1.
อริยสัจธรรมข้อที่ 2 ทุกข์สมุทัย,เหตุแห่งทุกข์ 1,
เพียงรู้แจ้งเหตุแห่งทุกข์ ทำลายเหตุแห่งทุกข์ไป ก็จบเท่านั้นเอง
-----
1.
องค์พระบรมศาสดาตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายก็อริยสัจคือเหตุให้เกิดทุกข์นี้มีอยู่ คือตัณหา, อันเป็นเครื่องทำให้มีการเกิดอีก, อันประกอบด้วยความกำหนัด ด้วยอำนาจความเพลิน, เป็นเครื่องให้เพลินอย่างยิ่งในอารมณ์นั้นๆ ได้แก่ตัณหา(ความอยาก)เหล่านี้คือ กามตัณหา ตัณหาในกาม, ภะวะตัณหา,ตัณหาในความมีความเป็น อยากมีตัวตนใหญ่โต อยากมีอำนาจวาสนา บารมี อยากมีทรัพย์สมบัติมหาศาล, วิภะวะตัณหา,ตัญหาในความไม่มีไม่เป็น ไม่อยากให้ตนได้พบความต่ำต้อยด้อยอำนาจวาสนาบารมี
นี่คือพุทธดำรัสสอนในธัมมจักกัปปะวัตนสูตร เรื่องเหตุให้เกิดทุกข์
คำว่า โปโนพภะวิกา มีคำแปลว่า “อันเป็นเครื่องทำให้มีการเกิดอีก” นั้นแหละหมายไปถึง ความรู้แจ้งอริยสัจธรรมข้อที่ 1 เรื่องทุกข์ นั้นเอง ที่สรุปลงได้ว่าทุกข์มาจากการเกิด ตามที่ท่านอัญญาโกณฑัญญะ ได้รู้แจ้งขึ้นก่อนคนอื่นว่า ยังกิญจิ สะมุมยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมัง ซึ่งแปลว่า สรรพสิ่งมีการเกิดมาเป็นตัวเป็นตน ก็มีการตาย เกิด กับ ดับเป็นของคู่กันเสมอ พร้อมกันเสมอนั้นเอง
ในอริยสัจธรรมข้อที่ 2 เรื่องเหตุของทุกข์ ที่ตรัสว่า โปนพภะวิกา เครื่องทำให้เกิดอีก จึงไปเน้นสัจธรรมข้อที่ 1 ทุกข์ ว่า ทุกข์เพราะการเกิด เมื่อสรรพสิ่ง มีการเกิดมาแล้ว ก็มาสู่ทุกข์ พร้อมกัน มีอนิจจัง ความไม่ถาวร ไม่เที่ยงพาเป็นไปสู่ความเสื่อมสลายเสมอไป และความอนัตตา เราไม่อาจหยุดไม่ให้มันค่อยแก่ ค่อยเจ็บ และรอความตาย ความดับลงได้ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา นั้นเองพื้นฐานสัจธรรมชีวิต เป็นสภาพที่เป็นเรื่องธรรมดา ๆ ที่ให้แต่ความยากลำบากความไม่มั่นคงถาวรตามใจปรารถนา ให้แต่ความร้ายแรงความเสื่อมสลายลงไปเรื่อย ๆ นับแต่มีชีวิตเกิดขึ้นมาบนโลกแห่งทุกข์นี้
ครั้นบุคคลใดมารู้แจ้งสัจธรรมนี้ มีปาฏิหาริย์แห่งปัญญารู้แจ้งทุกข์เกิดขึ้น ผลที่จะเกิดขึ้นก็คือความหน่ายความคลายไปจากความยึดมั่นถือมั่น ความขยะแขยง ความ อเนจอนาถ กลัดกลุ้มกับความเกิดมานี้ เบื่อในความเกิดอย่างถึงที่สุด จึงมีกลุ่มผู้ที่มีดวงตาเห็นความจริงรู้แจ้งจริงอย่างนี้ ตกใจที่ได้เห็น และพากันลุกเดินมุ่งไปสู่หน้าผาลึกเพื่อกระโดดลงไปฆ่าตัวตายเสียจากความไร้สาระของโลกนี้ ดังปรากฏมาในพุทธประวัติศาสตร์ แต่ทรงให้โอวาทว่า เมื่อรู้สัจธรรมแห่งทุกข์น่าอเนจอนาถ น่าขยะแขยงกับการมีชีวิตอยู่ เช่นนั้นแล้ว ก็จงรู้จักการปลงจิตปลงใจ คือทำใจให้ยอมรับความจริงนี้ให้ได้ก่อน ว่ามันเป็นเช่นนี้เป็นธรรมดา ให้ทำใจยอมรับในความจริงอันนี้ให้ได้ก่อน ยอมรับว่าหากเราทั้งหลายยังเป็นปุถุชนอยู่แล้ว แม้จะไปโดดหน้าผาตายไปเสีย ก็ย่อมจะมาเกิดใหม่อีกครั้งหนึ่งแบบปุถุชน และไม่ว่าจะไปเกิดเป็นอะไร ที่ไหนก็ตาม แม้เทวโลก หรือนรกโลกันต์ ก็หาได้พ้นไปจากทุกข์ไม่ คงอยู่ในห้วงทุกข์อันน่าเบื่อหน่ายนี้ต่อไปอีกนับอนันตกาล ทางเดียวเท่านั้นจึงเริ่มด้วยการปลงจิตปลงใจ รู้จักการปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นอันเกิดจากนิสัยสันดารที่สั่งสมอบรมมาผิด ๆ เนิ่นนานกาลนับอสงไขยมาแล้ว ยอมรับในความจริงของชีวิตเรานี้ ยอมรับในสถานะของเราเอง ว่า ชีวิตของเราเองและปุถุชนคนทั้งโลกนี้ นั้นแท้จริงก็เป็นเพียงหมู่ทาสของมารร้ายตัณหานั้นเอง
2.
ตราบที่ยังไม่ได้พบพระพุทธศาสนา ไม่พบธัมมจักกัปปวัตนสูตร ตนจะเห็นทางแห่งเสรีชนได้อย่างไร เมื่อเป็นพระอริยบุคคลไม่ได้ พ้นจากความเป็นปุถุชนไม่ได้แล้ว ก็หาได้พ้นไปจากความเป็นทาสไม่ ฉะนั้นจงปลงตน ยอมรับฐานะของตนเองเสียก่อน ว่าตนเป็นทาส มีฐานะของความเป็นทาสอันต่ำต้อยด้อยค่า ทำให้ดวงจิตไม่กวัดแกว่ง หลงสติมุ่งทำลายชีวิตไปเสียด้วยความโง่เขลาว่าการไปเกิดใหม่จะพ้นฐานะทาสไปได้ หากแต่ต้องเข้าใจเหตุของทุกข์ ดังกล่าวมา และบำเพ็ญตนให้ไปตามเส้นทางพระอริยะเจ้าให้ได้ ก็จะพอบรรเทาทุกข์และตั้งหลักของชีวิตบนหลักอริยสัจธรรมได้
จะขออธิบายคำว่า ภะวะตัณหา นั้นหมายถึง ความอยากให้ตนนั้นมีชีวิตที่มีโลกียทรัพย์ โลกียสุขให้มากๆ ไม่รู้จักพอจนหลงไปในความอยาก กระทั่งได้ทองทั้งภูเขาแล้วก็ยังคงแสวงหาแก่งแย่งทองกับคนอื่นต่อไปอีก นั่นแหละโลกียทรัพย์ 4 ประการ (1.)ด้านลาภะ, (2) ด้านยศถาบรรดาศักดิ์-สมณศักดิ์, (3.) อยากได้รับคำสรรเสริญแซ่ซ้องสาธุการ และ(4.) อยากมีความสุขสมบูรณ์อิ่มเอิบไปจนหลงในความสุขทางกาม มีการสร้างสวนสวรรค์นางงามนางบำเรอนับไม่ถ้วนเป็นต้น และ วิภวะตัณหา นั้นเป็นความอยาก ในแบบตรงข้าม ที่อยากที่จะไม่ให้ตนนั้นต่ำต้อยด้อยในเรื่องโลกียสุข คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ และ สุข มีแล้วก็ไม่อยากให้เสื่อมลง ในลาภ ในยศ ในสรรเสริญ ในสุข นั้นเอง ความมีตัวมีตนอยากมีอัตตา ที่โตใหญ่ ที่ทรงอำนาจเหนือคนอื่น เป็นเจ้าเป็นนายเหนือคนอื่นเขา จนแสวงหามาอย่างไม่ชอบธรรม
กล่าวอีกโดยสรุป ภวะตัณหา วิภะวะตัณหา จะไปเกี่ยวข้องกับ ลาภ ยศ สรรเสริญ และ สุข รวมไปถึงอารมณ์อันตรายคือ โลภะ โทสะ โมหะ ที่แสดงออกถึงความมีอัตตาตัวตนอยู่เสมอ อันเป็นโลกียสมบัติที่รู้กันดีอยู่ นั้นเอง โดยนัยยะสัจธรรมอันสูงสุด นั้นหมายถึง ความอยากสนองความต้องการของขณะที่มีวิภะวะตัณหาว่า เมื่อเป็นตนที่ต่ำต้อย ด้อยอำนาจ ยศฐาบรรดาศักดิ์ ยากทรัพย์สินเงินทอง ตัวตนเล็กน้อยด้อยศักดิ์ ด้อยอำนาจ ก็เป็นทุกข์ มุ่งอยากได้อำนาจอย่างไม่ชอบธรรม ความอยากนี้เอง ควรให้รู้จักปลง รู้จักวางเสียบ้าง ให้สมเหตุสมผล
กามตัณหา เห็นความอยากในความเพลิดเพลิน ในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อันสื่อมาถึงจิตใจทางอายตนะทั้งหก นั้นเอง สิ่งนี้เองที่ผูกพันชีวิตให้ตกอยู่ในห้วงทุกข์วัฏฏะสงสารแบบลืมหลงเพลิดเพลินไปไม่รู้จบสิ้น อนันตกาล
เมื่อเห็นแจ้งทุกข์ ตามอริยสัจธรรมขั้อที่ 1 รู้ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา แล้ว ก็จะเห็นเองว่า เรื่อง ภวะตัณหา วิภะวะตัณหา อันเป็นเรื่องความมีตัวมีตนนี้ เมื่อรู้ถึงหลัก อนัตตา แล้ว พบแล้วว่า เรื่องความมีอำนาจ วาสนา ยศศักดิ์ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เราสั่งมันไม่ได้ มันมีแต่วันหนึ่ง ๆ เดินไปสู่ความหมดสิ้นไปจากยศ ตำแหนห่ง ไปสู่ความสิ้นไปเสื่อมไปเห็นธรรมดา ก็จะละวาง คลายความยึดมั่นถือมั่นในเรื่อง ยศถาบรรดาศักดิ์ หรือสมณศักดิ์ฝ่ายสงฆ์ปัจจุบัน อำนาจทางการปกครองบังคับบัญชาไปได้ นั้นแหละทางพ้นทุกข์ละ การมองเรื่องนี้โดยการมองถึงอำนาจหน้าที่นั้นเอง จะเป็นทางรอดปลอดภัย
3.
โดยสรุป เมื่อปลงตกลงไปได้ถึงความเป็นไตรลักษณ์ของสรรพสิ่ง ของแม้ตัณหาเอง ก็จะละวางความยึดมั่นถือมั่นเสียได้ ก็จะเห็นทางมรรคผลนิพพาน จะเกิดการปรับเปลี่ยนภาคภายใน หรือ จิตใจของเราจากมืดเป็นสว่าง จากคลุ้มมัว ขลักด้วยฝุ่นด้วยตมของสกปรก เป็นความสะอาดสะอ้าน อันเป็นผลจากการเห็น จากสิ่งที่ปรากฏขึ้นใหม่ หรือจากปาฏิหาริย์แห่งปัญญาที่ได้รู้ได้เห็นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยรู้มาก่อน ซึ่งอยู่อีกข้างหนึ่งของเรา เห็นอย่างแจ่มแจ้งขึ้นมาทันทีทันใด มีการปรับเปลี่ยนอารมณ์ความร้สึกนึกคิดเปลี่ยนดวงใจจากสิ่งที่เคยมีเคยอยู่ ตามที่เห็นนั้นแหละคือการบรรลุมรรคผล นิพพาน โดยอาจจะถึงระดับอรหันต์สูงสุดได้โดยฉับพลันทันที ดุจตื่นจากความหลับ ขึ้นมา เป็นผู้รู้ ผู้ตื่นผู้เบิกบานนั้นเลยทีเดียว
นั้นเป็นระดับสูงสุดที่ถึงระดับพุทธ อรหันต์เลยทีเดียว นั่นคือเป็นผลให้ไม่มีการกลับมาเกิดใหม่ในวัฏฏะสงสาร และทรงพุทธปัญญาทั้ง 5 อย่างที่รู้แจ้งโลกได้ รู้ปัญหาวิชาการต่าง ๆ ในโลกได้อย่างช่ำชอง
แต่หากยังไม่บรรลุ หรือบรรลุระดับโสดาบัน ถึงแม้อรหัตตมรรค อยู่ยังไม่ถึงระดับอรหัตผล ก็ยังต้องมาดูคำสอน เหตุแห่งทุกข์ อริยสัจธรรมข้อที่ 2 ทุกข์สมุหทัย แม้องค์สมด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์เองก็ทรงแสดงไว้เป็นตัวอย่าง โดยเมื่อทรงบังเกิดขึ้นแล้วซึ่งปัญญา 5 ประการคือ จักขุ, ญาณ, ปัญญา, วิทยา, และแสงสว่าง เกิดขึ้นแก่พระองค์ จึงทรงรู้แจ้งว่า นี่แหละทุกข์สมุทัยอริยสัจ, ประการต่อไปทรงรู้ความจริงไปอีกว่า นี่ทุกข์สมุทัยอริยสัจ เป็นสิ่งที่ควรละเสีย, และประการที่ 3 ทรงรู้ตัวพระองค์เองว่าทรงละตัณหาทั้ง 3 ได้แล้ว จึงทรงประกาศว่า ทรงละได้แล้ว จึงถึงที่พ้นทุกข์ไปอย่างสมบูรณ์ เป็นการบังเกิดขึ้นขององค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใหม่
ทรงให้ประหารเสียซึ่งความอยากเหล่านี้ การประหารเสีย ซึ่งกามตัณหา ภวะตัณหา และวิภวะตัณหานี้ให้เสร็จเด็ดขาดเพียงดังเพชฌฆาต ผู้ประหารชีวิตนักโทษประหารนั้นทีเดียว จึงเสมือนเราขัดเกลา หม้ออะลูมีเนียมใบใหญ่ ให้ผ่องใสสะอาดถึงที่สุด ไร้แม้จุดดำสกปรกแม้เม็ดเดียวเท่านั้นก็สามารถผันดวงจิตสู่นิพพานได้ ไม่มีการกลับมาเกิดใหม่สู่วัฏฏสงสารทรมานเพราะทุกข์ต่อไปอีกตลอดกาลเลย.
ประเด็นทางวิทยาศาสตร์ก็เรื่อง เหตุ และ ผล ที่โลกควรจะรู้ก็เรื่องเหตุของทุกข์ มี 3 ประการ คือ กามตัณหา ภวะตัณหา และวิภวะตัณหา ท่านรู้เหตุนี้แล้ว เพียงทำลาย สลายเหตุทั้ง 3 ประการนี้ลงให้เกลี้ยง หมดสิ้นไปเลยจากดวงใจของท่าน ไม่ว่าจะทำวิธีไหน อย่างไรก็ตาม ขอให้ตัณหาทั้ง 3 อย่างนี้สิ้นสุดไปจากดวงใจของท่านเท่านั้น เอง ท่านก็จะได้ดวงใจใหม่ ที่สุดแสนบริสุทธิสะอาด
และนั่นแหละโลกใหม่ โลกนิพพาน ที่พ้นทุกข์สู่ความสุขแท้นิรันดร เพราะการทำลายตัวเหตุสิ้นไปก็ถึงผลแห่งความบริสุทธิสะอาด
เท่านั้นเองจริง ๆ เท่านั้นเองจริง ๆ
-----
-----
2.
อริยสัจธรรมข้อที่2 สมุทัย เหตุแห่งทุกข์ 2,
สุดยอดเทกนิคสงครามกับกามตัณหา
----
1.
การที่เราจะต้องรู้แจ้ง มีสติปัญญาเป็นพื้นฐานแห่งชีวิตรู้เหตุ และผลของเหตุการณ์ ปกติ และแม้ยามสงคราม มีสติปัญญารู้แจ้งตัณหานั้นเอง เป็นพื้นฐานการต่อสู้ชั้นต้นที่สุด ในการต่อสู้เอาชนะตัณหาทั้งหลาย
เริ่มแต่กามตัณหานั้น เป็นความหยากที่มันซ่อนเร้นอยู่และเป็นตัวเหตุสำคัญให้มีการเกิดอีก เราจะต้องรู้ว่ามันซ่อนเร้นอยู่ และเราต้องรู้จุดอ่อนของกามตัณหาในฐานะ ข้าศึกของเรา
และจุดอ่อนของกามกิเลสก็คือ มันมีสถานะที่ต่ำต้อย และหยาบกระด้าง มันจึงคบหา และสิงสู่อยู่กับสิ่งที่ต่ำต้อย หยาบกระด้างเหมือนมันนั้นเอง
โดยสัจธรรมแห่งพระพุทธศาสนา คำว่าปุถุชน นั้นหมายถึงคนทั้งหลายผู้ยังตกเป็นทาสของกิเลสกามตัณหาอยู่ ยังไม่สามารถพ้นไปได้จากความเป็นทาส ยังเป็นทาสของกามตัณหา แบบที่นายทาสรู้จักหลอกลวง ให้ชื่นชมยินดีในความเป็นทาสอย่างยิ่ง
และด้วยความรู้นี้ กามตัณหาเป็นตัณหาที่มีความต่ำต้อย ด้อยค่า จึงอยู่ได้กับคนผู้ต่ำต้อยด้อยค่าด้วยกัน หากเมื่อคน ปุถุชนทั้งหลายยังคงไม่มีการพัฒนาการด้านดวงจิตให้สูงส่งขึ้น ฉะนั้น คนเราจึงต้องฝึกต้องระวังการทำจิตใจให้สูงส่ง หากจิตใจเราลดต่ำลงมา ก็จะเป็นทาสของกามตัณหาได้ง่าย
กล่าวคือเมื่อดวงใจใฝ่ต่ำ ตกต่ำลงมา ก็จะเข้าสู่กระแสกามกิเลส และกามตัณหาก็จะควบคุมเราเป็นทาส ซึ่งคนทั้งหลาย ก็เป็นเช่นนี้ เป็นทาสของกามตัณหามาไม่รู้กี่อสงไข กี่ล้าน ๆ ปี จนกลายเป็นนิสสัยสันดารปกติของคนทั้งหลาย เป็นธรรมชาติของการมีโลกมีชีวิตเช่นนี้
2.
ประเด็นก็คือ เรื่องของภาคภายใน คือจิตใจของมนุษย์ ดังที่นักปราชญ์ ท่านพุทธทาสภิกขุ อริยบุคคลสูงสุดแห่งยุคนี้ ท่านได้กล่าวไว้ว่า เป็นมนุษย์เป็นได้เพราะใจสูง นั้น ซึ่งความหมายก็คือการมุ่งเอาชนะกามตัณหานั้น ทำได้ง่าย ๆ ด้วยการยกจิตใจเราให้สูงขึ้น เหนือระดับทางโคจร หรือกระแสของกามตัณหา กามราคะ กามกิเลส นั้นเอง
และเนื่องจากกามตัณหาเป็นสิ่งที่ต่ำต้อย สกปรก มันไม่สามารถขึ้นมาสู่ระดับที่สูงส่งได้ แต่ใจมนุษย์นั้น เป็นสิ่งที่ขึ้น ๆ ลง ๆ ได้ตลอดเวลา มีอานุภาพการเคลื่อนไหวแบบไม่จำกัด ไปสูง ไปต่ำ ไปไกล ไปใกล้ ก็ได้ทั้งสิ้น ไปเร็ว ไปช้า หรือ นิ่งอยู่ ๆ ๆ ก็ได้ นี่เป็นอานุภาพของใจ หากมีนิสัยที่สร้างบารมีทางความใฝ่ทะยานไปเบื้องสูงแล้ว ก็สามารถจะฝึกตนยกจิตใจให้สูงส่งขึ้นได้ และนั่นแหละการพาตนเองไปพ้นกามตัณหา เหนือระดับกระแสกามราคะได้
ท่านจึงเปรียบเทียบดวงจิตเหมือนดอกบัว เอาบัวเป็นมหาสติปัฏฐาน นับแต่การกำเนิดของเจ้าชายสิทธัตถะ ที่ทรงก้าวเหยียบบนดอกบัวบาน ไป 7 ก้าวแต่ละก้าวมีบัวบานรับไปตลอด เป็นต้น
บัว เมื่อเกิดมาอยู่ใต้โคลนตมแล้ว ค่อยเติบโตไป ก็ค่อยโผล่พ้นตมขึ้นมา แม้อยู่ในน้ำ ก็ยังไม่พ้นความมืดสลัวมัวเมา ตราบจนถึงพ้นน้ำขึ้นมาเบิกบานไสว นั้นแหละความพ้นทุกข์แล้ว เป็นการบรรลุรู้แจ้งสัจธรรมแห่งชีวิตแล้วและพ้นไปจากกิเลสกามตัณหาอย่างสมบูรณ์
นั้นแหละแท้จริงเป็นสิ่งบอกสัจธรรมของการเอาชนะกามตัณหานี้เอง เพียงแต่ฝึกฝนดวงจิตให้ยกระดับให้สูงจนพ้นระดับกิเลศตัณหาอุปาทานให้ได้เท่านั้นเอง ความรู้สึกนึกคิดในกามก็จะสูงขึ้น พ้นระดับกระแสกาม ก็จะไม่ตกอยู่ใต้กระแสกามเพราะอยู่คนละระดับกันเสียแล้ว
จงดูความเปรียบเทียบ พิจารณาสังเกตเรื่องระดับจิตนี้ ดูง่าย ๆ ว่าจิตใจเรา เพราะสูงกว่าจิตใจของสัตว์ เช่น หมา แมว หมู ม้า วัว ควาย ช้าง เสือ สิงโต จิตใจอยู่คนละระดับกัน จึงไม่มีอารมณ์ทางกามสัมพันธ์กัน นั้นเป็นเพราะจิตคนเราสูงกว่า สัตว์ และนอกจากนั้น เรื่องระดับจิตนี้เอง ที่ทำให้มีการเคารพทางกามกัน จิตใจที่สูงขึ้นไปอีกทำให้ห่างไกลไปจากกามกิเลสชนต่ำต้อย สกปรกกับบุคคลผู้สูงส่งกว่า นับแต่ บิดา มารดา ญาติ ร่วมสายโลหิต แม้ภริยา-สามี ผู้อื่นเขา เป็นต้น
นั่นแหละ ครั้นจิตใจเราสูงขึ้นไปอีกจนกระทั่ง พ้นกระแสแห่งกามกิเลสทั้งปวง ความใคร่ความอยากทางกามารมณ์ก็จะหมดไป ไม่มีความอาลัยในกามรส กามราคะ จากรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ต่อไปอีก
3.
เพราะฉะนั้นการเอาชนะกามตัณหา ไม่ใช่เรื่องยากเลย ข้อสรุปก็คือ
1. ด้วยปาฏิหาริย์แห่งปัญญา เมื่อ จักขุ ญาณ ปัญญา วิชชา และแสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว เห็นความจริงของกามตัณหา รู้ธรรมชาติของกามตัณหา ว่าเป็นสิ่งต่ำต้อย มีระดับกระแส หรือความเคลื่อนไหวอยู่ในระดับต่ำ มันขึ้นสูงไม่ได้ เหมือนว่าว ที่ไม่อาจจะขึ้นสูงถึงระดับกระแสลมบนเลยมันก็ตกลงมา หากแต่จิตใจมนุษย์ ความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์นั้น แม้เป็นปุถุชนคนธรรมดาทั้งหลาย นี่แหละสามารถขึ้นสูงลงต่ำได้ตลอดเวลา ขึ้นกับปัจจัยเหตุ แต่โดยปกติแล้ว คนปุถุชนทั้งหลายจะคุ้นเคยฝังจิตฝังใจอยู่ในระดับเดียวกับกามตัณหามาเป็นประจำ และเป็นเช่นนี้มาจนเป็นอุปนิสสัยสันดารมานานนับหมื่นนับล้านปีมาแล้ว ไม่เคยมีใครบอกให้รู้ว่า เมื่อยกระดับใจให้สูงขึ้นไปแล้วก็จะพ้นทุกข์ไปได้จากกิเลสกามตัณหา เพราะใจเราอยู่เหนือระดับการจร ระดับกระแสซึมซับ แฝงฝังของกามกิเลส นั่นเอง
นี่แหละเป็นการรู้แจ้งสัจธรรมเกี่ยวกับกามตัณหา ที่เราได้รู้จากพุทธศาสนามา นำเอาข้อสรุปนี้มาใช้เป็นประจำมนุษย์ผู้มุ่งต่อสู้กามกิเลส หรือแม้การบรรเทาโลกไปจากความร่านในกามตัณหาที่มากขึ้น ๆ ไปอยู่ขณะนี้
2. การพยายามยกจิตให้สูงส่งนั้น ต้องมาจากการหมั่นฝึกฝนสร้างอุปนิสสัยทำแต่ความดี โดยทั่วไปก็การบำเพ็ญศีลภาวนาเป็นการประจำ เหมือนสภาวะชาวพุทธนั้นแสดงด้วยศีล5 นั่นเอง หรือเป็นการพิเศษเฉพาะกาล ก็ได้ จึงจะสามารถยกจิตให้สูงขึ้นเหนือกระแสกิเลสกามได้ แต่อย่างไรก็ตามพุทธศาสนาได้สอนเทกนิค การต่อสู้สงครามกามตัณหาไว้อย่างค่อนข้างเด็ดขาดไว้อย่างหนึ่ง ก็คือการฝึกทำ อสุภกสิณ (การเพ่งซากศพ) ซึ่งใคร ๆ ก็ตาม ที่ไหนในมุมไหนในโลกนี้ก็ตามสามารถฝึกได้ เริ่มจากความนึกความคิดของเราฝักใฝ่ใกล้ชิดกับอสุภะเสมอๆ ในรูปธรรมก็คือการพบศพ สังขารร่างกายที่เน่าเปื่อย เหม็น ผุพังไป ให้คิดให้มองไปในศพนั้น ในโลงศพนั้น ให้เห็นว่าในนั้นคืออะไร และความเป็นอนิจจังของสิ่งนั้นเป็นไปอย่างไร
มันก็จะเป็นการเปลี่ยนแปลงวันนี้ นาทีนี้ วินาทีนี้ไป ศพนั้นก็เปลี่ยนสภาพไป ไม่นานก็เริ่มจะเปื่อย เน่า อวัยวะภายนอก อวัยวะภายใน ก็จะเน่าเปื่อยสลายหายไปหมด จนเหลือแต่โครงกระดูก แล้วไม่นาน โครงกระดูกนั้นก็ผุกร่อน ค่อยหักค่อยพังไป ไม่เป็นรูปร่างโครงกระดูกต่อไปกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยแล้วที่สุดก็ผุสลายกลายเป็นดิน คืนไปสู่ดินเหมือนเดิมไป
ที่กล่าวมานี้คือ การทำความนึกคิดของเราให้เป็นแบบนี้เสมอไป จากการไปในงานศพก็ดี การได้พบได้เห็นศพก็ดี การเอาภาพศพมาเพ่งประจำก็ดี หรือแม้การบำเพ็ญกรรมฐานอสุภะ ในป่าช้าเป็นการประจำก็ดี
และครั้นได้รู้วิธีการปฏิบัติง่าย ๆ เรื่องอสุภะกสิณ ที่บอกมาแล้ว แม้การมองคนธรรมดา ๆ ที่มีชีวิตอยู่ แม้การมองหญิงที่สวยระดับนางงามโลก(หรือจะเอากรณีแตงโมคนสวยตกเรือตายก็ได้) เราก็มองโดยยุทธศาสตร์อสุภกสิณนี้ และมองไปในครรลองอนิจลักษณธรรม คือการค่อยเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ให้เห็นร่างที่สวยงามนั้นมันจะไม่สวยเช่นนั้นตลอดไปเลย ไม่นานหรอกก็จะค่อยเปลี่ยนแปลงไปกับเวลา นาที เมื่อเวลาผ่านไปร่างนั้นก็จะค่อยขี้เหร่ อาภัพอัปลักษณ์ ไปเช่นนี้ทุก ๆ คนเลย แล้วก็เหี่ยวแห้งไปเพราะแก่ชราลง หรือตายลงเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุดก็เข้าโลง รอการฌาปนกิจ ตรงนั้นแหละเราเอาการปฏิบัติอสุภกสิณมาใช้ ให้เห็นที่นอนในโลงศพนั้น เป็นร่างกายที่เปล่าเปลือย มีเนื้อหนัง ที่ค่อยจะเน่าเปื่อยไปตามลำดับ ไม่คงถาวรอยู่ได้ จนที่สุดเนื้อหนังก็จะค่อยหลุดไปจากการเกาะกุมกับกระดูก เหลือแต่โครงกระดูก ที่เป็นเนื้อหนัง หูตา จมูกที่เคยสวยงามก็กลวงโบ๋ไป เห็นแต่ความน่าเกลียดน่ากลัว น่ารังเกียจเหยียดหยามน่าขยะแขยง นั้นเองพระพุทธองค์จึงเคยถามว่า นางงามคนนี้ตายลงไปแล้ว ใครจะเอาไปอยู่ด้วยบ้าง ก็ไม่มีใครตอบรับเลย นั่นก็คือการทำอสุภกสิณในใจไปตามลำดับการค่อยเปลียนแปลงไปของสังขาร ปัญจักขันธานั้นเอง
4.
เรามาวิเคราะห์ต่อไปในรายละเอียดบางอย่าง สัจธรรมในเรื่องนี้ก็คือ การที่เรามีความคิดจินตนาการไปเห็นความสวยงามเปลี่ยนไปเป็นศพ เราเพ่งดูให้เห็นชัด ๆ ที่ตอนแรก ๆ ก็น่าดูอยู่ แต่แล้วศพนั้นก็จะเป็นอนิจจัง คงที่อยู่ไม่ได้ ก็จะเปลี่ยนแปลงไปทางความเสื่อมสลายลงไป ก็เกิดความเน่าเปื่อยเนื้อหนังภายนอกก็จะค่อยเหี่ยว ผูพัง เปื่อยเน่าลงไป ส่วนที่อ่อน เนื้อหนังก็จะค่อยหลุดออกไป เรื่อยๆ ทีละชิ้น ๆ จนที่สุดเหลือแต่โครงกระดูก
นั้น มันทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์จิตใจเราผู้ทำกสิณอสุภตามมาตลอด และความใคร่ ความพิสวาท ความรู้สึกนึกคิดทางกามารมณ์ก็จะหายไปหมด และพฤติกรรมนี้เอง เป็นการค่อยยกระดับจิตของเราให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงระดับ ดอกบัวบานเหนือน้ำนั้นทีเดียว และเมื่อทบทวนอีกหลายรอบของการเดินอสุภะกสิณ เช่นนั้น ในที่สุดก็จะรู้เอง ว่าพ้นแล้วจากกามตัณหา
ก็สำเร็จอรหันต์เท่านั้นเอง
และ ชีวิตปกติธรรมดา ของคนทั้งหลาย ไม่ว่าเพศชาย เพศหญิง บุคคลใดก็ตามศาสนาลัทธิความเชื่อใดก็ตาม ทั้งโลกนี้ ก็จะรู้รอดปลอดภัยจากกามตัณหา โดยรูปธรรมแล้ว ท่านที่รู้จักกามตัณหา รู้อุปนิสัยใจคอของพญามาร บริวารของมันทั้งหลาย ว่ามีจุดอ่อนอย่างไรนั้น นั่นก็คือ มันเป็นของต่ำ มันสูงไม่ได้ มันอยู่ต่ำเพียงโคลนเพียงตม ไม่อาจเอื้อมขึ้นมาสัมผัสจิตใจที่สูงส่งได้ และพระอริยบุคคลนั้นทั้งหลาย ระดับอรหัตตมรรคขึ้นไปถึงระดับอรหัตตผล จึงสูงจนพ้นกามตัณหาไปได้เองเป็นปกติ ไม่อาจจะมีภัยอันตรายใดใดเลยจากกามตัณหาได้ กามตัณหาไม่อาจขึ้นไปสัมผัสได้เลย
ฉะนั้น นี่จึงเป็นหลักเทกนิคหรือยุทธวิธีการรบกับพญามารกามตัณหา ที่ชงัดเด็ดขาดจริงๆ
นั่นแหละหมายถึงการบรรลุมรรคผลนิพพานแม้ระดับสูงสุด ก็สามารถบรรลุได้โดยทันที อันเหมาะกับคนยุคใหม่
เพียงการรู้แจ้งธรรมชาติ อุปนิสัย ของกามตัณหาว่ามันเป็นของต่ำ มันขึ้นสูงไม่ได้ มันจะเหมือนว่าว ที่ขึ้นไม่ถึงกระแสลมนั่นเอง เพียงรู้จักระวัง และหรือยกกระแสจิตให้สูงขึ้น ให้พ้นกระแสกามให้ได้เท่านั้นเอง ซึ่งกระแสนี้ หากรู้จักฝึกการมองอสุภะกสิณ ของพระพุทธเจ้าแล้ว ดวงจิตจะค่อย ๆ ยกพ้นไปจากกระแสกามไปตามลำดับ จนที่สุดหลุดขึ้นมาสู่ระดับที่สูงส่ง ที่อยู่เหนือกระแสกามตัณหาทั้งปวง ดุจบัวบานเหนือน้ำนั้นเอง นั่นแหละการเอาชนะกามตัณหาได้แล้ว
และเปลี่ยนแปลงดวงจิตไปเป็นดวงจิตของ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
การบรรลุอรหันต์โดยฉับพลันทันทีได้ง่ายๆ เพียงการยกระดับจิตพ้นไปจากกระแสกามตัณหาได้เท่านั้นเอง ก็พบโลกใหม่แล้ว ง่าย ๆ เท่านี้เอง
ทำไมคนฉลาดปราดเปรื่องยุคใหม่นี้จะทำไม่ได้ ?
-----
-----
3.
Thai – English, 64 languages
อริยสัจธรรมข้อที่ 2 สมุทัย เหตุแห่งทุกข์ 3,
ถูกหลอกง่ายๆ เพราะกาม นึกว่าตนสำเร็จแล้ว เปล่า!
-----
เรื่องกามตัณหา นี้พุทธองค์ทรงตรัสถึงแต่ต้นของ ธัมมจักกัปปวัตนสูตร เลย ก็เรื่องกามสุขัลลิกานุโยค ซึ่งเมื่อวิเคราะห์เหตุผลก็คือ กามตัณหานั้นมันมีอุปนิสัยการหลอกลวง โฆษณาตนเอง ว่ามันสวย มันงาม มันฉลาดแสนดี สูงสง่างาม และที่น่าเชื่อมันมีความปรารถนาดี ให้แต่ความสุข ความรื่นรมย์ เริงบันเทิงสุขอย่างเดียวเท่านั้น แต่ที่แท้จริง มันเป็นตัวร้ายด้วยเล่ห์กลที่ปิดกั้นมรรคผลนิพพานอย่างแยบยลเลยทีเดียว ลองทบทวนที่ทรงตรัสบอกปัญจวัคคีย์แต่ต้นเลยว่า
เทววเม ภิกขะเว อินตา, ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ทีสุดแห่งการกระทำสองอย่างเหล่านี้,มีอยู่, ปัพพะชิเตนะ นะ เสวิตัพพา, เป็นสิ่งที่บรรพชิตไม่ควรข้องแวะเลย, โย จายัง กาเมสุ กามะสุขัลลิกานุโยโค, นี้คือการประกอบตนพัวพันอยู่ด้วยความใคร่ในกามทั้งหลาย, หีโน , เป็นของต่ำทราม,คัมโม,เป็นของชาวบ้าน, โปถุชชะนิโก, เป็นของคนชั้นปุถุชน, อะนะริโย, ไม่ใช่ข้อปฏิบัติของพระอริยเจ้า,อนัตถะสัญหิโต, ไม่ประกอบด้วยประโยชน์เลย, นี้อย่างหนึ่ง โย จายัง อัตตะกิละมะถานุโยโค, อีกอย่างหนึ่ง, คือการประกอบการทรมานตนให้ลำบาก,ทุกโข, เป็นสิ่งที่นำมาซึ่งทุกข์, อะนะริโย, ไม่ใช่ข้อปฏิบัติของพระอริยะเจ้า, อะนัตถะสัญหิโต, ไม่ประกอบด้วยประโยชน์เลย....
สิ่งที่นักบวชนักปฏิบัติธรรมและผู้เป็นนักรบที่มักจะตกเป็นทาสกามตัณหาในที่สุด จะต้องทราบพิจารณาไปถึงข้าศึกด่านสำคัญก็คืออุปนิสัยใจคอของกามตัณหานี้ให้ดีก็นั่นคือ มันซ่อนแฝง ซึ่งเล่ห์เพทุบาย แอบลักลอบกระทำการแบบไม่ให้รู้ตัว มันเจ้าเล่ห์เพทุบายหลอกให้หลงผิด ในเมื่อมีการต่อสู้กับกามเมื่อถูกกระทำอย่างเด็ดขาด ทรมานมันอาจจะแสร้งแกล้งตายพ่ายแพ้ไปแล้ว ทำให้เหยื่อหลงผิด
นั้นคือการเข้าใจตัวเองผิด คิดว่าเอากามตัณหาอยู่แล้ว ถึงขั้นคิดไปสูงสุดว่าตนสำเร็จอรหันต์แล้วก็มี ซึ่งหากแต่แท้จริงเป็นเพราะความเจ้าเล่ห์เพทุบายของกามตัณหานั้นเอง มันจึงกลับมาเอาไปเป็นทาสอันลึกซึ้งไปได้อีก
เราจึงได้พบว่า พุทธองค์ทรงเริ่มด้วยการกล่าวสอนเรื่องกามะสุขขัลลิกานุโยค เป็นเรื่องแรกเลย เพื่อเตือนสติเรื่องกามก่อน ว่าเป็นสิ่งที่ต้องระวัง ให้เข้าใจกามให้ดีว่ามันเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่กีดกั้นทางมรรคผลนิพพานไว้อย่างแนบแน่น ดังที่ทรงตรัสบอกปัญจวัคคีย์ว่า การประกอบตนพัวพันอยู่ด้วยความใคร่ในกามทั้งหลายนั้น เป็นของต่ำทราม เป็นของปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยเจ้า และความจริงเกี่ยวกับกามตัณหาอีกอย่างที่ควรรู้ก็คือ มันเป็นเครือข่ายที่เชื่อมโยง ที่บำรุงเลี้ยง ตัณหาอื่นทั้งหมด หากกามตัณหายังอยู่ไม่สลายสิ้นไป โดยเฉพาะมีการออกลาย ซ่อนเร้น แฝงฝังหลบซ่อน ให้เข้าใจผิดเจ้าเล่ห์เจ้าหลอกให้หลงผิด คิดผิดว่าเอาชนะมันได้แล้ว มันพ่ายแพ้ไปแล้ว แต่ความจริงมันยังอยู่สบายและปล่อยให้นักบวชเข้าใจผิดไปเอง จนมันแอบหัวเราะเยาะเย้ยอย่างสำราญใจ ไปอีก
เช่นนี้ ก็ยากที่จะบรรลุสู่แดนโลกนิพพานได้ อันเป็นผลจากการถูกหลอก หรือตนเองโง่เขลาไม่เข้าใจกามตัณหา คิดผิดไปว่าตนเองปฏิบัติธรรมสูงสุด ตนเองรู้วิชาพุทธศาสนาสูงสุดกว่าผู้ใด ตำแหน่งยศศักดิ์สูงใหญ่โตกว่าใคร ก็ ผ่านกามตัณหาไปแล้ว กามตัณหาไม่ปรากฏแด่เราอีกแล้ว เราอยู่แต่ในดงในป่า ในโขดในเขา กามตัณหามีที่ไหน?
ฉะนั้นกามตัณหา จึงต้องเป็นด่านแรกและด่านสำคัญที่สุดที่จะต้องผ่านพ้นไปเอาชนะให้ได้ก่อน ดังจะเห็นในคืนตรัสรู้ของพระพุทธองค์ ที่ทรงผ่านเอาชนะกามตัณหา นางงามทั้งสามนางนั้นไปได้เสียก่อน ทรงได้เผชิญกามตัณหา เอาชนะได้เสียก่อน จากนั้นไปก็ง่าย
ซึ่งนั้นก็คือ การหมั่นพากเพียร ในยุทธศาสตร์หลักของนักรบแห่งธรรม คือ ยุทธศาสตร์อสุภะกสิณ อย่างเข้มงวดไปตลอดอย่าให้มีแม้ความละเอียดอ่อนแห่งกาม ที่ซ่านแผ่กระแสมาแม้อย่างเบาบาง ตามที่ท่านกล่าวไว้ในลักษณะนิวรณ์ 5 เรื่องกามฉันทะ ซึ่งเป็นเรื่องของความนึกคิดในกามอย่างละเอียดอ่อน อันเป็นลักษณะกลเล่ห์เพทุบายของกามที่หายตัวได้ ไม่บอกอาการเลย หากแต่มันจะเป็นเหตุร้ายแรงหรืออุปสรรคกีดกั้นธรรมปฏิบัติข้ออื่นๆ เช่นสมาธิ ที่มีกามตัณหามากีดกั้นอย่างไม่รู้ตัว โดยจะมีการปรากฏว่าการเข้าสมาธิไม่เป็นไปตามที่เคยปฏิบัติได้มา ไม่สามารถยกระดับสูงขึ้น ไม่คล่องแคล่วอย่างคราวก่อน นั้นแหละ เป็นผลมาจากนิวรณ์เรื่องกามฉันทะนี้
ฉะนั้น กามตัณหาจึงต้องเป็นด่านแรกและด่านสำคัญที่สุดที่จะต้องกวาดล้าง เอาชนะให้ได้เด็ดขาดเสียก่อน และครั้นขจัดกวาดล้างไปสิ้นเด็ดขาดไปแล้ว ตัณหาอย่างอื่น คือ ภวะตัณหา วิภวะตัณหา ก็จะเอาชนะได้ง่าย ๆ
-----
-----
4.
อริยสัจธรรมข้อที่ 2 ทุกขสมุทัย เหตุของทุกข์ 4. ภวตัณหา วิภวตัณหา, จงกลับใจเสียเถิด
ธรรมและวินัยอันนั้นจักเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย เมื่อเราตถาคตล่วงลับไปแล้ว
-----
กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา เป็นสิ่งที่ต้องรู้อย่างแจ่มแจ้งแล้ว ต้องละเสียให้สิ้นหมด ให้ลุถึงความดับไม่เหลือ ทำความหมดจดให้เกิดขึ้น จึงจะนำไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ ตามตัวอย่างของพระพุทธองค์ 3 รอบ 12 อาการ ที่เป็นการพิศูจน์-วิจัยได้พบความจริงของอริยสัจ4 จึงทรงประกาศพระองค์เป็นพระพุทธเจ้า และที่ทรงตรัสแก่ปัญจวัคคีย์ตอนจบว่า : ญานัญจะ ปะนะ เม ภิกขะเว ทัสสะนัง อุทะปาทิ, อะกุปปา เม วิมุตติ, อะยะมันติมา ชาติ, นัตถิทานิ ปุนพภะโวติ, : ก็แลปัญญาอันรู้เห็น ได้เกิดขึ้นแก่เราแล้ว, ว่าความหลุดพ้นของเราไม่กลับกำเริบ, ความเกิดนี้เป็นความเกิดครั้งสุดท้าย, ความเกิดอีกย่อมไม่มี ดังนี้.
ในสัจธรรมเรื่องกามตัณหานั้น ก็โดยยกดวงจิตให้สูงขึ้น ให้พ้นกระแสกามเท่านั้นเอง โดยการฝึกเพิ่มเติมไปในเรื่องอสุภกสิณนั้น ก็จะยกจิตสูงขึ้นไปโดยอัตโนมัติจนเหนือระดับกระแสกาม จิตใจเบิกบานดั่งดอกบัวบานเหนือน้ำแล้ว ก็หลุดพ้นสู่ดวงจิตผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ขึ้นได้โดยพลันทันที
ส่วนภวะตัณหานั้น หมายถึงความอยากมี ความอยากเป็น ในโลกธรรม 4 คืออยากมี อยากเป็นใน ลาภ ยศ สรรเสริญ และ สุข นั้นเอง วิภวตัณหา ก็เป็นความอยาก ที่ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ซึ่งความเสื่อมในลาภ ความด้อยต้อยต่ำในยศ ในความไร้ซึ่งคนสรรเสริญเยิรยอ ไร้เกียรติ์ ไร้สกุลวงศ์ ไร้ในสุขความรักความใคร่ ความอิ่มในอาหารการกิน อันเป็นสิ่งตรงข้ามนั้นเอง
นี่คือโลกที่เป็นรังแห่งความอุบาทว์ที่เป็นสิ่งที่ผู้กำเนิดขึ้นมาในนั้นหลงใหลไม่อาจละทิ้งไปได้เลย เหมือนหมู่หนอนในฐานส้วมนั้นเอง ที่มีความมีความเป็น ความอยู่อาศัยมีชีวิตในนั้นเป็นวัฏฏะ วงเวียนหมุนวนอยู่ในนั้นชั่วนาตาปี นั่นคือ ภวตัณหาวิภวตัณหา การสละตัณหาความมี ความเป็น ความอยู่ในวัฏฏะแห่งโลกธรรมทั้ง 8 ประการนั้นเอง เมื่อต้องละภวตัณหาวิภวตัณหาเสีย นั่นก็คือการสละโลก นั้นเอง ก็โลกธรรมแปดนั้นเอง คือ ภวตัณหา และ วิภวตัณหา ที่แต่ละประการนั้นสอดคล้องคลุกคลีสัมผัสกันสนิทไปไม่มีห่างหายไปเลย
เรื่องลาภที่ได้มาไม่รู้จักพอ แม้ได้ทองทั้งภูเขาแล้ว ก็ยังไปแก่งแย่งคนอื่นต่อไปอีก ในเรื่องยศศักดิ์นั้นหมายถึงลำดับตำแหน่งมาล่อหลอกให้แก่งแย่งกัน มียศควบคู่ไปกับตำแหน่ง จากต่ำสุด ขึ้นไปสูงสุด ให้เกิดการหลงในยศ ใฝ่ในยศ อย่างที่เห็นทั่วๆ ไปในขณะนี้ หลายชั้นยศ หลายตำแหน่งงานโดยเฉพาะในวงการศาสนจักรเองทุกวันนี้ ที่ล้วนเป็นสิ่งปิดกั้นเส้นทางอริยธรรม
มีตัวอย่างก็เจ้าชายสิทธัตถะเอง ที่ทรงสละราชบัลลังก์ออกบวชนั้นก็เพื่อให้พ้น ละคลายจางไปจากตัณหา 2 อย่าง นี้ และนั่นเป็นแบบอย่างการบวชในพุทธศาสนาที่แท้จริง การอยู่ในพระราชวังหรือทรงอำนาจเป็นราชามหาราช การมีตัวตนแบบราชามหาราชนั้น ไม่สามารถจะพ้นไปจากภวตัณหา วิภวตัณหาได้เลย ในยุคพุทธองค์เอง จึงมีแต่เจ้าชายทั้งหลาย ขุนนางทั้งหลาย มหาเศรษฐีทั้งหลาย สละอำนาจ ยศถาบรรดาศักดิ์ ทรัพย์สมบัติมหาศาล มาเป็นคนธรรมดา ๆ ไม่มีตัวตน แม้พระนางมหาปชาบดีโคตมี พระน้านางผู้ทรงเลี้ยงเจ้าชายมา ก็ได้สละโลก-โลกียสมบัติ ออกตามรอยบาทพระพุทธเจ้า โดยสละอำนาจวาสนา ความสุข อันเป็นภวตัณหาไปหมดสิ้น เป็นผู้ที่ละความมีตัวตนใหญ่โต ในอำนาจราชศักดิ์ แบบไม่อาลัยใยดีเลย จึงทรงบรรลุอรหัตผล เข้าสู่โลกมหานิพพานอันพ้นทุกข์ได้ เป็นภิกษุณีอรหันต์องค์แรกในพระพุทธศาสนา
ลักษณะของภวตัณหา กับ วิภวตัณหานั้น มันเป็นธรรมชาติ เป็นอุปนิสัยของหมู่สัตว์ ทั้งหลายในโลก และเป็นโลกนั่นเอง เช่นสุนัข ที่แสดงอัตตาตัวตน ความมี ความเป็นของมันอย่างชัดเจน มันจะหวงอาหาร หวงเขตแดน หวงพื้นที่ของมัน เมื่อมีหมาแปลกหน้าเข้ามา มันจะเห่าไล่ประกาศว่านี่ที่ของฉัน เขตของฉัน ห้ามมึงเข้ามา แล้วเข้ากัดกันขับไล่แบบไม่คิดชีวิต สัตว์อื่น ๆ รวมทั้งมนุษย์ปุถุชนคนทั้งหลาย ก็เช่นเดียวกันนี้ มีภวตัณหา วิภวตัณหา สมบัติประจำมา เป็นปราการบาปมาตั้งแต่เกิด
อันเป็นลักษณะของความยึดมั่นถือมั่นในอัตตา ตัวตน หรือ ตัวกู ของกู มีความหวงแหนในความมีความเป็นของตน และเป็นการหลงทางไปจากสัจธรรมในอนัตตลักขณสูตร อันเป็นการประพฤติย้อนแย้งสัจธรรมอนัตตา หลงไปกับอัตตา ความมีตัวตน หลงไปในอำนาจวาสนาบารมี ความมียศถาบรรดาศักดิ์-ตำแหน่ง-สมณศักดิ์- ภาวะเจ้าขุนมูลนาย-ราชการงานเพื่อโลกธรรม เพื่อโลกียทรัพย์ แล้วจะสำเร็จธรรมบรรลุมรรคผล นิพพาน ได้อย่างไร? เพราะ ไม่อาจทำความดับไม่เหลือแห่งเหตุแห่งทุกข์ ได้เลย
นั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อนของตัณหาอย่างไร ? หากละตัณหาไม่หมดสิ้น ไม่อาจจะทำให้ตัณหาคลายจางลงไปแล้วก็ไม่อาจจะบรรลุมรรคผลนิพพานได้เลย มีแต่จะถ่วงกระแสอันเลิศประเสริฐของพระพุทธศาสนาให้ตกต่ำลง และนั่นย่อมไม่ใช่ทางไม่ใช่แบบอย่างทางพ้นทุกข์สู่อริยฐานะอันประเสริฐ ไม่พ้นไปจากวัฏฏสงสาร กลับหลงไหลไปเหมือนหมู่หนอนในเวจส้วมวัดเลย น่าเสียดายชาติเกิดที่มาพบพระพุทธศาสนาแต่เหมือนคนตาบอดไม่ได้เห็นความดีไม่ได้อะไรจากพระพุทธศาสนาเลย ฉะนั้น เปิดดวงตามองสัจธรรม ให้เห็นความจริงแห่งวัฏฏะสงสาร ความจริงแห่งโลก โลกธรรม อันหมู่สัตว์หลงงมงายอยู่ แล้วพึงกลับใจเสียเถิด และหากทำได้ ก็จะเหมือนองคุลีมาลย์นั้นเองเลย เพียงการกลับใจ กลับทิศทางเดินเท่านั้น ก็สำเร็จอรหัตผลนิพพานได้ทันที
เพราะเส้นทางที่ถูกต้องเป็นอริยมรรคแห่งความเลิศประเสริฐเหนือสถานะใดของปุถุชนทั้งหลาย ที่มีลำดับแต่เบื้องต้นขึ้นไปสู่ยอดอันสูงสุด นั้นคือ
ขั้นที่ 1. โสดาบันมรรค,
ขั้นที่ 2. โสดาบันผล,
ขั้นที่ 3. สกทาคามีมรรค,
ขั้นที่ 4. สกทาคามีผล,
ขั้นที่ 5. อนาคามีมรรค,
ขั้นที่ 6. อนาคามีผล,
ขั้นที่ 7. อรหัตมรรค,
ขั้นที่ 8. อรหัตผล
และสูงสุดคือ พุทธภาวะ
นั้นต่างหากเป็นลำดับอริยยศ อริยฐานันดร อริยศักดิ์ เส้นทางเลื่อนขึ้นไปสู่โลกนิพพานแห่งพระบรมศาสดาที่ทรงตรัสสั่งเอาไว้ก่อนปรินิพพานแด่อานนท์เถระว่า :โย โว อานนฺท มยา ธมฺโม จ วินโย จ เทสิโต ปญฺญตฺโต โส โว มมจุจเยน สตฺถา: ดูก่อนอานนท์ ธรรมและวินัยอันใดที่เราตถาคตแสดงแล้ว และบัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย ธรรมและวินัยอันนั้นจักเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย เมื่อเราตถาคตล่วงลับไปแล้ว
-----
-----