วันนี้ในอดีต 1 ปีที่แล้ว 6 มีนาคม 2020 ·
เรื่องราวของนิสิต นักศึกษากับการเมืองขณะนี้แท้จริงก็ยังเป็นเรื่องที่ยังไม่เข้าใจกัน ในเรื่องต่าง ๆนั่นเอง ทำไมนิสิตนักศึกษาจึงออกมาชุมนุมทำการการเมืองในมหาวิทยาลัยอยู่ขณะนี้ ซึ่งเป็นเกษตร และรามคำแหง ธรรมศาสตร์ จุฬา เมื่อเรามองจากฝ่ายเรา ที่ไม่ใช่ฝ่ายนักศึกษา เราก็น่าจะมองไปได้ว่า เกิดจากความคับแค้นใจจากประเด็นการเมือง นั่นเอง แต่ในเรื่องความเข้าใจที่ว่านี้ มีมาตั้งแต่การเมืองไทยได้เร่ิมวิถีทางคืนอำนาจสู่ประชาชนนั้นไม่ใช่หรือ? คือ การที่มีการเลือกตั้งขึ้นในวันที่ 24 มีนาคม 2562 เมื่อ 1 ปีที่แล้วมานั้นเอง นั่นแหละคือการคืนอำนาจอธิปไตยการปกครองประเทศไปให้ประชาชน
และผลที่ออกมา ประชาชน 8 ล้านคน เลือกพรรคพลังประชารัฐ 7 ล้านคนเลือกเพื่อไทย และ 6 ล้านคนเลือกพรรคอนาคตใหม่ เมื่อระบบการเมืองเราได้อิงอาศัยอำนาจของประชาชนผู้ออกมายืนยันสิทธิอำนาจของตนคนละ 1 เสียงเพื่อให้ได้คนของประชาชน ตัวแทนอำนาจตนไปปกครองประเทศเช่นนี้ นี่คือความหมายของการเมืองว่า อย่างไร ? ว่าเผด็จการก็คงไม่ใช่นะ ซึ่งเราเห็นว่า ยังไม่เข้าใจกันตรงกันดี เพราะได้มีคนฝ่ายหนึ่งยังมองว่าเป็นการปกครองแบบเผด็จการ สืบเนื่องอำนาจคสช.ต่อมาอีก ซึ่ง ไม่ใช่อย่างที่ว่านั้น
จริงอยู่แม้เป็นประชาธิปไตย ที่ยังไม่เต็ม 100 % แต่เราก็มองหลักการใหญ่ในประเด็นอำนาจนั้น มาจากการเลือกตั้ง มาจากประชาชน นี้แหละที่น่าจะเป็นสิ่งที่น่าพอใจไปขั้นตอนหนึ่งแล้ว ครั้นมีการจัดตั้งรัฐบาล ปรากฎว่าพรรคที่ได้ สส.มากที่สุด ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เพราะความรวนเร ไร้ระบบที่มั่นคงปรวนแปรไม่เด็ดขาด ทำให้พรรคอื่นไม่กล้าเข้าร่วมจัดตั้งเป็นรัฐบาลด้วย คะแนนสูสีกันมาก ในที่สุดพรรคการเมืองที่ทำการปรองดอง สร้างระบบการเมืองเป็นที่น่าเชื่อถือกว่า แม้มีสส.เป็นอันดับที่ 2 ก็ได้เสนอตนเป็นรัฐบาลแทน และการเป็นรัฐบาลนั้นก็เห็นกันว่ามีผลมาจากคะแนนเสียงที่ปร่ิม สูสีกันเหลือเกิน เมื่อพรรคเพื่อไทยไม่สามารถรวมเสียงถึงระดับที่จะเป็นรัฐบาลได้ ก็ฝ่ายพลังประชารัฐ ที่สามารถรวมพรรคมาร่วมจัดตั้งรัฐบาลได้มากกว่าจึงมีสิทธิ์ขึ้นมา และการที่ได้รับการรับรองจากรัฐสภานั้นแหละ แสดงความหมายว่า รัฐบาลนี้ได้รับการยอมรับจากประชาชน ประชาชนเป็นผู้ตั้งรัฐบาลนี้ขึ้นมา จึงถือว่าเป็นประชาธิปไตยได้..จริงอยู่การที่มี สว.นั้นทำให้พรรครัฐบาลได้เปรียบและคิดเอาเปรียบได้ในอนาคตด้วย แต่นั่นแหละ สส.นั้นเองเป็นผู้ตัดสินใจเบื้องต้น ที่บอกถึงอำนาจเด็ดขาดของประชาชนโดยตรง ตัวอย่างเช่นการไล่รัฐบาล โดยข้อเสนออภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เช่นที่เพิ่งผ่านมาแล้วนั้น ก็ขึ้นอยู่กับอำนาจ สส. อย่างเด็ดขาดฝ่ายเดียวไม่เกี่ยวกับวุฒิสภาเลย จึงพอเห็นได้ว่า ประชาธิปไตย อำนาจของประชาชนไทยขณะนี้ มีอยู่ค่อนข้างเต็มอัตรา ตามระบอบประชาธิปไตย อะไรที่เป็นข้อบกพร่อง ที่ทำให้ประชาธิปไตยไทยขณะนี้ไม่เต็ม 100 % จึงเป็นสิ่งที่อาจจะค่อยแก้ไขได้ในระบบรัฐสภานี่เอง(ต้องไม่ใช่ระบบนอกสภาอย่างที่นาธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พยายามทำอยู่ขณะนี้) ...
นี่แหละน่าเป็นประเด็นที่นิสิต นักศึกษา จะไม่เข้าใจ ว่า มันแตกต่างไปจากเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ 14 ต.ค. 2516 มันไม่เหมือนกัน ปี 2516 นั้น เร่ิมที่ธรรมศาสตร์ จนเต็มภายในกำแพงชราธรรมศาสตร์แล้ว ไม่มีที่ยืนแล้วก็ล้นออกมาเองนอกธรรมศาสตร์ แล้วมาเต็มสนามหลวง แล้วพลังสามประสาน คือ กรรมกร (เทิดภูมิ ใจดี พากกรรมกรมา) นิสตนักศึกษา(ธีรยุทธบุญมี กับ........) แน่นสนามหลวงแล้วก็เคลื่อนจะข้ามคลองหลอด ตอนนั้นเอง พ.อ......ลูกชายจอมพลถนอม ก็เอาฮ.บินมายิงกราด สกัดนักศึกษาไม่ให้ออกจากสนามหลวง ตายกันไปเป็นแถบ ๆ เลยแต่นั่นกลับเหมือนผึ้งแตกรังไปเลยกั้นไม่อยู่ แล้วจากนั้นก็เกิดการปะทะ ที่ถนนราชดำเนิน หน้าโรงแรมรัตนโกสินทร์ กรมประชาสัมพันธ์นั้นเอง แต่ก็กั้นไม่อยู่ ไปถึงพระบรมรูปทรงม้า ถึงพระราชวังสวนจิตร กลายเป็นเหตุการ 14 ตุลา อันเป็นเรื่องที่แสดงออกถึงพลังนักศึกษาอย่างเด็ดขาด (ไล่เผด็จการถนอมประภาส ไปได้ ถนอมหนีไป แล้วบวชเณรกลับเข้ามาอีกแบบไร้ศักดิ์ศรี) ...แต่เมื่อเรามองไปแล้ว เราก็ต้องคิด ให้สมกับเป็นนิสิตนักศึกษา ผู้ที่มีสติปัญญา ว่าขณะนี้ เราจะคิดไปแบบนั้นไม่ได้ แบบถนอมนั้น กักร่างรัฐธรรมนูญเอาไว้ถึง 10 ปีไม่กระดุกกระดิก มองประชาชนแบบไร้ความหมาย แบบคนไม่รู้เลยว่าจะเอาอย่างไร มันเป็นการเมืองคนละระบบคนละสถานการณ์ ถนอมนั้นครองระบบเผด็จการแบบ 100% ที่ต่อจากเผด็จการใหญ่สฤษดิ์ ธนรัชต์ จอมเผด็จการมาตรา 17 ที่มีมือปืนนับร้อยคอยคำสั่งฆ่า ใครก็ได้ที่กระด้างกระเดื่องไม่เชื่อฟัง สั่งมือปืนฆ่าทิ้งหมด แบบให้คนทั้งหลายหวาดหวั่นไม่กล้าหือกล้าอือกล้าออ และจอมพลผ้าขาวม้าแดง เอาเงินภาษีประชาชนไปจ่ายเงินเดือนเมียน้อยร้อยกว่าคน(เงินเดือน 5000 บาท รถเบนซ์ 1คัน บ้าน 1 หลัง ทอง ของประดับอีกต่างหาก แบบเป็นระบบเลย) ได้อย่างคนไทยยุคนั้นไม่กล้าคิดไม่กล้าออกความรู้สึก...แต่วันนี้ เราต้องมองให้ถูกต้อง มองว่ามันคนละระบบการเมือง คนละสถานการณ์การเมือง ต้องมองตรงนี้ให้ถูก เพราะความผิดพลาดทั้งหลายนั้นเกิดจากอวิชชาทั้งสิ้น จะก่อเหตุอันร้ายแรงถึงการวอดวายฉิบหายด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจนั้นเองเสมอไป ....
และในสถานการณ์วันนี้ สิ่งที่เรานิสิตนักศึกษา มหาวิทยาลัยอันเป็นที่รวมคนมีสติปัญญา ก็น่าจะรู้ว่า สถานการไวรัสโควิด 19 นั้น เป็นสถานการณ์ที่เราจะต้องรอบคอบอย่างที่สุด แบบไม่ให้เกิดความประมาทขึ้นเลย ร้ายแรงระดับสากลโลก ในไทยเราขณะนี้ ที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือ นิสิตนักศึกษาที่ออกมาชุมนุมการเมืองกันนี่เอง ข้อคิดที่ผิดพลาดอาจจะมาจากดวงจิตดวงใจของนิสิตนักศึกษาเอง ที่พอกพูนความเกลียดชังต่อรัฐบาล ต่อหัวหน้ารัฐบาล มาอย่างผิด ๆ ไปตามการจูงใจ ยั่วยุ หวังใช้ประโยชน์จากนินิต นักศึกษา โดยให้เห็นว่ารัฐบาลไร้น้ำยา ไร้ประสิทธิภาพ รัฐบาลเผด็จการ คสช. มองแบบยุค 16 โดยไม่มองความจริง ไม่แยกสถานการณ์การเมืองอย่างรอบคอบถูกต้องตามที่กล่าวมา และหากไม่มีความรังเกียจอิจฉาริษยา ว่าแท้จริงรัฐบาลไทยที่มีความทรหดอดทนอย่างสูงจริง ๆ นี่แหละทรงประสิทธิภาพอย่างสูงในการจัดระบบป้องกันไวรัสโควิด 19 นี้ดีกว่าประเทศอื่น ๆ ตามที่องค์การอนามัยโลกและทั้งประธานาธิบดีทรัมพ์ ยังชมเลย ด้วยซ้ำ ....และที่น่าที่ใคร ๆ จะคิดเป็นห่วงคิดระวังมากที่สุดขณะนี้ก็คือนิสิต นักศึกษา ที่มาชุมนุมนี่เอง จะติดไวรัส แล้วจะรับผิดชอบตนเองอย่างไร ? เราคิดว่า ช่วยตัวเอง ด้วยการมองอะไรมีเหตุมีผลสมกับเป็นปัญญาชน นั้นแหละจะเท่ากับทำประโยชน์แก่ตัวเอง ป้องกันตัวเองได้ ไม่เดือดร้อนคนอื่น ไม่เป็นภาระคนอื่น เราขนาดโตแล้วนี้ยังจะให้คนอื่นมาอุ้มหนีจากไฟ ก็เป้็นเรื่องที่น่าละอายน่าสมเพชนะ เราหวังว่าคงจะไม่มีข่าวนิสิต นักศึกษาตายเพราะไวรัสโควิด19 ในที่ชุมนุมการเมืองอยู่ขณะนี้ ขอให้ได้รับความชื่นชมในเรื่องนี้เถอะ...........ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆินทร์, 6 มี.ค. 2563, 08.25 น.