12.
อริยสัจ 4 ข้อที่ 1 ทุกข์. 12 นิพพิทาญาณของพระอรหันต์-พระปัจเจกพุทธเจ้า
-----
1.
พระอภิธรรม 7 คัมภีร์ ที่ท่านสวดในงานศพคนพุทธมานับศตวรรษนั้น (1.) พระสังคิณี; กุสลา ธัมมา อะกุสะลา ธัมมา, (2.) พระวิภังค์;ปัญจักขันธา รูปักขันโธ, (3.) พระธาตุกะถา;สังคะโห อะสังคะโห, (4.) พระปุคคะละปัญญัติ;ฉะ ปัญญัตติโย, (5.) พระกะถาวัตถุ;ปุคคะโล อุปะลัพภะติ, (6.) พระยะมะกะ;เย เกจิ กุสะลา ธัมมา, และ (7.) พระมหาปัฏฐาน;เหตุ ปัจจะโย.) และ ธรรมนิยามสูตร 8 บท ได้แก่ (1.) ปัพพะโตปะมะคาถา;ยะถาปิเสลา, (2.) อะริยะธะนะคาถา;ยัสสะ สัทธา ตะถาคะเต, (3.) ธัมมะนิยามะสุตตัง;อุปปาทา วา ภิกขะเว ตะถาคะตานัง, (4.) ติลักขะณาทิคาถา;สัพเพ สังขารา อะนิจจาติ, (5.) ปะฏิจจะสะมุปปาทะปาฐะ;อะวิชชาปัจจะยา, (6.) พุทธะอุทานะคาถา;ยะทา หะเว ปาตุภะวันติ ธัมมา, (7.) ภัทเทกะรัตตะคาถา;อะตีตัง นานวาคะเมยยะ, (8.) ปะฐะมะพุทธะวะจะนะ;อะเนกะชาติสังสารัง)
เป็นธรรมะคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ตกทอดมาสู่โลก นับ 2560 ปีเข้าแล้ว เป็นธรรมะข้อสำคัญที่พระสงฆ์ในพิธีกรรมสวดศพ ก่อนการฌาปนกิจศพ ท่านสวดให้รับฟัง 3-7 คืน หรือพิเศษเป็นเดือนเป็นปีเลยก็มี เช่นพระบรมศพ ร.9 ของคนไทยเราปี 2562 เพื่อเข้าใจสาระสำคัญของไตรสิกขา ทุกขัง, อนิจจัง, อนัตตา, นั้นเอง ซึ่งในธัมมนิยามสุตตํ 4 วรรค มีบทอธิบายขยายความเข้าใจต่อไปอีกแต่ประเด็นคือ ติลักขะณาทิคาถา โปรดฟัง ติลักขะณาทิคาถา 3 วรรคต่อไปอีก ดังนี้
สัพเพ สังขารา อะนิจจาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา:
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด
สัพเพ สังขารา ทุกขาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา:
เมื่อใดบุคคล เห็นด้วยปัญญาว่า, สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด
สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา:
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด
2.
เราเน้นคำว่า นิพพินทะติ ซึ่งที่จริงไม่ได้มีปรากฎในพระธรรมเทศนาบทแรกคือธัมมะจักกัปปะวัตตะนะสูตรเลย ไม่มีคำว่า นิพพินทะติ ในธัมมจักกัปปวัตนะสูตร แต่มามีอย่างครบทุกสิกขา เน้นย้ำเต็ม ๆ ในอนัตตลักขณะสูตร และทอดมาถึง ธรรมนิยามสูตร บทนี้
และที่จริง ติลักขณะคาถา 3 วรรค ที่อ้างมา นั้น ก็อ้างมาจาก อนัตตะลักขะณะสูตร นั้นเอง ลอกมาตรง ๆ เลยก็ว่าได้ ที่ว่าบทพิเศษ ใน ติลักขะณาทิคาถา 3 วรรค ดังนี้โปรดทบทวนอีกครั้งหนึ่ง
“เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด
เมื่อใดบุคคล เห็นด้วยปัญญาว่า, สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอะนัตตา เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด”
นิพพินทะติ หรือ นิพพิทาญาณ (ความเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ที่ตนหลง) จึงเป็นอริยสัจธรรมข้อสำคัญยิ่ง สำหรับนักบวช นักปฏิบัติธรรม และชาวมนุษย์จักได้นำไปพิจารณา นำไปวิปัสสนา และเจริญปัญญาต่อไปจนได้พบความจริงในพระคาถานั้น อันจะส่งผลได้ไปถึงความสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ถึงความสิ้นทุกข์ทั้งปวงได้
ซึ่งเมื่อนำไปวิปัสสนา-ภาวนา หรือพิจารณาตรึกตรองไปบ่อย ๆ เนือง ๆ ครั้นเห็นความจริงของไตรลักษณ์เห็นสิ่งที่เรียกว่า วัฏฏะสงสาร คือดุจสายน้ำใหญ่ที่หมุนวนไปชั่วนาตาปีไม่มีวันหยุดไปโกฏิปีโกฏิชาติ ซึ่งในวัฏฏะสงสารนั้น เป็นวัฏฏะแห่งทุกข์ล้วน ๆ นั้นแหละนำไปสู่ นิพพิทาญาณ ความรู้แจ้งอันเป็นเหตุให้เกิดความเบื่อหน่ายในวัฏฏสงสาร ในโลกและสรรพสิ่ง แล้วในระดับต้น ๆ แห่งมรรคผลนิพพาน จะนำไปสู่ความหน่ายในสังขารทั้งหลาย ได้เป็นความน่าสมเพช เวทนาแห่งการหมุนวนไปของวัฏฏะสงสาร ที่ไม่รู้จบรู้สิ้น ทำให้ละคลายไปจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน และคลายจากความรุ่มร้อนแห่งกามารมณ์แห่งกามตัณหา กามภพได้ และ นับแต่โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล เป็นเบื้องต้นไป ถึง อรหัตมรรค อรหัตตผล เลยสู่พุทธภาวะ หรือ พุทธภูมิอันสูงสุดต่อไป แม้ในชาตินี้ ปีนี้ เดือนนี้ วันนี้ ที่นี่และเดี๋ยวนี้เอง ภพนี้เองเลย
ความเบื่อหน่าย หรือ นิพพิทาญาณ จึงเป็นสิ่งที่เป็นผล จากปัญญา หรือ อุทะปาทิ 5 อย่าง (จักขุงอุทะปาที, ญานัง อุทะปาทิ, ปัญญา อุทะปาทิ, วิชชา อุทะปาทิ, อาโลโก อุทะปาทิ) ตามพระพุทธเจ้านั้นเอง ทำให้เห็นวัฏฏะสงสาร ที่น่าอเนจอนาถ น่าเบื่อหน่ายน่ารังเกียจที่สุด
และเริ่มตั้งแต่พระอริยบุคคลโสดาบัน ท่านก็จะเริ่มมีนิพพิทาญาณ ขึ้นเมื่อรู้อริยสัจ 4 ขึ้นมา เริ่มอริยสัจข้อที่ 1 คือ ทุกข์ นั้นเอง ท่านจะเบื่อหน่ายในการเกิด และการเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ เบื่อเหตุการกระทำชั่ว จะละอายและละเว้นไปเองโดยอัตโนมัติ ในการกระทำชั่วบางอย่าง จะสามารรถกระทำได้เฉพาะความดี บางอย่าง, ระดับสกทาคามี จะมีความละอายใจ มีความเบื่อหน่ายต่อการที่จะทำอะไรอย่างชาวโลกๆ โดยเฉพาะการมีศีลธรรม จริยธรรม จะไม่ขาดเลย จะทำแต่ความดีเท่านั้น สร้างสรรค์แต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ส่วนรวมต่อส่วนพระพุทธศาสนา ระดับโสดา-สกทาคามี นี้ มักจะสร้างวัตถุนิยมอยู่, และมักจะมีคนทั้งหลายมีความศรัทธาร่วมสร้างอย่างมากมาย ศาสนวัตถุทางศาสนาที่ใหญ่โตมโหฬาร มักนำการสร้างไปโดยอริยบุคคลระดับนี้ , ระดับอนาคามี ท่านจะเบื่อหน่าย ไม่อยากอยู่ร่วมชีวิตร่วมกิจกรรมกับคนสังคมโลกเลย เวลานาทีทุกนาทีของท่านจะอุทิศให้การขัดเกลากิเลสล้วน ๆ อนาคามีจึงมักจะปลีกตัวหนีสังคมไปอยู่ป่า หุบเหว ถ้ำ มักไปอยู่สันโดษ เดินทางไปในแดนเปล่าเปลี่ยวที่ไม่เข้าไปใกล้สังคม ใกล้โลก และมุ่งอย่างเดียวถวายชีวิตต่อการสร้างผลกรรมให้บรรลุอรหัตมรรคอรหัตผล จุดจบให้ได้ ไม่คิดอย่างอื่นเลย มุ่งสู่อรหันต์อย่างเด็ดเดี่ยว, พระอรหันต์ นั้น จะสละโลกเลย เพราะความเบื่อหน่ายในสังคมโลก ไม่อยากมาใกล้ชิดอยู่ร่วมโลก มีแต่การสละปลีกวิเวกไปคนเดียว ท่านจะเห็นว่า ระดับพระอรหันต์พระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านยิ่งจะเบื่อโลกทั้งโลก แทบว่าเมื่อบรรลุธรรมแล้ว มองเห็นโลกทั้งโลกเป็นสิ่งที่ไร้สาระ ไร้ประโยชน์ ไร้ค่า หมายถึงทั้งคนทั้งโลกเองด้วย ล้วนสิ่งที่ไร้ค่าไร้ราคาเหมือนมดเหมือนปลวกเท่านั้นเอง ท่านก็จะปลีกหนีไปอยู่สันโดษ โดยไม่สนใจสังคมเลย
3.
ก็พอเห็นจากพระปัจเจกพุทธเจ้าในไซอิ๋ว ที่มีเรื่องเริ่มต้นมาว่า เห้งเจีย เรียนวิชาสำเร็จเบื้องต้น แต่ด้านการเหาะ ยังเป็นเพียงเหาะตามเมฆ คือตามลม ยังช้าอยู่ และวิชาอื่นๆ ก็ยังช้าอยู่ ทราบว่ามีพระปัจเจกพุทธเจ้าอยู่ในเกาะกลางทะเล ก็ตามหาจะขอเป็นลูกศิษย์ แม้มีคนบอกว่าท่านไม่รับใครเป็นลูกศิษย์ ก็อุตส่าห์ตามไปจนพบสถานที่พำนักอาศรมของท่าน และขออยู่ขอรับใช้ แต่ขอร่ำเรียนวิชากับท่าน ๆ ก็ไม่สอนให้ เอาแต่รับใช้ท่านเป็นเวลานาน จนวันหนึ่งท่านออกคำพูดว่า เวลาตี3คืนนี้มีอะไรดี ซึ่งเห้งเจียเข้าใจไปว่าท่านจะสอนวิชาให้ตน ตอนตี 3 เห้งเจียจึงเข้าไปหาท่านทวนวาจาท่าน ทำให้ท่านยอมสอนวิชาให้ จนได้เรียนวิชาชั้นสูง และสามารถเหาะดั้นเมฆได้ คือเหาะได้อย่างเร็วแบบลัดนิ้วมือเดียว เกินความเร็วของเมฆที่ล่องไปด้วยสายลม สิ่งที่ปรากฏที่คนไม่เข้าใจก็คือ พอเรียนวิชานี้จบ ท่านก็ไล่เห้งเจียหนีไปจากเกาะ และยังกำชับอย่างแข็งแรงว่า ห้ามบอกว่าเจ้าเรียนวิชามาจากใคร ห้ามเด็ดขาดหากบอกไปไม่เชื่อจะได้รับโทษถึงคอขาด ทำไมท่านไม่คิดอยากได้หน้าได้ตาจากวีรกรรมของลูกศิษย์ ผู้ไปอารธนาพระไตรปิฏกชมพูทวีป มีชื่อเสียงไปสามโลก ?
นั่นเป็นผลของ นิพพิทาญาณนั้นเอง ระดับพระอรหันต์ท่านจะมีนิพพิทาญาณสูงมาก จนแทบว่าโลกนี้ไม่มีความหมายสำหรับท่าน ท่านมองเป็นของสกปรก โง่เง่าเต่าตุ่น ไร้สาระที่สุด เป็นที่อยู่อย่างหมู่หนอนในส้วม ใส้เดือนในดินสกปรก จนไม่อยากอยู่ใกล้ ๆ เลย นั้นแหละพระอรหันต์ และพระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านยิ่งไม่อยากให้ใครไปหาท่านเลย
เช่นกรณีซึงหงอคง นี่เอง ที่เราจะได้พบว่า ซึงหงอคงไม่เคยบอกใครเลยว่าใครเป็นอาจารย์ของตน เพราะพอเรียนจบ ท่านก็ไล่หนีไปทันที ซ้ำสั่งห้ามเอ่ยชื่อท่าน ห้ามเอ่ยชื่ออาจารย์ห้ามบอกใครสอนวิชาเป็นอาจารย์ให้อย่างเด็ดขาด หากบอกจะมีโทษถึงคอขาดทันที
ซึ่ง นี่คือ นิพพิทาญาณ ความหน่ายโลก ไม่อยากยุ่งกับโลกให้รำคาญใจ (อย่างพระพุทธเจ้านั้น ท่านมีหน้าที่ของพระพุทธเจ้าคือการสอนโลก และด้วยมหาเมตตาบารมีสถานเดียวจึงอยู่ท่ามกลางสิ่งสกปรกน่าขยะแขยงน่าหน่ายได้) อันนี้เป็นปัจจัยเหตุไปวัดสภาวะพระอริยบุคคลได้ หากยังคงหลงโลกอยู่ สะสมวัตถุนิยม แสวงหาชื่อเสียง ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แสวงหาตัณหา กาม ภวะ-วิภวะ ตัณหาอยู่ แสวงคำสรรเสริญเยิรยอ ยศถาบรรดาศักดิ์ สมณศักดิ์ หาเงินตราสร้างวัตถุใหญ่ค้ำฟ้า อ้างว่าตนเป็น อรหันต์บุคคล นั้นแหละ ยิ่งบอกไปถึงความเป็นปุถุชนคนธรรมดา ๆ โลก ๆ ที่บอกถึงความโลภโกรธ หลง ในวัตถุ ตัณหา ในโลกธรรม 8 ธรรมดา ๆ นี่เอง (น่าจะลองฟังวาทะของท่านพุทธทาสภิกขุ สวนโมกขพลาราม ที่ว่า....กุศลสูงสุด สร้างโรงเรียนก็ยังไม่ใช่กุศลสูงสุด สร้างโรงพยาบาลก็ยังไม่ใช่กุศลอันสูงสุด สร้างวัดสร้างโบสถ์ก็ยังไม่ใช่กุศลสูงสุด ถ้าไม่ได้ทำให้ใครฉลาดขึ้นเกี่ยวกับความดับทุกข์ การกระทำใด ๆที่ทำให้เกิดความสว่างไสวในทางธรรมะแก่เพื่อนมนุษย์นั่นแหละกุศลอันสูงสุด...) ครั้นไปยกยอปอปั้นตัวเอง ว่าเป็นพระอรหันต์อริยบุคคล แล้ว นั้นแหละบาปต่อพระพุทธศาสนา ฐานหลอกลวงคนทั้งหลาย ให้เข้าใจพระอริยบุคคลอรหันต์ ปัจเจกพุทธเจ้าผิดไปอย่างใหญ่หลวง นั้นแหละ มรณะ-ตายไปลงนรกโลกันต์ไปนับหมื่นล้าน ๆ โกฏิปีไปเลย มีนิพพิทาญาณเป็นสิ่งวัดคุณค่านี้ เนื่องเพราะปัญญายังตื้นต่ำ ไม่ทันเห็นแจ้งทุกข์โดยสมบูรณ์ จึงไม่เข้าใจ ไม่มี นิพพิทาญาณ ชั้นสูงสุดนั่นเอง
คือการบวชเข้ามาเพื่อแสวงหามรรคผลนิพพาน การละกิเลส ตัณหา อุปาทาน ไปเรื่อย ๆ ยิ่งค่อยรู้สัจธรรมและบังเกิดความรู้แจ้งในทุกข์แห่งชีวิตแล้วมีนิพพิทาญาณเกิดขึ้น ๆ ซึ่งนิพพิทาญาณนี้เองไปประหารกิเลสได้โดยอัตโนมัติ จนรู้แจ้งทุกข์โดยสมบูรณ์ ก็สู่นิพพิทาญาณอันสูงสุด ก็สำเร็จอรหัตตมรรคอรหัตตผล ยิ่งกลายเป็นความรังเกียจหน่ายในลาภในยศในโลกธรรมทั้งหมดโลกไปเลย เพราะนั่นแหละ อริยทรัพย์ละ....?
· Phayap Panyatharo
25 เม.ย. 2565 23.00 น.
-----
*****
-----
13.
อริยสัจ 4 ข้อที่ 1 ทุกข์. 13 สัพพัง อาทิตตัง สรรพสิ่งเป็นของร้อน ในอาทิตตปริยายสูตร
-----
1.
ปรารภถึงต้นเหตุ
ทรงแสดง อาทิตตปริยายสูตร แด่ชฎิล 1,000 รูป ในลำดับต่อมาจากที่ทรงแสดงธัมมะจักกัปปะวัตตนะสูตร และอนัตตะลักขณะสูตร มีพระสาวกอรหันต์ปัญจวัคคีย์ 5 องค์เกิดขึ้นแล้ว อาทิตตะปริยายสูตรเป็นการเทศนาธรรมครั้งที่ 3 ถัดกันไปนั้นเอง ซึ่งการแสดงพระธรรมคราวนี้ มีผู้ฟังจนจบแล้วบรรลุเป็นพระอรหันต์ขึ้นพร้อมกันทั้งหมดทั้ง 1,000 องค์
นี่คือตัวอย่างที่แสดงว่า พระธรรม 3 บทนั้น มีสาระธรรมสูงสุด แม้สมัยนั้นก็ทำให้สำเร็จอรหันต์ได้ง่าย ๆ และเนื้อหาพระธรรมนั้น เมื่อมาถึงยุคนี้ ก็ยังคงเป็นเนื้อหาอันเดิมอยู่ทั้งสิ้น แต่ทำไมเหตุใด นักปราชญ์ ผู้รู้สมัยนี้ยุคนี้จึงไม่ได้สรรเสริญพระธรรมสามบทนี้เท่าที่ควรเลย ทำไมหากมีผู้รู้ระดับอรหันตบุคคลในแผ่นดินแล้ว ทำไมไม่มองความสำคัญของพระสูตรทั้ง 3 นี้ โดยเฉพาะประเด็นการนำไปบรรลุอรหันต์ได้ ในเมื่อพระธรรมก็บทเดียวกัน เนื้อหาตรงกัน อันหนึ่งอันเดียวกัน กับที่ทรงแสดงคราวนู้น และทั้ง ไม่ต้องกินเวลาศึกษามากเลย คราวนั้นแค่ฟังจบ ก็สำเร็จอรหันต์ได้ แล้วทำไมคนยุคนี้ สมัยนี้ที่ชื่อว่าเป็นผู้เจริญทางปัญญาวิทยาศาสตร์สูงล้ำแล้ว หากพยายามไปจะไม่อาจบรรลุอรหันต์ได้
คงไม่เพราะอะไร ? เพราะไม่เข้าใจแก่นสารที่แท้จริงของพระธรรมทั้ง3บทนั้น นั่นเอง แล้วไปศึกษาบทอื่นๆที่ยาก แล้วเห็นว่าความยากนั้นเป็นประเด็นของการศึกษาต่อไป จนตลอดชีวิตก็ไม่เข้าใจ ไม่สำเร็จ มาจนถึงวันนี้ก็ยังคงคิดไปแบบเดิม ทำไปแบบเดิม ๆ อยู่ จึงไม่มีผลอะไรขึ้นมา ซ้ำไปกล่าวร้ายว่า มรรคผลนิพพานพ้นสมัยพ้นยุคไปแล้ว โดยไม่เข้าใจเรื่องความโง่ของตนผู้สอน
2.
มาวิเคราะห์กันหน่อย เพื่อเห็นเหตุผลดังกล่าวมา
1. โดยไม่เข้าใจว่าการจะสำเร็จธรรมอริยผลระดับอรหันต์นั้น ต้องศึกษาจากพระสูตรทั้ง 3 นี้เป็นสำคัญที่สุดโดยไม่จำเป็นต้องไปศึกษาพระสูตรอื่นเลยก็ได้เลย....ถ้าจัดเป็นหลักสูตร ก็สำหรับคนทั้งโลก คนทุกอาชีพ โดยไม่ต้องเป็นชาวพุทธเลย เพราะพระสูตรอื่น ๆ ที่ตามมาภายหลัง ล้วนแต่เป็นพระสูตรที่ทรงสอนคนโง่ ที่ต้องให้ปฏิบัติแบบคนโง่ทำให้มีขั้นตอนเพิ่มขึ้น มีการลงทุนลงแรงเพิ่มขึ้นแม้ไม่ได้ผลอะไรเลย โดยที่เป็นแม่แบบอยู่ปัจจุบันก็คือระบบหลักสูตร ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งกว่าจะถึงระดับโสดาบัน ก็ต้องใช้เวลาศึกษาไปเป็นเดือน เป็นปี เป็นชาติ 7 ชาติ 12 ชาติ ไปถึง 108 ชาติ ก็ยังมีคนศรัทธาเลื่อมใสไม่คิดเอาอะไรเลยในชาตินี้ ชีวิตที่เป็นอยู่ปัจจุบันนี้ คิดเอาดีชาติหน้า ให้ได้โสดาบันใน 7 ชาติก็พอใจยิ่งแล้ว ทั้งสิ้น นี่แหละโง่! และแม้จะบรรลุโสดาบัน สกทาคามี แต่ก็ยากที่จะทะลุไปถึงระดับอนาคามี หรือ อรหันต์ อย่างเช่นที่เอาอาณาปานะสติสูตร หรืออะไรต่าง ๆ จากพระไตรปิฏกมาสอน มาเปิดสำนักปฏิบัติ หรือห้องเรียนธรรมะ มีการเทศน์ในงานใหญ่งานปฏิบัติธรรมเป็นต้นนั้น ทำนองให้ความรู้ไม่มีเชิงการปฏิบัติอะไร เพราะคนสอนหรือพระที่สอนก็แค่พูดว่าไปตามตำรา ตามคำของครูบาอาจารย์ก่อน ๆ ซึ่งก็ไม่รู้อะไรเหมือนกัน ก็สอนไปแบบไม่เข้าใจ (เพราะคนสอนก็ทำไม่ได้อย่างที่สอนเขาและไม่รู้สิ่งที่ตนสอนไปด้วยซ้ำก็มี) เช่นเดียวกับที่มีสำนักปฏิบัติ ทั้งสอนและพาปฏิบัติเรื่องสมาธิ กันใหญ่ เป็นงานใหญ่ รบกวนชาวบ้านกันแทบไม่ต้องทำมาหากิน แต่อะไรคือสมาธิ ก็ไม่เข้าใจ มีลำดับไปอย่างไร ไม่เข้าใจทั้งนั้น เพราะคนสอนกับลูกศิษย์พอ ๆ กันคือทำไม่ได้เหมือนกัน ที่จริงเก่งพอ ๆ กันนั่นแหละ น่าหัวเราะจริง ๆ พอบอกก็จะไม่เชื่ออีก เช่นเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา ต้องจัดการสอนแบบทำเป็นหลักสูตร เอาไปทำเป็นหลักสูตรจึงจะดีได้ ให้รวมศูนย์ที่เรื่องสมาธิให้มีศีลครอบทั้งหมดคือขณะที่เรียนสมาธินั้นให้ประพฤติหรือทรงคุณสมบัติของศีลรักษาศีลให้ได้ครบถ้วน หลักสูตรกำหนดจากสมาธิ ทำหลักสูตร ปริญญาตรี 1 ปี เป็นคณิกะสมาธิ, ปริญญาโท 2 ปี เป็นอุปจาระสมาธิ และปริญญาเอกเป็นอัปนาสมาธิกี่ปีก็ตามให้สำเร็จอัปนาสมาธิให้ได้ ทำหลักสูตรทางปฏิบัติขึ้นมาอย่างนี้จะช่วยได้มาก จบสมาธิปริญญาเอกแล้ว เข้าสู่ หลักสูตรวิปัสนา นั่นคือมาศึกษา ธัมมะจักกัปปะวัตนะสูตร, อนัตตะลักขณะสูตร, และ อาทิตตะปริยายะสูตร 3 บทนี้ เป็นระดับเหนือปริญญาเอกเข้าสู่ระดับมรรคผลนิพพาน ... ถ้าผ่านมาตามลำดับถึงนี้ ก็มั่นใจได้ว่า สำเร็จอรหันต์แน่ ๆ
3.
แต่ สำหรับที่เสนอมาตลอดนี้ ไม่ต้องมีหลักสูตรแบบไหน หรือแบบที่ว่ามา แต่ตั้งใจศึกษา 3 พระสูตรแรกที่ทรงสอนนั้นเอง ศึกษาด้วยตนเอง ไม่เกี่ยวกับสมาธิ ศีล หรืออะไรเลย แต่เกี่ยวกับปัญญาล้วน ๆ คือ อุทะปาทิทั้ง 5 ที่พระพุทธองค์ทรงผ่านมาเองแล้วนั้นเองเป็นแบบ ปัญญา สมาธิ ศีล นั้นเอง ที่พูดมา อธิบายมาจากพระธัมมะจักกัปปะวัตตนะสูตร อนัตตะลักขณะสูตร ตามลำดับมาแล้ว เรื่องสัจธรรมอริยสัจ 4 มาต่ออาทิตตะปริยายะสูตร ให้เข้าใจยิ่งขึ้น ความเข้าใจความรอบรู้ทะลุปรุโปร่งนั้น เป็นประเด็นความสำเร็จ
คราวนี้ เรื่องอาทิตตะปริยายสูตร ทรงแสดงแด่นักบวช 1,000 ตน โดยทรงเทศน์ให้ฟัง ทรงแสดงด้วยวาทะ ไปตามลำดับๆ จนจบบทเทศน์ ซึ่งใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงเอง เสร็จแล้ว ฟังเทศน์จบแล้ว ทั้ง 1,000 คน บรรลุอรหันต์หมดทุกองค์ จึงน่าเป็นตัวอย่างสำหรับคนในยุคนี้ ที่จะสามารถสำเร็จมรรคผลได้แบบใช้ปัญญา ตรึกตรองดูความจริงไปตามลำดับๆ เห็นความจริงที่เกี่ยวกับโลกเกี่ยวกับชีวิต ที่น่าเบื่อหน่าย มีนิพพิทาญาณเกิดขึ้นแล้วถอนกิเลส ตัณหา อุปาทาน ออกไปหมดจากใจ ก็ปรับจิตไปเป็นจิตใหม่ที่ใสสะอาด สว่าง และสงบ นั่นแหละ มรรคผลนิพพาน นั่นแหละคนฉลาดยุคใหม่น่าจะทำได้พอ ๆ กับคนยุคนั้น โดยฟังให้เข้าใจจริง ๆ จนสิ้นข้อสงสัยทุกอย่างจากคำสอนในอาทิตตะปริยายสูตร หรือรวมทั้ง2 พระสูตรต้นที่ทรงแสดงมาก่อนแล้ว
มาดูว่าทรงสอนอะไร
ทรงแสดงง่ายๆว่า สิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน รูป เวทนาสัญญา สังขารวิญญาณ รูปธรรม นามธรรม มนุษย์นี้เป็นของร้อน สรรพสิ่งเป็นของร้อน
ร้อนเพราะ ไฟ
ทรงแสดงพระสูตรนี้โดยใช้เวลาไม่นานเลย พอจบลง นักบวช 1,000 รูปที่รับฟังอยู่ก็บรรลุอรหันต์ไปทั้งหมด แค่การรับฟังพระสูตรนี้จบเวลาไม่ถึง ชั่วโมงเลย
นั่นก็เป็นเพราะได้ความรู้ เกิดปัญญาความรู้แจ้งเรื่อง สัพพัง อาทิตตัง สิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน แล้วบังเกิด นิพพิทาญาณ ความหน่าย ความคลายจางไปจากความยึดมั่นถือมั่นผิด ๆ มาแต่เดิม ทำให้จิตเกิดการสลัดหลุดพ้นออกมาจากโลกเก่า มาสู่โลกใหม่ คือ มรรค ผล นิพพาน ระดับสูงสุด อรหันต์ นั่นเอง
4.
อะไรคือความร้อน?อะไรคือ อาทิตตัง ?
ณ บทนี้ ก็คือความรู้แจ้งว่า อะไรคือของร้อน? อะไรคือ อาทิตตัง
อะไรคือความหมายที่ว่า สัพพัง ภิกขเว อาทิตตัง เพียงดูคำแปลก่อน สัพพัง คือ ทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งสิ่งที่มีชีวิตไม่มีชีวิต ทั้งปวง ทั้งเพ ทั้งหมด, อาทิตตัง คือ สว่าง รุ่งเรือง ร้อน ความร้อน ในที่นี้แฝงความหมายไว้อย่างใหญ่โตมาก คือร้อนไปหมดทุกสรรพสิ่ง ไม่มีอะไรไม่ร้อนเลย นี่คือโลกแห่งความร้อน เมื่อร้อนแล้วเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ? เป็นทุกข์พระเจ้าข้า ซ้ำความหมายกับคำว่า อนิจจัง และ อนัตตา นั่นเอง เมื่อร้อนแล้วเป็นสุขหรือเป็นทุกข์เล่า? เป็นทุกข์พระเจ้าข้า
ข้อสรุปที่เป็นประเด็นมรรคผล นิพพาน อรหันต์ ก็คือในเมื่อเกิดปัญญา ปัญญานั้นเองทำให้เกิดความรู้แจ้งเรื่องความร้อนขึ้นมาแบบเดียวกับปัญญาของเจ้าชายสิทธัตถะ คือ อุทะปาทิ 5 อย่างเกิดขึ้นก่อน ได้แก่จักขุง อุทะปาทิ, ญาณํ อุทะปาทิ, ปัญญา อุทะปาทิ, วิชชาอุทะปาทิ, อาโลกโก อุทะปาทิ, จึงทรงตรัสรู้ความจริงทั้งหลายทั้งสิ้น
ที่ทรงใช้ทั้ง 5 คำ ก็เพื่อเน้นว่าเราต้องใช้ปัญญา ซึ่งเป็นเรื่องความคิดพิจารณาการศึกษาวิจัย เชิงเหตุและผลในเชิงคำสอน กาลามสูตร นั้นเอง และครั้นปัญญารู้แจ้งขึ้นมา รู้ว่า สัพพัง อาทิตตัง สิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน นั่นคือ มองเห็นไปว่า คนทั้งหลายทั้งปวง สิ่งทั้งหลายทั้งปวงในโลกนี้หรือโลกอื่นใดทั้งสิ้น แม้ตัวเราเองนี้แหละล้วนแต่พบกับความร้อนอยู่ตลอดเวลา และบอกได้เห็นได้เลยว่าตั้งแต่เกิดมาก็พบความร้อนนี้ทันที ไปจนแก่จนตายไปไม่มีพ้นไปจากความร้อนเลยและดูเรื่องต่อไปพอสิ้นชาติ สิ้นชีวิตลง ก็ไปเกิดใหม่ เกิดเป็นอะไร แม้เป็นเทวดา พรหม พระเจ้า ก็พบความร้อนนี้ไปไม่หยุดไปจนตายไปอีกรอบหนึ่งนี่ก็ไปลงที่เดียวกันกับ ทุกข์ คือ เรื่องการหมุนวนไปมาไม่รู้จบของ วัฏฏะสงสาร นั่นเองที่น่าเศร้า น่าเวทนาน่าเบื่อหน่าย น่ารังเกียจ เหยียดหยาม ขยะแขยงไม่น่าที่จะอยู่หมกตัวต่อไปในวัฏฏะสงสารแห่งความร้อนนี้โดยรู้ไปชัดเจนว่าไม่มีวันจบไปจากความร้อนนี้ไปกี่ปีกี่ชาติข้างหน้า
การเกิดขึ้นของปัญญา 5
นี่คือการรู้แจ้ง เป็นการรู้ การตื่น การเบิกบานขึ้นมาเห็นความจริงแล้วว่าเป็นอย่างไร เป็นเหตุที่นำจิตใจไปสู่ความขยะแขยง น่ารังเกียจ น่าเบื่อหน่าย นั้นเองทำให้ใจหลุดพ้นออกไปจากวัฏฏะสงสารได้ และได้พบสภาวะจิตใหม่ขึ้นมาที่สะอาด สว่าง สงบ ทันทีที่ได้รู้ความจริงแห่งชีวิตขึ้นมาว่าชีวิตมีแต่ร้อนตั้งแต่เกิดเมาจนตายไป
5.
ข้อสรุปสำคัญคราวนี้ก็คือ
มีความรู้คือรู้ความจริงขึ้นมาก่อน ด้วยจักขุง อุทะปาทิ(ตาดีได้เกิดขึ้นแล้ว), ญาณัง อุทะปาทิ(ความหยั่งรู้ได้เกิดขึ้นแล้ว), ปัญญา อุทะปาทิ(ความรู้แจ้งจริงได้เกิดขึ้นแล้ว), วิชชา อุทะปาทิ(วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว), อาโลโก อุทะปาทิ(แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้ว) ซึ่งนี่คือการรู้ความจริงด้วยปัญญา มีสัมมาทิฏฐิ(ความเห็นชอบ) สัมมาสังกัปโป(ความดำริชอบ) เป็นภาวะการนำความคิดไปวิเคราะห์ปัญหา
อย่างเช่นท่านอัญญาโกณฑัญญะ เริ่มด้วยความคิดวิจัยรู้ความจริงว่า เกิดมาแล้ว ก็มีการตายคู่ไปเสมอ การเกิดมีมาพร้อมกับการตาย(ยังกิญจิ สะมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมัง(สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาแล้วสิ่งทั้งปวงก็ต้องดับสลายไปเป็นธรรมดา): แปลตรงตามความจริงก็คือการเกิด:สมุทะยะ ธัมมัง อะไรเกิดก็ตาม มันไม่ถาวร ย่อมเสื่อมสลายไป จนที่สุด ก็ตายไปทุกสรรพสิ่ง รวมทั้งตัวเราเองนี่แหละ นั่นคือมีที่สุดเป็นการตาย: นิโรธะธัมมัง เสมอไปทุกสรรพสิ่ง ท่านโกณฑัญญะ รู้ว่านี่เป็นความจริง คือมีการเกิดมาแล้วก็ต้องตายไปทุกคน ทุกสิ่ง ก็สำเร็จโสดาบัน (ยังไม่รู้ทุกข์แบบสมบูรณ์พอรู้ต่อมาอีกจากอนัตตะลักขณะสูตรรู้ทุกขัง อนิจจัง อะนัตตา และบัดนี้รู้ทุกข์ไปอีกแบบทุกข์คืออาทิตตัง ทุกข์คือความร้อน จากอาทิตตะปริยายะสูตร ก็สำเร็จอรหันต์)
ถ้าทรงถามแบบที่ทรงถามปัญจวัคีย์ในอนัตตะลักขณะสูตรว่า เมื่อไม่เที่ยงแล้ว เป็นสุขหรือเป็นทุกข์เล่า ? ซึ่งมีคำตอบว่า เป็นทุกข์พระเจ้าข้า
นั่นคือเรื่อง ทุกข์อริยสัจ ที่มีส่วนความจริงให้รู้แจ้งต่อไปอีกหลายชั้นหลายระดับ
แต่คราวนี้ไม่ทรงทบทวน ให้รู้กันเองว่าความร้อนเป็นทุกข์ แต่หากถามก็จะทรงถามว่า เมื่อทุกอย่างร้อนไปหมดแล้วเป็นสุขหรือเป็นทุกข์เล่า? คนตั้งพันคนนั้นก็จะตอบตรงกันว่า เป็นทุกข์พระเจ้าข้า (เพราะมันเห็นง่ายกว่ากันเยอะ)
คืออาทิตตะปริยายะสูตรนั้นก็คือเรื่องทุกข์นั้นเอง ทรงแสดงเรื่องทุกข์ต่อไปอีกลักษณะหนึ่งนั่นเอง และเป็นภาษาที่อ่านเข้าใจในเชิงภาษาง่ายมาก เพราะเป็นการสอดคล้อง หรือขยายความเข้าใจออกไปจากพื้นฐานสัจธรรมเดิมใน 2 พระสูตรแรก คือ ธัมมะจักกัปปะวัตนะสูตร และ อนัตตะลักขณะสูตร ซึ่งแน่นอน ชฎิลทั้ง 1000 คนหรือมากกว่านั้น ได้รับทราบรับฟังมาก่อนแล้วทั้งนั้น ดังที่ปรากฏท้ายบทธัมมจักกัปปะวัตตนะสูตร ที่บอกถึงเทวดาชั้นต่างๆ แสดงความยินดีที่ได้ฟังพุทธองค์แสดงธรรมปฐมบท ซึ่งแท้จริงหมายถึงนักปราชญ์นักศาสนาในแผ่นดินได้รับทราบการแสดงปฐมเทศนาของพระพุทธองค์ และได้เรียนรู้ธรรมะที่ทรงแสดงไปด้วย พอมาฟัง อาทิตตะปริยายสูตรเข้าก็ง่าย เลยบรรลุอรหันต์พร้อมกันทั้ง 1,000 องค์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปได้
6.
อะไรทำให้ร้อน?
ซึ่งข้อสรุปก็คือประเด็นคำถามที่ว่า อะไรทำให้ร้อน ? นั่นเอง
และอาทิตตะปริยายะสูตร ทรงตอบนับแต่อธิบายว่า อะไรทำให้ร้อน? ร้อนเพราะราคะ โทสะ โมหะ ร้อนเพราะความโลภ ความโกรธ ความหลง ร้อนเพราะความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตาย ไปจนลงว่า สัพพัง อาทิตตัง สิ่งทั้งปวง(คือทุกๆสิ่งในโลกนี้และโลกอื่น ทั้งนามธรรม รูปธรรมโลกนี้ ทั้งสากลจักรวาล) เป็นของร้อน ทั้งสิ้น เหมือนกับอริยสัจเรื่อง ทุกข์ มีแต่ทุกข์เท่านั้นเกิด มีแต่ทุกข์เท่านั้นดับลง โลกล้วนมีแต่ทุกข์ ซึ่ง สรุปลงเป็นอันเดียวกับทุกข์ว่า
กิเลส ตัณหา อุปาทานนั้นเอง เป็นของร้อน ซึ่งเมื่อได้รู้ธัมมะจักกัปปะวัตนะสูตรมาก่อนก็ง่ายที่จะเข้าใจความจริงของความร้อนนี้ แบบเดียวกับความจริงของอริยสัจ 4 นั่นเอง คือความจริงเรื่องทุกข์เป็นเช่นเดียวกับ ความร้อนนี้ แบบเดียวกับความจริงของเหตุของทุกข์ หรือ ทุกขสมุทัย ก็คือความจริงเกี่ยวกับความร้อนนี้ นั่นเอง ความร้อนเป็นเหตุของทุกข์ ก็ไม่ผิดเลย
และเมื่อรู้ความจริงเกี่ยวกับ ทุกข์มาแล้ว มารู้ความจริงว่า สรรพสิ่งเป็นของร้อนแล้ว ยิ่งทำให้เบื่อหน่ายในวัฏฏะสงสารไปมากกว่าเดิมอีก ความคิดที่จะโลดทะยานออกไปจากโลกทุเรศนี้ยิ่งแรงขึ้น
ซึ่งในอาทิตตะปริยายะสูตรนี้ ไปลงที่นิพพิทาญาณ ความหน่ายในวัฏฏะสงสาร อีกเหมือนการเทศนาของพระพุทธเจ้าคราวก่อนมา
7.
นิพพิทาญาณ ญาณความรู้แห่งการเบื่อหน่าย
แต่ในอาทิตตะปริยายะสูตรทรงเน้นเรื่องการเบื่อหน่าย หรือนิพพิทาญาณ ไปแทบทั้งหมดทั้งพระสูตรเลยก็ว่าได้
นั่นคือทรงเน้นเรื่องทำให้มีการตื่นตัวทางปัญญาให้ได้รู้ได้เข้าใจจริงๆ ในทุกขอริยสัจ เรื่องอนิจจัง เรื่องอนัตตา และเรื่องความร้อนนี้ ให้เป็นการสัมผัสด้วยอารมณ์ความรู้สึกในจิตใจจริงๆ รับรู้ทุกข์จริงๆรับรู้ความร้อนจริง ๆ (ไม่เพียงแต่จดจำได้ สวดได้สาธยายไปเปล่าๆนั้นไม่เกิดประโยชน์เลย)
ซึ่งต้องหมั่นตรึกตรอง พิจารณาให้เห็นความจริงเห็นความสัมพันธ์ของเหตุและผล เชิงวิทยาศาสตร์เชิงกาลามสูตร เชิงงานการวิจัย ให้ได้ จึงจะเกิดความรู้แจ้งเห็นจริง จริงๆ โดยบังเกิดปัญญาแบบพระพุทธเจ้ามาพิจารณาเรื่องราวทั้งหลาย นั้นคือมีจักขุง อุทะปาทิ(ตาดีได้เกิดขึ้นแล้ว), ญาณัง อุทะปาทิ(ความหยั่งรู้ได้เกิดขึ้นแล้ว), ปัญญา อุทะปาทิ(ความรู้แจ้งจริงได้เกิดขึ้นแล้ว), วิชชา อุทะปาทิ(วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว), อาโลโก อุทะปาทิ(แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้ว): อุทะปาทิ 5 อย่างนั้นเองคือปาฏิหาริย์แห่งปัญญา ที่ทำให้ทรงปัญญารู้แจ้ง 3 รอบ 12 อาการของอริยสัจ 4 แต่ละข้อ จนมั่นพระทัยว่านี่แหละคุณสมบัติสมบูรณ์ของความเป็นพระพุทธเจ้า จึงทรงกล้าประกาศพระองค์เป็นพระพุทธเจ้า โดยทรงเริ่มสอน ธัมมะจักกัปปะวัตนะสูตร และบอกเหตุผลที่ทรงประกาศตนเป็นพระพุทธเจ้าด้วยความรู้แจ้ง 3 รอบ 12 อาการนี้ นั่นแหละความรู้แจ้งจริงในวัฏฏะสงสาร ชีวิตมนุษย์ทั้งหลาย ที่ใคร ๆก็ตามรับรู้จากพุทธองค์ มันจะนำไปสู่ความเบื่อหน่าย ความขยะแขยงความรังเกียจ ความหน่ายไม่ต้องการหมกอยู่อีกต่อไป นั่นคือ นิพพิทาญาณ ขึ้นมาถึงขั้นอรหันต์นี้แล้ว
ดังที่พุทธองค์ทรงสรุปในอาทิตตะปริยายะสูตร(แบบที่ทรงสรุปไว้ในพระสูตรก่อน) ไว้ ดังนี้
นิพพินทัง วิรัชชะติ: เมื่อเบื่อหน่ายย่อมสิ้นกำหนัด,
วิราคา วสิมุจจะติ: เพราะสิ้นกำหนัดจิตก็หลุดพ้น,(คำว่าหลุดพ้น คือจิตมันเปลี่ยนไปใหม่ จากดำเป็นขาว ตรงข้ามของเดิม)
วิมุตตัสมิง วิมุตตะมิติ ญาณัง โหติ: เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็รู้ว่าหลุดพ้นแล้ว,
ขีณาชาติ วุสิตัง พรหมจะริยัง กะตัง กะระณียัง นาปะรัง อัตถัตตายาติ ปะชานาตีติ: อริยะสาวกนั้น ย่อมทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำสำเร็จแล้วกิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มี
8.
มาสู่บทสรุปจากอาทิตตะปริยายะสูตร รวมทั้งจากบทก่อน ๆ ดังนี้
1. ธรรมะที่พระพุทธเจ้าแสดงออกมาให้ผู้รับฟังแต่แรกที่สำเร็จพระโพธิญาณแล้วมี 3พระสูตรนี้ ที่แสดงติดต่อกัน ไป พระสูตรแรก กับพระสูตรที่ 2 คือธัมมะจักกัปปะวัตตนะสูตร กับ อนัตตะลักขณะสูตร ทำให้ผู้ฟังสำเร็จอรหันต์ได้ทันทีที่ฟังจบลง 5 องค์
2. พระสูตรที่ 3 อาทิตตะปริยายะสูตร ทรงแสดงแด่ชฎิล 1,000 รูป ฟังจบ สำเร็จอรหันต์ทันที่พร้อม 1,000 รูป เพียงใช้เวลาฟังไม่ถึงชั่วโมงเท่านั้นเอง
ทุกวันนี้ พระสูตรทั้ง 3 ก็ยังมีเนื้อหาครบถ้วนสมบูรณ์อยู่ เพียงศึกษา 3 พระสูตรนี้ให้เข้าใจ ให้รู้แจ้งเท่านั้นเอง ก็สำเร็จอรหันต์ได้
หรือแม้พยายามให้ตื่นตกใจเรื่องความจริงเบื้องต้น ว่า การเกิด นั้น มาสู่ทุกข์ และทุกข์ไปตามลำดับ จนทุกข์ที่สุดคือ แก่ เจ็บ และ ตาย เกิดกับ ตายเป็นของคู่กัน มันเป็นทุกข์ คนทั้งหลายเมื่อต้องตายกันทุกคน ก่อนตายก็แก่ชรา และเจ็บไปกว่าจะสิ้นชีวิตนั้นแสนทุกข์ทรมานกันทุกคน นั้นเป็นอริยสัจธรรมทุกข์เบื้องต้นที่ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะได้รู้แจ้งขึ้นมา จนสำเร็จโสดาบันองค์แรกในพระพุทธศาสนา
แต่ทำไมคนยุคนี้จึงไม่ทำการการศึกษาให้เข้าใจเล่า?
เพียงว่า ให้เข้าใจคำพูดของพระองค์ให้แตกฉาน จริง ๆ จนเกิดปัญญาขึ้น แบบ อุทะปาทิ 5 ประการของพระพุทธเจ้าเท่านั้นเอง ก็สำเร็จอรหันต์ได้ แบบไม่ต้องใช้เวลานานเลย
การที่ได้รู้ขึ้นมานี้ เป็นเรื่องของปัญญาทั้งสิ้น หมายความว่าต้องทำงานทางความคิด เป็นนักคิด ใช้ความคิด พิจารณา ตรึกตรอง หาเหตุ หาผล หาความสอดคล้องระหว่างเหตุและผล ในเชิงการเป็นธรรมชาติอย่างไร
9.
พุทธศาสนาสู่โลกยุคใหม่
ตามที่ทรงแสดงธรรมมา 3พระสูตรนี้ ที่ได้ทำการอธิบายมาทั้งหมดนี้ โดยเน้นเลยว่า การบรรลุมรรคผล นั้นเป็นสิ่งที่จะเป็นขึ่นได้ด้วยปัญญา นั่นเอง เป็นเรื่องของปัญญาทั้งสิ้น ซึ่งเป็นวิธีการบรรลุธรรมแบบคนมีปัญญามีความนึกคิด แบบคนสมัยใหม่ (ที่จริงยุคพุทธองค์นั้นเองหากแต่สืบต่อมาพวกพราหมทิฏฐินำความล้าหลังมาสอดแทรก) หรือ คนยุคไหนก็ตามที่สามารถคิดพิจารณาตรึกตรองหาเหตุหาผลได้โดยการคิดโดยปัญญา โดยวิธีนี้ ไม่จำเป็นต้องไปเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติธรรมอะไรเป็นการเฉพาะแบบถวายชีวิต ทำสมาธิ ฌาน อะไรเลย, ใครๆ ก็ทำได้ ซึ่งนี่แหละที่เรากล่าวนำไว้แล้วว่า การศึกษาธรรมะแบบสมัยใหม่แบบทันยุค, ไม่ล้าหลังเหมือนการปฏิบัติแบบเก่าเดิมมาสักชั่ว 1,000 ปีมานี้, แบบไม่ต้องไปคำนึงเรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญาแบบเดิม ๆ อะไรเลย(เอาแบบปัญญา สมาธิ ศีล ตามที่ท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุว่าไว้ก่อนแล้วนั่นแหละ)
คำนึงอย่างเดียวว่าใช้ความคิด พิจารณา ตรึกตรอง ให้ฉลาดขึ้น ให้มีความฉลาด ไม่ต้องคำนึงว่าตนนับถือศาสนา ลัทธิหรือความเชื่ออะไร อย่างไร เลย ใครๆ ก็ทำได้, คนในชาติศาสนาใด แม้อาชีพ ผู้ทำการงานเลี้ยงชีวิตแบบใดใด ก็สามารถนำไปปฏิบัติและบรรลุได้ ให้ศึกษาด้วยปัญญา จากความจริงในพระสูตรทั้ง 3 พระสูตร ที่ได้แสดงมาจนมีผล ให้บังเกิดขึ้นของพระอริยบุคคลระดับสูงสุดคืออรหันต์ 1,005 องค์ในทันทีทันใดเพียงทรงเทศนาจบลงเท่านั้น นี่เป็นตัวอย่างยืนยันแบบงานวิจัยธรรมะโดยเห็นชัดเจนอยู่แล้ว (ธัมมจักฯ+อนัตตะฯ 5 องค์, อาทิตตะ 1,000 องค์...เพียงแค่ฟังจบก็บรรลุอรหันตภาวะทันทีเลย)
10.
บทสรุป
โดยมาเริ่มศึกษา 3 พระสูตรนี้อย่างจริงๆ จัง ๆ เถิด …ไม่ต้องไปอ่านพระไตรปิฏก 84,000 พระธรรมขันธ์(หรือตั้ง 45เล่ม)ก็ได้ ไม่ต้องไปศึกษาถึงเปรียญ 9 ประโยค, หรือ ปริญญาเอกทางพุทธศาสนาในมหาวิทยาลัยพุทธ, ไม่ต้องขวนขวายใฝ่โลกธรรม, ไปครองยศศักดิ์, เป็นศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัย ก็ได้, เพราะเห็นอยู่แล้วจบเปรียญ 9, ครองยศชั้นตำแหน่งฐานะถึงกรรมการสูงสุดในมหาเถรสมาคม(เป็นถึงสมเด็จยังถูกจับสิกข้อหาเงินทอนวัดตั้ง3รูปเลย...แล้วยังไม่มีแววแห่งหิริโอตตัปปะธรรมออกมาเลย), เป็นศาสตราจารย์ทางพุทธศาสนศึกษาแล้ว ยังไม่มีการบรรลุอะไรเลย, ห่มผ้าไตรเหลืองแต่เหมือนฆราวาสแท้ ๆ, แค่มาศึกษา 3พระสูตรแรกที่ทรงสอน อย่างเข้าใจจริง ๆ นั่นแหละทางที่ถูกต้องอย่างประเสริฐ ก็ด้วยนำสู่การบรรลุอรหันต์ได้ และนั่นแหละเส้นทางแห่งสงครามการสู้รบกับกิเลส ตัณหา อุปาทานอย่างแท้จริง ตามพระธรรมวินัย ที่ค่อยเลื่อนฐานะไปสู่พุทธภูมิไปตามลำดับ 9 ชั้นอริยยศ, อริยศักดิ์, อริยฐานันดร, มาพิจารณาด้วยเหตุด้วยผลแห่งพระธรรมวินัยโดยแท้จริง ละอวิชชาไปเสีย นั่นแหละ ทางเจริญรุ่งเรืองแห่งพระพุทธศาสนายุคนี้ ที่บอกถึงความประเสริฐของศาสนาที่รู้แจ้งสัจธรรมโดยแท้จริง ที่คนทั้งหลายทั้งโลกยุคนี้ได้ประโยชน์ได้รู้แจ้งวิถีทางสู่ความสุขที่พ้นทุกข์อย่างแท้จริงกันทั้งโลก สืบไปตลอดกาลนานนิรันดร.
· Phayap Panyatharo 7 พ.ค.2565 14.30 น.
----
*****
-----
แฟ้ม: อริยสัจข้อที่ 1 ทุกข์. 13สัพพัง อาทิตตัง สรรพสิ่งเป็นของร้อน ในอาทิตตะปริยายสูตร ต้นฉบับ