Phayap Panyatharo
ได้อัพเดตสถานะของเขา
6 มีนาคม 2019 ·
แชร์กับ เพื่อนของคุณ

ธัมมะภาคปฏิบัติยุคใหม่
>>>"9 เทคนิค เพื่อดูแลสมองให้ชาญฉลาด "

การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม
1. ฝึกหายใจลึกๆ :
สมองใช้ออกชิเจน 20-25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกชิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20%
2. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที :
หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้าวันละประมาณ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่นTheta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้าให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน)
3.ใส่ความตั้งใจ :
การตั้งใจหรือมีสมาธิในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิดระหว่างวัน สมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน
4. จิบน้ำบ่อยๆ :
สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เซลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เซลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้า/คิดไม่ค่อยออกแต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ
5. กินไขมันดี :
คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือ ก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลาสารสกัด ใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่างปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เซลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น
6. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ :
ยิ้มหรือหัวเราะบ่อยๆจะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ
7. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน :
สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่มากขึ้นจะทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์
8. ให้อภัยตัวเองทุกวัน :
ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง
9. เขียนบันทึก :
ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์ >>>
.png)
***** เรื่องราวที่เกี่ยวกับคนยุคใหม่ หมอยุคใหม่ ที่ทำการศึกษาโดยหวังผลประโยชน์ด้านสุขภาพ ทั้งทางกายและทางใจ ก็ได้ปรากฎว่า การศึกษาด้านนี้ ได้ไปพบกับสิ่งที่ทางศาสนาพุทธได้พูดถึงไว้แต่เดิม ๆ แล้ว ....เช่นเรื่องที่ท่าน ANNO เอามาถ่ายทอดให้รับทราบนี้แหละ มีเทคนิก 9 ข้อ ซึ่งรื่องที่เกี่ยวกับสมาธิ เป็นหลักก็ว่าได้ ดัง 1-2-3-นอกนั้นก็เป็นเรื่องธรรมะ เช่นข้อ 6 ข้อ 8 .....ก็แท้ที่จริง นี่แหละธรรมะละ ธรรมะภาคปฏิบัติ ที่นักปฏิบัติธรรมก็ต้องเอาคำแนะนำนี้ไปปฏิบัติเป็นเบื้องต้น เป็นพื้นฐานทางกรรมฐานของนักปฏิบัติ.....ใช่ไหมล่ะครับ? ....แต่ ทีนี้ ที่น่าวิเคราะห์ดูก็คือ หมอเขาไปค้นพบมาได้อย่างไรจึงให้เทคนิกในข้อ 1 ว่า ฝึกหายใจลึกๆ :
สมองใช้ออกชิเจน 20-25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกชิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20% *****ซึ่งมันเป็นหลักวิชาสมาธิของพระนักปฏิบัติอยู่แล้ว ......แต่หมอรู้ไปไกลกว่า ที่ว่า มันไปเกี่ยวกับอ๊อกซีเยน เกี่ยวกับปอด เกี่ยวกับอวัยวะภายใน ที่ดูได้ถึงความสัมพันธ์กับลมหายใจเข้าไป ซึ่งสมัยพระพุทธเจ้า ไม่มีใครรู้หรอก ....ยิ่งหมอยุคนี้รู้ไปถึง โปรแกรมสมอง ไปอีก แล้วก็นับว่ายอดเยี่ยมเลย....เพราะอะไร ๆ ก็ดูเหมือนว่ามันเคลื่อนไหวไปตามโปรแกรมของมัน.......ก็อยากมาสรุปให้ทราบก็เรื่องการหายใจนี่แหละ ที่ให้ฝึกหายใจลึก ๆ ที่ทางหมอเขาค้นพบมานี้ ทางการปฏิบัติสมาธิ ก็ให้ฝึกอย่างนี้แหละ .....โดยให้เข้าใจกันก่อนว่า เดิมคนเราไม่เคยรู้เลยว่าเราหายใจเข้า แล้วมันเข้าจริงหรือเปล่า(เพราะไม่เคยมองดูลมหายใจตนเอง)? ...ในการฝึกสมาธิ ก็ให้มองให้เห็นลมหายใจ ที่เข้าไปทางจมูก....ให้เห็นให้ได้ว่ามันเป็นลำหรือเป็นสายเข้าไป.......จึงจะสำเร็จ....แล้วก็จะพบว่า คนเรานี้ หายใจเข้าไป ลมไปถึงแค่โพรงจมูก ก็หมุนกลับออกมา เข้า-ออกอยู่แค่นี้ นี่แหละ มันตื้นไป ....ตื้นไปแบบที่หมอท่านว่าเลย..... ต้องฝึกหัดให้ลมหายใจเข้าไปลึก ๆ ....ซึ่งต้องฝึกนะ จึงเรียกว่าฝึกสมาธิ....เอาว่าขั้นที่ 2 ให้เข้าไปถึงลำคอ ค่อยให้ออกมา....ขั้นที่ 3 เข้าไปถึงอก ค่อยให้ออกมา ขั้นที่ 4 ให้เข้าไปถึงสะดือหรือท้องน้อย แล้วค่อยให้ออกมา......และขั้นที่ 5 ขั้นสุดยอด ไม่ให้ลมออกมา ให้เลยไปออกมาทางขุมขน.....นั่นแหละ สำเร็จวิชาปราณ ละ ....และก็คงได้อ๊อกซีเยนไปเต็ม ๆ แบบที่หมอท่านว่านะ แต่ทางพระพุทธศาสนา ไม่ได้ฝึกสมาธิเพื่อสุขภาพ แต่ฝึกเพื่อ ใจ เมื่อเราทำลมยาวลงไป ๆ เรื่อย ๆ ได้ และหยุด สม่ำเสมอ ดังที่ อาณาปาณสติสูตรท่านสอนไว้นั่นแหละ ใจก็จะสงบไปเรื่อย ๆ และ เย็นลง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ แล้ว จากจุดนี้แหละที่ท่านเรียกว่า ระดับ อัปนาสมาธิ ก็จะบรรลุมรรคผล......ลองเอาการหายใจตังที่หมอท่านแนะนำไปฝึกนะครับ และให้ยาวลงไปเรื่อย ๆจนถึงระดับที่ 5 ที่บอก หรือ เข้าถึง อัปนาสมาธิให้ได้ ไม่ใช่ปัญหาสุขภาพหรอกครับแต่เป็นเรื่อง มรรคผลนิพพาน เข้าโลกนิพพานไปเลย ไปพบพระอรหันต์และพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้
ก็ต่อไปอีกนิดนะครับ เรื่องลมหายใจนี่แหละ เมื่อฝึกหายใจลึก ๆ ลงไป ได้ถึงระดับที่ 5 ที่ว่ามานั้นแหละสำเร็จวิชาปราณ ลมจะเข้าจะออกทางขุมขนของเรา ... นี่แหละก็จะสามารถอดน้ำได้เกินกำหนดที่หมอเขาว่าไว้ คือหมอเขาว่าอดน้ำได้ไม่เกิน 3 วัน หากเกินไปอาจเสียชีวิตได้ เพราะร่างกายขาดน้ำ...ได้มีการทดลองแล้ว อดน้ำได้ถึง 7 วัน 7 คืนก็ไม่เป็นไร นั้นก็เพราะเดินลมหายใจได้ลึก และลมเข้าออกทางขุมขนได้ ลมก็นำเอาความเย็น ซึ่งก็คือน้ำในอากาศนั่นเอง เข้าทางขุมขน โดยเข้าไปแบบซึมซับเข้าไป แทนการกินดื่มเข้าทางปาก ....ก็ดูเหมือนว่า ไม่ได้กินน้ำถึง 7 วันก็ไม่ตาย แต่นั่นแหละ น้ำเข้าทางขุมขนแทน และเมื่อสำเร็จวิชาปราณแล้วจะอดข้าวอดน้ำไปกี่วัน กี่สัปดาห์ กี่เดือนก็ได้ .....นี่แหละเรื่องลมหายใจ ที่ผู้ฝึกหัดเริ่มตามที่หมอท่านบอกคือ หายใจเข้าลึก ๆ 1. ฝึกหายใจลึกๆ :
สมองใช้ออกชิเจน 20-25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกชิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20%
2. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที :
หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้าวันละประมาณ 12 นาที ***** แล้วเมื่อชำนาญแล้ว ก็มุ่งทางมรรคผลขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั้นเป็นเป้าหมายอันสุดประเสริฐของชีวิตแล้ว
ตรงที่ว่า..... ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่......*****ตรงนี้อยากจะบอกว่า ในการฝึกสมาธิ เมื่อเข้าระดับแล้ว...โดยเข้าระดับอุปจาระสมาธิได้แล้ว และโดยวิธีการฝึกลมหายใจยาวนี้ เมื่อเข้ามาตรฐานมันจะตรงเอง....ร่างกายที่ดูงอ ๆ อยู่แต่เดิม มันจะตรงของมันขึ้นมาเอง..และมีสง่าราศีขึ้นกว่าเดิมเลยทีเดียว ...ครูอาจารย์เขาจะลอบมองตรงนี้เลย ว่า เออ มันยืดตรงขึ้นแล้ว มันเข้าระดับแล้ว แต่นั่นแหละ เวลาฝึกหัด ก็ฝึกหัดนั่งตรง ๆ ไปเลยแบบที่หมอเขาแนะนำก็แล้วกัน เพื่อว่าเอาอ๊อกซีเยนเข้าไปเยอะ ๆ ดีกว่านะ.
4Wanlada Elisaki, สัญชาติ ทองคำ และคนอื่นๆ อีก 2 คน
ความคิดเห็น 4 รายการ
แชร์ 1 ครั้ง
แชร์