ประวัติล่าสุดที่ท่านพูดถึงตัวเอง[1]
Phayap Panyatharo ได้เปลี่ยนเกี่ยวกับฉันของเขา
พระพยับ ปํญาธโร, เป็นพระภิกษุครับ เดิมชื่อ ร.อ.พยับ เติมใจ เคยศึกษาปริญญาตรี ธรรมศาสตร์
ปริญญาโท นิดา คลองกุ่ม เป็น ผจล.วัดมหาพุทธาราม อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ ก่อนบวชเป็นทหารยศ ร้อยเอก แห่งกองบัญชาการทหารสูงสุด สนามเสือป่า กทม.
ปฏิบัติธรรมมาตั้งแต่เกิดเป็นเด็กอ่อน ปฏิบัติกสิณ เตโชกสิณ มาแต่เป็นเด็กอ่อนอายุ 1 ขวบเศษ ๆ ขณะออกบวชเป็นโสด เกรงการศึกษาฝ่ายธรรมะจะไม่สำเร็จจึงรีบออกบวชแต่ยังหนุ่ม เหตุผลในการลาออก ว่าขอไปศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าให้รู้แจ้งเห็นจริง จริงๆ บวชมา 31 ปี เดี๋ยวนี้ยังเป็นนักบวชอยู่ เมื่อ 5 ธ.ค.2556 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ ที่พระครูพุทธิพงศานุวัตร ผจล.ชท. พระอารามหลวง วัดมหาพุทธาราม พระอารามหลวง อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ เวลา กว่า 31 ปี ตั้งใจศึกษาภาคปฏิบัติธรรม ได้ศึกษาวิชา 5 ประการสำเร็จสิ้นข้อสงสัย คือ สมาธิ, กสิณ, วิปัสนา, ฌาน และ ปราณ
สามารถนั่งทางในได้ ดูคนตายแล้วไปไหน ดูพระภูมิเจ้าที่ ดูภูติ ผี ปีศาจ ยักษ์ ฯลฯ ศึกษาไสยศาสตร์ ปราบผีปอบ ฯลฯ ได้ทำการบันทึกเอาไว้ในเรื่องศึกษาโลกลี้ลับ และ ประวัติของผม ในเวบไซต์ของตนเอง 2 เวบไซต์
เชี่ยวชาญโหราศาสตร์ ให้การพยากรณ์แม่นยำ พยากรณ์ดวงชะตาบุคคลทั่วโลก พยากรณ์ดวงชะตาเมือง ชะตาประเทศไทย นักการเมืองคนสำคัญ ๆ ทายได้ทุกประเด็นปัญหา แม่นยำอย่างตาทิพย์ ดูได้ในเวบฯ จากสารบาญโหราศาสตร์ และ เวบบอร์ด โหราศาสตร์ 1 -12 หรือคลิกกูเกิล โหราศาสตร์ ...
รู้ เชี่ยวชาญศาสตร์สาขาต่าง ๆ โดยเฉพาะนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ ตั้งใจนำวิชาความรู้มาใช้ประโยชน์ต่อชาติบ้านเมืองและเพื่อสร้างรัฐประชาธิปไตยให้สมบูรณ์ ได้เขียนบทวิจารณ์ข่าวจากโทรทัศน์ในนาม เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว ติดต่อกันมานานกว่า 14 ปี โดยนำลงพิมพ์ใน นสพ.ดี ต่อมาเป็น ดี(อินเทอเนต) ปัจจุบันยังคงเขียนบทความวิเคราะห์ปัญหาวัฒนธรรมและการเมืองทุกด้าน ในเฟสบุคและเวบไซต์ โดยอุดมการณ์ว่า นำความคิดไปสู่ความดีงาม ช่วยนำความคิดของประชาชนและคนทั้งหลายไปสู่ความเป็นเสรีชน สู่ความเสมอภาค ภราดรภาพ และ อิสระภาพ ตามหลักการ liberty equality fraternity ชอบเสรีชน ติดต่อเสรีชนทั่วโลก และต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย มีเวบไซต์ตนเอง 2 เวบไซต์คือ http://www.newworldbelieve.net http://www.newworldbelieve.com มี ทั้ง 2 เวบฯวันนี้มี วิสิตเตอร์กว่า 30,000 คลิกแล้ว
มีหนังสือพิมพ์ของตนเอง(ในนามมูลนิธิฯ)คือ หนังสือพิมพ์ดี (อินเทอเนต) รายคาบ ล่าสุดเล่มที่ 46 ปีที่ 14 ประจำเดือน ก.ย.-ต.ค.-พ.ย.-ธ.ค.2553 - ม.ค.-ก.พ.- มี.ค.- เม.ย.-พ.ค.- มิ.ย.2554 มีประกาศบุคคลแห่งปี 2553 ในเล่มนี้ด้วย มีโหราศาสตร์ คำพยากรณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อไทย และดวงชะตาน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าจะได้เป็นนรม.หรือไม่ (ผมทายถูกหมดแหละครับ) ติดตามทางเวบไซต์ก็ได้ครับ แล้วก็มีเครื่องมืออีกชิ้นหนึ่งที่วิเศษ ก็คือ เฟสบุคนี่แหละครับ ที่ผมขอบคุณมาก ๆ ๆ ๆ ยินดีเป็นมิตรและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางสร้างสรรค์กับเพื่อนเฟสบุคทุก ๆ คนครับ........
บันทึกสุดท้าย ในคืนวันที่ 10-11 เม.ย.2558 ได้ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิไปตลอดคืน ท่ามกลางสาธุชนผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ร่วม 2000 ชีวิต ในพระวิหารใหญ่ ณ วัดมหาพุทธาราม พระอารามหลวง ...พบว่า นั่นคือการเข้าสู่โลกนิพพาน โลกแห่งพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย ได้พบว่า นี่คือการจบสิ้นการศึกษาลงโดยสมบูรณ์แล้ว
Phayap Panyatharo ได้แชร์ความทรงจำ
7 ปีที่แล้ว
แก้ไข 28 พฤษภาคม
คำคมที่ชอบ
-
ไม่มี หรืออาจจะแสร้งว่าไม่มีก็ได้ เพราะเกลียดคำว่าคำคม
ผมหมายถึงคำคมเก่า ๆ ในวรรณคดีชาวบ้าน ๆ ยุคศรีธนญชัย น่ะครับ อาจจะเป็นเพราะผมเกลียดศรีธนญชัยมาแต่เด็ก ๆ ทำให้สังคมเป็นสังคมที่ชอบพูดกันเล่น ๆ หัว ๆ พอจะทำอะไรจริง ๆ เข้า ก็พลอยทำไปอย่างเล่น ๆ หัว ๆ ต่อไป ไม่เป็นโล้เป็นพาย ผมมองสังคมเล่น ๆ หัว ๆ แบบนี้ว่ามาจากอิทธิพลของศรีธนญชัย(อีสานก็คือ เชียงเมี่ยง)
เมื่อผมเป็นเด็กพ่อกับแม่จะผลัดกันเล่านิทานก่อนนอนให้ผมฟัง พ่อเล่าเรื่องเชียงเมี่ยงให้ฟัง ว่า พระราชาสั่งให้เชียงเมี่ยงตื่นแต่เช้า ให้มาก่อนไก่โห่ บังเอิญเชียงเมี่ยงตื่นสาย ก็เอาไก่โต้งผูกเชือกจูงไปหาพระราชา พระราชาก็ต่อว่าทำไมมาสายฉันบอกให้มาก่อนไก่โห่ เชียงเมี่ยงก็ตอบว่า ก็พระองค์ให้ผมมาก่อนไก่ ผมก็มาก่อนไก่แล้วอย่างไร (คือเดินออกหน้าไก่มาหาพระราชา) พระราชาก็ถามขุนนาง ๆ ก็ว่าถูกต้องแล้วพะยะค่ะ พระราชาก็คิดปัญหาให้ใหม่ ให้หาไม้สามง่ามมา ศรีธนญชัยก็เอาคนปากแหว่งมา พระราชาก็แพ้เชียงเมี่ยงอีก คนชมว่าเชียงเมี่ยงมีปัญญาดี แต่ผมไม่คิดอย่างนั้น ผมว่าเป็นคนกะล่อนมากกว่า เหมือน ๆ ศรีปราชญ์นั่นแหละ(ผมก็ไม่ชอบศรีปราชญ์เหมือนกัน ผมมองว่าเป็นคนกะล่อน อีกคนหนึ่งและสมควรตายด้วยความกะล่อนของตนเอง...ไปเกี้ยวสนมของพระนารายณ์ ถูกเนรเทศไปนครศรีธรรมราช ก็ไปเกี้ยวเมียเจ้าเมืองเขาอีก เลยถูกประหารชีวิต ซึ่งผมมองว่าสมควร) ตอนที่ผมไม่ชอบมาก ๆ ก็คือ ญาติเขาให้เฝ้าบ้านดูแลเด็กอ่อน ว่าให้ทำความสะอาดอย่างดีอาบน้ำอาบท่าให้เด็กด้วย เชียงเมี่ยงก็เอาไปแหวะท้องออก ล้างข้างนอกข้างในทารกอย่างดี เขาก็ไปฟ้องพระราชาอีก หมอก็แก้ตัว อ้างคำสั่งว่าให้ทำความสะอาดเด็กอย่าดีทั้งข้างนอกข้างใน ก็ได้ทำให้สะอาดทั้งข้างนอกข้างในแล้วจะว่าอย่างไร พวกขุนนางก็ตัดสินให้ศรีธนญชัยชนะอีก เพราะได้ทำตามคำสั่งตรงไปตรงมาแล้ว ...ผมไม่ชอบในเหตุที่ว่า นายนี้กะล่อน สำแดงโวหารเอาตัวรอด ไม่รู้ชั่วรู้ดี และพวกขุนนาง พระราชาก็ดูเหมือนเป็นพวกบ้า ๆ บอ ๆ แทนที่จะเอาหมอนี่ไปปาดคอทิ้งเสีย ฐานไม่รู้ดีรู้ชั่ว สุภาษิต คำคมต่าง ๆ ในชนบทมักเป็นสุภาษิตที่แสดงความกะล่อนแบบเชียงเมี่ยงนี่แหละ ทำสังคมให้กะล่อนไปด้วย ซึ่งที่จริง เมื่อมาศึกษาสังคมต่อมา ก็ปรากฎว่าสังคมคนไทย มักนิยมวาทะกะล่อน ๆ แบบศรีธนญชัยนี่แหละ ในทัศนะของผม จึงเห็นว่า ศรีธนญชัยเป็นเรื่องราวที่ทำลายวัฒนธรรมอันดีของประชาชน ด้วยซ้ำไป ผมเลยไม่ชอบ แท้จริง เราต้องรักในเหตุผล และเป้ฯวิทยาศาสตร์มากกว่านี้ วัฒนธรรมประชาธิปไตยจึงจะเริ่มต้นและเจริญไปได้