คิดถึงวัดของฉันตลอด ประกอบกับเป็นเรื่องยุคใหม่ทางการสื่อสารอินเทอเนต วัดแห่งนี้แหละเป็นวัดทางอินเทอเนตแห่งแรกของโลกก็ว่าได้
ความเป็นอยู่เป็นคนธรรมดา ๆ
ไม่มีใครรู้ว่าเป็นนักสมาธิ เป็นผู้มีอิริยาบถอยู่ด้วยอิริยาบถ 3 อยู่ถึง 17 ปี
WBU [world buddhist university] workshop
เป็นประธานแผนกวิจัย นั่งหัวโต๊ะ มีคณะซึ่งล้วนมีฐานะ มีตำแหน่งนักปราชญ์และผู้ทรงคุณวุฒิ ของมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งโลกทั้งสิ้น มีท่าน ดร.ที่สวมเสื้อเขียว เป็นเพื่อนเก่าคราวคบกันสนิทคราวเป็นฆราวาส
แต่การที่เราได้จัดตั้งวัดนี้ขึ้น โดยลงประกาศในอินเทอเนตของเราวันที่ วันที่ 10 พ.ค.2555 นั้น เป็นระยะที่ เราผู้ริเร่ิมตั้งวัดนี้ คือท่านพระครูพุทธิพงศานุวัตร มีอายุเข้าจวนจะ 70 ปีแล้ว(69ปี 9 เดือนแล้ว) รู้สึกตัวเองว่าจะมีปัญหาด้านความชราภาพ อ่อนแอลง(แต่แท้ที่จริงแม้จะขนาดนั้น แต่เหมือนว่ายังหนุ่มเลย ไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยรุนแรงมาตลอดชีวิต อายุ 60 ก็เหมือนอายุ 40) แต่ที่สำคัญก็คือในขณะนั้นก็ได้รู้ตัวเองอยู่ว่ายังรู้ไม่จบ ยังมีสิ่งที่ติดใจสงสัยไปไม่ตลอดในเชิงพระพุทธปัญญาอยู่ คือยังไม่รู้แจ้งจบจนสิ้นความสงสัยในพุทธธรรม ยังไม่ถึงมรรคคผลสูงสุดนั้นเอง แต่คิดว่าเอาละ ได้รู้อะไรมาแล้ว ได้แค่ไหนก็บอก แจ้ง บันทึกเอาไว้ตามประสบการณ์มาแค่นั้นพอให้เป็นแนวทางการศึกษาภาคปฏิบัติเท่าที่ได้รู้มาประสบการณ์มา ...ฉะนั้น เมื่อได้พูดถึงเรื่องวิชา 6 ประการ คือ สมาธิ, กสิน, วิปัสนาญาณ, ปราณ, ฌาน, และ นิพพาน. จึงพูดไปไม่จบ ติดค้างอยู่ในใจตนเอง ก็เลยติดค้างอยู่ในเวบไซต์นั้น ไม่อาจจะพัฒนาวัดของเราต่อไปได้ จึงหยุดอยู่ หยุดลง และแล้วก็เกิดมาถึงวาระสำคัญของชีวิตเข้าจนได้ คือวันนที่ 11-12 เมษายน พุทธศักราช 2558 เป็นผลจากการตัดสินใจแบบหวุดหวิด ที่คิดสู้ เพราะคืนนั้นมีการปฏิบัติธรรมกันทั้งคืน และหากจะคิดหลีกเลี่ยงไม่ร่วมปฏิบัติธรรมกับญาติโยมนักปฏิบัติทั้งหลาย ก็คงจะไม่ได้ แต่ด้วยความคิดว่าตนแก่ชราแล้วป่านนี้ ถ้าหากเข้าร่วมปฏิบัติแล้ว ก็ขอเพียงให้ผ่านไปได้ตลอดคืนก็พอใจแล้ว จึงได้คิดเอาเพียงว่าจะต้องนั่งสมาธิให้ผ่านไปทั้งคืนให้ได้ เท่านั้นเองและไม่ได้คิดถึงคุณภาพอะไรเลย ขอเพียงให้นั่งอยู่กับที่ที่เดียวไปได้เท่านั้น ขณะนั้นก็อายุได้ 72 ปี 4 เดือน ตรวจตราดูวิชาต่าง ๆ ประจำตัว ก็คิดว่าดีแล้วจะได้นำหลักวิชามาใช้ทดสอบงานคืนนี้อย่างเต็มที่ ก็เลยตัดสินใจสู้ โดยนั่งสมาธิ ร่วมกับญาติโยมที่มาฉลองวันปิดทองหลวงพ่อโตคืนนั้นคับคั่งวัด คับคั่งวิหารหลวงพ่อโต ร่วม 2,000 คนเศษ ๆ และพอตัดสินใจสู้ก็เร่ิมทันทีเมื่อ 20.00น น.แต่แล้วเกิดสิ่งที่เหนือความคาดหมายไปอย่างสิ้นเชิง ไปพบอะไรที่ไม่เคยพบมาก่อน ดังภาพที่เห็นคือนั่งสมาธิแบบไม่ขยับเขยื้อน ไม่มีอิริยาบถที่ 2 เลยตลอดคืน ซึ่งได้พบความมหัศจรรย์แห่งชีวิต เพราะได้ผ่านโลกสมาธิ เลยไป ถึงโลกนิพพาน ที่ไม่เคยพบมาก่อน และรู้แจ้งธรรมะ สิ้นข้อสงสัยในพุทธธรรมไปทั้งหมดทั้งสิ้น(รู้สึกตัวเองเช่นนั้น รู้เองแบบปัจจัตตัง คนอื่นไม่รู้ด้วย) ดูภาพนั่งสมาธิ อยู่ในท่าเดียวนี้ไม่ขยับเขยื้อนเลยไปตลอดคืน(โปรดดูคำอธิบายจากข่าวดีจาก My Templeวัดของฉัน)
วิมุตติภาวะโลกนิพพาน 20.00น.- 06.00 น. คืนวันที่ 11-12 เม.ย.2558
คืนที่ได้คำกล่าวว่า ไม่มีประกาศนียบัตรใดมาแสดงเพราะเป้็นสัจธรรมอันสูงสุด
เป็นวันที่เราได้พบความสำเร็จของชีวิต ที่เราเองได้พร่ำคิดมาตลอดระยะหลังอายุเข้าชราแล้วว่าชีวิตนี้คงได้เพียงเท่านี้ ได้เพียงจุดหนึ่ง ที่แม้เราเองก็ยังไม่พอใจเลยทั้ง ๆ ที่อุทิศทั้งชีวิตเพื่อการศึกษาให้รู้แจ้งจบ แต่ได้เท่านี้แค่นี้เอง แต่แล้วก็ได้มีคืนนี้ขึ้นมาคืนวันที่ 11-12 เม.ย.2558 เป็นกรรมดีเหลือเกินที่มาพบวันสำคัญนี้จนได้ ได้พบกับความสิ้นสุดลงของชีวิตนี้ไม่เสียเปล่าเลยจริง ๆ แล้วต่อไปนี้คืออะไร?
มาวันนี้ วันที่ 18 ตุลาคม พุทธศักราช 2562 ผ่านจากวันนั้นมา 4 ปี 2 เดือน จึงได้โอกาส จัดตั้งวัดอินเทอเนต พยายามจะให้เป็นวัดอินเทอเนตแห่งแรกของโลก ที่เป็นมาตรฐานทางธรรมะ ตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ที่บัดนี้ ได้พบและจะสามารถอธิบายให้คนทั้งหลายได้รู้ ได้เข้าใจ อย่างที่ตัวเราเองไม่สงสัยในความรู้แบบเดิมอีีก แบบที่ตั้งวัดของเรามาตอนแรกปีเมื่อ 10 พ.ค. 2555 นั้น ซึ่งทำไปไม่ตลอดเพราะตัวเองยังรู้แบบไม่กระจ่างแจ้ง รู้ตัวเองอยู่ว่ายังไม่สำเร็จรู้ยังไม่ตลอด ยังระแวงสงสัยในสัจธรรมอันสูงสุดอยู่นั่นเอง นั่นคือความรับผิดชอบ ที่การสอนอะไร ต้องเป็นผลจากความรู้จริง เท่านั้น มาบัดนี้จึงมั่นใจสบายใจ อธิบายได้ทุกอย่าง ขึ้นมา
อากาสานญฺจายตนฌาน+เนวสญฺญานาสญฺายตนฌาน ในสวนลำดวน พ.ศ. 2562
สิ่งที่เราเพ่งไปในอากาศว่าง อันเป็นสิ่งปกติที่ทำมาปกตินานมาระยะหนึ่งแล้ว วันนี้จึงได้พบว่า นี่คือทำสิ่งที่ตำราว่า อากาสานัญจายตนฌาน และ เนวสัญญานาสัญายตนฌาน นั่นเอง ซึ่งชื่อในตำราน่ากลัวและนำไปคิดว่ายาก ต้องมีบารมีจริง ๆ อะไรทำนองนั้น แต่ไม่ต้องคิดไปขนาดนั้นเลย เหมือนท่านพุทธทาสท่านว่า คำว่านิพพาน คนอินเดียเดิมเขาใช้เป็นภาษาธรรมดา ๆ นั้นเองเช่นข้าวมันเย็นลงแล้ว เขาก็ว่าข้าวนิพพานแล้ว เขาก็บอกกันว่าข้าวนิพพานแล้ว(ข้าวเย็นลงแล้ว ไม่ร้อนแล้ว)มากินกันเถอะ ซึ่งในกรณีนี้ก็ง่ายๆ เหมือนกันคือ เพ่งอากาศเพ่งความว่าง แล้ว ให้ความจำในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต หายไปให้หมดไม่เหลือสัญญาอะไรเลย มีแต่ความว่างในที่สุด ก็เท่านั้นเอง
นี่แหละที่มาของวัดของฉัน วัดของเรา ที่เร่ิมเดินต่อไปอย่างมีความสบายใจ มั่นใจในแง่ที่ว่า เรื่องราวที่จะมาเผยแผ่ในวัดของเรา วัดของฉันนี้ เป็นเรื่องราวของสัจธรรมพุทธ ระดับมรรคผล นิพพาน อันผ่านการวิจัย ทดลองปฏิบัติมาอย่างสมบูรณ์แล้ว หวังให้เกิดประโยชน์จริง ๆ(ไม่ได้คิดโอ้อวดอุตริมนุสธรรม อย่างที่คนบางคน คนห่มเหลืองบางคนว่าออกมา) เพราะนี่คือหลักการของนักวิทยาศาสตร์โลก ท่าน ไอสไตล ที่ว่าพุทธศาสนาเป้ฯวิทยาศาสตร์ เป็นศาสนาของจักรวาลเลย คือพิศูจน์ทดลองได้ นั่นเองเป็ฯเรื่องของคนยุคใหม่ ยุคเทกโนโลยี อย่างแท้จริง และที่หวังจากเทกโนโลยีการสื่อสารยุคใหม่ก็คือ เราไม่ต้องเดินทางไปด้วยเท้าเหมือนยุคพระพุทธองค์ เพียงใช้เทกนิคการสื่อสารนี่เอง ไปได้ทั่วโลก ทั่วทุกแผ่นดินในชั่วอึดใจนี่เอง การเผยแผ่ธรรมะของวัดของเราจึงสามารถทำไปได้อย่างกว้างขวางในเวลาอันไม่ยืดยาวเลย มาลองทำด้วยกันดู วัดของเรา วัดของฉัน ว่าง ๆ ก็เข้ามาดู มีแต่ความสบายใจ
โปรดคลิกต่อไปดูประวัติของผู้สร้างวัดของเรา ต่อไป
สู่เรื่อง ความเป็นมาของวัดของเรา