ข้อสังเกตประชาธิปไตยไทยเพื่อการเรียนรู้จากบทวิเคราะห์การเมืองล่าสุด
เรื่องที่ไม่คิดว่าจะมีได้ในการเมืองไทย นั่นบอกถึงความด้อยพัฒนาอย่างสุด ๆ
การปลุกระดมมวลชนทั่วประเทศ มาไล่นายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง
Phayap Panyatharo
5 มกราคม 2020 ·
ก็มีเรื่องที่ไม่คิดว่าจะมีได้เลยในวงการเมืองไทยอีกครั้งหนึ่ง ที่บ่งบอกไปถึงความด้อยพัฒนาทางการเมืองไปอย่างสุด ๆ อีกเรื่องหนึ่ง ก็คือเรื่องที่พรรคฝ่ายค้านนำโดยพรรคอนาคตใหม่ จะระดมประชาชนออกมาเดินขบวนไล่คน ๆ หนึ่ง ในวันที่ 12 ม.ค. 2563 นี้ ซึ่งเดิมเรื่องนี้ ได้ยินกันแว่วๆว่า ไล่ยุง ไม่ใช่ไล่ลุง ก็คิดว่าเป็นการเล่นมุขตลกๆ กัน แต่แล้ว ก็กลายมาเป็นเรื่องจริง ที่พรรคการเมืองฝ่ายค้านตั้งใจจริงที่ระดมประชาชนออกมาเดินขบวนไล่ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่แม้จะเรียกว่า จัดกิจกรรมวิ่งไล่ลุง ก็ตาม และได้ออกไปปลุกระดมประชาชนหลายจังหวัด
ตามข่าวนสพ.ล่าสุดมีการแชร์ข้อมูลทางโซเชียลมีเดียจะมีการจัดวิ่งไล่ลุงพร้อมกันหลายจุดใน 18 จังหวัด และในอีก 6 เมืองใหญ่ของ 4 ประเทศ นสพ.ไทยรัฐระบุผู้นำคนหนึ่งคือนายธนวัฒน์ วงศ์ไชย นิสิตคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยชั้นนำอีกด้วยคือจาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นแกนนำจัดวิ่งไล่ลุง วันนี้พบว่า มีการเปิดรับลงทะเบียน วิ่งไล่ลุงอีกด้วย โดยนางช่อ พรรณิการ วานิช พรรคอนาคตใหม่ ผู้ที่มีหน้าที่พูด(แบบโฆษณาชวนเชื่อมาตลอด)ออกมาว่าการลงทะเบียนไล่ลุงเต็มแล้ว โฆษณาชวนเชื่อ ว่าวันนี้เต็มแล้ว ว่าไปอีก ข่าวแทรกมาว่า มีโรงเรียนอนุกูลนารี มหาสารคาม นี่แหละวิ่งแจ้งความพรรคอนาคตใหม่ มาปลุกระดมมวลชนในร.ร. ให้ออกไปเดินขบวนไล่นายกรัฐมนตรีไทย โฆษณาทางสื่อก็ว่าไปว่าจะวิ่งทั้งแผ่นดินวิ่งไล่ลุง
ซึ่งนี้เป็นงานการเมืองของพรรคอนาคตใหม่ ..สิ่งที่เราเห็นว่าทำไม่ถูกเลย ....ไม่ถูกตามหลักการประชาธิปไตยเลย ก็แค่มองจากสามัญสำนึกธรรมดา ๆ นั่นเอง คือ การที่เราคนใดคนหนึ่งจะไปไล่ใครนั้น มันเป็นสิ่งที่ผิดหลักมนุษยธรรม มนุษย์ด้วยกันจะทำการอย่างนี้ไม่ได้ ไม่ชอบด้วยความเป็นมนุษย์ และมนุษย์แต่ละคน ๆ ก็ย่อมไม่พอใจ ไม่อยากให้ใครมีเรื่องมาไล่เราอย่างนี้ และเพื่อเป็นการประกันสิทธิเสรีชนเยี่ยงนี้จึงมีกฎหมายให้การประกันเอาไว้ และพรรคการเมืองนักการเมืองก็น่าจะรู้ว่า นั่นเป็นความชอบธรรม เป็นธรรม อย่างไร เพื่อความเป็นอยู่อย่างมีมิตรภาพ เพื่อนำไปสู่สันติสงบของสังคม ยิ่งในยุคประชาธิปไตย ที่คนในระบอบประชาธิปไตย จะเป็นคนที่มีศักดิ์ศรีมีความเป็นคนเสมอกันหมด มีสิทธิในอำนาจการเมืองเท่ากันคนละ 1 คะแนนเสียงนั้น
แล้วคุณถือสิทธิอะไรจึงสามารถจะไปไล่เขาได้ มันผิดหลักการมนุษยธรรม ผิดหลักประชาธิปไตยในมุมของสิทธิมนุษยชน และผิดหลักการ ความเสมอภาค( equality - fraternity) ในระบอบประชาธิปไตย เราจะไปไล่คน เหมือนไล่หมา ไล่แมว ไล่ เสือ ไล่ช้าง ม้า วัวควาย ไล่ไก่ ไล่กา นั้นไม่ได้ ผิดหลักมนุษยสัมพันธ์ ผิดหลักการสิทธิ เสรีภาพ ในระบอบประชาธิปไตย ดังกล่าว และในความเป็นจริง การไปไล่ใครเขานั้น แสดงถึงการละเมิดสิทธิของคนในระบอบประชาธิปไตย คนในระบอบประชาธิปไตยต่างมีสิทธิในบ้านเรือน ตนเอง สิทธิในที่อยู่อาศัย สิทธิในที่ทำมาหากิน สิทธิในการที่จะเดินทางท่องเที่ยว การประกอบอาชีพการงานของเขา อย่างมีเสรีภาพ สิทธิที่จะพักผ่อนหลับนอนอย่างสบาย สิทธิแห่งความรัก ที่สุขสดชื่นหวานฉ่ำ ซึงได้รับการรับรองโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว และหากใครไปละเมิดสิทธิอันนี้ นั้นย่อมมีความผิดตามกฎหมายอาญาย่อมมีความผิดร้ายแรงถึงติดคุกตลอดชีวิตได้ด้วย
แล้วทำไม่จึงมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นในวงการเมืองไทย ...ทำไมจึงยังไม่ถึงภาวะความเป็นผู้ใหญ่เลย...นั้นแหละความเป็นสถาบัน( institution) ของพรรคการเมืองพรรคนี้มีระดับไหน หากมีการนำผิดไปอย่างโง่เขลาเต่าตุ่นจริง ๆ เช่นพรรคอนาคตใหม่นี้ แล้วเราจะอยู่ร่วมกันอย่างคนไทย ประเทศไทยกันไปได้อย่างไร (ทำไมจึงไม่พิจารณาโดยยุทธศาสตร์ และ ยุทธวิธีการเมืองที่ถูกต้อง ตามระบอบประชาธิปไตย ...เข้าใจหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ?)
นี่จึงเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความด้อยพัฒนาไปอย่างสุด ๆ ของพรรคการเมืองอนาคตใหม่นี้ รวมทั้งคณะกรรมการพรรค ที่ดำเนินการ รวมทั้งพรรคการเมืองฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทย ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ตามสนับสนุนด้วยทั้ง ๆ ที่เป็นพรรคใหญ่ที่สุดของฝ่ายค้าน
คำถามก็คือพรรคการเมืองที่คิดผิดไปอย่างไม่สมควรเลยเช่นนี้ สมควรที่จะมีอยู่ในวงการเมืองไทยอยู่หรือ ? และความจริง การไปไล่คนเขาออกไปจากบ้าน ที่อยู่อาศัย ที่ประกอบการงานอาชีพเขา ที่เขาใช้เป็นที่พักผ่อนมีความสุขกับสามี หรือ ภริยา หรือคนในครอบครัวที่รัก ที่แสนสบายตามอัตภาพของเขา ความเป็นเสรีชนนั้น ... นั้นผิดทั้งกฎหมายรัฐธรรมนูญ และผิดกฎหมายอาญา เท่านั้นยังไม่พอ ยังผิดไปถึง ธรรมสากล คือความเป็นมนุษย หรือ มนุษยธรรม ซึ่งคนทั้งโลกย่อมมองว่าเป็นคนเลวสุดเลวอยู่แล้ว
ทีนี้ ทำไมจึงมีพรรคการเมือง ที่กล้าทำผิดไปขนาดนี้ แล้วดูเหมือนว่าสังคมด้อยพัฒนา ยังไม่ค่อยรู้สึก ในเมื่อเราเอามาพิจารณามาดังกล่าว ก็ควรที่ประชาชนจะได้เข้าใจ และในฐานะประชาชนแห่งประชาธิปไตย ก็ขอได้ใช้สิทธิของตนในการที่จะใช้อำนาจการเมืองของตนตามระบอบประชาธิปไตย ให้การลงโทษพรรคการเมืองนั้นไปอย่างถูกต้องตามวิถีทางประชาธิปไตยต่อไป.. @.ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆินทร์ / 5 ม.ค. 2563 / 11.25 น.
∞∞∞∞∞
∞∞∞∞∞
∞∞∞∞∞
วันสุดท้ายของการประชุมส ภาผู้แทนราษฎร 2563
ฝ่ายค้านว่าโควิดมาจากพล.อ.ประยุทธ ไร้ความสามารถ ลาออกไปสิ
Phayap Panyatharo
24 ธันวาคม 2020 เวลา 00:00 น. ·
โควิด- 19 ทำให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร นายชวน หลีกภัย สั่งปิดประชุมวันที่ 24-25 ธ.ค. 63 ไปเปิดประชุมปีใหม่ 64 ไปเลย วันนี้ 23 ธ.ค. 63 ก็เลยเป็นวันสุดท้ายของปี 63 ซึ่งในวันนี้ สภาผู้แทนราษฎร ก็มากันครบทุกพรรคการเมือง พิจารณา 4 เรื่องรวมทั้ง พรบ. ยกฐานะศาลแขวงเป็นศาลจังหวัด และ พรบ.แท๊งลูก ในเวลาเย็นช่วงสุดท้ายของวัน ก่อนปิดประชุมนั้นเอง พบว่าสภาอภิปรายญัตติความเดือดร้อนของประชาชนเนื่องจากโควิด สมุทรสาคร แรงงานข้ามชาติ
ปรากฎว่าพรรคฝ่ายค้าน มีนายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.กทม.พรรคก้าวไกล , นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สบช. พรรคก้าวไกล , นายประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์ สบช. พรรคก้าวไกล , และนายกิตติศักดิ์ คณาสวัสดิ์ สส.พรรคเพื่อไทย , และนายซูกาโนมะทา สส.พรรคประชาชาติ , อภิปรายไปแบบเดียวกันเลย คือลงว่าเรื่องโควิดนี้ มีเหตุมาจากพล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา บริหารงานไม่เป็นไม่ถูกต้อง บกพร่องต่อหน้าที่นายกรัฐมนตรี ลาออกไปเสียสิ แบบเดิม ๆ ที่ว่ามาตั้งแต่แรกมีโควิดเดือน มค. 63 ที่เริ่มจากนางสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ กับนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หน.พรรค(หัวหน้าหุ่นจริงๆอยู่ต่างประเทศ) ว่าขึ้นก่อนว่าพลเอกประยุทธ ต้องลาออกจาก นรม.เพราะไม่รู้เรื่องโควิทเท่าตน ทำชาติเสียหายมาตลอดหากลาออกชาติก็จะพ้นความล่มจมไปทันที ว่ามาอย่างนี้แหละ
พวกพรรคก้าวไกล ยิ่งว่าไปไม่หยุด แม้วันนี้ เอง แม้พวกม็อบก้าวไกลนายเพนกวิน นางรุ้ง นายไมค์ นายอะไรๆที่ติดคุกกันไป รวมพวกอาจารย์ 105 คนที่สนับสนุนก็ว่าไปตาม ว่าตามกันไปแบบนี้หมด มาถึงวันนี้ แล้ว ว่าตามมาจนถึงวันนี้
ซึ่งนั้นบอกถึงแผนการการเมืองของพรรคฝ่ายค้าน เป็นเพียงแผนการโฆษณาชวนเชื่อ....มิได้มีความน่าเชื่อถือถึงระดับสถาบันการเมืงเลย จากการอภิปรายประเด็นใดก็ตาม ไม่เคยมีการวิเคราะห์ข่าวกรองมาก่อนเลย เพียงเอาคารมปาก
ตนเป็นสส.เป็นขรก.การเมืองในรัฐสภา แต่ไม่ต่างจากพวกพวกม็อบข้างถนนนั้นเองเลย โดยเฉพาะอะไรที่ควรเสนอ อย่างเรื่องพรบ.ทำแท๊งวันนี้ เป็นต้น มันต้อง มีงานการวิจัยมาอย่างเอาจริงเอาจัง เป็นอีกส่วนที่เกินเรื่องหลักวิชาการไปอีก แต่ไม่เป็นเช่นนั้น นี่แหละพรรคฝ่ายค้าน นักการเมืองฝ่ายค้านวันนี้โดยเฉพาะพรรคก้าวไกล พรรคที่ไร้วุฒฒิภาวะไปอย่างสิ้นเชิง หากแต่อยากเป็นใหญ่เป็นโตทางการเมือง อยากเป็นนายกรัฐมนตรี อยากเป็นประธานาธิบดี คิดการใหญ่ขนาดปฏิวัติสถาบันไปนู้น โดยปรากฎเรื่องงานการข่าวสารโฆษณาออนไลน์ ด่าคนอื่นพวกตรงข้ามตนนั่นเอง จนถึงรุม แบบที่ว่าป็นการ บูลลี่ Bully ที่เรียกว่าทัวลงคนนั้น คนนี้ รวมทั้งที่ไปเกี่ยว มาตรา 112 นั่นเอง มาจากพรรคฝ่ายค้านที่เรียกตนว่าคนทันยุคสมัยนี่เอง
ซึ่งประชาชนก็คงมองเห็นเองอยู่แล้ว จึงปรากฎมาตลอด นับแต่การเลือกตั้งซ่อม 6 จังหวัดมา จนถึง การเลือกตั้ง อบจ.ที่อุตส่าห์ส่งลงตั้ง 42 จังหวัด แต่ไม่ได้คะแนนสักจังหวัดเลย ได้ 0 ทุกจังหวัดมีที่ไหน น่าขายหน้าเท่านี้ นี่แหละมันสอนอะไรเรา น่านำไปวิจัยดูตัวเองก่อน จะไปโกรธประชาชน ไปโกรธพลเอกประยุทธ เขาทำไม ? ไปดูถูกประชาชนว่าพวกหัวโบราณ พวกไม่ทันโลกยุคใหม่อย่างตน ได้อย่างไร ? ตนเองต่างหาก ไม่เป็นอะไรเลย
....และ การอภิปราย แนวการแสดงวาทะในสภา ก็เป็นอย่างเด็ก ๆ มาตลอด ไม่ถูกหลักประชาธิปไตยเลย ไม่เข้าใจเรื่องการเมืองชนบท เอาว่า หากเราปฏิบัติไม่ถูกหลักประชาธิปไตย อย่างที่พรรคฝ่ายค้านทำอยู่ทุกวันนี้แล้ว มันก็จะกลายเป็นแบบอย่างที่เลว ที่นำไปสู่ความแตกแยกของประเทศ นับแต่ การเลือกตั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ไม่ใหญ่โตอะไร หากมีพรรค 2 พรรค หรือฝ่าย 2 ฝ่าย 2พวกสู้การเมืองกันแบบระดับชาติทุกวันนี้ คือทำการเมืองไปแบบเป็นศัตรูกันอย่างเฉียบขาด แบบพรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทยทำอยู่ในระดับชาติ ปรากฎตลอดจากรัฐสภาแล้ว หลังเลือกตั้ง คนในหมู่บ้านนั้นเองบ้านเล็ก ๆ ก็แตกกันเป็น 2พวก ฝ่ายแพ้ไม่ยอมรับว่าแพ้ เหมือนพรรคฝ่ายค้านนี่แหละ ไม่เคยรับหลักการเสียงส่วนมาก มองฝ่ายชนะแบบคนโกงเป็นศัตรูตลอดไป ต้องไล่ออกตลอดไป
ในหมู่บ้านเล็ก ๆ คนไม่ถึง 600-1000 คน ก็แตกกันทุกทีที่มีการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้าน หรือ กำนัน หรือเทศบาลตำบล-เมือง ฯลฯ แบบว่าทำไปไม่ถูกหลักการประชาธิปไตย แบบพรรคฝ่ายค้านทำอยู่ในสภา นอกสภาทุกวันนี้นั่นเอง จะแตกกันเป็น 2 ฝ่ายไปแบบไม่มองหน้ากันเลย นั่นเป็นเรื่องที่เป็นมาตลอด นับแต่มีการเลือกตั้งในประเทศนี้ ทำให้หมู่บ้านเล็ก ๆ นั้นแตกแยกกันไปตามการเมืองที่ผิด ๆ แล้วมีกี่หมู่บ้านล่ะทั้งประเทศ และครั้นเลือกกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เลือกเทศบาล สุขาภิบาล เลื้อก อบจ. ฯลฯ ก็แตกไปทั้งประเทศ ดีที่มีวัดอยู่ตรงกลาง จึงพออยู่ได้ การที่เขา(นักปฏิวัติ)หยุดพวกนี้ลงไว้บ้างนั้น จึงมีเหตุมีผล ที่ไม่เคยมีนักรัฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัยออกไปวิจัยดูตามหน้าที่ตนเองเลย แบบการเมืองระดับชาติในรัฐสภานั้นเอง ก็คิดดู ทำไมพวกรัฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัย จึงไม่รู้จักไปทำวิจัยดูเลย พวก 105 อาจารย์ที่สนับสนุนปฏิวัติสถาบันนั้น จึงน่าไล่ออกไปเสียที ขนาด อบจ.คราวนี้ ก็ไม่เห็นมีคนในคณะรัฐศาสตร์ ในมหาวิทยาลัยออกไปวิจัยเลย (ทำไม่เป็นมากกว่า จึงควรยุบเสีย)
นั่นก็คือ คำว่า เสรีภาพ Liberty, เสมอภาค Equality, ภราดรภาพ Fraternity, ไม่มี แบบไปเข้าใจว่าเสรีภาพหมายถึงทำอะไรไปตามใจตนเอง อยากพูดแสดงความคิดเห็นอะไร แต่ไม่มีภูมิรู้ภูมิธรรม แม้งานการข่าว การศึกษาก็ไม่มี จึงมีแต่ด่าเขาๆ ด่าไปจนถึงสถาบัน โดยไม่คิดว่าคนอื่นก็มีเสรีภาพแบบเดียวกัน ไปละเมิดเขาไม่ได้เด็ดขาด และ คำว่า ภราดรภาพ หรือ fraternity หรือญาติธรรม ไม่มีเลย มีแต่ฝ่ายตรงข้ามที่หมายถึงศัตรูกันไปเลย แบบที่พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล พรรคฝ่ายค้าน ไม่คิดไม่เข้าใจคำว่า fraternity นี้ หากไม่มีเป็นกฎประชาธิปไตยแล้ว ประชาธิปไตยจะนำไปสู่ความแตกร้าวอย่างฉกาจ อย่างที่ปฏิบัติยู่เป็นอยู่ในและนอกรัฐสภาวันนี้นั่นเอง ที่ปรากฎในสภา นอกสภาวันนี้ชัดเจน นั่นคือไม่มีภราดรภาพ ไม่เคารพในหลักภราดรภาพ(ซึ่งแท้จริงมาจากหลักการพระพุทธศาสนานั่นเอง หากแต่ไม่ปฏิบัติเหมือนประเทศตะวันตก อเมริกาเขา รู้พุทธธรรมน้อยกว่าเขาอีก) ไม่เคารพในหลักการ Majority Minority เลย ว่าสำคัญขนาดไหน หากไม่ นั่นคือการทำลายประชาธิปไตย นั่นเอง ประชาธิปไตยเดินไปไม่ได้ ผู้ที่ทำลายอยู่(ล้วนนักการเมืองทั้งนั้นเลย ทำลายเพราะไม่เข้าใจประชาธิปไตย ทำแบบอย่างที่เลวลงไปสู่ท้องถิ่นเสียอีก) แล้วประชาธิปไตยไทยจะเจริญไปได้อย่างไร ?
การโฆษณาของพรรคการเมืองฝ่ายค้าน เพื่อไทย ก้าวไกล และ คณะก้าวหน้า (อนาคตใหม่เดิม) ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่เพิ่งพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง อบจ.ทั่วประเทศ โดยที่ส่งลงชิง อบจ.ตำแหน่งนายกอบจ.ถึง 42จังหวัด ผลออกมาตกหมด อย่างน่าขายหน้า ที่สมใจประชาชนที่เขาว่าพวกหนักแผ่นดิน นั่นเอง อำนาจของประชาชนเสรีชน อย่าไปคิดดูถูกเขา แม้เขาจะยากจน แต่ที่เสมอกันยิ่งใหญ่พอ ๆ กันก็คือ อำนาจ 1 คน 1 เสียง ที่เท่าคนทั้งหลายเลยนั่นเอง การที่ไม่ได้เลยสักจังหวัดเดียว ...
ซึ่งเรื่องนี้ ก็เคยมีสิ่งบอกเหตุมาก่อนแล้ว สำหรับนายธนาธร และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ พรรคก้าวไกล จากการเลือกตั้งซ่อม 6 จังหวัด ปรากฎว่าฝ่ายรัฐบาลชนะหมด การเลือก อบจ. ไม่บอกว่าพรรคไหนก็ตาม แต่สำหรับพรรคพวกอนาคตใหม่ พวกก้าวหน้า ก้าวไกล ลงทำการเมืองโดยตรง โดยส่ง 42 จังหวัดเลือกตั้งอบจ. ในนามพวกก้าวหน้า นำโดยนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แล้วดำเนินการหาเสียงโดยตรง อย่างกับทำการเมืองตรง ๆ เลย(ซึ่งนายธนาธรทำผิดคำสั่งศาล ที่ห้ามเล่นการเมือง 10 ปี อาจจะโดนลงโทษต่อไปอีก) ออกหาเสียงในนามพวกก้าวหน้า นั่นเอง
ซึ่งผลออกมาน่าจะใช้สติปัญญาพิจารณาเหตุและผลทางการเมืองดู ไม่ใช่มาแสดงออกในสภา ในลักษณะที่ว่า ที่ไม่สอดคล้องหลักการประชาธิปไตยเลย เข้าใจเสรีภาพผิดไปหมด คือจะพูดอะไร ด่าใครอย่างไร ไปชุมนุมที่ไหนอย่างไรก็ทำได้ นั้นน่ะ เข้าใจผิดหมด และนั่นแหละ ทำลายประชาธิปไตย คือมองฝ่ายตรงข้ามตนเป็นศัตรู ซึ่งผิดหลักการที่เขาให้มองแบบพี่ ๆ น้อง ๆ มองแบบเป็นญาติมิตรสนิทธรรมกันแบบคนพุทธนั้นต่างหาก (แบบนายโจ ไบเดน มอง นาย โดนอล ทรัมป์) และการอภิปรายไม่เคารพหลักเหตุผล ไม่มีข่าวกรอง ข้อมูลที่กรองมาแล้ว วิจัยมาแล้วเลย
วันจะมีอภิปรายก็นอนคิดวางแผนเรื่องจะด่าเขาอย่างไรนั้นแหละท่าเดียว ทั้ง ๆที่เขามีผลงานกระเดื่องโลก ยังไม่ยินดีด้วยเลย แบบนี้ประชาชนเขามองออกเขาจึงไม่เอาเข้าสภาอบจ.แม้แต่ 1 คน แล้วก็มาด่าว่าประชาชนเขาไปอีก ด่าประยุทธจันทร์โอชา อนุทิน ชาญวีรกุลไปอีก ยิ่งได้ข้อยุติสำหรับประชาชนไปอีกว่า ต่อไ ป อย่าได้เอาคนพรรคพวกนี้เข้าสภาใดเลย ไม่ว่าสภาอบต กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เทศบาล สภาจังหวัด โดยเฉพาะสภาระดับชาติ หรือ สภาผู้แทนราษฎรศูนย์อำนาจการเมืองของชาติ
@สุไหงปาดี ชินะกุล ฆิกเมฆ ณเมฆิน บัวระย้า ชบาบุญเสฏฐ์ 23 ธ.ค. 2563 2350
∞∞∞∞∞
∞∞∞∞∞
∞∞∞∞∞
ทำโพลแบบแหกตาประชาชนมาตลอด ไร้ความคิดสถาบันใดเลย
Phayap Panyatharo
30 ธันวาคม 2019 ·
ที่เรียกตนเองว่านิดาโพล ได้ทำการสำรวจคะแนนนิยมทางการเมือง รายไตรมาสครั้งที่ 1 เปิดเผยผลการสำรวจออกมาวันที่ 29 ธ.ค. 2562 นี้เอง 2 เรื่อง ๆ แรก เรื่องนายกรัฐมนตรี คนอยากให้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นนายกรัฐมนตรี ถึง 31.42 % ห่างพล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ไปสุด ๆ ที่ได้ 23.74 % ห่างไกลถึง 7.68 %, ขณะเดียวกัน ถามเอาจากคนกลุ่มตัวอย่างเดียวกันนี้ ว่าชอบ นิยมชมชื่นพรรคการเมืองพรรคไหน , ผลพรรคอนาคตใหม่ได้รับความนิยมอันดับ 1 ถึง 30.27 %, เพื่อไทย อันดับ 2 ได้ 19.95 %, และอันดับ 3 พรรคพลังประชารัฐ 16.69 %
ผลโพลนี้ออกเข้าข้างพรรคอนาคตใหม่ และ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่อย่างเต็ม ๆ , เราคิดว่าในอเมริกา การทำโพลนี้เป็นงานง่าย ๆ และมักให้เด็กนักเรียนชั้นประถมทำก็ได้ ไม่ต้องเอาระดับศาสตราจารย์ อย่างนี้มาทำหรอก และการทำโพลมักจะผิดพลาดง่ายมากในเรื่องตัวอย่างที่เราไปสำรวจนี่เอง เช่นนิดาโพลครั้งนี้ ใช้วิธีตามใจตัวเองง่าย ๆ มากเลย โดยใช้โทรศัพท์โทรไปถามเขาเอา ไม่รู้ได้กี่คน แล้วลงว่าเป็นกลุ่มตัวอย่าง แล้วเอามาสรุป เอามาเขียนรายงานให้ดูดี ๆ เหมือนเป็นวิชาการว่างั้นเถอะ ใครก็ไม่รู้ ก็อาจจะบังเอิญที่ไปถามเอาแต่พวกของตัวเองหรือพวกของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่มีความเข้าใจหรือมีความรอบคอบละเอียดพอในการกำหนดกลุ่มตัวอย่างอย่างเป็นธรรม
ซึ่งตรงนี้แหละเป็นงานอันยากมากที่ผิดพลาดไปได้อย่างง่ายมาก หมายความว่าผลโพลนี้อาจจะเชื่อถือไม่ได้เลยหากมีความผิดพลาดในเรื่องการกำหนดกลุ่มตัวอย่างและวิธีการเก็บข้อมูล นั่นเอง เหมือนอย่างการสำรวจคราวนี้เอง ไม่ทราบว่าโทรศัพท์ไปถามใครก็ไม่รู้ ...
สิ่งที่เราเห็นว่า เป็นเรื่องเชื่อถือไม่ได้ก็คือ ขณะที่มีการสำรวจนี้ ได้มีการเลือกตั้งในจ.นครปฐมเขต 5 ไปในวันที่ 23 ต.ค. 2562 แล้วพรรคอนาคตใหม่ และนายธนาธร แพ้อย่างราบคาบไปเลย ซึ่งนายธนาธรก็ถึงหน้าจืดจำต้องยอมรับว่าตนแพ้
ประชาชนนครปฐมเขาไม่เอาพรรคอนาคตใหม่ ไม่เอานายธนาธร ทั้ง ๆ ที่การหาเสียงของพรรคนี้ คนของพรรคนี้ กระทำอย่างขยันไปสุด ๆ ทั้งการใช้เทกนิกสื่ออย่างกว้างขวาง เต็มสติปัญญาเลยใครตามไม่ทัน
แม้เรื่องการโฆษณาชวนเชื่อ หรือการโกหกให้คนเชื่อ ก็ไม่มีใครทำได้เท่าเทียม แต่ทำไมแพ้ฝ่ายรัฐบาลเขาล่ะ ?
และอีกต่อมาการเลือกตั้งซ่อมเขต 7 ขอนแก่น คราวนี้พรรคประยุทธ ลงเองเลย และชนะพรรคเพื่อไทยไปอย่างไร้ข้อติฉินนินทา บริสุทธิ์จริงๆ ไปแล้วเช่นเดียวกัน เป็นเรื่องร้อน ๆหนาวๆ กันอยู่แท้ ๆ และปลุกประชาชนให้ตื่นขึ้นจากการเชื่อลมโกหกพกลมของนายธนาธร พรรคอนาคตใหม่(ที่รอวันถูกยุบอยู่ด้วยแล้ว)
แล้วทางนิดาโพลมาทำอะไรส่งผลขัดแย้งความนิยมของประชาชนไปอย่างเห็นชัด ๆ จริง ๆ เช่นนี้ นั่นแหละความบกพร่อง ต่ำต้อยด้อยค่าของผลโพลครั้งนี้ บอกถึงมีความลำเอียงหรือความไม่รอบคอบ รวมทั้งสิ่งที่น่าดูก็คือความทุจริตเงินลงทุนทำโพลครั้งนี้ด้วย ในการสำรวจหรือทั้งยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีการทำโพล
เหมือนเด็ก ๆ เกินไป คือ ไปได้เบอร์โทรศัพท์มาจากไหนก็ไม่รู้ แล้วโทรศัพท์ไปถามเขาเอาว่า ระหว่างพรรคอนาคตใหม่กับพรรคพปชร ของนายธนาธร กับของ ลุงตู่ประยุทธ คุณเอาคนไหนเอาพรรคไหน...ถามเอาทางโทรศัพท์ แล้วคนถูกถามเขาจะนึกจริง ๆ จังๆไปอย่างไร ? แล้วยังไง ก็ถามเอาแบบคาดคั้นเอา ตั้งคำถามนำให้เขา ว่า ธนาธรเป็นนายกรัฐมนตรี ชอบไหม ? จะเอาทหารเผด็จการคสช.ครองอำนาจต่อหรือ ? ถามไปแบบถามนำเช่นนี้ ใครจะไปรู้ด้วยกับคุณ เขาก็ขี้เกียจจะพูด ก็เออ ๆ ๆ ๆ นี่ก็มาสรุปเอาง่าย ๆ ว่าเขาชอบนายธนาธร คนนี้แหละอยากให้เป็นนายก ....
มันใช้ไม่ได้นะแบบนี้ โละทิ้งเลย ....จะไปถามทำไม ในเมื่อ มีผลการเลือกตั้งออกมาในช่วงนี้ ถึง 2 สนามที่ชัดเจน บอกชัดเจนว่าประชาชนเขาชอบใคร ชอบพรรคอะไร ไม่ชอบพรรคอะไร ไม่ชอบใครอยู่แล้ว ที่บอกชัดอยู่แล้ว
โดยเฉพาะฝ่ายรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ก็เพิ่งได้สร้างงานสำคัญคือ วันเสด็จเลียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมาร์ค วันที่ 12 ธ.ค. 2562 ที่เป็นผลงานของรัฐบาลที่ตรึงใจประชาชนไทย ประชาชนโลกทั้งโลกไปแล้ว
ซึ่งทางพรรคอนาคตใหม่ก็ออกมาทำแฟลช ม๊อบแฟลชกลางถนน ที่กำลังจะถูกฟ้องไปอีก เพื่อกลบความดีของรัฐบาลเขานั่นเอง คือทำชั่วเพื่อลบความดีของคนอื่น นี่หรือผู้นำที่ดี
ฉะนั้น นิดาโพล จึงบอกไปถึงผลงานที่ไร้ฝีมือไร้อุดมการณ์จริง ๆ ทำอย่างเล่น ๆ จริง ๆ โดยเด็ก ๆ เสียดายเงินน่ะ และเราขอเสนอว่าเป็นผลงานที่เชื่อถือไม่ได้เลย อย่าได้ทำออกมาอีกเลย มีแต่เสียไปทั้งนั้น(ที่ทำมาก่อนนี้ ก็เหมือนกัน....)วันหนึ่งคงจะมีเรื่องเบื้องหลังออกมาดู
∞∞∞∞∞
∞∞∞∞∞
∞∞∞∞∞
การเมืองเป็นเรื่องนโยบาย เข้าใจไม่ถูกจึงมีแต่ด่าคนอื่นเขาเหมือนเด็ก ๆ
Phayap Panyatharo
24 ธันวาคม 2019 ·
แชร์กับ สาธารณะ
ไม่เข้าใจว่าทำไมคุณจะต้องโกรธแค้น(ไปด่าแม่เขาขนาดนั้น) และแค้นไปขนาดเกินไปจนเหมือนทำตนเป็นศัตรูผู้อยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ ในเมื่อการเมืองนั้น เป็นเรื่อง นโยบาย
ประชาธิปไตย ย่อมต้องมีนโยบาย ต้องมองที่นโยบาย ที่ย่อมแตกต่างกันไปตามแนวคิดของพรรคการเมือง ที่แต่ละพรรคก็ย่อมเสนอนโยบายต่างกัน แล้วคุณจะไปโกรธเขาทำไม ในเมื่อเขาไม่เลือกคนของคุณ ไม่เลือกนโยบายของคุณ คุณไปโกรธ ด่าว่าเขาทำไม ในเมื่อเขาเลือกคนอื่นนโยบายคนอื่น ที่ไม่ใช่ของคุณ ในเมื่อคนเขามีเหตุผล มีผลประโยชน์เฉพาะตนๆต่างกัน ไป ...
ตัวอย่างนะ คนบ้านเดียวกัน พี่น้องกันแท้ ๆ คนพี่ทำนาข้าวมะลินับพันไร่ คนน้องทำไร่ยางนับพันไร่พอๆกัน มีพรรคการเมือง 2พรรค มาเสนอนโยบาย พรรคก.ไก่ จะส่งเสริมการทำนาส่งข้าวไปตลาดต่างประเทศ จะสร้างการชลประทานให้ทำนาได้ปีละหลายครั้ง อีกพรรคหนึ่งพรรคข.ไข่จะ ส่งเสริมตลาดยาง ส่งยางไปต่างประเทศ ให้ตลาดยางไทยขยายไปทั่วโลก ให้ชาวไร่ยางร่ำรวย คิดดูนโยบายทั้ง 2นโยบายล้วนเป็นนโยบายที่ดีสุดยอดทั้งนั้น แต่พี่น้องทั้ง 2 คน เขามีสิทธิที่จะเลือกคนของเขาไปเป็นสส.ได้เพียงคนเดียว เขาจะเลือกใคร ด้วยเหตุผลอย่างไร ?
แน่ละ เขาย่อมเลือกพรรคที่มีนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อเขา คนพี่เขาก็ต้องเลือกนโยบายข้าว คนน้องเลือกนโยบายยาง คนพี่ที่เขาทำนา เขาก็ย่อมเลือกคนพรรคก.ที่ส่งเสริมการทำนาของเขา จะให้เขาไปเลือกพรรคข.ไข่ที่ส่งเสริมการยางได้อย่างไร เช่นเดียวกับคนน้อง ที่จะต้องเลือกพรรคที่เสนอนโยบายยาง จะให้ไปเลือกพรรคที่เสนอนโยบายข้าวได้อย่างไร
ฉะนั้น เมื่อพรรคข.ไข่แพ้การเลือกตั้งไป คุณโกรธหนัก ที่คุณเป็นฝ่ายแพ้การเลือกตั้ง นั้น แล้วออกวาทะโกรธเกรี้ยวไปอย่างหนัก ด่าว่าคนอื่นโง่ เง่าเต่าตุ่น เป็นควาย .....
มันบอกอะไรล่ะ ? มันบอกถึงความไม่เข้าใจการเมืองประชาธิปไตย ทั้ง ๆ ที่อ้างตนเป็นฝ่ายประชาธิปไตย นั่นเอง ขนาดเป็นผู้นำการเมืองยังไม่เข้าใจเช่นนี้ การเมืองไทยจะเดินไปถูกทางได้อย่างไร จึงล้าหลังอยู่จริงๆ
ทางที่ถูกแม้คุณจะแพ้ไปก่อน ก็ต้องถือว่าเป็นเช่นนั้นเอง คุณต้องยอมรับและหาทางต่อสู้อย่างเข้มข้นจริงจัง อย่างเป็นวิถีทางปกติของประชาธิปไตย ต่อไปเพื่อให้นโยบายยางของคุณได้รับการยอมรับจากประชาชนส่วนมากโดยเหตุโดยผล โดยข้อมูลที่ถูกต้อง ในเวลาต่อ ๆ มา เหมือนนโยบาย Brexis ที่คิดแยกอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป ที่มีการต่อสู้กันในวงการเมืองมานาน จนกระทั่ง นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ต้องออกจากตำแหน่งไปตาม ๆ กันถึง 4 คน นับตั้งแต่ มากาเรต แธทเชอร์ , จอห์น เมเจอร์ , เดวิด คาเมรอน , ต้องลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
และที่สุดคนสุดท้ายคือ แมรี เมย์ ที่เสนอนโยบายเบรกซิสเข้าสภาผู้แทนราษฎรถึง 3 ครั้ง แต่เธอแพ้ทั้ง 3 ครั้ง จนต้องกลืนน้ำตาลาออกจากนายกรัฐมนตรี แต่บอริส จอห์นสัน นรม.คนใหม่ เขาก็ต่อสู้เข็นนโยบายเบรกซิสนี้ต่อไป
จนที่สุด การเลือกตั้งครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2562 นี้ พรรคอนุรักษ์นิยมชนะอย่างท่วมท้นโดยได้ที่นั่ง 365 ที่นั่งจาก 650 ที่นั่ง ทำให้ในที่สุด นโยบายของพรรคการเมืองอนุรักษ์นิยม การแยกอังกฤษออกจากสหภาพยุโรปก็สำเร็จลง ชนะพรรคแรงงานคู่แข่งอย่างสบายหายห่วง
นั้นเป็นเพราะเขาต่อสู้เชิงนโยบายอย่างไม่หยุดหย่อน ไม่ยอมแพ้นั่นเอง จนในที่สุดประชาชนเห็นดีด้วย เห็นเหตุผลตามไปให้การสนับสนุนอย่างท่วมท้น(ไม่ใช่ชนะเพราะไปใช้วาทะด่าทอ โฆษณาชวนเชื่อ ฯลฯ)
จากการเลือกตั้งล่าสุดนั้นเอง , เราอยากให้เห็น ให้เข้าใจกันว่า การต่อสู้ทางการเมืองระบอบประชาธิปไตยนั้น ทำการต่อสู้แบบมีความเป็น fraternity คือความเป็นพี่เป็นน้องกัน ไม่ใช่ศัตรูกัน จึงจะสร้างประชาธิปไตยขึ้นได้
อย่าทำตนเป็นศัตรูคู่แค้นกัน ออกวาทะดูหมิ่นดูแคลนซึ่งกันและกัน อย่างกับว่าเกลียดชังกันอย่างเด็ดขาดเช่นนี้ ยากจริง ๆ ที่จะสร้างประชาธิปไตยขึ้นได้ ที่จะบรรลุเป้าหมายการเมืองประชาธิปไตยอันสูงสุดในแง่ที่ว่า ไม่มีศัตรู , มีแต่มิตร ไม่มีผู้แพ้ , มีแต่ผู้ชนะด้วยกันหมดในระบอบประชาธิปไตยนั้นเอง
∞∞∞∞∞
∞∞∞∞∞
∞∞∞∞∞
การได้ค้นพบของผมก็คือคนไทย นักการเมืองไทยไม่เข้าใจประชาธิปไตย ทำผิดกันมาตลบอด 88 ปีแล้ว เห็นแก่ประเทศชาติไปเรียนกันก่อนเถิด
Phayap Panyatharo
2 มกราคม 2020 ·
การได้ค้นพบของผม.......นักการเมืองไทย ที่ออกมาพูดอะไรอยู่ขณะนี้ ... ล้วนแต่ไม่ใช่นักการเมือง เพราะเขาไม่เข้าใจว่า การเมืองคืออะไร ? ...
การเมืองคืออะไร ยังไม่รู้เลย ....นี่เป็นสิ่งที่สังคมไทยได้พบในวันนี้ ขณะนี้ , ครั้นมองย้อนหลัง ก็พบว่าเป็นมาแล้วได้เป็นมานานแล้ว นับตั้งแต่ที่คิดมีประชาธิปไตยขึ้นมา ในเมื่อไม่เข้าใจ การเมือง แล้วจะไปเข้าใจประชาธิปไตยได้อย่างไร ?
.โดยเฉพาะพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ที่อ้างตนไปผิด ๆ แบบที่ตนเองไม่เข้าใจอย่างว่านั่นแหละ คือ อ้างว่าตนเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ต่อสู้เพื่อสร้างไทยเป็นประชาธิปไตย(ว่าฝ่ายอื่นเป็นรัฐบาลเผด็จการโกงอำนาจสืบทอดอำนาจ) ..คิดแก้ไขกฎหมายนั้นกฎหมายนี่ ให้เป็นประชาธิปไตย ขนาดเป็นครูอาจารย์ ในมหาวิทยาลัยการเมืองมา..จบต่างประเทศมาด้วยซ้ำ เช่น เลขาธิการพรรค ๆหนึ่ง ที่คนไทยก็เริ่มมองดูกันแล้วว่าพูดอะไรผิด ๆ มาตลอด (สอนอะไรไปล่ะ ก็สอนผิด ๆ ไปหมดล่ะซี เผยแผ่ความรู้ที่ผิด ๆ ไปตลอด) ยังไม่เข้าใจเลยว่า การเมืองคืออะไร
แล้วจะไปเข้าใจประชาธิปไตย นำประชาชนไทยไปสู่ประชาธิปไตยได้อย่างไร ? จะแก้ไขกฎหมายให้เป็นประชาธิปไตยได้อย่างไร ? ..เราต้องไปศึกษากันแล้วละครับ ให้เข้าใจกันก่อนว่า การเมืองคืออะไร ? และคุณเป็นนักการเมือง เป็นอย่างไร (ความรู้เบื้องต้นเลยละไปเรียนรู้ก่อน) เห็นแก่ประเทศชาติ ....ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆินทร์ / 2 ม.ค. 2563/10.30 น.
∞∞∞∞∞
∞∞∞∞∞
∞∞∞∞∞
เรียนรู้พระพุทธศาสนาจากการเรียนรู้ประชาธิปไตย
เรียนรู้ประชาธิปไตยจากการเรียนรู้พระพุทธศาสนา
Phayap Panyatharo
3 มกราคม เวลา 18:34 น. ·
1. Thai 2. English
∞∞∞∞∞
∑ คือเรียนรู้พระพุทธศาสนาจากการเรียนรู้ประชาธิปไตย และการที่ไม่รู้ประชาธิปไตยนั้น แหละ ที่บอกว่า เราไม่ค่อยรู้พุทธศาสนา
มันเริ่มมาตั้งแต่เราจะต้องเข้าใจเรื่องการทำบุญทำทานกันด้วยเอา อำนาจการเมืองมาแบ่งปันกัน ทำบุญทำทานด้วย อำนาจ นั่นเอง จึงได้มีการอยู่ในตำแหน่งกันแค่ 4 ปีแล้วให้คนอื่นเขามารับอำนาจต่อไป อย่าไปคิดรวบเอาอำนาจเป็นของตนเองตลอดไป
นี่แหละพุทธธรรมละ แบบอเมริกา ญี่ปุ่น ยิ่งเห็นชัดเจน เขาไม่หวงอำนาจกันเลย เห็นไหม ? นั่นแปลว่าเขาเข้าใจธรรมะแบบพุทธอย่างไรล่ะ แม้เขาจะไม่ได้อ่านหนังสือธรรมพุทธ เขาก็เข้าใจจากการวิเคราะห์เหตุผล ของการที่ต้องเป็นประชาธิปไตยอย่างไร....และก็สืบต่อไปถึงวัฒนธรรมประชาธิปไตยต่อ ก็คือ เราอย่าไปด่าคนอื่น หรือที่ก้าวหน้าไปมาก ๆ ก็คิดวิธีด่าเขาแบบแสบ ๆ เช่นคิดเพลงด่าเขาทำอะไร ๆ อย่างเขาเป็นศัตรูตัวร้ายร่วมแผ่นดินกันไม่ได้ เป็นต้น
ถ้าเราไม่ชอบเขา ก็ใช้สิทธิของเรา ไม่เลือกเขา หากเขาได้รับเลือก ก็แปลว่าคนอื่นเขาชอบมากกว่าเรา เราก็ต้องยอมรับ และโอกาสของเราก็ยังไม่หมด อีก 4 ปีต่อไปก็เลือกใหม่ เราไม่ต้องไปดุด่า ใช้วาจาผรุสวาทแด่คนที่เราไม่ชอบ แบบที่เป็นการเมืองเราอยู่ขณะนี้ ...
คือเราไม่จำเป็นที่จะไปสร้างศัตรูเลย เพียงแต่มีความคิดด้านนโยบายการเมืองต่างกันเท่านั้น ซึ่งเราต้องใช้หลักพุทธธรรม คือ หลักเหตุผล จะไปแสดงอะไรต้องมีเหตุผลเสมอจึงจะเป็นคนพุทธ และพอเลือกตั้งเสร็จ ทั้งผู้ชนะ ผู้แพ้ ก็อยู่ด้วยกันได้ต่อไปอย่างมีความสุข ไม่มีการไล่ล่า ฆ่าฟันฝ่ายตรงข้ามเหมือนเผด็จการ
นี่แหละธรรมะของพระพุทธเจ้า
โดยเราเข้าใจเรื่องการแบ่งปันอำนาจ เราต้องเข้าใจยอมรับ โดยธรรมะการแบ่งปันทานกัน เป็นการทำบุญทำทานกัน แต่เอาอำนาจมาแบ่งกันทำบุญด้วยการทานอำนาจ ด้วยอำนาจ ว่า เราจะไม่อยู่ในอำนาจบริหาร การเมือง ตลอดไป รัฐธรรมนูญประชาธิปไตยจึงกำหนดไว้เสมอถึงการเลือกตั้ง ต้องมีทุก ๆ 4 ปี นี่แหละมาจากธรรมะพุทธทั้งนั้น
แม้กระทั่งสิทธิ 1 คน 1 เสียง ก็มาจากพุทธธรรม โดยเขาเข้าใจเรื่อง อนิจจัง อนัตตา จึงกำหนดให้คนละ 1 เสียง (ไม่ใช่แบบที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล และศาสตราจารย์นายหนึ่ง ให้ ดร.10เสียง ชาวนา 1 เสียง)
ที่ว่าเข้าใจธรรมะก็คือแม้คนเป็นเศรษฐีวันนี้ ก็ใช่ว่าจะไม่ อนิจจัง อย่างที่ไทยเราเคยมีกลุ่มเศรษฐีที่พังทางเศรษฐกิจมาเรียกว่า คนเคยรวย นั่นแหละ และคนเคยจน กลับเป็นเศรษฐีก็เยอะ นี่แหละเลยให้คนละ 1 เสียง(หมายถึงแบ่งอำนาจกันคนละ 1 อำนาจเท่ากันทุกคน ทั้งคนจนคนรวย เจ้านายและลูกน้อง โดยการมองเห็นเรื่องอนิจจังของชีวิตตามหลักพุทธธรรมนั่นเอง)
นั้นแหละเป็นการยุติธรรม ตามหลักธรรมอนิจจังนี้ ...
นี่แหละเราจึงต้องเรียนรู้พุทธธรรมจากการเมืองประชาธิปไตย และต้องเป็นประชาธิปไตย จึงจะเป็นพุทธที่สมบูรณ์ มั่นคง.และได้ประโยชน์ที่แท้จริงจากพุทธธรรม...เรื่องพุทธธรรมในส่วนของจุดสูงสุดของพุทธธรรม ที่โลกยังไม่รู้จัก รู้แต่หายไปหมดตามกาลเวลาที่พระอรหันต์ทั้งหลายหายไปจากโลก ...ก็คือแนวทางที่ท่านพุทธทาสภิกขุได้ปูเอาไว้บ้างแล้ว ซึ่งนี่แหละจะต้องอธิบายขยายความต่อไป เป็นงานที่ต้องเข้าใจร่วมกันต่อไป. @Phayap Panyatharo (3 มกราคม 2020)
∞∞∞∞∞
∑∑Learn about Buddhism by learning democracy.
Learn about democracy by learning Buddhism.
1. Thai 2. English
∞∞∞∞∞
is to learn Buddhism through learning democracy. And it is the ignorance of democracy that tells us that we do not know Buddhism.
It started since we had to understand the merit making and giving together. Political powers come together Make merit with power, so it has been in the position for only 4 years and then other people to him take power next. Do not think of power to be your own forever.
This is Buddhism, like America and Japan. They are not possessive of power, do you see? That means how he understood the Buddhist dharma. Although he did not read the Dhamma books He understood from reasoning analysis. Of how democracy must be .... And continue to follow democratic culture, that is, we do not curse others. Or that is very advanced, think of a stingy way to curse him, for example, think of a damn song, he can do things like he is a bad enemy and cannot join the land
If we don't like him Then use our right to not choose him if he has been chosen. Means that other people like us more We must admit And our opportunities are still not exhausted, in the next 4 years choose a new one We don't have to scold Use harsh words for people we don't like. In the form of politics we live in right now ...
That is, we do not need to make enemies at all But only have different political policy ideas Which we have to use the principle of Buddhism, which is the reason why we want to show something, there must always be reason to be a Buddhist And when the election is complete, the winners and losers can continue to live happily together. No chase Slay your opponent like a tyrant.
This is the Dharma of the Buddha.
We understand the matter of sharing power We must understand, accept By virtue of sharing and offering Is a merit making But by sharing power and merit with power, that we will not always be in the administrative power of politics, so the democratic constitution always stipulates that elections must have every four years.
Even one person and one vote came from Buddhism. He understood the story of Anat-Anatta, therefore assigned one vote for each person (not the type that Mr. Sonthi Limthongkul and Professor gave Dr. 10 , the farmer's voice, 1 vote)
That I understand Dharma is that even people who are rich today As in Thailand, we used to have a group of wealthy collapsed economically called people used to get rich, and many used to become rich. This is why each person gives 1 vote (meaning 1 power is shared, everyone is equal. Both the poor and the rich Boss and subordinate By seeing the vanity of life according to the Buddhist principles)
That is fair According to this vanity principle ...
Now, we have to learn Buddhism from democratic politics. And must be democratic Therefore will be a complete Buddhist Stable ... and the real benefit from Buddhism That the world does not yet know Knowing but all disappeared by the time all the Arahants disappeared from the world. ... is the way that Buddhadasa Bhikkhu has already laid some Which has to be explained further It's a work to understand together. @Phayap Panyatharo (3 January 2020)
∞∞∞∞∞
∞∞∞∞∞
∞∞∞∞∞
Humanity is the religion of Buddhism,
Budhan Barue GBB-G
1. Thai 2. English
∑ ถูกแล้วครับ มนุษยธรรม เป็นคำสอนในพระพุทธศาสนา และในความเป็นจริงแล้ว ตะวันตกและอเมริกา ได้ค้นพบหลักการพื้นฐานของประชาธิปไตยจากศาสนาพุทธ และพาประเทศเขาก้าวไหน้าไปเป็นเลิศในระบอบการปกครองประชาธิปไตย เพียงแต่ปัจจุบัน ประชาชนที่ได้ชื่อว่า ชาวพุทธ นั้น ตัวอย่างชาวพุทธไทย นั้นกลับไม่รู้ความจริงนี้เลย และได้กลายเป็นประเทศล้าหลังในประชาธิปไตยมาตลอด รวมทั้งคนชั้นสูงทางการศึกษาในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ แม้กระทั่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเอง ไม่รู้จักประชาธิปไตย พวกเขารู้ประชาธิปไตยแบบผิดๆ ดังนั้น นี่เป็นสถานการณ์ที่น่าสงสงสารเกี่ยวกับประชาธิปไตย ในประเทศคนพุทธทั้งหลาย เรื่องเช่นนี้แหละที่เกิดขึ้นในการเมืองประเทศเอเซียอื่นๆ ด้วย ดังนั้น เพื่อการเรียนรู้ความจริงนี้ ว่าพุทธศาสนานั้นได้สอนเรื่องประชาธิปไตยแด่โลกนี้มาแต่ต้นมาจนถึงทุกวันนี้ ประชาชนใดก็ตาม ปรารถนาเรียนรู้ประชาธิปไตย ควรที่จะศึกษาจากศาสนาพุทธที่แท้จริง เช่นเดียวกับชาวตะวันตกและอเมริกานั้นเอง 🐔
∑∑Yes, #Humanity is the religion of Buddhism, and in fact the west and American found the prjnciple of #democracy from Buddhism and they go best with democracy. But now a day people named Buddhist, for example Thai Buddhist does not know the truth at all and become underdevelloped country in democracy and all classes of Thai people including those high educated in the Universities even in the repressentative hall itself not know democracy. The highclass know wrongly. So it's a poor situation of democracy in the countries of Buddhists. The same thing happens in those Asian democracy contrries. So to Know the truth Buddhism teaches democracy to the world from the beginning of democracy till now. Thai people and other people going to democracy should learn democracy from the real Buddhism as the west and the Americans.