ทนธรรมศาสตร์โง่ ๆ ไม่ไหวแล้ว
1.
ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆินทร์ : -ก็เราทบทวนให้เข้าใจในหลักวิชาประชาธิปไตย โดยถามถึงว่า ไอ้พวกอ้างตนว่าเป็นขบวนการเยาวชนปลดแอกนั้น ที่คิดทำงานใหญ่โตของชาติขนาดนี้เขาเป็นใคร คนสำคัญนักปราชญ์ของแผ่นดินอย่างนั้นหรือ จะต้องมีตัวตนอ้างอิงอย่างชัดเจน ให้แสดงตนออกมา ก็ปรากฎว่า แกนนำคือนายอะไรล่ะ...กุ๊ย ๆ เลย ก็ดูท่าทีวาจาคำพูด ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเลย พอ ๆ กับนายรังสิมันต์ โรม พรรคก้าวไกล ที่กล้าด่าสส.ในสภา ท่ามกลางสส.กันเองทั้งสภาร่วม 500 คน ว่าสภารับใช้โจรห้าร้อยไม่ขอทำงานด้วย แล้วยังไง ที่ไม่คาดคิดก็คือ มีคณะอาจารย์ 105 คนทำงานเป็นครูอาจารย์ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จุฬา และอื่นๆ อ้างตัวว่าเป็นอาจารย์บ้าง รองอธิการบ้าง เป็น ผศ. นะ เป็นดร.ก็เยอะ เรียงรายชื่อออกมาเลยว่าตนสนับสนุนแนวคิดของนักศึกษา10 ข้อนั้น โดยมาในลักษณะของลูกศิษย์ลูกน้องนายเพนกวิน แกนนำเยาวชนปลดแอกนั่นเอง บอกอะไรไปทำหมด เชื่อฟังแบบครูบาอาจารย์ไปเลย สนับสนุน เยาวชนปลดแอก พวกของพรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย ที่กำลังวางแผนหาเสียงดังว่ามาแล้วนั่นเอง แล้วเสนออะไรออกมา10 ข้อ...เพิ่งมารู้ทีหลังว่า 10 ข้อเรียกร้องให้ยกเลิกสถาบันกษัตริย์เสีย ว่าประชาธิปไตยไม่มีกษัตริย์ ที่ก่อความไม่พอใจแด่ประชาชน 60 ล้านคนรอบทิศอยู่ขณะนี้นั่นเอง ซึ่งกำลังดูว่า สส.ของพวกเขา ที่มาบริหารประเทศแทนนั้นกำลังคิดจัดการคนพวกนี้อย่างไร เรื่องที่เคยเสนอไว้ ก็เปลี่ยนไปๆ เช่นนี้เองของคนกะล่อนไปเชื่อได้อย่างไร เอาชื่อมาบันทึกไว้ทั้ง 105 คน นั่น เพื่อ ไล่ออก ฐานโง่เง่าเต่าตุ่น ไม่รู้อะไรคือประชาธิปไตย แล้วไปสอนผิด ๆ มาตลอด จะค่อยบอกไปว่าโง่อย่างไรสอนผิดไปอย่างไร ทนไม่ไหวแล้ว ทนธรรมศาสตร์โง่ ๆ ไม่ไหวแล้ว ไม่ใช่ธรรมศาสตร์ไม่ทน นะ แต่เราทนธรรมศาสตร์โง่ ๆ ไม่ไหวแล้ว @ ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆินทร์ 13 ส.ค.2563 19.30 น.
2.
ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆินทร์ : -เริ่มมองก่อนเลย ที่เกิดเหตุในสภาเองเร็ว ๆ นี้ กรณีที่สภาผู้แทนราษฏร พิจารณาญัติด่วนให้จัดตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญรับฟังความคิดเห็นของเยาวชนนิสิตนักศึกษาและประชาชน ที่สส.ในสภาผู้แทนราษฎรร่วม 500คนจากทุกพรรคการเมืองที่ว่านั้น ลงมติด้วยเสียงข้างมากว่า จะจัดตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯขึ้น มีมติกันแล้วเสียงส่วนใหญ่บอกยอมรับให้ตั้งกรรมาธิการวิสามัญ ซึ่งตามหลักการของประชาธิปไตยแล้ว ต้องเคารพมตินี้ แต่พรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย พอแพ้เขาแล้วกลับไม่ยอมรับมติไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ฝ่ายค้านโดยนายสุทิน คลังแสง ลุกขึ้นประกาศว่า ไม่ขอส่งกรรมการมาร่วมปฏิบัติด้วย จะอ้างเหตุผลอะไรก็ตามแต่ โดยหลักวิชาประชาธิปไตยแล้ว นี่เป็นการทำลายประชาธิปไตย พรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย แสดงออกถึงเจตนาการทำลายประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่ประกาศตนเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ด่าฝ่ายตรงข้ามเป็นเผด็จการมาตลอดโดยไม่เข้าใจประชาธิปไตยที่แท้จริง จึงพามวลชนผิดไปตลอดโดยตนเองเป็นเผด็จการอย่างไรไม่รู้ตัว และประการที่ 2 นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ลุกขึ้นมาประกาศว่า รัฐสภารับใช้โจรห้าร้อย ไม่ขอทำงานด้วย ....ทั้ง 2 ประการนี้ รัฐสภาจะต้องนำเข้าพิจารณาในการประชุมของรัฐสภา หรือแม้ในการประชุมของแต่ละสภา คือ สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา เพื่อพิจารณา การทำลายประชาธิปไตยของพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย และสำหรับนายรังสิมัต์ โรม ก็ถือว่ามีความผิดมากกว่า การทำลายประชาธิปไตยเสียอีก แต่เป็นการทำลายมิตรภาพของคนผู้มีความเสมอภาคโดยประชาธิปไตยอยู่แล้ว ในเมื่อหมอนี่มาพูดว่า สภารับใช้โจรห้าร้อย นั้นเท่ากับการดูหมิ่น สส.ผู้แทนของประชาชน หรือแท้จริงดูหมิ่นประชาชนทั้ง 60 ล้านคนนั่นเอง ซึ่งเป็นเรื่องของจริยธรรมประชาธิปไตย ที่ต้องมีการเคารพและไม่ให้มีแบบอย่างเช่นนี้ต่อไปอีก
3.
ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆินทร์ : -จึงต้องนำมาพิจารณาโทษฐานทำลายประชาธิปไตย โทษถึงไล่ออก ยุบพรรค และกรณีนี้เมื่อมีการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะต้องนำเข้าบัญญัติไว้ในหมวดว่าด้วย จริยธรรมประชาธิปไตย ให้กำหนดโทษถึง ไล่ออก และ ยุบพรรคการเมือง นี่แหละ ประชาธิปไตยไทยจึงจะถูกต้องเดินไปได้ ในเรื่องที่บอกถึงความไม่เข้าใจประชาธิปไตยเลย จนไม่สมควรจะให้เข้ามาสู่วงการเมือง วงการศึกษาต่อไปอีกเลยไม่ว่าครูบาอาจารย์ในมหาวิทยาลัยก็ตาม นั่นก็คือ ความเข้าใจที่ว่า ประชาธิปไตยนั้น ต้องไม่มีระบบกษัตริย์ ที่แสดงเค้าของความเลวร้ายนี้ตามข้อเสนอที่ชุมนุม 10 ข้อ ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วันที่ 10 ส.ค.2563 นั้นเอง ...ไปดูรัฐธรรมนูญไทยสิ เอามาดูให้หมด ทุกฉบับ จะเห็นเลยว่า กษัตริย์ไทย ทรงอยู่ใต้อำนาจประชาชน ทุกฉบับ แล้วจะไปเกี่ยวข้องพระองค์ท่านอย่างไร มีกษัตริย์หรือไม่มีกษัตริย์ ไม่เกี่ยวข้องกันเลยกับ อำนาจทั้ง 3 คือนิติบัญญัติ บริหาร และ ตุลาการ ทั้ง 3 อำนาจนี้ เป็นของประชาชน ผู้แทนประชาชนอย่างสมบูรณ์เพียงพออยู่แล้ว โดยข้อเท็จจริง และโดยรัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับนั้นเอง ....ฉะนั้น ผู้เสนอ หรือที่มีความคิดว่าไม่มีสถาบันกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย มีประชาธิปไตย ไม่มีกษัตริย์ จึงเป็นความคิดที่ยิ่งกว่าไม่ถูกต้อง ยิ่งกว่าโง่เขลาเบาปัญญา บอกถึงความเข้าใจผิดไปอย่างสุด ๆ บอกถึงความไม่เข้าใจประชาธิปไตย ที่จะไปก่อความเสียหายอย่างยิ่งใหญ๋ในประเทศนั่นเอง และซึ่งมีอาจารย์ 105 คนนั้นแสดงออกมาถึงความไม่รู้อันนี้ และซึ่งควรไล่ออกไปจากความเป็นครูบาอาจารย์ เพราะการสอนที่ผิดมานานแล้วนั่นเอง จึงไม่เข้าใจประชาธิปไตยและทำผิดมาตลอด แม้กระทั่งวันนี้เองความจริงจึงได้เปิดเผยออกมา และนั่นแหละ ปัญหาประชาธิปไตยไทย และแน่ละ เมื่อเราต้องการพัฒนาประชาธิปไตย ก็ต้องไล่มันสมองที่โง่เขลานี้ออกไปก่อนเลย
4.
ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆินทร์ : -ความไม่เข้าใจประชาธิปไตย บอกไปถึงความเห็นแก่ตัวของคนมีเงินเป็นอำนาจ และไม่ยอมมองความจริงที่สอดคล้องสุภาษิตดั้งเดิมมาที่ว่า กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว และแท้จริงสถาบันกษัตริย์ไทยนี่เองที่เริ่มมองกาลไกลมาก่อนแล้วที่จะมอบอำนาจการเมืองการปกครองแด่ประชาชน เริ่มแต่สมัยรัชการที่ 5 นั้นเอง นั่นคือเริ่มทรงวางพื้นฐานประชาธิปไตยขึ้น โดยให้สอดคล้องพื้นฐานหลักการประชาธิปไตยเสียก่อน นั่นคือ ประชาชนต้องเป็นเสรีชน ทาส จะเป็นประชาธิปไตยไม่ได้ จึงทรงเลิกทาสไงล่ะ เข้าใจไหม ? แผ่นดินไทยไม่มีทาสมาร่วมร้อยกว่าปีแล้วมิใช่เรื่องอื่นนอกจากเรื่องประชาธิปไตยนี่เอง ฉะนั้น วันนี้ เราก็ต้องมองว่า วงศ์กษัตริย์ท่านรู้ดี และทรงปรารถนาดีอยู่แล้ว รัฐบาลวันนี้ก็น่าเป็นแบบนี้ คือปรารถนาจะสร้างประชาธิปไตยร่วมกันต่อไปนั่นเอง หากแต่การสร้างประชาธิปไตยนั้น ต้องมีขั้นมีตอนมีการพัฒนาต่อไป ต่อจากที่ ร.5ทรงวางพื้นฐานเสรีชนขึ้นในแผ่นดินไทยด้วยการเลิกทาส พอ ๆ กับอเมริกาที่เขาทำถึงสงครามเลิกทาสจึงเลิกทาสได้ เพื่อประชาธิปไตยนั้นเอง ประเด็นเสรีชนนี้ เรายังต้องพิจารณาว่าเป็นประเด็นอุปสรรคสำคัญมากของประชาธิปไตยไทยวันนี้ ที่ยังแก้ไขยากที่สุดอยู่ เพราะนี่เป็นประเด็นใหญ่โตมโหฬารมาในการเมืองไทย ระดับชาติ โดยเฉพาะการเมืองท้องถิ่น แม้ระดับเทศบาลเมือง จังหวัด อบต. อบจ. ไปถึงกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ที่ประชาชนเราตกอยู่ใต้อำนาจเงิน(เงินไม่มากาไม่เป็น) ทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปตามแบบของเสรีชนผู้มีสิทธิคนละ 1 คะแนนเสียงเท่ากัน อันนี้แหละที่เรายังเผชิญปัญหาใหญ่อยู่ ที่วันนี้เอง
5.
ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆินทร์ : -พวกที่ออกมาเดินขบวนนั่นเอง ที่ไปชุมนุมที่ใดที่หนึ่งก็ตาม ลองสำรวจตนเองสิ ว่ามีความสามารถพอจะเป็นประชาชนประชาธิปไตยหรือไม่ ดูตัวเอง วิจัยตัวเองเลย การออกมาแสดงตนแสดงความคิดเห็นทางการเมืองของเรา เป็นไปอย่างเสรีชนหรือไม่ มีคนจ้างเราออกมาชุมนุมหรือไม่ และครั้นเอาเงินเขา ๆก็สั่งให้ด่ารัฐบาลอย่างนั้น ๆก็ต้องด่าไปตามที่เขาสั่ง เรามาชุมนุมเพราะเหตุมีค่าจ้าง มีผู้จ่ายเงินค่าการจัดการ ให้เครื่องมือต่าง ๆ ในการเดินทาง ในการมาชุมนุมหรือไม่ นี่แหละคำว่า เสรีประชาธิปไตยที่แท้จริง และซึ่งเมื่อมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว จะต้องกำหนดโทษ สำหรับผู้รับเงิน หรือ ถูกซื้อออกมาแสดงบทบาท ที่อ้างว่าตนเป็นประชาธิปไตย แต่แท้จริงเป็นทาส ทาสเงินของนายทุนผู้หวังยึดอำนาจนั้นเอง น่าละอายใจจริง ๆในความเป็นทาสเงินเขา และนั่นแหละเป็นถึงครูบาอาจารย์-ศาสตราจารย์ จึงถือว่าโง่เง่าเต่าตุ่นและควรไล่ออกไปเสียจากสถาบันการศึกษาของชาติ เพื่อไม่ให้เผยแผ่ไวรัสแห่งความโง่เขลาในประชาธิปไตยสู่เยาวชนเพื่อไม่ให้เชื้อความเขลาความไม่รู้แซกซึมซ่อนแฝงต่อไปในวงการศึกษาไทยนั่นเอง ฉะนั้น เราจึงมาเริ่มต้นเข้าใจประชาธิปไตยที่แท้จริงกันให้ได้ โดยเริ่มจากสถานการณ์การหาเสียงของพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย ที่เอาเยาวชน นิสิตนักศึกษาเป็นเครื่องมือในวันนี้นั่นเอง -และเราต้องเข้าใจและมองข้อเท็จจริง ทางวิชาการ และข้อเท็จจริงให้เห็นจริง ว่า พรรคการเมืองฝ่ายค้านเราวันนี้ มิได้มีความจริงใจแต่อย่างใด ที่จะต่อสู้ไปตามหลักการวิถีทางประชาธิปไตยที่แท้จริง การที่ประพฤติตนอย่างที่ไม่สอดคล้องหลักอธิปไตยของชาตินั้น ซึ่งพรรคเพื่อไทย พรรคใหญ่ของประเทศ ไปฟังเสียงคนต่างประเทศแทนที่จะฟังเสียงหัวหน้าพรรค หรือมติที่ได้จากการประชุมพรรค นั้น หรือนโยบายพรรคนั้นแหละ ไม่น่าไว้วางใจในประเด็นคนต่างชาติที่ครอบครองอำนาจของพรรคการเมืองนั้น นี่แหละปัญหาอธิปไตยของชาติที่ใครเล่าจะเข้าใจดี? ดูจากอะไร ?
6.
ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆินทร์ : ก็พรรคการเมืองเวลาหาเสียงเขาจะพูดเรื่องนโยบายล้วน ๆ จึงจะเป็นประชาธิปไตย(พรรคการเมืองต่างก็ไม่เข้าใจอีกว่า นโยบายคืออะไรอีก เวลาพูดในสภา ไม่เคยมีการกรองข่าว หรือผลงานที่ได้ผ่านการวิจัยมาพูดเลย มีแต่นอนคิดคำด่าคนอื่นตลอดคืนว่าจะด่าอย่างไร มาพูดในสภา เช่นนายอะไรมีหนวดน่ะ ที่พูดคราวพิจารณางบประมาณประเทศ พรรคเพื่อไทยน่ะ ด่าไปเพลินถึง 3 ชั่วโมง ด่าหน.รัฐบาล จนท้ายสุดท้าพล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชาไปดวลปืนกันหน้าวัดพระแก้ว.ว่าผมไม่ใช่ทหารแต่ท้าทหารยศพลเอกดวลปืน ..ดูสิต่ำทรามขนาดนี้มาอยู่ในสภาผู้แทนราษฎรไทยได้อย่างไร) แต่นี่ไม่มีเลย อันนี้มันหมายความว่าพรรคไม่มีความสามารถอะไรเลยที่จะทำอะไรสร้างอะไรแก่ประเทศชาตินั่นเอง ประชาชนก็ไม่รู้ว่าเลือกเขามาเอาเงินเดือนเราแล้วเขาจะทำอะไรให้เรา แต่ที่พรรคอนาคตใหม่เดิม มวลชน และการสื่อสารทางโซเซียลมีเดียของพรรคนี้(หรือดูจากนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นั่นเองที่กลายเป็นตัวอย่างที่ตลกของการเมืองประชาธิปไตยไทยกรณีที่เขาถูกขับออกจากการเมืองนั่นเองเป็นผลจากความโง่ความไม่รู้กฎหมาย และความไม่เข้าใจประชาธิปไตยของเขาจนต้องฟังนายปิยบุตรตลอดในเรื่องกฎหมาย ซึ่งนายปิยบุตรนั่นเองยิ่งเป้ฯคนไม่รู้กฅฎหมายไทยไปเลย เขา มีอย่างเดียวคือเงินแล้วคิดดูถูกประชาชนไทยว่าเงินอย่างเดียวจะทำอะไรก็ได้ ซื้อคนไทยคนหนึ่งคนไหนก็ได้เหมือนสินค้าชนิดหนึ่งได้เลย คนไทยซื้อได้ นั่นแหละคนเป็นทาสนั่นเอง นี่แหละความคิดของนายธนาธร ฯลฯ)
7.
ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆินทร์ : - มาถึงพรรคใหม่คือพรรคก้าวไกลนั้นใช้วิธีการอย่างเดียว ที่ประชาชนทั่วไปก็คงจะมองเข้าใจถึงว่าไม่ใช่ทางที่ถูกต้อง นั่นก็คือ การโฆษณาชวนเชื่อ และการปลุกระดมมวลชนแบบผู้ก่อการร้ายจริง ๆเลย นั่นเอง และซึ่งประชาชนทั่วไปจะอาจไม่เข้าใจว่าเขาเอาแบบอย่างมาจากการโฆษณาชวนเชื่อของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ยุคที่คอมมิวนิสต์รุกรานไทยมุ่งจะยึดอำนาจไทยไปเป็นคอมมิวนิสต์ อันเป็นเรื่องราวอธิปไตยของชาติที่ยิ่งใหญ่ในยุคคอมมิวนิสต์นั่นเอง ซึ่งไทยได้ผ่านมาแล้ว ชนะมาแล้วจนไทยเราเป็นอิสระภาพมาถึงวันนี้นั่นเอง)เพียงแต่พรรคอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทยยังเอาวิธีการโฆษณาชวนเชื่อของคอมมิวนิสต์มาใช้(แบบที่ไม่รู้ลึกซึ้งไปว่าที่ตนเอามาใช้นั้นแท้จริงมาจากคอมมิวนิสต์)เพื่อล้มล้างรัฐบาลล้มล้างสถาบันกษัตริย์ อะไรคือการโฆษณาชวนเชื่อ ? การโกหกให้คนเชื่อ นั่นเองเป็นหลักวิชาการโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งพรรคก้าวไกล อนาคตใหม่เพื่อไทยใช้มาตลอดตามนโยบายของทักษิณ ชินวัตร นั่นเอง เอางี้ก็แล้วกัน มีหลักการโฆษณาชวนเชื่อ ที่ไม่เฉพาะใช้กันในสงครามหรือ การเมือง เท่านั้น แต่ใช้กันทั่วไปในยุคใหม่นี้โดยเฉพาะการค้าการขาย ข้อหนึ่ง คือ The sun also rise เราจะไม่อธิบาย ให้คนฉลาดเรียนรู้เอง เพราะเอาไปใช้ได้จริง ในเรื่องการโกหกให้คนเชื่อนี้ เพียงย้ำตอกตะปูไปบ่อย ๆ หน้าต้องด้านทนทานอะไร ๆได้อย่างหนาไปเลยจนที่สุดคนก็เชื่อเอง นั่นเป็นทฤษฎีการโฆษณาชวนเชื่อ อย่างที่ฝ่ายอนาคตใหม่ กับก้าวไกลฝ่ายค้านเพื่อไทย ตอกตะปูใส่ร้ายหัวหน้ารัฐบาลคณะนี้ตาม ๆ กัน
8.
ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆินทร์ : อันทำได้อย่างมีประสิทธิภาพทางสื่อมวลชนยุคออนไลน์ยุคนี้ ว่าไปไม่หยุด ว่า หัวควย รัฐบาลโจร ปัญญาตื้นต่ำ ทำลายเศรษฐกิจของชาติ ไม่นานชาติไทยล่มจมแน่เพราะคน ๆ นี้ เพราะความโง่ ออกไปวันนี้เลย ไปเลย ฯลฯ และตอกตะปูใส่ร้ายการทหารไทยบ่อย ๆ โดยเฉพาะ ผบ.ทบ. แต่ท่านรู้ทันหมดแหละ นั่นแหละพวกโกหกพกลมตามแบบการโฆษณาชวนเชื่อของคอมมิวนิสต์ ซึ่งเรื่องนี้ มันบอกประชาชนไทยทั้งชาติว่า พรรคการเมืองใดนำการโฆษณาชวนเชื่อมาใช้ นั่นไม่ใช่ผู้ปรารถนาดี ไม่ใช่ประชาธิปไตยแต่หลอกลวงประชาชน โกหกมีนโยบายโกหกประชาชน และบอกถึงการก่อการร้ายนั่นเอง และมีเบื้องหลังที่แฝงเข้ามาเพื่อหาประโยชน์ส่วนตนทั้งสิ้น ดู พรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย ค่อยติดตามศึกษาไป แล้วมาร่วมกันสร้างประชาธิปไตยไทยแบบมีเหตุมีผลตามหลักการประชาธิปไตยที่แท้จริง จงเรียนรู้หลักประชาธิปไตยที่แท้จริง ที่เป็นการเมืองที่ล้ำเลิศวิเศษที่ไทยต้องทำสำเร็จให้จงได้ แต่โดยสันติธรรมเสมอและต้องเดินตามหลัก3ประการอันเป็นหลักสากลประชาธิปไตย คือ Liberty Equality Fraternity นั่นคือ สันติธรรมเสมอ โดยเฉพาะข้อภราดรภาพ หากไม่มีไม่เอามาใช้ปฏิบัติ นั่นคือมุ่งหมายสร้างการจลาจลขึ้นในประเทศไทยนั่นเอง ซึ่งผู้นั้นคณะนั้นคือผู้ก่อการร้ายหวังโค่นล้มอำนาจอธิปไตยของชาติ ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ และโทษต้องให้ถึงขั้นเข็ดหลาบ ระดับประหารชีวิต
9.
ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆินทร์ : -และให้ถูกขั้นตอนตามหลักสัจธรรมว่า กรุงโรมไม่ได้สร้างในวันเดียว อย่าลืมคิดไปสิว่าองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5ทรงวางพื้นฐานของเสรีชนประชาธิปไตยไว้ก่อนแล้ว ด้วยการเลิกทาส นั้นบอกความหมายอะไรเล่า แต่นั่นแหละคำว่าเสรีชนนั่นเองเป็นสิ่งที่สร้างยากที่สุด เรื่องฐานะความเป็นอยู่ของประชาชนที่ให้พอเพียงแก่การพึ่งพาตนเองนั้นแหละที่สร้างเสรีชนขึ้นแสนยาก ทำอย่างไรคำว่า เงินไม่มากาไม่เป็นจะหายไป จากทุกระดับการเลือกตั้งไทย โดยที่กลายเป็นโอกาสหารายได้ไปอีก 1 สิทธิกลายเป็น 1 สินค้าสำคัญที่ขายได้ไปอีก โดยเฉพาะในอนาคตเร็ว ๆนี้ในการเมืองระดับท้องถิ่นทั่วประเทศ รออยู่ ซึ่งลองมองไปสิเป็นเรื่องที่จะทำไปอย่างมั่นใจในความเป็นระเบียบเรียบร้อยถูกธรรมถูกประชาธิปไตยได้อย่างไร เป็นเรื่องน่าหนักใจขนาดไหนของคนทำงานคนรับผิดชอบ หากแต่คนมีแต่ปากโง่ มีแต่โฆษณาชวนเชื่อนั้นเขาจะดูว่าทำง่ายเหลือเกิน แท้จริงก็คือคนที่ไร้ประสพการณ์ทำงานอะไรไม่เป็นมาเลยนั่นเอง ทำอย่างไรการชุมนุมแต่ละครั้ง(ซึ่งมักเป็นของกลุ่มที่สรรเสริญตนว่า ปัญญาชนด้วยซ้ำ)ที่อ้างสิทธิประชาธิปไตยเสมอมา หากแต่ทำไม่เป็นดีแต่พูด ทำอย่างไร ผู้ชุมนุมจะมาอย่างจริงใจจริง ๆ เป็นเสรีชนจริงๆ ไม่ใช่เขาจ้างมา ไม่ใช่ความฝันว่าตนเสรีชนแต่จริงๆทาสเขาดี ๆ นี่เอง ทำอย่างไร ปัญญาชนจึงต้องทำตนให้สมเป็นปัญญาชน เสรีชนทำตนให้สมเป็นเสรีชนไม่ใช่ทาส นั่นก็คือต้องมากับจริยธรรมประชาธิปไตย และรัฐธรรมนูญไทย ต้องเอามาบัญญัติในรัฐธรรมนูญเป็นประเด็นสำคัญของการลงโทษ ผู้ละเมิดหรือทำผิดเกี่ยวกับความก้าวหน้าของเสรีชน เพื่อประชาธิปไตยต่อไป @ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆินทร์ 15 ส.ค.2563 09.50 น.