อริยสัจ 4 ข้อที่ 4 อัฏฐังคิโกมัคโค, มรรค 8, สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม
-----
1.
ที่ทรงตรัสไว้เต็มๆ ว่า ทุกขะนิโรธะคามินี ปฏิปะทา นั่นคือ ข้อปฏิบัติ 8 ข้อที่นำไปสู่ความดับไม่มีเหลือแห่งทุกข์ เป็นอริโย อัฏฐังคิโก มัคโค มรรค 8 อันประเสริฐ
การทำความเข้าใจเรื่อง มรรค 8( อัฏฐังคิโก มัคโค) นี้ ก็โดยเริ่มจากคำว่า “สัมมา” 8 ประการ ที่ทรงตรัสว่าเป็น อริโยอัฏฐังคิโก มัคโค (เส้นทาง8สายอันประเสริฐ) นั่นคือข้อปฏิบัติอันประเสริฐแปดประการเพื่อความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ทั้งสิ้น คือ สัมมาทิฏฐิ(ความเห็นชอบ), สัมมาสังกัปโป(ความดำริชอบ), สัมมากัมมันโต(การงานชอบ), สัมมาวาจา(วาจาชอบ), สัมมาอาชีโว(อาชีพชอบ), สัมมาวายาโม(ความเพียรพยายามชอบ), สัมมาสติ(สติชอบ), สัมมาสมาธิ(สมาธิชอบ), ซึ่งเป็นอันเดียวกับที่ทรงตรัสไว้แต่ต้นแล้วว่าเป็น มัชฌิมาปะฏิปะทา 8 ประการ
ฉะนั้น คำว่า “สัมมา” หรือคำแปลว่า “ ชอบ” :- ความเห็นชอบ, ความดำริชอบ,การงานชอบ, วาจาชอบ),อาชีพชอบ,ความเพียรพยายามชอบ, สติชอบ, สมาธิชอบ,ย่อมหมายถึง ทางปฏิบัติ8ประการที่นำไปสู่มรรคผลนิพพาน นั้นเอง
เพื่อความเข้าใจเรื่องมรรค 8: อริโย อัฏฐังคิโกมัคโค นี้ จึงเขียนอีกคำได้ว่า สัมมา อัฏฐังคิโกมัคโคนั่นเอง หรือ มรรคแปดชอบ, นั่นเอง ซึ่ง “อริโย มัคโค” หมายถึง “สัมมามัคโค” นั่นเอง แปลว่าทางไปสู่ความประเสริฐล้ำเลิศ ที่นำไปสู่ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ และ ตรงกันข้ามกับคำว่า “มิจฉา” : มิจฉา ทิฏฐิ(ความเห็นผิด), มิจฉา สังกัปโป(ความดำริผิด),มิจฉากัมมันโต(การงานผิด), มิจฉา วาจา(วาจาผิด), มิจฉา อาชีโว(อาชีพผิด),มิจฉา วายาโม(ความเพียรพยายามผิด), มิจฉา สติ(สติผิด), มิจฉา สมาธิ(สมาธิผิด),
ซึ่งสิ่งที่เรายังไม่เข้าใจก็คือ มรรค 8 นี้ ไม่ใช่ข้อปฏิบัติของฝ่ายสงฆ์สาวกหรือนักบวชพุทธ หรือคนพุทธ แต่เพียงฝ่ายเดียวเลย หากแต่เป็นของสำหรับคนทั้งหลายทุกวัย ทุกเพศ ทุกเชื้อชาติ ศาสนา ทุกอาชีพการงาน ทุกคนในโลกนี้ โดยหวังผลได้ คือความพ้นทุกข์ ทั้งทุกข์ทางโลกเอง และทุกข์ทางธรรม นั้นคือการมุ่งสู่มรรคผลนิพพานได้ด้วยพร้อมกันนี้เลย
เอาเพียงประการแรก ๆ ก่อน
เรื่อง สัมมาอาชีโว อาชีพชอบ นั้นหมายถึงคนทั้งหลาย ที่มีหน้าที่มีภาระการงานเลี้ยงชีพตนเองทั้งครอบครัว ที่ต้องทำมาหากิน ทำอาชีพการงานเพื่อการเลี้ยงชีวิตตนเองเป็นประจำทุกวัน ทุกเวลานาที อย่างขาดไม่ได้นั้น หากเข้าใจหลักมรรค 8 เข้าใจคำว่า สัมมา หรือ อริโย ก็จะสามารถปฏิบัติงานการประกอบอาชีพเพื่อเลี้ยงชีพไปได้ จนประสบความสำเร็จ และทำความก้าวหน้า สามารถสร้างความร่ำรวย ได้ผลงาน ได้กำไร ได้ผลทางเศรษฐกิจ ได้เป็นถึงข้าราชการงานเมืองสูงสุด ได้ความร่ำรวยระดับเศรษฐีมหาเศรษฐี ตกทอดมรดกไปสู่บุตบริวารได้ โดยหากการประกอบการงานไปแบบมีสัมมา ในทุกอย่าง ก็หมายถึงการบรรลุผลทางเศรษฐกิจอย่างสูงสุดไปพร้อมกันกับมรรคผล นิพพานได้ด้วย
นั่นคือ ให้ระวังการประกอบอาชีพนั้นต้องเป็นอาชีพที่ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ขัดศีลธรรม วัฒนธรรมอันดีของชาติบ้านเมือง โดยการประกอบการงานอาชีพนั้น ต้องคำนึงเรื่องสำคัญที่สุดคือ สัมมาวายาโม ความเพียรพยายามชอบ
นั่นคือ อริโย วายาโม คือ มีความมานะพยายาม หรือความขยันขันแข็ง ไปตามหลักการอริยมรรค อริโยอัฏฐังคิโก นั่นเอง เมื่อมีความขยันขันแข็ง ใฝ่ในการสร้างสรรค์การงานอาชีพให้ก้าวหน้าไปด้วยความดี มุ่งไปสู่เป้าหมายอันเป็นผลกำไร ให้ร่ำรวยให้ได้ด้วยความดี เป็นการปฏิบัติแบบ สัมมา คือ ไปในวิถีทางแห่งมรรคผล นั้นเอง โดยมีหลักการพิจารณา ตามหลัดโอวาทะปาฏิโมกข์3 ประการ คือ ทำชั่วไม่ได้ ทำแต่ความดี และระวังไม่ให้จิตใจตกต่ำบาปและสกปรกจากการทำการงานอาชีพเรานั้นเอง
ซึ่งสิ่งที่เป็นสัจจะที่ต้องรู้ก็คือการปฏิบัติงานด้วยความขยันขันแข็งมีความเพียรชอบ(มี สัมมาวายาโม) นั้นคือความดี แต่หากปฏิบัติงานการอาชีพไปอย่างเกียจคร้านนั่นจะเป็น ความชั่วหรือบาปอกุศล ตามหลักพระพุทธศาสนานั้นเอง และในการวิเคราะห์ประเด็นนี้ ความขี้เกียจนั้นแหละคือตัวความชั่ว ตัวบาป อกุศล และนี่เองคือ ตัวกิเลส ตัณหา และอุปาทาน เหตุแห่งทุกข์ที่คนทั้งหลายมองเมินไปเสีย นั่นเอง
2.
ในการประกอบการงานอาชีพใดก็ตามจึงต้องวิเคราะห์ให้เห็นด้วยปัญญาว่าอะไรคือมารของการทำงานของเรา และจะเห็นนั่นแหละความเกียจคร้าน เป็นมารตัวโตเลยทีเดียว ต้องสังหาร ต้องละเสียให้หมดไปจากใจให้ได้ให้เหลืออยู่แต่ความขยันขันแข็งแต่อย่างเดียวเท่านั้น
นั่นแหละ การขับไล่ ขัดถูความขี้เกียจออกจากใจจึงเป็นการฆ่า การประหารกิเลส ไปจากใจนั้นเอง(ความเกียจคร้านเป็นกิเลสมารตัวโตแต่มันไม่ได้ชื่อว่ากิเลส มาร มันชื่อว่า ความขี้เกียจ เพื่อเอาไปหลอกคนตาบอด)
ผลก็คือ เมื่อขจัดมารขี้เกียจไปได้เกลี้ยงแล้ว ดวงใจเรามีเหลืออยู่แต่สิ่งเดียวกันเท่านั้น คือ ความขยัน พากเพียร ที่มีแต่สร้างอุปนิสัยความขยัน พากเพียร ให้ต่อไปอย่างไม่ท้อถอยลงเลย แล้วในที่สุด เมื่อสังหารสิ่งที่เรียกว่าความขี้เกียจไปหมดจากหัวใจไปแล้ว ก็จักกลายเป็นคนใจใหม่ ที่ไม่มีความขี้เกียจเลยแม้แต่น้อย ในดวงจิตมีแต่ความขยันขันแข็งอย่างเดียว นั่นแหละ อริยะบุคคลละ
และในทางโลก เมื่อมีแต่ความขยัน หมั่นเพียรแบบไม่มีเงื่อนไขเลย ก็ย่อมได้ผลงาน การอาชีพที่ย่อมเพิ่มพูนไป ได้ดีที่สุดและย่อมสร้างผลงาน กำไรผลประโยชน์ ไปสู่ความมั่งคั่ง สมบูรณ์ร่ำรวยได้ และเมื่อทำแต่การงานอาชีพที่ดี ที่ถูกกฎหมาย ถูกวัฒนธรรม(เป็นอาชีพชอบหรือสัมมาอาชีโว) ย่อมนำไปสู่ความสำเร็จทุกอย่าง และเมื่อดวงใจเหลืออยู่แต่เพียงความขยัน ก็เท่ากับการซักฟอกจิตใจให้สะอาด ขัดเกลาความสกปรกไปหมดสิ้นแล้ว นั่นเอง และนั่นแหละ มรรคผลนิพพานละ
อีกนัยยะหนึ่ง ในขณะเดียวกัน จิตใจที่มีแต่ความขยัน ประหาร ขัดล้าง ขัดถู ให้ความขี้เกียจไปหมดสิ้น เมื่อหันเข้าหาการปฏิบัติธรรม สู่เรื่องมรรคผลนิพพานโดยเฉพาะ ก็ย่อมพลันสำเร็จได้โดยง่ายดาย ไวต่อการบรรลุมรรคผลนิพพานได้ทันที โดยเป็นผลบังเกิดขึ้นเองจากการไล่ล้างความขี้เกียจสำเร็จลง มิต่างอะไรจากการปฏิบัติธรรมของพวกพระวิปัสสนากัมมัฏฐาน หรือพระธุดงค์ ที่แบกกลดเข้าป่าแสวงหาความวิเวกเลย หากแต่นี่เป็นความสำเร็จพร้อมกันทั้งฝ่ายโลกและฝ่ายธรรมพร้อมกันได้เลย ที่เหมาะสำหรับคนยุคใหม่โดยแท้จริง เหมาะกับคนทุกชนชั้น ทุกระดับการศึกษา ทุกเพศทุกวัยเลยทีเดียว
3.
นี่คือการวิเคราะห์ด้วยปัญญาที่เล็งเห็นบทบาทของมาร, หรือ กิเลส, ตัณหา, อุปาทาน, ว่าเป็นสิ่งเดียวกันกับคำว่า ความขี้เกียจ หรือความเกียจคร้าน ที่ไม่กระตือรือร้น และเราจะพิศูจน์ได้เมื่อได้ขับไล่ล้างความขี้เกียจไปหมดสิ้นจากดวงใจ มีแต่ความขยันขันแข็งอยู่อย่างเดียว ซึ่งนั่นคือความสำเร็จในการงานอาชีพเรา ถึงความร่ำรวย ถึงสถานะเศรษฐกิจ ที่มั่นคง พร้อมกันกับผลดีทางธรรมะเป็นขณะเดียวกันกับการบรรลุมรรคผลนิพพานนั้นเอง
เพราะฉะนั้น คำว่าสัมมา หรือ ชอบ ในที่นี้ก็ตรงกับบทบาทการกระทำที่เรียกว่า ความขยัน นั่นเอง
จงเอาไปปฏิบัติเถิด เริ่มสอนกันเถิด สอนนักเรียนลูกศิษย์ของท่าน ให้เข้าใจ เห็นความจริงว่า ความขี้เกียจนี่แหละเป็นกิเลส เป็นตัณหา เป็นอุปาทานประจำตัวตนตัวคนมาช้านานแล้ว และความขยัน หรือ (สัมมาวายาโม) ความเพียรชอบนี้ ย่อมเป็นตัวอุดมการณ์หลักของการปฏิบัติมรรค 8 โดยแท้ทุกประการ
เพียงจิตวิเคราะห์ด้วยเหตุและผลก็จะได้พบเองว่า การขาดความขยันไป มีแต่ความขี้เกียจนั้น เท่ากับการพ่ายแพ้กิเลส ตัณหา อุปาทานไปแล้ว ก็จะสามารถบรรลุธรรม มรรคผลนิพพาน ได้อย่างไร ?
ประเด็นสัมมาวายาโม(ความเพียร ความพากเพียรชอบ)จึงเป็น ธรรมะข้อสำคัญที่นำไปสู่การละ การขจัดทิ้งความไม่เหลือแห่งทุกข์, ที่เหมาะกับโลกยุคใหม่ คนยุคใหม่ ที่สามารถปฏิบัติธรรมไปพร้อมการงานอาชีพของตน ในบ้าน ในสถานที่ทำงาน ระบบการงานอาชีพของเราเอง แต่ละคนแต่ละอาชีพ แม้บนเวทีการบันเทิงสุดๆ แห่งกามตัณหาก็ตาม ที่ให้ได้ทั้งโลกียทรัพย์ และอริยทรัพย์ไปพร้อมกันเลยทีเดียว . เมื่อบรรลุความร่ำรวย พร้อมกับการบรรลุดวงจิตที่สะอาดผ่องแผ้วไร้กิเลศ มารความขี้เกียจอยู่อีกเลยแม้ละอองฝุ่นเล็กน้อย นั่นคือ การบรรลุมรรคผลนิพพานทันที
ฉะนั้น อย่ามัวรอช้าเลย จงลุกขึ้นเลี้ยงความขยันขันแข็ง ไล่ล่าสังหารความขี้เกียจให้หมดสิ้นไปจากดวงใจ ไม่นาน ก็จะได้พบดวงจิตอันเข้มแข็งสุดสะอาด และสว่างนุ่มนวลขึ้นมาแทน นั่นเอง (สัมมาวายาโม) ความเพียรชอบ นำมาแล้วซึ่งการละเสียซึ่งเหตุแห่งทุกข์ทุกประการ แล้วได้ดวงใจใหม่ที่สุดแสนประเสริฐล้ำเลิศเข้ามาแทนทันที นั่นแหละมรรคผลนิพพานละ.
· Phayap Panyatharo
27 เม.ย. 2565 17.030 น.
…..
*****
-----
…..
*****
-----