เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้วComputerman36:010TPTVรายงานสด: 9 ก.ย.2563: การอภิปรายวันนี้ทั้งวัน มีนางอมรรัตน์ โชคปมิตตกุล บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ซึ่งคนนี้พูดไปแบบไม่เข้าใจเป้าหมายการประชุม มีปากก็ด่าเขาไปได้เรื่อย ๆ จนนางปริณา ไกรคุปต์ ลุกขึ้นบอกประธานสภาว่า นี่ไม่ใช่การอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่รู้เรื่องเลยมั่วไปหมด ประธานจึงบอกให้ทราบ พวกพรรคก้าวไกลจึงค่อยเข้าใจกัน กระนั้นก็พากันพูดแบบใส่ความกล่าวหาอย่างแรงไปแบบการใส่ร้ายกล่าวหาว่าทำความผิดถึงขนาดว่าพล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา เป็นกบฏเป็นโจร ไปทุกคน ๆ และลงแบบให้ลาออกไป และลงแบบเดียวกับที่เคยพูดใส่ความกันในโซเซียลนั่นเอง นางอมรรัตน์ นี้ยังถูกสส.พปชร.ท้วงว่าแต่งตัวไม่ถูกระเบียบด้วย คงเอาอย่างนางช่อมั้ง ที่ตอนเข้าสภามาคราวแรก ๆ นั้นแต่งตัวแบบนางแบบมาทุกวัน ๆ จนโดนไล่ออกไปจากสภา ก็เลยวันนี้นางอมรรรัตน์ นี้เงียบกริบไปและหายไปคงไปแต่งตัวใหม่ อย่างนายชลน่าน ศรีแก้ว ก็เหมือนกัน บอกถึงการอยู่เบื้องหลังขบวนการปลดแอก เอาข่าวนัดชุมนุมของขบวนการปลดแอกมาพูดให้ทราบเบื้องหลังการชุมนุม ว่าฝ่ายรัฐบาลจะมีแผนยุทธการสะพานมัฆวาน นายวันมุหะมัด นอร์มะทา ก็บอกว่าจะพูดเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจะลาออกจากสส. ก็ลาออกไปได้ คนนี้อกตัญญู เพื่อนพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ แต่อกตัญญู ไม่รู้คุณเลยนี่แหละให้คนหอบพระพุทธรูปออกจากกระทรวงมหาดไทย คราวตนเป็นรมว.มหาดไทย ที่เราเห็นว่าพูดรุนแรงไปก็ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ก้าวไกล ตอนจะจบ หกทุ่มแล้ว นั่นเอง ถึงขนาดว่าพล.อ.ประยุทธ เป็นคนชั่วขนาด กาลีบ้านกาลีเมือง ไปเลย(น่าฟ้องฐานหมิ่นประมาทได)
ที่เราเห็นว่า สส.ไทยเรายังไม่เข้าใจประชาธิปไตยกันทั้งสภาในประเด็นสำคัญ ก็คือ ในเมื่อฝ่ายค้านมีความคิดเห็นที่ดี ถึงขนาดสั่งให้นายกรัฐมนตรีฟังให้ได้และเอาไปปฏิบัตินั้น ไม่หมายความว่าจะไปยัดเยียดให้รัฐบาลเขารับไปทำนะเพราะเรื่องนโยบาย เป็นเรื่องของแต่ละพรรคการเมือง เมื่อเขาได้เป็นรัฐบาลเขาก็เอานโยบายของเขาไปปฎิบัติ เขาเพียงแต่ฟังเท่านั้น เขาอาจจะเห็นว่าดี เขาจึงจะเอาไปทำ ก็เป็นเรื่องของเขา แต่นี่ วันนี้พวกฝ่ายค้านนึกว่าตนมีความคิดวิเศษ ที่จะแก้ปัญหาได้ และรัฐบาลต้องไม่ปฏิเสธ ขืนไม่เอาไปปฏิบัติ ก็ว่าไม่เป็นประชาธิปไตย นั่นแหละเข้าใจผิดไปอีกแล้ว ที่ก็ปรากฏว่าแทบทุกคนเสนอไปแบบที่ว่ารัฐบาลต้องเชื่อฟังตน เอาความคิดของตนไปทำ ถึงขนาดว่าออกคำสั่งประยุทธ ต้องฟัง อะไรแบบนี้ และครั้นเขาไม่ฟังเราก็โกรธ และหาว่าไม่ฟังเสียงฝ่ายตรงข้ามบ้าง อะไรอย่างนี้ ก็เลยโกรธกันหาว่าเขาเป็นเผด็จการไป แบบนิสิตนักศึกษาที่เดินขบวน ขอเสนอความคิดเห็นต่อรัฐบาล โกรธโดยเข้าใจผิดว่า รัฐบาลต้องฟังเขา เอาข้อเสนอเขาไปทำจึงจะชื่อว่าเป็นประชาธิปไตย อย่างที่ นายชลน่าน ศรีแก้ว หรือแม้กระทั่ง ขบวนการนิสิตนักศึกษา นั่นแหละ ที่คิดว่ารัฐบาลต้องฟังตน
แต่ที่จริง ฝ่ายค้าน สส.ฝ่ายค้านนั้นเอง ไม่น่าคิดแบบนี้ สภาวันนี้ จึงมีเรื่องที่แบ่งความคิดกันเป็นสองฝ่ายนั่นเอง ฝ่ายรัฐบาลฝ่ายหนึ่ง ความคิดหนึ่ง ฝ่ายค้านอีกฝ่ายหนึ่ง ความคิดหนึ่ง แต่ถ้าเราเข้าใจเราก็อย่าไปคิดว่าเมื่อฝ่ายค้านเสนอความคิดออกไป อย่าคิดว่าที่เขาไม่ยอมรับ ไม่เอาไปปฏิบัตินั้น เป็นเรื่องที่ผิด เป็นเผด็จการ ไม่ใช่ เป็นสิทธิของเขา ฝ่ายรัฐบาลที่เขาจะเอาความคิดเราไปทำหรือไม่ก็แล้วแต่เขา แต่วันนี้ในสภาไทยนี้ เป็นอย่างนี้เลย คือฝ่ายค้านคิดเลยว่าฝ่ายรัฐบาลประยุทธต้องฟังตนเอง ทำตามที่ตนเองบอก จึงจะชื่อว่าประชาธิปไตยนทืไม่งั้นเป็นเผด็จการ ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดไปไกลมากจนทำลายระบบประชาธิปไตยไปเลย มีตัวอย่างที่ดี ก็คือ เคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดในสภาสหรัฐ ยุครัฐบาลยอร์ช ดับเบิลยู บุช มีการเสนอเรื่องในสภา ให้รัฐบาลพิจารณาตามแต่จะเห็นสมควร จะนำไปปฏิบัติก็ได้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ และเรื่องนั้นถูกใจสื่อมวลชน จนสื่อต่างๆ เอาไปลงกันครึกโครม และคิดว่าความเห็นนั้นควรที่รัฐบาลยอร์ช บุช ควรเอาไปทำ แต่รัฐบาลไม่สนใจ ไม่เอาไปปฏิบัติ จนไปถาม รัฐมนตรีต่างประเทศ บุคคลลำดับที่ 2ของรัฐบาลสหรัฐ คือ คอนโดลิซซา ไรซ์ ว่าทำไมไม่เอานโยบายนั้นไปทำ คำตอบของเธอนี่แหละเป็นแบบอย่างเลยสำหรับรัฐสภา เธอตอบว่า เราทำอะไรเราทำตามความคิดของเรา นั้นเป็นความคิดของคนอื่น ก็ให้คนอื่นเอาของเขาไปทำ เราทำตามความคิดของเรา ไม่ใช่ไปทำตามความคิดของคนอื่น คนอื่นมีความคิดก็เอาไปทำเองก็แล้วกัน ความคิดของใครก็ของมัน นี่คือ นโยบาย นั่นเอง เป็นเรื่องของพรรคการเมือง หากพรรคใดมีนโยบายดี ก็เอาไปปฏิบัติสิ หรือยังไม่ได้เป็นรัฐบาลเขาก็จะเอาไปหาเสียงจากประชาชน จนประชาชนพอใจเวลาเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาลก็เอาไปทำ เอง คนอื่นเขาก็มีของเขา คนแต่ละคนมีความคิดของตนเอง ทำตามความคิดตนเองทั้งนั้นแหละ ฉะนั้น พรรคการเมือง จึงมีหน้าที่ทำนโยบาย เมื่อได้เป็นรัฐบาลก็เอานโยบายนั้นไปทำ รัฐบาลก็มีนโยบายของตน ฝ่ายค้านก็มีนโยบายของตน แล้วครั้นเขาทำตามความคิดของเขา ไม่ทำตามความคิดที่เราเสนอไป เราจะไปด่าว่าเขาใจแคบ ก็ไม่ใช่ ต้องเอาไปเสนอประชาชน มีการเลือกตั้งประชาชนก็จะเลือกเราไปทำตามความคิดนั้น นี่แหละประชาธิปไตย หากเข้าใจก็คงจะไม่สร้างบุคลิกภาพแบบหยาบช้าเช่นนี้ คือไปคิดว่าเขาเป็นเผด็จการไม่ฟังความคิดเห็นคนอื่น
ซึ่งวันนี้มีกรณีข้อเสนอของ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ที่บอกไปถึงความมีเหตุผล มีสติปัญญาพอที่จะเอาข้อเสนอนั้นไปบริหารงาน โดยเฉพาะประเด็นของเศรษฐกิจ หากแต่มันเป็นกรณีความคิดที่ต่างไป ทางรัฐบาลเขาไม่เอาไปทำ เพราะรัฐบาลเขาก็มีของเขา มีความคิดของเขา มีนโยบายของงเขา ท่านก็ไม่ควรจะโกรธเช่นนั้นถือว่าไร้หลักจริยธรรมประชาธิปไตย ที่ถูกก็คือท่านต้องนำความคิดดี ๆ นั้นไปทำเอง โดยไม่ได้ทำวันนี้ ก็เอาไปเสนอประชาชน เจ้าของอำนาจ เมื่อมีการเลือกตั้งประชาชนก็จะเลือกนโยบายของเราเอง หากถูกใจประชาชนจริง ไม่ใช่ไปตำหนิติเตียนรัฐบาลเขาว่าเป็นเผด็จการอย่างพรรคฝ่ายค้านไทยวันนี้ หรือคิดว่ารัฐบาลเผด็จการ ต้องไล่ ออกมาเดินขบวนไล่ เช่นนั้นไม่ได้ มันจะย้อนกลับคืนมาสู่เรา เป็นวงจรไม่รู้จบ และในความจริง ตามกติกาประชาธิปไตยเราวันนี้ การเลือกตั้งนั้นก็เพียง 4 ปีครั้งหนึ่ง นี่ก็เหลือเวลาอีกไม่เท่าไร ฝ่ายค้านก็น่าจะเข้าใจ อะไรที่เป็นความคิดดี ๆ ของเราก็จงรวบรวมเอาไปเสนอประชาชน แล้วให้ประชาชนนั่นเองพิจารณาเลือกเราไปเป็นรัฐบาลต่อไปคราวหน้านั่นแหละความสงบและความเป็นธรรม ในระบอบประชาธิปไตย หากไม่ทำตามหลักการ ความคิดของใคร คนนั้นก็ทำ ความคิดคนอื่น ก็ให้คนอื่นทำ แล้ว ก็จะเป็นอย่างพรรคการเมืองไทยวันนี้ ขณะนี้ และสภาไทยวันนี้นั่นเอง
แต่ที่เห็นวันนี้ ฝ่ายค้าน เพื่อไทย ก้าวไกลไม่ยอมมองความดีของฝ่ายรัฐบาลเลย เรื่องโควิดนั้น ที่เขาสร้างผลงานมา เอาโควิดอยู่ แบบที่ยอดเยี่ยมจนโลกทั้งโลกชื่นชมยินดี แบบที่ฝ่ายรัฐบาลเอาข้อมูลมาให้ดู เอาสถิติมาให้ดู และรัฐมนตรี เอาข้อมูลมาให้ดูนั้นแหละ ถือว่ายากที่จะหาใครประเทศใดเทียบเทียมได้ยากจริง ๆ และขณะนี้ นายสุทิน คลังแสง จะไปพูดทำไมเรื่องขอให้ท่านลาออกเถอะ หวังดีจริง ๆ เพื่อจะได้เป็นวีรบุรุษของประชาชน จะลาออกหรือไม่ลาออก ลาออกแล้วก็จะวุ่นวายไป มันเกี่ยวกับกติกาที่นักประชาธิปไตยจะเคารพต่างหากนักการเมืองไทยนี่โง่แสนโง่ ไม่รู้กติกาการเมืองเสียเลย ก็อย่างที่ว่า ความคิดของคุณก็คุณแหละเอาไปปฏิบัติ เขาเองก็มีความคิดของเขา
และยังคงเอาข้อกล่าวหามาบอกว่าประชาชนเกลียดชังทนประยุทธไม่ไหวแล้ว เป็นกบฏโจรห้าร้อย นั้นก็เป็นเพียงข้อกล่าวหาเท่านั้นเอง ทำไมไม่ดูความจริง ดูจากจากการเลือกตั้งซ่อมมา 6 ครั้ง ในระยะหลัง 24 มี.ค.2562 มานี้ 6 จังหวัด นั่นแหละบอกไปถึงประชาชนนิยมรัฐบาลประยุทธ เพราะฝ่ายรัฐบาลชนะหมด แบบที่เป็นเหตุผลจริง เลย และทำไมพรรคก้าวไกล เพื่อไทยจึงไม่ได้สส.มาเลยล่ะ นี่แหละข้อพิศูจน์ละ ที่จริง มีการเลือกตั้งครั้งต่อไป หากฝ่ายค้านทำตนเช่นนี้แล้ว ก็เห็นอยู่ดีว่าสู้รัฐบาลประยุทธไม่ได้ อีก คือสรุปฝ่ายค้านเพื่อไทย ก้าวไกลนี่ ถึงขนาดที่ว่าแย่มากจริงดูจากการพูดในสภาวันนี้ เหมือนสภาไม่ใช่สภามนุษย์ ใช้วาจาต่ำ ๆ แบบว่าทำไมจึงไร้มนุษยธรรมกันได้ขนาดนี้ นี่แหละองค์กรคนเลวละ แต่ท่านประยุทธ สส.ของท่านและรัฐมนตรีของท่าน ล้วนแต่สุภาพชน
มองแค่นี้ก็แล้ว พวกฝ่ายค้านนั่นแหละควรลาออกไปเสียเถอะไม่สมกับความเป็นสส.ผู้ทรงเกียรติเลย เลือกตั้งเมื่อไร ประยุทธก็จะชนะกลับมาได้อีก ที่ถูกแล้ว พรรคเพื่อไทย ก้าวไกล น่าจะสร้างตนเอง ให้เป็นพรรคการเมืองที่มีฐานะมั่นคงเสียก่อน หาหัวหน้าพรรคที่พร้อมจะเป็นนายกรัฐมนตรีไว้ เตรียมการต่อสู้ในสนามเลือกตั้งคราวหน้าไม่กี่ปีเอง นั่นแหละจะดีกว่า พร้อมกว่า และนั่นแหละวิถีทางประชาธิปไตยที่แท้จริง แต่วันนี้ แม้จะยุบสภา ยุบวันนี้แล้ว ก็ยังคงจะใช้กติกาการเมืองเดิม กระทั่งจะถามว่าหากประยุทธออกไปเสียวันนี้ ขณะนี้ แล้วใครจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีแทน ดูฝ่ายค้านแล้วก็ไม่เห็นใครเลย ใครล่ะ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย หรือคนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ นอกจากในพรรค พปชร.เอง ก็น่าจะหาคนมาปรากฏตัวหน่อยสิ แบบนี้แหละ ประยุทธ จันทร์โอชา จะชนะใจประชาชนไปนานเลย
ทำไมพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล จึงไปลงที่การชุมนุมนักเรียนนักศึกษา วันที่ 19 ก.ย.2563 นั่นก็คือ พวกเดียวกันนั่นเอง และพรรคฝ่ายค้านเพื่อไทย ก้าวไกล นี่เองอยู่เบื้องหลังการเดินขบวนของนักศึกษา รวมไปถึงความหมายการชูสามนิ้วนั้น หมายถึงการล้มล้างสามสถาบันไป นั่นเอง และทราบเรื่องราวมาแบบปั้นเรื่องขึ้นว่าจะมียุทธการสะพานมัฆวาน นับแต่นายชลน่านศรีแก้ว ภายหลังที่การอภิปรายตลอดวัน เริ่มแต่ เช้าโดยนายวันนอรมะทา จนคนสุดท้าย นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ สส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย พูดจวนจบรายการและลงแบบเดียวกัน เหมือนทุกคนฝ่ายค้านที่พูดกันวันนี้ เรียกร้องให้ นายกรมต.ออกไปเสีย
เหตุผลก็ไร้เหตุผล เพราะสส.ฝ่ายค้านวันนี้ มิต่างจากสมาชิกในสื่อออนไลน์ที่เขียนคิดอ่านด่านายกรัฐมนตรีมานั่นเอง ซ้ำลงไปกับคำด่าของของพวกอนาคตใหม่ นับแต่นางสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ พาด่ามาแต่แรกเริ่มโควิดนั่นเองโดยเริ่มว่าพล.อ.ประยุทธโง่ ไม่รู้เรื่องไวรัสโควิดเท่าตน นรม.หัวควย ลาออกไปเสีย ไล่ออกไป นั้นเอง เหมือนกันเองเลย นั่นคือยุทธศาสตร์การโฆษณาชวนเชื่อ โดยทำให้เวทีสภาวันนี้กลายเป็นแดนวาทะที่หยาบช้าสามานย์ที่สุด คือมีแต่ด่าอย่างเดียวแบบที่ไม่เห็นว่าท่านประยุทธเป็นคนเลย แต่ความหวังที่ว่าจะสร้างความหุนหันพลันแล่น ความฝ่อในดวงจิตดวงใจ คิดท้าทายลาออกไปกลางสภาของ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา พลาดไป อย่างน่าสลดหดหู่ของพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล และฝ่ายค้าน ที่มองไม่ถึงใจนายพลเอกคนนี้ เพราะวันนี้เอง ทางฝ่ายรัฐบาลได้เตรียมมาเพื่อตอบโต้คำถามทุกอย่าง อย่างมีเหตุผล มีข้อมูล ซึ่งพอรัฐมนตรีแต่ละท่านพูดขึ้นนั้น ลบล้างคำกล่าวหาไปทั้งหมด ทั้งนี้ก็เพราะฝ่ายก้าวไกล เอาข้อมูลที่กล่าวหาด่าทอมาไม่ครบถ้วนนั่นเองโดนโต้กลับไปหมด เช่นที่ท่านรองนายกรัฐมนตรีท่าน รัฐมนตรีหลายท่านออกมาตอบโต้ข้อเท็จจริง