ReadyPlanet.com
dot dot
bulletBUDDHISM to the NEW WORLD ERA
bullet1.Thai-ไทย
bullet2.English-อังกฤษ
bullet3.China-จีน
bullet4.Hindi-อินเดีย
bullet5.Russia-รัสเซีย
bullet6.Arab-อาหรับ
bullet7.Indonesia-อินโดนีเซีย
bullet8.Japan-ญี่ปุ่น
bullet9.Italy-อิตาลี
bullet10.France-ฝรั่งเศส
bullet11.Germany-เยอรมัน
bullet12.Africa-อาฟริกา
bullet13.Azerbaijan-อาเซอร์ไบจัน
bullet14.Bosnian-บอสเนีย
bullet15.Cambodia-เขมร
bullet16.Finland-ฟินแลนด์
bullet17.Greek-กรีก
bullet18.Hebrew-ฮีบรู
bullet19.Hungary-ฮังการี
bullet20.Iceland-ไอซ์แลนด์
bullet21.Ireland-ไอร์แลนด์
bullet22.Java-ชวา
bullet23.Korea-เกาหลี
bullet24.Latin-ละติน
bullet25.Loa-ลาว
bullet26.Luxemberg-ลักเซมเบิร์ก
bullet27.Malaysia-มาเลย์
bullet28.Mongolia-มองโกเลีย
bullet29.Nepal-เนปาล
bullet30.Norway-นอรเวย์
bullet31.persian-เปอร์เซีย
bullet32.โปแลนด์-Poland
bullet33.Portugal- โปตุเกตุ
bullet34.Romania-โรมาเนีย
bullet35.Serbian-เซอร์เบีย
bullet36.Spain-สเปน
bullet37.Srilanga-สิงหล,ศรีลังกา
bullet38.Sweden-สวีเดน
bullet39.Tamil-ทมิฬ
bullet40.Turkey-ตุรกี
bullet41.Ukrain-ยูเครน
bullet42.Uzbekistan-อุสเบกิสถาน
bullet43.Vietnam-เวียดนาม
bullet44.Mynma-พม่า
bullet45.Galicia กาลิเซียน
bullet46.Kazakh คาซัค
bullet47.Kurdish เคิร์ด
bullet48. Croatian โครเอเซีย
bullet49.Czech เช็ก
bullet50.Samoa ซามัว
bullet51.Nederlands ดัตช์
bullet52 Turkmen เติร์กเมน
bullet53.PunJabi ปัญจาบ
bullet54.Hmong ม้ง
bullet55.Macedonian มาซิโดเนีย
bullet56.Malagasy มาลากาซี
bullet57.Latvian ลัตเวีย
bullet58.Lithuanian ลิทัวเนีย
bullet59.Wales เวลล์
bullet60.Sloveniana สโลวัค
bullet61.Sindhi สินธี
bullet62.Estonia เอสโทเนีย
bullet63. Hawaiian ฮาวาย
bullet64.Philippines ฟิลิปปินส์
bullet65.Gongni-กงกนี
bullet66.Guarani-กวารานี
bullet67.Kanada-กันนาดา
bullet68.Gaelic Scots-เกลิกสกอต
bullet69.Crio-คริโอ
bullet70.Corsica-คอร์สิกา
bullet71.คาตาลัน
bullet72.Kinya Rwanda-คินยารวันดา
bullet73.Kirkish-คีร์กิช
bullet74.Gujarat-คุชราด
bullet75.Quesua-เคซัว
bullet76.Kurdish Kurmansi)-เคิร์ด(กุรมันซี)
bullet77.Kosa-โคซา
bullet78.Georgia-จอร์เจีย
bullet79.Chinese(Simplified)-จีน(ตัวย่อ)
bullet80.Chicheva-ชิเชวา
bullet81.Sona-โซนา
bullet82.Tsonga-ซองกา
bullet83.Cebuano-ซีบัวโน
bullet84.Shunda-ชุนดา
bullet85.Zulu-ซูลู
bullet85.Zulu-ซูลู
bullet86.Sesotho-เซโซโท
bullet87.NorthernSaizotho-ไซโซโทเหนือ
bullet88.Somali-โซมาลี
bullet89.History-ประวัติศาสตร์
bullet90.Divehi-ดิเวฮิ
bullet91.Denmark-เดนมาร์ก
bullet92.Dogry-โดกรี
bullet93.Telugu-เตลูกู
bullet94.bis-ทวิ
bullet95.Tajik-ทาจิก
bullet96.Tatar-ทาทาร์
bullet97.Tigrinya-ทีกรินยา
bullet98.check-เชค
bullet99.Mambara-มัมบารา
bullet100.Bulgaria-บัลแกเรีย
bullet101.Basque-บาสก์
bullet102.Bengal-เบงกอล
bullet103.Belarus-เบลารุส
bullet104.Pashto-พาชตู
bullet105.Fritian-ฟริเชียน
bullet106.Bhojpuri-โภชปุรี
bullet107.Manipur(Manifuri)-มณีปุระ(มณิฟูรี)
bullet108.Maltese-มัลทีส
bullet109.Marathi-มาราฐี
bullet110.Malayalum-มาลายาลัม
bullet111.Micho-มิโช
bullet112.Maori-เมารี
bullet113.Maithili-ไมถิลี
bullet114.Yidsdish-ยิดดิช
bullet115.Euroba-ยูโรบา
bullet116.Lingala-ลิงกาลา
bullet117.Lukanda-ลูกันดา
bullet118.Slovenia-สโลวีเนีย
bullet119.Swahili-สวาฮิลี
bullet120.Sanskrit-สันสกฤต
bullet121.history107-history107
bullet122.Amharic-อัมฮาริก
bullet123.Assam-อัสสัม
bullet124.Armenia-อาร์เมเนีย
bullet125.Igbo-อิกโบ
bullet126.History115-ประวัติ 115
bullet127.history117-ประวัติ117
bullet128.Ilogano-อีโลกาโน
bullet129.Eve-อีเว
bullet130.Uighur-อุยกูร์
bullet131.Uradu-อูรดู
bullet132.Esperanto-เอสเปอแรนโต
bullet133.Albania-แอลเบเนีย
bullet134.Odia(Oriya)-โอเดีย(โอริยา)
bullet135.Oromo-โอโรโม
bullet136.Omara-โอมารา
bullet137.Huasha-ฮัวซา
bullet138.Haitian Creole-เฮติครีโอล
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี
bulletMystery World Report รายงานการศึกษาโลกลี้ลับ
bulletสารบาญโหราศาสตร์
bulletหลักโหราศาสตร์ว่าด้วยดวงกำเนิดและดวงฤกษ์รวมคำตอบคลี่คลายปัญหาข้อข้องใจเกี่ยวกับการทำนายชะตาชีวิต
bulletทุกความคิดเห็นจากเวบนี้(เริ่ม ก.พ.55)
bulletประชาธิปไตยเท่านั้น1
bulletประชาธิปไตยเท่านั้น 11
bulletทุกความคิดเห็นจากหน้า1(ก่อน ก.พ.55)
bulletทุกความคิดเห็นจากเวบบอร์ด(ถึงก.พ.55)
bulletภาค 11
bulletภาค 12
bullet54.Hmong ม้ง
bullet133.แอลเบเนีย
bullet133.แอลเบเนีย
bulletหน้าที่เก็บไว้




99..อริยสัจธรรมแห่งชีวิต บทที่ 1 2 3 4 5 Please translateto your language by Google translate

 

99..อริยสัจธรรมแห่งชีวิต บทที่ 1 2 3 4 5 Please translateto your language by Google translate   แก้ไขลบ
 
 

 

 

 

 

 99..อริยสัจธรรมแห่งชีวิต บทที่ 1 2 3 4 5 Please  translateto your language by Google translate

 

อริยสัจธรรมแห่งชีวิต 

-----

บทที่ 1  เราคือตัวตน และตัวตนเป็นธรรมชาติ

บทที่ 2  อริยสัจ 4 เป็นความรู้ของผู้ที่เรียกตนว่าเป็น พระพุทธเจ้า 

บทที่ ไม่ผ่านกามตัณหาก็สำเร็จอรหันต์ไม่ได้  

บทที่ โลกที่แสนตกต่ำยุคโควิด19นั้นแหละการเรียนรู้ทุกขอริยสัจอย่างสุดยอดเยี่ยมของการเรียนรู้  

บทที่ 5  เรื่องชีวิตจบลงตามแบบตามรอยพระพุทธเจ้า รอบ12 อาการ  เป็นทางเดียวเท่านั้น ทางอื่นไม่มี   

-----

 

อริยสัจธรรมแห่งชีวิต  :

บทที่ 1  เราคือตัวตน และตัวตนเป็นธรรมชาติ

-----

เรา(ตัวตนของเรา มนุษย์เรา) คือผลผลิตของธรรมชาติ  ธรรมชาติสร้างมา

ให้มีร่างกาย ส่วนของโครงกระดูก  เนื้อหนัง  อวัยวะต่างๆ มาวันนี้มากกว่าปัญจักขันธา(ที่พวกพระป่ามักเรียกว่าขันธ์5นั้นเอง)  นับร้อย นับพัน นับหมื่นอวัยวะ ตามการค้นพบวิจัยฝ่ายการแพทย์ยุคใหม่นี้

และส่วนของจิตใจ  ความรู้สึกนึกคิด ความหยาก ความกระหายอาหารต่างๆ

เป็นเราขึ้นมาตั้งแต่หลุดออกมาจากท้อง จากครรภ์มารดานั้นเลย ตั้งแต่เป็นทารกอยู่

เมื่อเป็นเราขึ้นมา สิ่งที่คู่กันมาก็คือความหิว นั่นเอง หิวอาหารต่างๆ จึงต้องกิน ต้องใช้ต้องหาอาหารมากิน หาสิ่งของมาใช้ หาที่อยู่ที่หลับที่นอนหายารักษาโรค

และทั้งหาอะไรมาโอ้อวดกัน ให้ได้คำสรรเสริญเยิรยอ สรรเสริญกันไปกันใหญ่

เป็นอยู่เช่นนี้ตั้งแต่เกิดมาจนตายไป

สิ่งที่เป็นปัญหาของเราเอง หรือของมนุษย์ทั้งหลายนั้น มีส่วนที่เกิดจากใจนั่นเอง  เพราะเรามีใจ มีจิตมีวิญญาณ มีความนึกความคิดมีจินตนาการ ความใฝ่ฝัน

ที่แตกต่างจากสัตว์พืชที่ไม่มีใจ  ไม่มีจิตวิญญาณ

และนี่แหละธรรมชาติสร้างให้เป็นพิเศษ  ที่มีใจมีจิตที่รู้จักคิด  เมื่อเจอปัญหาต่างๆใจก็รู้จักคิด

คิดหาทางแก้ปัญหา  คิดหาทางสนองความหยากมีอยากได้ อยากสบาย คิดสร้างอะไรๆที่ใหม่ๆขึ้นมา

นั่นก็คือมีเรื่องพื้นฐานคือ  อาหารเลี้ยงชีพ  เรื่องที่อยู่อาศัยหลับนอนสบาย  กันภัยอันตราย  เรื่องเครื่องแต่งกายให้พ้นร้อนพ้นหนาว แล้วเลยไปเป็นเครื่องประดับ นำไปสู่การโอ้อวดความสวยความงามกามารมณ์กันไป  เรื่องยารักษาโรค เป็นธรรมชาติอย่างนี้ตั้งแต่เกิดจนตายไป

ธรรมชาติสร้างให้มีเราเกิดขึ้นมา  มีมนุษย์คนแรกขึ้นมาแล้ว ก็มีความหิวโหยอาหารการกินทั้ง อาหารและน้ำจำเป็นต้องมีกิน ไม่มีอาหารการกินก็ไม่มีชีวิตอยู่ได้  ต้องดิ้นรนเพื่อการอยู่การกินไปตลอดชีวิต  เมื่อมีกิน มีดื่ม  มีใช้ ก็มีชีวิตไปเรื่อยๆ มีสุขมีทุกข์สลับกันไป ๆ และแก่เฒ่าแล้วเจ็บป่วยและตายไปทุก ๆคนๆ นั้นแหละทุกข์

สิ่งที่ธรรมชาติกำหนดวิถีทางของคน ก็เป็นอย่างนี้เอง

คือเกิดมาเป็นคนก็หิว ก็หากินหาใช้ หาอยู่ ไป หายหิวก็หยุดพัก พอหิวก็หากินอีก อิ่มแล้วก็หิวเช่นนี้ เป็นธรรมชาติ  เป็นแบบนี้เอง   จนคนรู้จักหากินหาใช้ พออยู่พอกินมีชีวิตได้ตลอดไป แล้วก็แก่ลง เจ็บป่วยแล้วตายไป

คราวนี้เนื่องจากมีการเกิด คนเราก็มีมันสมองพิเศษ ต่างไปจากสัตว์

คนจึงเริ่มคิด มีการศึกษาขึ้นมา

ยุคแรก ๆของคนนั้น ก็เป็นคนป่าคนเถื่อน ไม่ต่างจากสัตว์ หรือพันธุกรรมหนึ่ง  พอเจริญขึ้นมามีความคิดปัญญาขึ้นมาเรื่อยๆ จากการรู้จักศึกษาวิจัย

มาระยะหนึ่งคนก็ถามตนเองขึ้นมาว่า  คนเรามาจากไหน?  โลกมาจากไหน ใครเป็นคนสร้างโลก?  จึงมีความคิดกันไปต่างๆในเรื่องคำตอบนี้

จนที่สุดก็มีความคิดว่ามีเทพยดา ตั้งแต่พระอาทิตย์พระจันทร์ พระอังคาร พระศุกร  และดวงดาวเทพเจ้าต่างๆ ประจำราศีแบบโหราศาสตร์เป็นเทพดาหมด แล้วที่สุดก็ไปคิดว่าพระเจ้าองค์สำคัญเป็นผู้สร้างโลก คนก็เริ่มหวาดกลัวในสิ่งที่ไม่รู้  เริ่มการบูชาพระเจ้าขึ้นมา  มองว่าเป็นผู้มีอำนาจช่วยให้พ้นภัยอันตราย  ให้เกิดความร่ำรวยมั่งมีศรีสุขอย่างไรก็ได้ จึงเกิดเป็นลัทธิความเชื่อขึ้นมา มีศาสนาพราหมณ์ ฮินดูขึ้นมาก่อน  มีพระอิศวร - นารายณ์ พระพรหม ขึ้นมา  ว่าเป็นผู้สร้างโลก คุ้มครองโลก ป้องกันโลกมนุษย์เรานี้ให้พ้นภัยอันตรายพ้นความพินาศ

เรื่องผู้สร้างโลกนี้

ต่อมาก็ยังมีพระเจ้า 2 องค์เกิดขึ้นมา อยู่มาถึงทุกวันนี้ คือ พระยะโฮวาห์ กับพระเจ้าอัลเลาะห์  

ส่วนพระพุทธศาสนานั้น เนื่องจากพระบรมศาสดา ผู้ทรงเป็นมนุษย์คนหนึ่ง  ผู้ทรงสร้างศาสนาพุทธขึ้นมา  เริ่มจากทรงได้อุทิศตนไปบวชเพื่อไปศึกษาวิจัยเรื่องชีวิตมนุษย์  อยู่ในป่าถึง 6 ปีจึงได้พบความจริงเรื่องมนุษย์ เรื่องโลก  เป็นความจริง  4 ประการ ที่ไม่ใช่เรื่องพระเจ้าสร้างโลก เช่นที่คิดกันมาก่อน

แต่เป็นความจริงเรื่องโลกและมนุษย์  ว่าเป็นเรื่อง  ทุกข์อริยสัจ  คือ ความจริงเกี่ยวกับ ทุกข์ เกี่ยวกับการเกิดมาเป็นคนนั่นเอง

โดยได้พบความจริง  4 ประการดังนี้

1. ทุกขัง อะริยะสัจจัง  สัจธรรมของทุกข์

ประการแรกว่า  ทุกข์อริยสัจ  ความจริงเกี่ยวกับ ทุกข์   เอาว่า  ทุกข์คือความยากลำบาก  ความแก่ ความเจ็บ และความตายเอาเท่านี้ก่อน สิ่งที่ทรงค้นพบก็คือ  ทุกข์ของชีวิตทั้งหลาย มาพร้อมกับการเกิด เป็นคนหรือเป็นอะไรก็ตาม

โดยทรงพบว่าคนทั้งหลายนั้นมีการเกิดมาแล้วสิ่งที่ได้พบขณะมีชีวิตอยู่ไปจนตายก็คือสิ่งเดียวนี้เท่านั้น คือ ทุกข์

ทุกข์ เป็นสิ่งที่ชีวิต และสรรพสิ่ง ในโลกแม้โลกเราเองพบอยู่ เผชิญอยู่ ตลอดเวลา  ตั้งแต่เกิดจนตาย

จึงทรงนิยามได้ว่า  เกิดมาแล้วก็พบแต่ทุกข์ เป็นการเกิด เพื่อทุกข์ ทุกข์มาพร้อมกับการเกิด  หรือ  การมีโลกที่เป็นทุกข์ นั้นเอง   นี่เป็นการค้นพบของพระพุทธเจ้า  แม้เป็นความจริงตามธรรมชาติ  แต่ไม่มีใครพบมาก่อน

จะเห็นว่า  มันเป็นธรรมชาติธรรมดาเช่นนี้เอง จึงเรียกว่าเป็นธรรมชาติ

สิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ค้นพบก็คือ  พบว่าชีวิตเรา เป็นไปตามธรรมชาติการเกิด การเป็นอยู่ เป็นไปของชีวิตไปจนถึงการแก่ชราลงไปการเจ็บ และการตาย เป็นธรรมชาติไม่ได้มีการดลบันดาลอย่างไรจากเทพเจ้าเลย

และสิ่งที่พระองค์ทรงค้นพบก็คือ  ทรงพบเรื่อง  ทุกข์ ทรงพบอย่างน่าตื่นเต้นตกใจในเรื่องทุกข์เลยทีเดียว เพราะทรงพบว่า ทุกข์เป็นธรรมชาติสำหรับ ไม่เฉพาะมนุษย์เท่านั้น แม้วัตถุ ทั้งหลาย  พืชพันธุ์ไม้  โลกทั้งโลก จักรวาลทั้งจักรวาล  สรรพสิ่งล้วนเป็นทุกข์  ไม่มีอะไรสิ่งใดเลยที่ไม่ทุกข์

แม้พระเจ้ายะโฮวา หรือ อัลเลาะห์  ผู้สร้างโลก ก็ไม่พ้นทุกข์เลย

จึงทรงตรัสว่า  ความจริงคือการเกิด หรือการเป็นขึ้นมาเป็นตัวตน ประกอบด้วย รูปธรรม นามธรรมทั้งหลาย มนุษย์ อมนุษย์

แล้ว การเกิดก็นำมาพร้อมกับ ทุกข์

อะไรเกิดมาก็พบทุกข์ทุกสิ่งทุกอย่าง

และนั่นคือสัจธรรมว่าด้วยทุกข์เป็นสิ่งที่ครอบครองโลกและสรรพสิ่ง

ทุกข์จึงเป็นปัญหาของคนเรา และทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นทุกข์

และทรงพบว่า ทุกข์มาพร้อมกับการเกิด  และครั้นตายไปแล้วก็หาได้พ้นทุกข์ไม่ หากต้องมีการเกิดมาใหม่อีกเสมอไป  หรือ เกิดเป็นอะไรๆ ก็ตาม ทรงพบว่าตายแล้วก็เกิดใหม่   ตาย  - เกิด   เกิด-ตาย  เป็นวงรอบอยู่เช่นนี้สำหรับคนเราและสรรพสิ่ง

และเมื่อเกิดแล้ว สิ่งที่พบก็คือ ทุกข์เสมอไป  เป็นวัฏฏะสงสาร  ไม่ว่าเกิดกี่ครั้ง กี่รอบ เกิดมาก็พบทุกข์เสมอไปเลย

การเกิดจึงเป็นการมาพบทุกข์   เกิดกับ ทุกข์ เป็นของคู่กัน  ดุจดั่งอันเดียวกัน  มานับล้านๆปีมาแล้ว

2.  ทุกขะสมุทะโย อะริยะสัจจัง   สัจธรรมเรื่องเหตุของทุกข์

พุทธองค์จึงทรงศึกษาวิจัย จนพบต่อไปอีกว่า  อะไรคือเหตุให้มีการเกิดไม่รู้จบ   เกิดกับ ทุกข์ เป็นอันเดียวกันแท้ ๆ

ก็ทรงได้พบอริยสัจหรือความจริงเกี่ยวกับสาเหตุหรือตัวเหตุการเกิดเป็นทุกข์   อะไรเป็นตัวเหตุของการเกิดมาทุกข์   ทำอย่างไรจะไม่มีการเกิดมาพบทุกข์อีก ?

ก็ทรงพบความจริงอันสุดลึกลับลึกซึ้งที่ไม่มีผู้ใดพบมาก่อนเลย  นั่นคือ มีตัณหา3 ประการ คือความอยาก 3 ประการมีอยู่ในจิตใจของมนุษย์  นั่นคือ 

 (1)  กามตัณหา ความรักความใคร่ความพิศวาสระหว่างเพศชาย-หญิงนั่นเอง แล้วมีโลภะ ไม่รู้จักพอ กลายเป็นการกระทำบาปไปเรื่อยๆกว่าจะตายลง

 (2)  ภะวะตัณหา  ความอยากมีอยากได้ในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข หรือ วัตถุทั้งหลายนั้นเอง มีโลภะในเรื่องนี้ ไม่รู้จักพอไม่รู้จักอิ่ม จึงทำบาปไปเรื่อย ๆจนกว่าจะตายลงไป

 (3)  วิภวะตัณหา  ความไม่ได้มีไม่ได้เป็นในภวะตัณหานั้นเองทำให้ทุกข์ใหญ่โต กลายเป็นการแสวงหาด้วยการเอารัดเอาเปรียบ ด้วยอวิชชา สร้างความบาปขึ้นในจิตใจมาตลอดจนตายลงไปพร้อมจิตที่เต็มไปด้วยความบาป

ตัณหาทั้ง 3 อย่างนี้แหละ ที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบ  เป็นสิ่งที่พบจากการวิจัยของพระองค์อย่างละเอียดลึกซึ้ง เรื่องทำอย่างไรจึงจะพ้นทุกข์ พ้นจากการเกิดใหม่เสียได้นั่นเอง ทรงวิจัยอยู่ถึง 6 ปีกลายเป็นสัจธรรม ความรู้ที่ล้ำเลิศประเสริฐยิ่ง ที่นำคนทั้งหลายลัดไปพ้นจากทุกข์ ไปสู่โลกที่แสนสุดประเสริฐ ที่รู้กันว่า โลกนิพพานในพระพุทธศาสนานั้นเอง และบุคคลก็มีฐานะสูงส่งเป็นอริยบุคคล ขึ้นมาแทนปุถุชน นั้นเอง  

กล่าวคือ

ทรงพบว่ามีสิ่งที่ทำให้เกิดอีก เกิดมาใหม่ก็เหมือนเดิมแต่เก่า คือมาพบทุกข์ไปอีกตลอดชีวิต  พบทุกข์ไปตลอดชีวิตนั้นก็คือ ตัณหา 3 อย่างก็ยังมีอยู่นั่นเอง  มีในจิตใจของมนุษย์นั้นเอง  คือ

ประการที่ 1  กามตัณหา  ความหยากความใคร่ในอารมณ์จิตที่คิดพิศวาสด้วยราคะตัณหานั้นเอง  ทางกามสุขัลลิกานุโยค นั้นเอง  

ประการที่ 2   ภวะตัณหา ความอยากมั่งมีร่ำรวย  แสวงหาทรัพย์สมบัติเงินทอง ชื่อเสียง ยศถาบรรดาศักดิ์ การสรรเสริญเยิรยอ   ยิ่งได้ยิ่งมีโลภะ โทสะไม่รู้หยุดหย่อน แม้ได้ภูเขาเป็นทองคำแล้ว ก็ยังหยากได้ต่อไปอีกนี่แหละ ภะวะตัณหา  และรวมแล้วเรื่องการใฝ่ใน โลกธรรม 8ประการนั้นลาภ ยศ  สรรเสริญ สุขนั้นเองไม่รู้จักพอ   และ

ประการที่ 3  วิภวะตัณหา  หากไม่มีลาภ ยศ  สรรเสริญ สุข ความมีความเป็นเสียแล้วก็เป็นทุกข์หนักพยายามแสวงหามาให้ได้ไม่หยุดหย่อนแม้กระทำการผิดกฎหมายกฎเกณฑ์ใดใด แม้ผิดศีลธรรม ก็ยอมทำผิด

นี่แหละตัณหาทั้ง 3ประการนี้  สะสมคับคั่งในดวงจิต มนุษย์ จึงมีแต่ก่อกรรมทำให้เกิดทุกข์ ไม่มีวันหลุดพ้นไปได้ทำให้ไม่มีสติ  ไม่มีสมาธิ ตายแล้วก็มาเกิดใหม่นับอนันตชาติข้างหน้าเพราะก่อนตายในดวงใจมีแต่ตัณหาทั้ง 3 อยู่เต็มไปหมด

3.  ทุกขะนิโรโธ  อริยะสัจจัง  ทุกขะนิโรธ  ความดับในจิตใจ

ดังที่ทรงพบในอริยสัจธรรม ประการที่ 3 คือ ทุกขนิโรธ  สภาวะความดับในดวงจิตของเรา  โดยทรงพบว่าเมื่อทรงสละละทิ้งตัณหาทั้ง 3ประการให้หมดสิ้นไปจากใจแล้ว  ความละตัณหาทิ้งได้ ทำให้เกิด นิโรธ คือสภาวะความดับเกิดขึ้นในจิตใจ เป็นผลต่อจิตใจคือสิ่งที่ทรงตรัสว่า  นิโรธ นั้นเองคือสภาวะที่จิตสะอาด ปราศจากกิเลสตัณหา อุปาทานหมดสิ้นไปเป็นการปรับจิตใจเดิมไปสู่สภาวะใหม่เอี่ยมอ่อง  ไปสู่ความพ้นทุกข์ เป็นที่ที่ตายไปแล้วไปสู่ความพ้นทุกข์  ไม่มีการกลับมาเกิดอีก(โปโนภพวิกา)และที่พระอริยเจ้าทั้งหลายเรียกว่านิพพาน  นั้นเอง

นี่แหละเป็นการบรรลุอันเป็นผลจากการฆ่ากิเลสตัณหา อุปาทาน ได้หมดแบบเกลี้ยงเกลาไปเลยจากจิตใจของเรา  นั้นเอง  และใครคนใด ชาติศาสนาใดก็ตามสามารถทำได้เช่นนี้แล้ว สามารถสังหารกิเลสได้หมดจากใจแล้ว ก็จะมาพบสภาวะดวงจิตประเสริฐ อุปมาเหมือนพบโลกใหม่ โลกที่พ้นทุกข์พ้นปัญหาไปได้ทุกอย่างคือโลกประเสริฐ นิพพานนั่นเอง ได้ทุกคนๆ ผู้กระทำได้

4.  ทุกขะนิโรธะคามินี  ปะฏิปะทา  อะริยะสัจจัง  ข้อปฏิบัติที่นำไปสู่ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์

และสัจธรรมประการที่ 4 คือทางปฏิบัติให้พ้นทุกข์ คือ  ทุกขะ นิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง หรือที่เราคุ้นกันว่า มรรค 8 ซึ่งมาจากการที่ทรงค้นพบใหม่นั้นเอง  และ ทรงพบว่ามี 8 ประการคือ

1. สัมมาทิฏฐิ  ความเห็นชอบ  อย่าไปเชื่อว่าจะมีใครทำอะไรให้เราได้ต้องพบความจริงว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน อย่าคิดเรื่องการดลบันดาลของเทพ เทวดา พญานาค พญางู แม้ พระเจ้า  ตนต้องทำเอาเองทุกสิ่งทุกอย่างแม้การแสวงหาความหลุดพ้นก็ต้องทำเอาเองจึงจะสำเร็จมรรคผลนิพพานได้

2. สัมมาสังกัปโป ความดำริชอบ การคิด การตรองการตรึกอะไรให้ ดำริในการใฝ่ศึกษาอริยสัจ 4 ของพุทธองค์  ไปให้ได้จนกว่าจะบังเกิดดวงตาสว่างไสว รู้แจ้งอริยสัจ 4 ขึ้นมา บรรลุมรรคผลนิพพานได้

3. สัมมาวาจา  วาจาชอบ  จง ใช้วาจาเป็นสายสัมพันธ์แห่งไมตรีจิต  เชื่อมสายใยแห่งการตลาดการงานอาชีพให้รุ่งเรืองด้วยการคบคนดีเป็นมิตรการใช้วาจาทรงคุณค่าให้ความรู้อริยสัจธรรม  นำสัจธรรมไปสู่มิตรร่วมโลกโดยตลอด

4. สัมมากัมมันตะ การงานชอบ ไม่ใฝ่หาการงานที่เลี้ยงกิเลส ตัณหา อุปาทาน ให้เป็นงานที่บริสุทธิ์ปราศจากความโลภ  โกรธ  หลง และการงานนั้นเพิ่มการสร้างสังคมผู้ดี ผู้ใกล้ชิดรอบตัวเรา  ให้พร้อมเจริญไปด้วยกันในทางสู่ความรู้ สติปัญญาทางการพ้นทุกข์  รู้แจ้งสัจธรรมแห่งชีวิตจนสิ้นความสงสัยใดใด

5. สัมมาอาชีโว  อาชีพชอบ  ทำอาชีพเลี้ยงตนเองแบบบริสุทธิ  ตามธรรมชาติของชีวิต  ให้อยู่มีชีวิตทำกิจกรรมแห่งความดีไปได้ ตราบบรรลุมรรคผลนิพพาน แม้อาชีพนั้น ทำความสำเร็จร่ำรวย กิจการค้า ก้าวหน้าเจริญไปไม่หยุด ก็ด้วยความดีไม่หยุด ก้าวหน้าในความดีไปเรื่อย ๆ ทำอาชีพให้สำเร็จร่ำรวยไปเรื่อย ๆ พร้อมมรรคผลนิพพานนั้นด้วยความดีนั่นเอง

6.  สัมมาวายาโม  ความเพียรพยายามชอบ อย่าให้ความขี้เกียจครอบครองจิตใจ  ไล่ละฆ่ามารขี้เกียจเท่ากับล้างตัณหาจากใจได้เลยทีเดียว เมื่อใดดวงจิตชำระสิ้นความเกียจคร้านแล้ว นั้นแหละการชำระกิเลสนั่นเอง  ใจมีแต่ความขยันพากเพียรอย่างเดียว นั่นแหละการบรรลุมรรคผลนิพพาน สู่ความพ้นทุกข์แห่งโลกใหม่

7. สัมมาสติ  สติชอบ  รู้ปัจจุบัน  อดีตนำมาสู่ปัจจุบัน  ปัจจุบันนำไปสู่อนาคต  ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด  นำสติมาสู่ มารู้การกระทำของตน ณ นาทีนี้ วินาทีนี้ ทำถูกทำผิด รู้ตัวตลอด  นั่นแหละคือ ความไม่ประมาทแล้ว  ย่อมได้กระทำแต่ความดีทุกวัน ทุกนาทีวินาที แห่งชีวิต  แล้วนั้นแหละทางมรรคผลนิพพาน

8. สัมมาสมาธิ  สมาธิชอบ  เพิ่มพลังจิตด้วยสัมมาสมาธิ กล้าหาญในการต่อสู้กับกิเลส ตัณหา อุปาทาน  คบคนดี  ห่างไกลคนชั่ว  สร้างสังคมคนกล้าหาญขึ้นสู้กับกิเลส ตัณหา อุปาทาน และการบรรลุมรรคผลพร้อมกันเป็นหมู่เป็นพวก

อริยสัจธรรมโลกใหม่ที่ทรงวิจัยค้นพบ คือทุกข์ (อริยสัจธรรมข้อที่1) เป็นผลสรุปสุดท้ายของชีวิต ก็ คือ ความไม่เกิดอีก  ทรงพบว่า ภายหลังขัดเกลากิเลส ไล่ล้างตัณหา กาม  ภวะ  วิภวะ ตัณหา ไปหมดสิ้นจากใจแล้ว(ตามที่ทรงพบในอริยสัจข้อ 2) มีผลเกิดขึ้นต่อจิตใจแบบตรงข้ามของเดิม เดิมสกปรกกลายเป็นสะอาด เดิมขุ่นมัว เป็นสดใสสว่าง เดิมรุ่มร้อนกลายเป็นเย็น  สิ่งที่เหลือในจิตใจใหม่ โลกใหม่ ก็จะเป็น ความว่างเปล่าที่ไร้ขอบเขตเกิดขึ้นภายในดวงใจใหม่นั้นเอง  จึงเสมือนการหลุดพ้นจากโลกดิมไปสู่โลกใหม่อีกโลกหนึ่ง คือ โลกนิพพานขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นเอง และนั่นแหละมรรคผลนิพพานละ (ตามสัจธรรมข้อที่ 3 นิโรธ)  

เป็นเรื่องของการศึกษาวิจัยชีวิตมนุษย์อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ งานวิจัย เรื่องเหตุและผลสำหรับคนยุคใหม่โดยแท้จริงและนั่นแหละการรู้ความจริง ความจริง 4 ประการที่พุทธองค์ทรงตรัสรู้  ด้วยปัญญา การตรึกการตรอง หาเหตุและผลแห่งโลกนิพพาน หรือความจริงที่แท้จริง  ดวงใจใหม่ที่ล้วนสะอาด บริสุทธิ์ เสมือนทำความสะอาดดวงใจเก่าที่สกปรกให้สะอาดขึ้นเป็นใจใหม่และไม่มีอะไรเลย ที่ว่างเปล่า ไร้ขอบเขต นั่นแหละเหตุและผลแห่งโลกนิพพาน ที่พ้นทุกข์ พ้นจากการเกิดอีก น่าง่ายสำหรับคนยุคใหม่ ยุคเสรีชนคนวิทยาศาสตร์โดยแท้จริง.

-----

*****

-----

อริยสัจธรรมแห่งชีวิต  :

บทที่ 2  อริยสัจ 4 เป็นความรู้ของผู้ที่เรียกตนว่าเป็น พระพุทธเจ้า 

-----

เหตุผล?  เมื่อเราถามขึ้นว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร?

คำตอบว่า พระเจ้าตรัสรู้อริยสัจ 4 นั่นเป็นคำตอบที่ถูกต้องแล้ว  เพราะพระองค์ทรงบอกเอง  บอกปัญจวัคคีย์คราวแสดงพระปฐมเทศนาโปรดพวกเขาว่า  หากไม่ทรงรู้แจ้งเรื่องอริยสัจ 4 แล้ว ผ่านการพิศูจน์ทดลองวิจัยมาแล้ว  จะไม่ทรงประกาศตนเป็นพระพุทธเจ้า

โดยย่อก็คือ  ทรงรู้ความจริงเกี่ยวกับ ทุกข์   รู้แบบเป็นสัจธรรมที่ทอดความสัมพันธ์ไปสู่อีก 3 ประการ  เป็นอริยสัจ 4 ประการเกี่ยวข้องกัน   คือความจริงที่มีเพียงอย่างนี้  อย่างอื่น ไม่ใช่  ตามที่ทรงประกาศว่า

                ทุกข์  เป็นเรื่องจริง  ที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อน ไม่เคยมีใครพบมาก่อน ทรงพบทรงรู้ความจริงนี้เป็นคนแรก

                สมุทัย เหตุแห่งทุกข์    เป็นเรื่องจริง  ที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อน ไม่เคยมีใครพบมาก่อน ทรงพบทรงรู้ความจริงนี้เป็นคนแรก

                นิโรธ  ความดับ  เป็นเรื่องจริง  ที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อน ไม่เคยมีใครพบมาก่อน ทรงพบทรงรู้ความจริงนี้เป็นคนแรก

มรรค  ทางปฏิบัติสู่ความพ้น                ทุกข์  เป็นเรื่องจริง  ที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อน ไม่เคยมีใครพบมาก่อน ทรงพบทรงรู้ความจริงนี้เป็นคนแรก

เร่ามาวิเคราะห์ ก็จะเห็นว่า ตรงนี้ พอเห็นได้เลยว่า เหมือนงานวิจัยยุควิทยาศาสตร์ยุคใหม่เรานี้เอง  คือในคืนวันตรัสรู้ วันเพ็ญ เดือน หก นั้นคืนนั้นทรงรู้ว่าทุกข์คืออะไร  สมุทัยคืออะไร  นิโรธ คืออะไร มรรคคืออะไร...แบบที่ไม่เคยมีใครรู้อย่างนี้มาก่อนเลย และทรงมั่นใจว่าเป็นความจริง ตามที่บอกปัญจวัคคีย์ว่าเป็น.....  อริยสัจจันติ เม ภิกฺขเว   ภิกษุทั้งหลายนี่เป็นสัจธรรมนะ  แล้ว  ....ก็ทรงศึกษาวิจัยต่อไปอีก ไม่ใช่จบลงในคืนนั้น    ที่เราทราบว่า  ทรงนั่งต่อไปที่ต้นโพธิ์นั้นไปจนครบ 7 วันไม่ลุกไปไหนเลย   แล้วย้ายไปนั่นใต้ต้นไทรต่อไปอีก 7 วัน   แล้วย้ายต่อไปนั่งใต้ต้นจิกอีก 7วัน แล้วย้ายต่อไปต้นเกตุอีก7 วัน   แล้วทรงกลับไปนั่งต้นโพธิ์ อีกจน รวม 49 วันนี้  ที่บอกเราว่า ทรงวิจัยสัจธรรม 4 ประการต่อไป จนทรงรู้แจ้งหมดความสงสัยและหมดความลังเลใจที่จะประกาศพระองค์ว่าทรงเป็นพระพุทธเจ้า  บัดนี้มีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่เกิดขึ้นมาแล้ว

ก็ที่ทรงตรัสเรื่อง 3 รอบ  12 อาการนั้นเอง คือ 3 รอบ สำหรับแต่ละอริยสัจ รวม 4 อริยสัจ ก็เป็น  12 รอบ 12 อาการ

 (คำว่า อาการ เป็นคำแปล ที่กำกวม บาลีว่า

-----

-----

ยาวะกีวัญจะ   เม   ภิกขะเว   อิเมสุ   จะตูสุ   อะริยะสัจเจสุ

เอวันติปริวัฏฏัง   ทวาทะสาการัง    ยะถาภูตัง   ญาณะทัสสะนัง  นะ  สุวิสุทธัง อะโหสิฯ

เนวะ  ตาวาหัง  ภิกขะเว  สะเทวะเก  โลเก  สะมาระเก  สะพรัหมะเก    สัสสะมะณะพรามหมะณิยา   ปะชายะ  สะเทวะมะนุสสายะ   อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง  อะภิสัมพุทโธ   ปัจจัญญาสิงฯ

-----

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ปัญญาอันรู้ตามความเป็นจริงอย่างไร ในอริยสัจ 4 เหล่านี้ของเรา ซึ่งมีรอบ 3 มีอาการ 12อย่างนี้ ยังไม่หมดจดเพียงใดแล้ว

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  เราจะยืนยันตนว่าเป็นผู้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะปัญญาเครื่องตรัสรู้ชอบ  ไม่มีความตรัสรู้อื่นยิ่งกว่าโลก เป็นไปพร้อมกับเทวดา มาร พรหม ในหมู่สัตว์  ทั้งในสมณพราหมณ์ เทวดา มนุษย์ไม่ได้เพียงนั้น)

--***--

ยะโต   จะ  โข  เม  ภิกขะเว  อิเมสุ   จะตูสุ   อะริยะสัจเจสุ

เอวันติปริวัฏฏัง    ทวาทะสาการัง    ยะถาภูตัง   ญาณะทัสสะนัง  นะ  สุวิสุทธัง   อะโหสิ ฯ

อะถาหัง   ภิกขะเว  สะเทวะเก  โลเก  สะมาระเก  สะพรัหมะเก    สัสสะมะณะพรามหมะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ   อะนุตตะรัง   สัมมา สัมโพธิง   อะภิสัมพุทโธ   ปัจจัญญาสิง ฯ

-----

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดแล  ปัญญาอันเห็นตามเป็นจริงอย่างไร ในอริยสัจ 4 เหล่านี้ของเรา ซึ่งมีรอบ 3 มีอาการ 12อย่างนี้ หมดจดดีแล้ว

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  เมื่อนั้น เราจึงได้ยืนยันตนว่าเป็นผู้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะซึ่งปัญญา เครื่องตรัสรู้ชอบ  ไม่มีความตรัสรู้อื่นยิ่งกว่าในโลก  เป็นไปพร้อมกับเทวดา มาร พรหม ในหมู่สัตว์  ทั้งในสมณพราหมณ์ เทพยดา  มนุษย์)

-----

-----

นั้นเอง     ที่บอกว่านั่นคือหลักการวิจัยยุคใหม่นี้เอง (มี 1.สมมุตติฐาน- 2.เก็บข้อมูลมาพิศูจน์ ทดลอง ตรวจสอบความจริง-3. สรุปผล) ดูพระองค์ ทรงค้นพบและวิจัยอริยสัจ 4 ใช้เวลาถึง 49 วัน   ก็เพื่อรู้ตามพระองค์ไปแบบง่าย ๆ  ก็เพื่อบรรลุอรหันต์ไปเลยง่าย ๆ  ก็ขออธิบาย ตามลำดับ  3 รอบ 12 อาการของพระองค์  ดังต่อไปนี้

1. ทุกข์   ทรงวิจัยไปตามลำดับตามที่ทรงตรัสให้ปัญจวัคคีย์ฟัง

1.1.  เป็นความรู้ที่ไม่ทรงได้เคยฟังมาก่อน  ว่านี่เป็น  ทุกขอริยสัจ …..  อริยสัจจันติ เม ภิกขเว..... (นี่เป็นสัจธรรมอันประเสริฐเลยนะภิกขุทั้งหลาย) ..    คือไม่ผิดไปจากที่พระองค์สอน  ที่ผิดไปจากที่พระองค์สอนก็ไม่ใช่สัจจะ ก็พาปฏิบัติผิดไป   เมื่อไม่ใช่สัจจะ ก็ไม่พาไปพ้นทุกข์ได้

1.2  ทรงตรัสว่า   ก็ทุกข์อริยสัจนี้นั้นเองเป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้(คำแปลว่า กำหนดรู้ ให้ความหมายกำกวม) ในเชิงงานวิจัย จึงสามารถทำความเข้าใจได้  ให้ความหมายว่า คำว่ากำหนดรู้นี้แหละหมายถึงทรงวิจัยต่อมาอีก 49 วัน เพื่อหาเหตุหาผล พิศูจน์ให้ชัดเจนว่าเป็นอริยสัจธรรมจริง ๆ  ….ปะรัญเญย ยันติ เม  ภิกขะเว......(ภิกขุ ท. ก็ทุกข์อริยสัจนี้นั้นแล ควรกำหนดรู้)......  นั่นคือ  เรื่องทุกข์นี้ขอให้ตามศึกษา พิศูจน์ วิจัย ให้รู้จริง ๆ นั่นเอง

1.3   แล้วก็ทรงพบจากการพิศูจน์ทดลองความรู้จริงแล้ว   นั่นหมายความว่า  ทรงสรุปผลการวิจัยออกมาได้  ยืนยันเป็นอริยสัจ คือเป็นความจริงของชีวิต  ของโลก  วัฏฏะสงสาร  ที่พระองค์ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน  พระองค์เป็นคนค้นพบความจริงนี้เป็นคนแรก.....ปะริญญา ตันติเม ภิกขะเว.....(ภิกขูท.ก็ทุกข์อริยสัจนี้นั้นแล เราได้กำหนดรู้แล้ว).....ทรงค้นพบทุกข์คืออะไร ทุกข์ นี่แหละครอบโลก ครอบมนุษย์ ครอบเราทั้งหลายอยู่ แบบที่เราไม่รู้ มนุษย์ทั้งหลายไม่รู้ ถูกครอบด้วยอวิชชา ...จึงทรงจะให้รู้เพื่อประโยชน์ความพ้นทุกข์  มีสุขนิรันดรนั่นเอง

โดยสรุปของพระองค์เอง  เพียงแต่เข้าใจทุกข์  รู้แจ้งทุกข์อย่างสมบูรณ์ ตามลำดับที่ทรงสอนนับแต่ธัมมจักกัปปะวัตตนะสูตร,  อนัตตะลักขณะสูตร,  และอาทิตตะปริยายสูตร,  3 พระสูตรแรกที่ทรงสอนติดต่อกัน  ที่ยังผลให้ผู้ฟังบรรลุอรหันต์พลันที่แสดงธรรมจบลง ถึง 1005 องค์พร้อมกันนั้นเอง....แม้สมัยนี้เองยิ่งน่าให้ผลเร็วกว่านั้นเองอีก  เนื่องเพราะสติปัญญา นั้นเอง  ทรงยืนยันว่าทรงตรัสรู้ด้วยสติปัญญาไม่ใช่ ทรมานกายแบบทุกกรกริยาเลย   จึงขอเพียงเกิดปัญญารู้แจ้งทุกข์เท่านั้นก็สำเร็จอรหันต์ได้ และคนยุคนี้ทรงความรู้สติปัญญาไม่ยิ่งหย่อนกว่าคนยุคพระพุทธเจ้าเลย  เพียงใช้ปัญญาคิด ดำริตามไปเท่านั้น  ฟังธรรมบทเดียวกับยุคทรงแสดงปฐมเทศนา แล้วก็บรรลุผลแบบเดียวกันได้  ฟังจบ ลุอรหันต์ทันทีได้โดยฟังเรื่องอริยสัจ 4 ให้รู้เข้าใจแบบทะลุปรุโปร่ง  ฟังจบเกิดนิพพิทาญาณ ไล่ตัณหาไปจากใจ  ก็บรรลุอรหันต์ได้ทันทีเช่นเดียวกัน

และที่นำมาอธิบายนี้ ก็โปรดอ่านให้เข้าใจไปเลย มีสิทธิลุมรรคผลได้

2.  ทุกขสมุทัย  ทรงรู้เหตุแห่งทุกข์คืออะไร ?   ...ตรงนี้หมายความว่า ต้องรู้ก่อนว่า ทุกข์คืออะไร ....ค่อยมาถามต่อว่าเหตุแห่งทุกข์นั้นคืออะไร.....  คือมองแบบ สัจจะ  คือ ตัณหา 3 ประการ  กามตัณหา   ภวะตัณหา  วิภวะตัณหา

2.1  ทรงรู้สัจธรรม เหตุแห่งทุกข์แล้ว  ตั้งแต่วันตรัสรู้ ...อริยสัจจันติ เม ภิกขะเว... ....(นี่เป็นสัจธรรมอันประเสริฐเลยนะภิกขุทั้งหลาย) ..

                2.2  ทรงเอาไปพิศูจน์ เชิงปัญญาวิจัย ต่อไปอีก 49วัน   ตามที่ ทรงตรัสว่า  .....ปะหาตัพพันติ เม ภิกขะเว.....(ภิกขุ ท.นี่ทุกข์สมุทัยอริยสัจ นี้แลควรละเสีย).....ตัญหานั้นต้องประหารเสียให้หมดสิ้นไปจากใจของเรา

2.3  ทรงทบทวนตรวจสอบพระองค์เองอยู่ 49 วัน จึงยืนยันได้ว่า ทรงละเสียซึ่งตัณหา3 ประการ ไปได้หมดไม่เหลือเลยแล้ว ....ปะนันติ เม ภิกขะเว.....(ภิกขุ ท. นี่ทุกขสมุทัยอริยสัจนี้แล เราละได้แล้ว) ......ทรงประหารตัณหาเสร็จไปหมดไม่มีเหลือแล้ว

นี่เป็นวิทยาศาสตร์การวิจัยนั่นเอง  เพราะเมื่อรู้เหตุ  ทำลายเหตุแล้ว  ก็ไปสู่ผลเองโดยอัตโนมัต  และนั่นคือนิโรธอริยสัจข้อที่ 3

ที่นี้ประเด็นคือ การประหารกิเลสตัณหา3 ตัวตนนั้น  ทรงตรัสบอกต่อมาในพระสูตรต่อมาคือ อะนัตตะลักขณะสูตร  และเน้นลงไปใน อาทิตตะปะริยายะสูตร  ว่า  โดยการใช้วิชชา  สติ  ปัญญา(จักขุง,  ญาณ,  ปัญญา,  วิชชา,  อาโลโก) พิเคราะห์พิจารณาให้รู้สัจธรรม(แบบให้รู้ ให้ตื่น ให้เบิกบาน หรือ enlightenment นั้นเอง)แล้ว รู้ทั่วทะลุปรุโปร่งไม่สงสัยอะไรอีกแล้ว ก็ย่อมบรรลุมรรคผลถึงสูงสุด คืออรหัตตผลเลยทีเดียว....และหยุดโลกลงได้เลยทีเดียวแบบไม่ล่าช้าเลย

ตรงนี้สำคัญมากทางปฏิบัติ

.....  หากไม่แล้ว ก็จะยาก และไปใช้วิธีอื่น ที่จะต้องอดทนทรมาน ยากลำบากและเนิ่นนาน โดยต้องเดินตามมรรคทั้ง  8 โดยเฉพาะหลักสัมมาสมาธิ โดยวางพื้นฐานการปฏิบัติ ทาง ทาน  ศีล สมาธิ ปัญญาแบบคนธรรมดาๆ หรือพระนักบวชธรรมดา ๆ   ก็จะยากต้องใช้ความพยายาม และความทรหดอดทน ไปเป็นปี หลายปี  แม้กระทั่งหลายชาติ ไปเลย  ฉะนั้น เอาวิธีทางปัญญาจะเร็วกว่าและมีประสิทธิภาพมากเลย โดยดูให้เข้าใจให้รู้จริง ๆ ถึงวิธีที่พระองค์ทรงโปรดสอนให้รู้ในเรื่องอริยสัจ 4 ให้ได้ ดังจะพบเหตุผลว่า เหตุใดจึงสามารถบรรลุอรหันต์ได้พลันทันทีง่าย ๆ ก็เพราะเมื่อได้รู้แจ้งทุกข์อริยสัจ ครบถ้วนทะลุปรุโปร่งแล้ว ผลคือนิพพิทาญาณ(ความเบื่อหน่ายไร้จิตยินดีหลงใหลในโลกจะเกิดขึ้นจะเกิดขึ้นอย่างแรง และนิพพิทาญาณนี้เองจะชำระกิเส ตัณหา อุปาทานได้พลันทันทีไปเลย  นั้นแหละรู้เรื่องชั่วเรื่องเลวแล้วชำระใจให้สดในสว่างไปได้ทันทีก็บรรลุอรหันต์ได้โดยวิธีนี้ นี่แหละผู้มีประสบการณ์มาแล้วดีแล้วประสงค์ให้ได้รู้อริยสัจธรรมจริง ๆ ไปคว้าเอาเถอะซึ่งรางวัลแห่งชีวิตที่เมื่อถึงแล้วจึงจะรู้คุณค่าอันสุดแสนประเสริฐสุดบรรยายไปเลย

3.  ทุกขะนิโรธะอริยสัจ

ทรงรู้ว่าทรงเข้าสู่สภาวะนิโรธ  โดยการปรากฎที่ใจ แล้วทันทีทันใด ตั้งแต่ทรงประหารกิเลสตัณหาอุปาทานสิ้นไปหมด ซึ่งนี่เป็นตัวอย่างสัจธรรม ให้คนทั้งหลายทราบว่า   เช่นเดียวกันกับคนทั้งหลายชาติ ศาสนาใดเพศใดวัยใด ก็ตาม  หากสามารถละตัณหา 3 ประการได้แล้ว ก็เข้าสู่นิโรธได้เองโดยอัตโนมัติ  และนั่นคือ มรรคผลนิพพาน ระดับ อรหันต์ เลยทีเดียว

                3.1  ทรงเข้าสู่ภาวะนิโรธ ทรงรู้ว่านิโรธ คืออะไร (คือภาวะทางจิตที่ทรงคุณค่าล้ำเลิศ ประเสริฐแก่ชีวิต แด่คนทั้งหลายตั้งแต่วันตรัสรู้แล้ว.....อริยสัจจันติ เม ภิกขะเว....(นี่เป็นสัจธรรมอันประเสริฐเลยนะภิกขุทั้งหลาย) ..  รู้สัจธรรมว่าด้วย นิโรธ  คือพูดผิดไปจากนี้ สภาวะนี้ แล้วไม่ใช่ความจริง  เป็นนิโรธปลอม  หรือ  อรหันเก๊นั่นเอง

                3.2 และนี่แหละก็ทรงเอาไปวิจัยต่อ จากวันตรัสรู้ ไปอีกถึง  49 วัน  ...สัจฉิกาตัพพันติ เมภิกขะเว .....(นี่ทุกขนิโรธอริยสัจนี้นั้นแล ควรทำให้แจ้ง)......เพื่อตรวจสอบยืนยันความจริงสิ่งที่พระองค์ได้พบ

                3.3  ก็ทรงรู้แจ้งยืนยันได้ว่า  นิโรธ  คือแดน มรรคผล นิพพาน  สำหรับพระอริยบุคคลอรหันต์โดยแท้จริง ...สัจฉิกะตันติ เม ภิกขะเว.....(นี่ทุกขนิโรธอริยสัจนั้นแล  อันเราได้ทำให้แจ้งแล้ว)......  เสมือนโลกอีกโลกหนึ่งที่พ้นทุกข์ไป ตามลำดับขั้น ชั้นของอริยบุคคล นับแต่ โสดาปัตติมรรค  โสดาปัตติผล  สกทาคามิมรรค  สกทาคามิผล  อนาคามิมรรค  อนาคามิผล  อรหัตตมรรค อรหัตตะผลลุถึงระดับ พุทธะ ที่สิ้นปัญหาโดยสิ้นเชิง  นั่นคือ โลกุตตระ

4.  ทุกขะนิโรธะคามินี  ปะฏิปะทา

                4.1  ทรงรู้จักทางปฏิบัติเพื่อความปฏิบัติที่ถูกต้องไปสู่ความพ้นทุกข์ ตั้งแต่วันตรัสรู้แล้ว.....อริยสัจจันติ เม ภิกขะเว…....(นี่เป็นสัจธรรมอันประเสริฐเลยนะภิกขุทั้งหลาย) ..

                4.2   ทรงเอาไปพิจาณาต่อไปอีก  อย่างละเอียดอ่อน  เพราะเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น   (ไม่เกี่ยวกับพระองค์เท่าไร แต่เอาพระองค์เป็นแบบอย่าง)  จึงทรงพิจารณาต่อไป อีก 49 วัน .... ภาเวตัพพันติ เมภิกขะเว.....(ภิกขุ ท. ก็ทุกขนิโรธคามินี ปฏิปทาอริยสัจนั้นแลควรทำให้เจริญ)..... . ทรงพบทาง8ทาง เป็นทางถูกทางจริง หากไม่ใช่ทางนี้  ก็ไปไม่ถึง นิพพาน

                4.3  ทรงพิจารณาเสร็จแล้ว  ได้ทางปฏิบัติ 8 ประการ  คือ สัมมาทิฏฐิ,  สัมมาสังกัปโป,  สัมมาวาจา,   สัมมาอาชีโว,  สัมมากัมมันโต,   สัมมาวายาโม,   สัมมาสติ,   สัมมาสมาธิ,  ..... ภาวิตันติ เม ภิกขะว......(ภิกขุท. (ก็ทุกขนิโรธคามินี ปฏิปทาอริยะสัจนั้นแล อันเราเจริญแล้ว )...

ครบ 3 รอบ 12 อาการ การปฏิบัติธรรมขององค์พระเจ้าชายสิทธัตถะก่อนบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า

นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับ  ความจริง  หรือสัจธรรมความจริงของชีวิตเราทั้งหลาย  และกรณีนี้ เป็นสัจธรรมที่ทรงคุณค่า ให้ประโยชน์แบบที่โลกไม่มีอย่างนี้เลย  จึงยกเป็น สัจธรรมชั้นสูง  และเรียกติดปากว่า  อริยสัจ   อริยสัจ 4  ...(มีคำว่า อริยะ ) ซึ่งความหมายอยู่ที่คำว่า  สัจจะ ความจริง  นั้นเอง  เมื่ออ้างว่า นี่เป็นอริยสัจ  ก็หมายความว่าเป็นความจริง หากผิดไปจากนี้ก็ไม่ใช่ความจริง  เมื่อปฏิบัติไปไม่ตรงความจริง  ก็ไม่อาจจะบรรลุอรหันต์ได้  อย่างเช่นคุณไม่เข้าใจความจริงเรื่อง สัมมาทิฏฐิ  ที่บอกสัจธรรมว่า ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน  แล้วคุณไปอ้อนวอนเทพเจ้า  หรือ พระเจ้าองค์ใดก็ตาม นี้มันขัดความจริงนี้  คุณก็ไม่สามารถจะอ้อนวอนใครให้ช่วยคุณบรรลุมรรคผลนิพพาน เป็นอริยบุคคล โสดา ถึง อรหันต์ได้  ซึ่งคุณยังไม่เข้าใจเหตุผลเชิงวิทยาศาสตร์ด้วยซ้ำ  ก็ยาก  ...เพราะประพฤติตนไม่ถูกความจริง นั่นเอง   

ตัวอย่างจริงๆ ก็คือพระองค์เอง   ทรงตรัสว่าคนเรา  แม้พระองค์เอง  ต้องสังหารตัณหาทั้ง3ประการหมดสิ้นไปก่อนแล้วจะส่งผลเองถึงนิโรธ  คือนิพพพานมรรคผลระดับอรหันต์ได้   แม้พระพุทธเจ้าเอง ก็ทรงปฏิบัติไปตรงความจริงนี้ ผิดไปไม่ได้ ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า อย่างที่ทรงตรัสบอกปัญจวัคคีย์ไปว่า เรื่องตัณหาทั้ง 3 นี้  ทรงรู้แล้วว่ามันเป็นเหตุของทุกข์ และทรงรู้ต่อไปอีกว่า ต้องสังหารตัณหาให้สิ้นไปหมด  แล้วที่สุดก็ทรงพบว่าทรงประหารตัณหาสิ้นไปหมดแล้ว   ทรงมาทบทวนวิจัย ต่อมา49 วัน จึงพบว่า  นี่เป็นอริยสัจธรรม คือ ความจริง  ที่ต้องปฏิบัติไปให้ตรงอริยสัจธรรม  ตรงความจริงนี้ จึงจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ แม้ทรงเป็นพระพุทธเจ้าได้

เมื่อเราได้รู้ความจริงของอริยสัจ4 มาอย่างที่รู้ว่าเป็นความจริงอันแสนดีเลิศประเสริฐ แก่ชีวิตทั้งหลายเพื่อชีวิตได้พบความประเสริฐพ้นทุกข์นิรันดร พบเหตุ พบผลที่สัมพันธ์กัน พบหนทางเดินไปสู่โลกประเสริฐนั้น แล้ว

แน่ละ นี่เป็นข่าวอันประเสริฐแน่นอน

สรุปก็คือ การบรรลุมรรคผลนิพพานน่าไม่ใช่เรื่องยากเลยสำหรับคนยุคนี้ ยุควิทยาศาสตร์ที่สามารถไปถึงดวสงจันทร์ คิดสร้างโลกใหม่มาอีก  เป็นเรื่องของศาสนาพุทธที่ชื่อก็บอกเองว่า  เป็นเรื่องของความรู้ (พุทธะ = ผู้รู้)  ขอให้รู้จักใช้ความรู้สติปัญญา โดยใช้สติปัญญา พิจารณาหาเหตุและผล หาความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันระหว่างเหตุและผล  แบบนักการศึกษาในโรงเรียนในมหาวิทยาลัยนั้นเอง  มีระบบ ทำเป็นระบบ เป็นชั้นเรียนทีละมากๆ  ทั้งโรงเรียน ทั้งโลก  หรือในโรงงานต่างๆ  ให้ได้สติความนึกคิดอยู่ในใจเรื่องอริยสัจ 4 ไปตลอด ก็ได้  มีการพิศูจน์ โดยเอาเราเองเป็นตัวอย่างการพิศูจน์เสมอไป

ข้อควรทราบ

อริยสัจ4 นี้ แท้จริง  เป็นเพียงอริยสัจ 1  ไม่ใช่อริยสัจ 4  เพราะเป็นความจริงเรื่องทุกข์  ว่าด้วยทุกข์ทั้งหมดเลย  ไม่มีอะไรนอกจากทุกข์  ไม่มีอะไรเกิดนอกจากทุกข์เกิด  ไม่มีอะไรตายนอกจากทุกข์ตาย นี้เป็นความรู้แจ้งทุกข์สูงสุด นำความคิดมาถึงตรงนี้ให้ได้

เพียงเรารู้เรื่องทุกข์อย่างเดียวก่อน เท่านั้นเอง  เพียงรู้แบบที่ท่านอัญญาโกณฑัญญะรู้เท่านั้น คือ  คำ 2 คำนี้

คำแรกคือ  การเกิด ...สมุทะยะธัมมัง  และ

คำที่ 2 คือ การตาย...นิโรธธัมมัง  

เราแยกให้เห็นสัจจะ 2 คำนี้ คือ เกิด  กับ  ตาย   ตัวบทที่ท่านเข้าใจเองมีบาลี-คำแปลว่า

ยังกิญจิ  สะมุทะยะธัมมัง  สัพพันตัง  นิโรธะธัมมัง   สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา  สิ่งนั้นทั้งปวง ก็ต้องดับสลายไปเป็นธรรมดา

คำแปลซึ่ง กำกวมอีกเช่นเคย ของนักแปล คนและ สถาบันแปลไทย ที่ต้องแปลให้ถูกสัจธรรม  นั่นคือ  ประธานของประโยค  ต้องเป็น ตัวเดียวกัน  ความหมายเดียวกัน ...คนไทยจะฟังไม่ค่อยเข้าใจจึงขอแยกให้เข้าใจสัจธรรม 2 คำนี้ คือ  การเกิด: สมุทะยะธัมมัง  และ การตาย:  นิโรธธัมมัง   อันเป็นเบื้องต้นของการเข้าใจอริยสัจเรื่อง ทุกข์ ระดับโสดาบันนั้นเอง   หากจะเข้าใจเลยระดับนี้  ต้องเข้าใจคำว่ากำกวมนั้น  คือคำว่า   ยังกิญจิ  กับคำว่า สัพพันตัง  ...ที่นักแปล ๆ ไม่ถูก  อันแสดงว่านักแปล  ก็แสนจะห่างไกลอริยะภาวะ แม้อริยบุคคลโสดาบัน  เพราะแปลแบบไม่ตรงสัจธรรม ทำความสับสนให้คนทั้งหลาย นำคนทั้งหลายห่างไปจากสัจธรรมอันกลาย เป็นการบาปจริง ๆ (มีท่านผู้รู้ภาษาไทยวิเคราะห์ว่า พวกเรียนเปรียญธรรมที่มีหน้าที่เล่าเรียนการแปลบาลีเป็นไทย  แต่ไม่เรียนวิชาภาษาไทยเลย  ผลการแปลเห็นได้ว่าสอบตกภาษาไทยไปถึงเปรียญ 9  ก็แปลกมากบ้าหรือเปล่าเพราะการแปลมันต้องรู้ต้องเก่งทั้ง 2 ภาษาจึงจะแปลได้ถูกต้อง  ท่านจะเห็นทั่วไปเลยเช่นการแปลนิทานธรรมะ  ที่แสนสนุก  แต่ฟังเขาแปลออกมา กลายเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่ายที่สุด ....จนไม่มีคนพูดถึงนิทานธรรมะเลย  แล้วก็แปลมั่วไปหมดแบบนี้แหละเสียสถาบันหมดเลย)   

บทจบข้อควรพิจารณา

ประเด็นคือ รู้พิจารณาว่านี่คือทุกข์  แล้วมองความสัมพันธ์กัน มีเกิด แล้วก็มีตาย   มันมาพร้อมกันเสมอไปและเป็นสัจธรรม  คือ จริงอย่างนี้ไม่เป็นอื่นไปได้ และนี่แหละทุกข์ ....และหมั่นมองเราเอง ว่า เกิดมาแล้ว  วันนี้แก่แล้วยัง   เจ็บแล้วยัง   ถึงแม้ว่ายังเด็กอยู่  ยังหนุ่มอยู่ แต่ให้รู้จักคิดไปล่วงหน้าและระแวงระวังไปได้ล่วงหน้าเป็นอุปนิสัยเลย  นั้นเท่ากับสำเร็จโสดาบันแบบท่านอัญญาโกณฑัญญะเลย และให้ได้ตรงนี้ก่อนแล้ว  ความคิดสติปัญญาก็จะนำต่อไปเอง นำไปวิจัยต่อ  ปฏิบัติต่อในขั้นสูงขึ้นไปเอง  เข้า อริยสัจข้อต่อไปเอง  เข้าสกทาคามี  อนาคามี ก็จะเอาจริงขึ้นจนที่สุดถึง อรหันต์ได้แน่นอน  ....เพียงการคิด สติปัญญา  ให้มีการตรองตรึกนึกถึงสัจธรรมทั้ง 4 อย่างนึกไปตามแบบพระพุทธเจ้าท่านพิศูจน์ทดลองมานั้นเอง ก็ฟังคำของพระองค์ตรัสแก่ปัญจวัคคีย์ ว่าพระองค์บรรลุมาด้วย    จักขุงอุทะปาทิ,   ญานังอุทะปาทิ,  วิชชาอุทะปาทิ,  ปัญญาอุทะปาทิ,  อาโลกโกอุทะปาทิ  คือทั้ง 5 อุทะปาทินี้ไปเน้นความหมายของปัญญา นั้นเอง  ให้ใช้ปัญญาคิดไตร่ตรองดูตลอด  และพากเพียรไปไม่รู้หยุดลง จนรู้แจ้งสว่างขึ้นก็สำเร็จ   อย่าทิ้งไปเลย หากทิ้งไปบ้างก็กลับมาคิดใหม่ ๆ  ทำตรงนี้ไปพร้อมกับ ทำการงานอาชีพเราไปแบบสัมมาอาชีวะ,  แบบสัมมากัมมันโต,  แบบมีสัมมาวายาโม มีความพากเพียรไม่รู้หยุดหย่อนไล่ล่ากิเสความเกียจคร้านให้หมดจากหัวใจ   ตลอดเลยนั้นแหละ  ให้ร่ำรวยไปแบบนี้ นั้นแหละแต่อย่าลืมเอาเรื่องอริยสัจ 4 มาทบทวนอยู่ตลอเดเวลา ว่างเมื่อไรคิด ๆ ๆ แต่เรื่องอริยสัจ 4   ไม่นานทำได้อย่างนี้ ไม่พ้น จากอรหันต์มรรคอรหันผลได้แน่นอน ...เตือนตนเองบอกตนเองว่า  อริยสัจ 4 เป็นความรู้ของผู้ที่เรียกตนเองว่าพระพุทธเจ้า  ไม่ใช่เรื่องธรรมดา ๆ เลย  มันคือรางวัลแห่งชีวิต ที่ล้ำเลิศไปกว่ารางวัลใดใด สุดประเสริฐเลิศเลอเหลือค่าจะประมาณได้  และ  พ้นทุกข์ สู่ความสุขนิรันดรเมื่อตายไปก็สู่โลกนิพพาน ร่วมโลกกับพระอรหันต์  พระพุทธเจ้าทั้งหลายไปเลย (คือร่วมโลกกับความว่าง ไม่มีอะไรเลย....แต่นั่นแหละ  เป็นเรื่องยากที่คนธรรมดาจะเข้าใจได้...เอาว่านั่นคือ โลกุตตระ โลกที่เหนือโลกนั่นเอง ก็แล้วกัน )

-----                

*****
-----

อริยสัจธรรมแห่งชีวิต  :

บทที่ 3 ไม่ผ่านกามตัณหาก็สำเร็จอรหันต์ไม่ได้  

-----

ทุกข์ นั้น   โลกของเรานั้น  ชีวิตเรา ชีวิตทั้งหลายนั้น  สรรพสิ่งทั้งหลายนั้น   เป็นผลผลิตของธรรมชาติ  แห่ง  อนิจจัง คือธรรมชาติของความไม่เที่ยงแห่งชีวิตสังขาร  ความไม่ยั่งยืน   ความไม่คงอยู่ตลอดไป  ความไม่อมตะ   มีแต่การเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา  และไปทางเดียวเท่านั้นเองคือไปสู่ความเสื่อมสลายลงไปเรื่อย ๆจนในที่สุดไปสู่ปลายทางคือความตาย หรือความวอดวาย พินาสน์ ของคนทั้งหลายและสรรพสิ่ง  ต้องรู้ว่านี่เป็นเช่นนี้เองโดยธรรมชาติ

ทุกข์ นั้น   โลกของเรานั้น  ชีวิตเรา ชีวิตทั้งหลายนั้น  สรรพสิ่งทั้งหลายนั้น   เป็นผลผลิตของธรรมชาติ  แห่ง  อนัตตา  คือธรรมชาติของความไม่เที่ยงแห่งชีวิตสังขาร  ความไม่ยั่งยืน   ความไม่คงอยู่ตลอดไป  ความไม่อมตะ   มีแต่การเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา  และไปทางเดียวเท่านั้นเองคือไปสู่ความเสื่อมสลายลงไปเรื่อย ๆจนในที่สุดไปสู่ปลายทางคือความตาย หรือความวอดวาย พินาสน์ ของคนทั้งหลายและสรรพสิ่ง  ต้องรู้ว่านี่เป็นเช่นนี้เองโดยธรรมชาติ

นั้นก็เพราะธรรมชาติเป็นเจ้าของ ของสรรพสิ่งนั้นเองที่เราไม่สามารถสั่งธรรมชาติให้เป็นไปตามใจตามความต้องการของเราได้เลย    เช่นเราสั่งให้เราอย่าอาพาธ อย่าป่วย  จงหายป่วย  เราก็สั่งไม่ได้   สั่งอย่าให้กูแก่เลย  เราก็สั่งไม่ได้   สั่งอย่าให้กูตายเลย  ก็สั่งไม่ได้  นั้นมันสั่งเขาไม่ได้   มีแต่เขาสั่งเราให้เป็นไปตามระบบของเขา   นั่นคือสั่งไว้แล้ว มึงต้องแก่  มึงต้องเจ็บ  มึงต้องตาย  ต้องวอดวายพินาสน์  และถ้าเป็นสิ่งของ วัตถุ  แม้สรรพสิ่ง(สัพเพ ธัมมา อนัตตา:สิ่งทั้งหลายทั้งปวงสั่งมันทำตามใจเราไม่ได้)  ที่สุดก็พบความพินาสน์ วอดวาย ไปทั้งสิ้น  ไม่มีผิดไปจากระบบทุกข์เช่นนี้เลย 

มนุษย์ทุกตัวตนที่เกิดมา จึงเป็นไปตามธรรมชาติ ที่คนเราไม่ได้พอใจเลยเช่นนี้  นั่นแหละที่เรียกว่าทุกข์ แต่เราก็แก้ไขเปลี่ยนแปลงระบบธรรมชาติ ที่นำการเกิดไปสู่ความวอดวายพินาสน์เช่นนี้ไม่ได้   เพราะภาวะอนัตตา  ที่เราสั่งให้เป็นไปตามใจเราไม่ได้นั่นเอง  นี่แหละทำให้เป็นทุกข์อยู่ตลอดเวลา (อนิจจัง  อนัตตา จึงเป็นระบบแห่งทุกข์, ทุกขัง อนัจจัง อนัตตา รวมกันแล้วคือ ทุกข์)   ทุกข์กาย  ทุกข์ใจอยู่ตลอด   นั่นแหละที่พุทธองค์ตรัสไว้ใน อะนัตตะลักขณะสูตร   อะนัตตา หมายถึง  เราสั่งธรรมชาติให้เป็นไปตามความหยากของเราไม่ได้  สั่งให้เป็นไปตามใจของเราไม่ได้ และอย่างไรๆ คนเราและสรรพสิ่งที่เกิดมา  ที่มีอยู่  มีชีวิตอยู่  ต้องเดินไปทางเดียวกัน คือทางสู่ความเสื่อมลงไปเรื่อย ๆ  จนที่สุดถึงจุดสุดท้ายคือความตาย ความสลายความวอดวายพินาสน์ (ให้รู้เพื่อหน่าย...หากรู้แล้วไม่หน่ายแปลว่ายังไม่รู้)

พุทธองค์จึงทรงค้นพบ ตรัสรู้มาว่า  การเกิดมานั้น มาพร้อมกับความตาย วอดวายพินาสน์ เป็นธรรมดา โดยธรรมชาติอยู่แล้ว เมื่อเอาชนะการเกิดได้เท่านั้นเองจึงไม่มีความตาย ความวอดวายพินาสน์อีก  และที่ทรงค้นพบสัจธรรมอันล้ำเลิศก็คือทรงพบว่า  การเกิดนั้นเนื่องมาจากตัณหา 3 อย่าง คือ กามตัณหา  ภวะตัณหา  และวิภวะตัณหา  ที่คนเราเอาแต่สะสมไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่เกิดมา  และถึงแม้รู้ตัวบ้าง แม้ละไปแล้วบ้าง(เช่นพวกนักบวชพุทธคนพุทธ)แต่ยังละไม่หมด  ก็ยังมีตัณหาตกค้างอยู่ ในใจ ก็ต้องมาเกิดอีก   จนกว่าจะละล้างตัณหาได้หมดสิ้น   อย่างที่พระองค์เองทรงปฏิบัติมากว่าได้เป็นพระพุทธเจ้า (ทรงตรัสใน 3 รอบ 12 อาการที่ทรงเล่าออกมาเพื่อเป็นตัวอย่างทางการปฏิบัติที่ต้องละวาง-ฆ่าตัณหาทั้งหลายเท่านั้น)   เมื่อชำระล้างตัณหา ละวางตัณหาไปจากใจได้หมดสิ้นแล้ว ก็จะได้พบโลกใหม่ ที่พ้นไปจากระบบธรรมชาติหรือระบบนายทาส ทุกขัง  อะนิจจัง  อะนัตตา  นี้ไปได้โดยสิ้นเชิง   นั้นแหละเราจึงพ้นจากความเป็นทาส  สู่ความเป็นไทย ไม่มีใครสั่งการบังคับเราไปสู่ความตายได้อีก นี่คือโลกแห่งเสรีชน  เสรีภาพ นั่นเอง(ที่ชาวอเมริกันเอาไปจัดระบบการเมือง ระบอบประชาธืปไตยของอเมริกานั่นเอง  มาจากสัจธรรมพุทธโดยแท้ที่บอกว่าอเมริกา อเมริกันเป็นพุทธศาสนิกชนโดยแท้ ที่ต่างจากพุทธไทยที่กึ่งพุทธกึ่งพุทธเจ้าพ่อเจ้าแม่ ไม่ใช่พุทธแท้) 

ฉะนั้น  หลักของพระพุทธศาสนาจึงสอนให้ชำระล้างตัณหา  จะว่าอย่างไรก็ได้ให้ตรงคำว่าชำระล้าง   ละวาง   สังหารกิเลสเสียให้สิ้นซาก คือระบบโลกที่ใฝ่ต่ำด้วยความหยากทั้งหลาย ที่เราไทยพุทธ ลาวพุทธ  เขมรพุทธ พม่าพุทธ รู้จักกันทั่วไป ว่า กิเลส  ตัณหา  อุปาทาน นั้นเอง  ซึ่งเป็นรูปธรรม 3  คือ  กามตัณหา  ภวะตัณหา  วิภวะตัณหา อันคือความใฝ่หยากทางกามารมณ์อยากมีอยากได้ลาภยศสรรเสริญสุขทางกามไม่รู้สิ้นสุด จนลืมนึกถึง อนิจจัง อนัตตา ความตาย วอดวายพินาสน์ ที่รออยู่แบบเปลี่ยนแปลไม่ได้

ดังจะขอแนะนำในที่นี้ ที่คนยุคนี้สามารถปฏิบัติได้ผลทันที และมีประสิทธิภาพที่โลกตกตะลึง  นั่นคือ  สัจธรรมเกี่ยวกับกามตัณหาก่อน  โดยให้ชำระกามตัณหาให้ได้เสียก่อน  ด้วยการยกดวงจิต หรือ ยกความรู้สึกนึกคิดจิตวิญญาณ  จิตใจ  อารมณ์ ความใฝ่ความปรารถนาทางจิตใจเรา  ให้สูงขึ้น  วิจัยเรื่องระดับจิตที่สูง ๆ ต่ำ ๆอยู่ตลอดเวลา  เทียบกับจิตของสัตว์ เช่นสุนัข ที่ระดับกามจิตอยู่ต่ำจากมนุษย์  มนุษย์จึงไม่มีอารมณ์ทางกามกับสุนัข  ครั้นเรายกระดับจิตขึ้นไปนี้ ก็จะพ้นจากกระแสกามารมณ์ หรือกามตัณหา  ก็จะเหมือนดอกบัวบานเหนือน้ำนั่นเอง   กามตัณหา หรือ กามารมณ์ ก็ไม่สามารถบีบบังคับเราได้เราก็ว่างจากความรู้สึกทางกามารมณ์       

แล้วให้พอใจในการเพ่งอสุภะ(ศพ)  คือพอใจในการไปใกล้ชิด ดู เพ่งดูซากศพ ซากเน่าเปื่อย ซากความน่าเกลียดน่ากลัวน่าขยะแขยงน่าเบื่อหน่าย  น่ารังเกลียด หนีห่างไปไกล   ทำให้ได้เสมอ ๆ  เป็นอารมณ์เช่นนี้เสมอ ๆ  เท่านั้นเอง  นักบวช แม้คนทั้งหลาย ชาติ ศาสนาใด  เพศใด วัยใด อายุใด   ก็จะสามารถชำระสะสางกามตัณหาได้  ปฏิบัติเช่นนี้แหละ  ทำไปตามเหตุตามผล นี้ แบบวิทยาศาสตร์เลย (ให้ทำแบบพุทธธรรมบัญญัติเรื่อง กสิณ คือให้เพ่งดูแน่วแน่ กสิณแปลว่าเพ่ง อย่าแค่ให้ผ่านๆ ไป  มันจะมีผลต่ออารมณ์จิตใจขึ้นอย่างพิศูจน์ได้ด้วยตนเอง  ว่าให้เกิดการรังเกียจในกามารมณ์ขึ้นจิตใจจะเปลี่ยนไปจากความหลงไปเป็นการขยะแขยง ...นั่นแหละทำบ่อยๆ  เป็นประจำ ๆ)  ใครทำได้ก็ได้ ชำระกามตัณหาได้ในชีวิตนี้เอง  นั้นแหละเป็นอริยะบุคคลขึ้นมาได้ ไปสู่โลกนิพพาน  เริ่มโดยการชะระล้างกามตัณหาเสียก่อน  อรหันตภาวะจึงจะมีตามขึ้นมาได้ เนื่องเพราะกามตัณหาพิศูจน์เห็นชัดเจนแบบวิทยาศาสตร์ได้ง่าย แล้ว ตัณหาอย่างอื่นก็พ่ายตามไปแบบง่ายเลย 

หากไม่ผ่านกามตัณหาก่อนแล้ว  ใครก็ตาม ยากจะสำเร็จอรหันต์ได้  ไม่ผ่านกามตัณหาก็สำเร็จอรหันต์ไม่ได้   แม้สำเร็จอรหันต์แล้วในยุคนี้ ท่านก็จะทำอสุภะกสิณอยู่เป็นการพักผ่อนสำราญ สนุก ๆ  ประจำ ๆของท่าน  ใครไม่ทำจึงน่าไม่ใช่อรหันต์ โปรดแจ้งข่าวดีทางการปฏิบัตินี้ไปทั่วโลก เพื่อการหลุดพ้นพร้อมกันไปในยุคนี้

-----
*****
-----

อริยสัจธรรมแห่งชีวิต 

บทที่ 4 โลกที่แสนตกต่ำยุคโควิด19นั้นแหละการเรียนรู้ทุกขอริยสัจอย่างสุดยอดเยี่ยมของการเรียนรู้  

-----

แท้จริง อริยสัจ4 นั้นเป็นเพียงอริยสัจ 1   เพราะทั้ง 4 อริยสัจนั้นเป็นเรื่องเดียวกัน คือ เรื่องทุกข์ คือ 1.  ทุกข์  2.  ทุกขสมุทัย 3. ทุกขนิโรธ  4. ทุกขนิโรธคามินี ปฏิปทา

จึงสรุปลงได้ว่าสัจธรรมแห่งชีวิต คนเราทั้งหลาย  แม้สรรพสิ่งนั้น เป็นเรื่องทุกข์ทั้งหมดเลย   ไม่มีอะไรเกิดนอกจากทุกข์  ไม่มีอะไรเป็นอยู่นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรตาย นอกจากทุกข์ คือ เรื่องราวทั้งหลายของชีวิตเรา และสรรพสิ่งนั้นไม่มีอะไรมีเรื่องเดียวเท่านั้นคือเรื่องทุกข์

ทุกข์จึงเป็นอะไรที่อยู่ใต้กฎธรรมชาติ โดยเริ่มที่มี การเกิด เหมือนชีวิตทั้งหลาย สรรพสิ่งทั้งหลายนั่นคือ เกิดมาแล้ว ก็อยู่ใต้กฎ อนิจจัง  อะนัตตา  เป็นไปตามหลักสัจธรรม ที่ทรงตรัสว่า  สัพเพ ธัมมา อะนัตตา (สิ่งทั้งหลายทั้งปวง สั่งมันทำตามใจเราไม่ได้)  ทุกข์นั้นเป็นอนัตตา  เราสั่งมันทำตามใจเราไม่ได้  ทุกข์นั้นเป็นอะนิจจัง  มันไม่ถาวร มั่นคง มันเปลี่ยนแปลงไปเสมอ ทุกข์ นั้นเป็นทุกข์  เพราะมันเกิดแล้ว มันก็แก่ มันก็เจ็บ แล้วมันก็ตาย  มันไม่อาจจะอยู่ต่อไปนิรันดรได้   จุดเริ่มต้นคือการเกิด(สมุทยะธัมมัง)  และจุดสุดท้ายคือการตาย(นิโรธะธัมมัง) อันเป็นสัจธรรมเบื้องต้นที่โลกควรจะรู้ เพื่อทางสู่โสดาบันอริยบุคคล

พุทธองค์ทรงตรัสเรื่องของพระองค์ว่า  ทรงพบว่าเรื่องทุกข์นั้นเป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้  ควรวิจัยให้รู้แจ้งถึงความจริงเกี่ยวกับทุกข์   ปะรัญเญย   ยันติ  เม   ภิกขะเว  (ภิกขุ ท.ก็ทุกข์อริยสัจนั้นแลควรกำหนดรู้ ) นั่นก็คือ เรื่องความจริงเกี่ยวกับทุกข์นี้ควรตามศึกษา พิศูจน์  วิจัย  ให้รู้แจ้งจริง ๆ  จนสติปัญญาทั้ง 5 คือ จักขุงอุทะปาทิ  ญาณัง อุทะปาทิ  ปัญญาอุทะปาทิ  วิชชา อุทะปาทิ  และ อาโลโก อุทะปาทิ เกิดขึ้นแก่พระองค์  จึงทรงตรัสรู้อริยสัจ 4  หรือ  อริยสัจ 1 คือ ทุกข์ 

            และครั้นศึกษาจากชีวิตพระองค์ การที่ทรงสละราชบัลลังก์ จักรพรรดิออกบวช นั้น  ย่อมมองเห็นชัดเจนเลยว่า ทรงจากที่ที่แสนสุขสบายจากพระมหาราชวัง   ออกไปอยู่ป่า แบบสันโดษเดี่ยวเดียวดาย นั้นสุดแสนจะพบทุกข์อย่างหนัก  อยู่ถึง 6 ปี จนน่าคิดว่า  แท้จริงการที่ได้ทรงพบทุกข์หนักขนาดนี้นั่นเอง   นำไปสู่สติปัญญาการรู้แจ้งทุกข์อริยสัจ อย่างลึกซึ้ง สุดแสนประเสริฐ   หากพระองค์อยู่แต่ในพระราชวัง เสวยสุขไปเรื่อย ๆ  แม้ว่าจะมีการศึกษาเรื่องราวของชีวิตประการต่าง ๆไปอย่างฆราวาสวิสัย  แต่ก็จะหารู้แจ้งทุกข์อย่างลึกซึ้งไม่    จนครั้นตรัสรู้แล้ว  ก็ทรงยืนยันว่าเรื่องทุกข์เป็นอริยสัจธรรมที่ล้ำเลิศ ที่ชีวิตควรจะต้องเรียนรู้  เรื่องทุกข์ เป็นสิ่งที่ต้องศึกษา วิจัยเรียนรู้อย่างจริงจัง ดังที่ตรัสบอกปัญวัคคีย์ว่า  ทุกข์อริยสัจนั้นแลเป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้ ให้รู้แจ้งไปปราศจากความสงสัยไปเลย เพราะแม้พระองค์เองครั้นได้มารู้แจ้งทุกขอริยสัจนี้แล้ว จึงทรงกล้าประกาศพระองค์เป็นพระพุทธเจ้า หากไม่ทรงรู้แจ้งเรื่องทุกขอริยสัจ...ทั้ง  4 ประการแล้ว ก็จะไม่ประกาศพระองค์เป็นพระพุทธเจ้าเลย .... นั่นเอง            

2.

เราจะมาสู่ข้อสรุปร่วมกันโดยปราศจากความสงสัยว่า  การศึกษาอริยสัจธรรมเรื่องทุกข์อริยสัจนั้น  จำเป็นที่จะต้องไปพบ ไปเห็น  ไปเผชิญ ทุกข์ที่แท้จริง  อย่างเช่นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าทรงทำมาเป็นแบบอย่าง ที่จากพระราชวังไปอยู่ป่าถึง 6 ปี  และทั้งนักบวชทั้งหลาย  ผู้ที่ไปอยู่ป่า  แม้พระสาวก ผู้ฝึกทางธุดงค์กรรมฐาน ทั้งหลาย ที่ล้วนสำเร็จอริยธรรมมาจากการเรียนรู้เผชิญเรื่องทุกข์มาอย่างสาหัสทั้งนั้น   ที่เผชิญแต่ความทุกข์ยากทั้งหลาย  ที่หาความสุขสบายเท่าคนทั้งหลายไม่ได้เลย ไม่ว่าเรื่อง อาหารเลี้ยงชีวิต   เครื่องนุ่งห่มกันร้อนกันหนาว  ที่พักอาศัยปลอดภัยจากสัตว์ร้าย พายุลมฝน   ยารักษาโรค ก็ตาม   หากยังทรงอยู่ในพระราชวัง หรือแม้นักบวช ทรงสมณศักดิ์ใหญ่โต  ที่อยู่วัดใหญ่โตดังพระราชวัง มีทรัพย์สมบัติ การอยู่การกิน อย่างพระราชาคณะ  แล้ว  ยากที่จะได้เรียนรู้ทุกข์อริยสัจ  เกิดมาก็คงตายเปล่าไปทั้งชีวิต  และนั่นไม่อาจจะได้พบมรรคผลนิพพานได้เลย  การมีแต่สร้างตัวตน ฝึกตัวตนอยู่กับความสุขสบาย  ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขนั้น  เป็นการปิดตัวไปจากเส้นทางมรรคผลนิพพานอย่างสิ้นเชิง สร้างแบบอย่างอันเลวทรามแด่ศิษย์ ๆ และผู้มาทีหลัง  เกิดมาตายเปล่าไร้คุณค่าราคาอย่างแท้จริง    เรากำลังพูดถึงเรื่องภวะตัณหาและวิภวะตัณหา

            เรามารำลึกสัจธรรมเรื่อง ทุกข์อริยสัจ นี้  ก็โดยเหตุที่เวลานี้ โลกทั้งโลกนั้นกำลังเผชิญภัยร้ายของไวรัสโควิด-19 กันทั้งโลก เริ่มมาตั้งแต่ต้นปี 2563 แล้ว  ส่งผลต่อสุขภาพของชีวิต และเศรษฐกิจโลกตกต่ำแบบไม่เคยพบมาก่อน ประชากร คนในโลก ในแต่ละประเทศ ทั่วโลกเลย ถึงแก่ความตายไปครั้งใหญ่ จนวันนี้(2 ก.ค.2565) มีการตายรวมทั้งโลก   6.34 ล้านศพแล้ว ตามลำดับลงไปจาก สหรัฐอเมริกา  1.01 ล้านศพ,  บราซิล 6.72 แสนศพอินเดีย 5.25แสนศพ,  ฝรั่งเศส 1.46 แสนศพ,   เยอรมัน 1.41 แสนศพ,....กองศพยิ่งกว่ากองภูเขาเลากา มีอเมริกาตายมากที่สุด จนกระทั่งไม่มีโลงศพใส่คนตาย เอาใส่กระสอบไว้เหมือนสัตว์ชนิดหนึ่ง  มีอาคารเก็บศพเป็นชั้น ๆ มีการขนส่งศพด้วยรถ10 ล้อขนาดใหญ่แล่นตามกันไปอย่างกับขนสินค้า     และที่เหลือมีชีวิตอยู่ นั่นแหละ กำลังเผชิญกับความทุกข์ของชีวิตอย่างแสนสาหัส ชนิดที่ไม่เคยพบมาก่อน เรื่องราคา ข้าวของ  การกินการอยู่การใช้จ่ายล้วนแต่ราคาแพงแสนแพง จนคนจำนวนมากต้องอพยพ หาที่ทำมาหากิน นับล้านชีวิต  แล้ว เกิดสงคราม ยูเครน – รัสเซีย ก็เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจ ที่ต้องแก่งแย่งกันนั้นเอง  คนที่ฆ่าตัวตายก็เพิ่มมากขึ้น ๆ 

 นี่คืออะไร?  นี่แหละคำตอบว่าทุกข์คืออะไร  แต่ในเมื่อคนทั้งหลายไม่ได้รู้ทุกขอริยะสัจจเลย  จึงพากันเดือดร้อนเป็นทุกข์กันอย่างแสนสาหัส แต่แท้ที่จริงควรจะรู้ว่า นี่แหละมหาลาภแห่งโอกาสดี  ที่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดแล้ว  สำหรับคนทั้งหลายทั้งโลก จะได้เรียนรู้สัจธรรมแห่งชีวิต  เพื่อให้รู้ความจริงเกี่ยวทุกขอริยสัจ  ...ตามที่บอกมาแล้วแต่ข้างเริ่มต้นนั้นเองที่ว่า   นั้นเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้เสียก่อนที่ว่า แท้จริง อริยสัจ4 นั้นเป็นเพียงอริยสัจ 1   เพราะทั้ง 4 อริยสัจนั้นเป็นเรื่องเดียวกัน คือ เรื่องทุกข์

จึงสรุปลงได้ว่าสัจธรรมแห่งชีวิต คนเราทั้งหลาย  แม้สรรพสิ่งนั้น เป็นเรื่องทุกข์ทั้งหมดเลย   ไม่มีอะไรเกิดนอกจากทุกข์  ไม่มีอะไรเป็นอยู่นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรตาย นอกจากทุกข์ คือ เรื่องราวทั้งหลายของชีวิตเรา และสรรพสิ่งนั้นไม่มีอะไรมีเรื่องเดียวเท่านั้นคือเรื่องทุกข์

3.

ทุกข์จึงเป็นอะไรที่อยู่ใต้กฎธรรมชาติเรื่อง การเกิด เหมือนชีวิตทั้งหลาย สรรพสิ่งทั้งหลายนั่นคือ เกิดมาแล้ว ก็อยู่ใต้กฎ อนิจจัง  อะนัตตา  เป็นไปตามหลักสัจธรรม ที่ทรงตรัสว่า  สัพเพ ธัมมา อะนัตตา (สิ่งทั้งหลายทั้งปวง สั่งมันทำตามใจเราไม่ได้)  ทุกข์นั้นเป็นอนัตตา  เราสั่งมันทำตามใจเราไม่ได้  ทุกข์นั้นเป็นอะนิจจัง  มันไม่ถาวร มั่นคง มันเปลี่ยนแปลงไปเสมอ ไม่ได้เป็นทุกข์ตลอดไปเป็นอมตะ ทุกข์ นั้นเป็นทุกข์  เพราะมันเกิดแล้ว มันก็แก่ มันก็เจ็บ แล้วมันก็ตาย  มันไม่อาจจะอยู่ต่อไปนิรันดรได้  

ซึ่งตามกฎนี้  ทุกข์แสนสาหัสของชาวโลกเราทุกวันนี้ มันก็อยู่ใต้กฎของทุกข์คือมีเกิด  แก่   เจ็บ  และตายมลายหายไปในที่สุดนั้นเอง ขอให้อดทนไปจนถึงที่สุด คือที่สุดแล้ว ทุกข์ก็ถึงความดับสลายความสิ้นไปของมันเองตามกฎทุกขะอริยะสัจนั่นเอง

แต่ขณะที่มันยังไปไม่ถึงจุดสุดท้ายของมันนั้น   ตามหลักอริยสัจ 4  เราทั้งหลายก็ควรที่จะรู้สิ่งที่เรียกว่า ทางปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ 8 ประการ  คือ ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา(ทางปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์) 8 ประการหรือ มรรค 8 นั้นเอง  เราทั้งหลายจงเดินไปในทางที่ทุกข์แสนทุกข์นี้แบบการเดินไปถูกต้อง จึงจะไม่เป็นอันตรายเพิ่มไปจากที่เป็นอยู่  และจะค่อยไปสู่ทางที่ดีขึ้นทางที่พ้นทุกข์ขึ้น  นั่นคือ 

1.  สัมมาทิฏฐิ  ทุกข์ยากลำบากเพียงไหนก็ตามขอให้มี ความเห็นชอบ ให้มีความเห็นชอบว่าอย่าไปคิดทำความชั่ว  อดทน  ทำแต่ความดี   อย่าคิดพึ่งเทวดา หรือ คนอื่น  ชีวิตเราจะประสบผลสำเร็จทางการงานอาชีพ ใดใด  ก็ด้วยการพยายาม  และการช่วยเหลือตัวเองเป็นหลักการสำคัญเบื้องต้น  ต้องระลึกสัจธรรมพุทธที่ว่า ตนแลเป็นที่พึ่งของตน  การจะพยายามไปขอความบูชาความช่วยเหลือจากเทพเทวดา  นั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้  เพราะในความจริง สิ่งเหล่านี้ไม่เคยช่วยอะไรใครได้ มีแต่เราต้องฝึกฝนการช่วยเหลือตนเอง ให้ได้นิสสัยถาวรเพื่อว่าการบรรลุมรรคผลนิพพานนั้นไม่อาจจะพ้นไปจากหลักตนเป็นที่พึ่งของตนเลย  ตนเองเท่านั้นพาตนไปสู่มรรคผลนิพพานได้  ในการงานอาชีพประจำวันประจำชีวิตก็เช่นเดียวกัน ต้องอยู่บนสัมมาทิฏฐิเรื่องตนเองเท่านั้นเป็นที่พึ่งของตน ทุกคน ๆ เป็นอย่างนี้

2.  สัมมาสังกัปโป ทุกข์ยากลำบากเพียงไหนก็ตามขอให้มี ความดำริชอบ  ความคิด ความดำริแต่ในเรื่องที่ดีที่ชอบ  เรื่องการงานอาชีพที่ชอบ เรื่องความพยายามที่ชอบ เรื่องความขยันเอาใจใส่ ไม่ขี้เกียจ  เรื่องความทรหดอดทน เรื่องของการเข้าอกเข้าใจคนอื่น เรื่องของความกล้าหาญอย่างวีรบุรุษ  มองคนทั้งหลายเป็นดุจเพื่อนมนุษย์ผู้ตกทุกข์ได้ยากเสมือนร่วมเดินทางไปกลางทะเลทรายด้วยกัน มีแต่ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกันไปจนกว่าจะหาไม่จนกว่าจะพ้นทะเลทรายอันกว้างใหญ่

3.  สัมมาวาจา ทุกข์ยากลำบากเพียงไหนก็ตามขอให้มีวาจาชอบ  ต้องมีแต่วาจาคำพูด ที่เป็นประโยชน์ ที่ประสานไมตรีจิตเพื่อนร่วมทุกข์กันทั้งสิ้น ระวังวาจาชั่วร้าย 4 ประเภท คือ (1.) การโกหกพกลม (2.) การพูดคำหยาบคาย  (3.) การพูดคำส่อเสียดให้เกิดการแตกแยก และ(4.) การพูดเพ้อเจ้อ คือไม่มีเหตุมีผล การโฆษณาชวนเชื่อ  นี่เป็นหลัก

4.

ประสานสามัคคีธรรม ประสานไมตรีจิตมิตรภาพของคนทั้งหลาย อย่าได้ขาดวาจาชอบเลย เพราะวาจาชั่วร้าย 4 ประการนั้นเองทำร้ายสังคม  ทำร้ายคนทั้งหลาย  ทำร้ายญาติมิตร บิดามารดา ทั้งครอบครัว หมู่บ้าน  ตำบล ชาติบ้านเมือง ทั้งโลก ทำคนให้กลายเป็นศัตรูกัน ถึงขั้นเข่นฆ่ากัน ทำร้ายกันได้อย่างไร้สติ ไร้ความคิด ไร้สามัญสำนึกของความเป็นคนไปได้

4.  สัมมากัมมันโต ทุกข์ยากลำบากเพียงไหนก็ตามขอให้มีการงานชอบ  ไม่พึงทำอะไร กายกรรม วจีกรรม  มโนกรรมใดใด ที่ไปส่งเสริมกิเลส ตัณหา อุปาทาน  ความอยากมีอยากได้ผิด ๆ อะไรชั่ว ๆ ให้เพิ่มพูนขึ้น ต้องส่งเสริมการงาน การกระทำที่เพิ่มพูนความพยายามสู่มรรคผลนิพพาน สู่สัมมาสติ  สัมมาวาจา  สัมมาอาชีวะ และสัมมาวายาโม  การงานอะไรที่มีแต่ความกล้าหาญจัดการให้ได้สำเร็จลง ไม่ยอมแพ้

5.  สัมมาอาชีโว  ทุกข์ยากลำบากเพียงไหนก็ตามขอให้มีการอาชีพชอบ อาชีพที่สุจริต  แสวงหางานการอาชีพ ที่ทำมาหากินได้ อะไรที่ชอบธรรมไม่พึงรังเกียจ พึงลดละลงเสียซึ่งความเป็นเจ้าเป็นนาย มีภะวะ วิภะวะ ตัณหา ตัวตนใหญ่โต  ทำมาหากินไปแบบสุจริต ไม่เอายศถาบรรดาศักดิ์  หรือมีความรังเกียจ ในงานอาชีพที่ต่ำต้อย  ขณะเดียวกัน  อย่าพากเพียรในงานการอาชีพที่ทำลายล้างชีวิตที่ลดค่าของความเป็นมนุษย์ อาชีพการพะนัน อาชีพยาเสพติด  อาชีพค้าขายทางเพศ ที่ดูถูกดูแคลนตนเองจากความเป็นมนุษย์เสรีชนผู้มีศักดิ์ศรีความเสมอภาคกับคนทั้งหลาย  อาชีพที่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น มีแต่ให้อุปการะซึ่งกันและกัน  ได้ด้วยกันเสียด้วยกัน  ด้วยความมีสายตามองความเป็นมนุษย์เสมอกันมีแต่เสรีภาพเท่าเทียมกันนั้นเอง

6.  สัมมาวายาโม ทุกข์ยากลำบากเพียงไหนก็ตามขอให้มีความพากเพียรชอบ นี่คือหลักการของความสำเร็จ ทั้งโลกธรรม และอริยธรรม  โดยรูปธรรมแล้ว คือความขี้เกียจนั้นมองให้เห็น ให้พบว่านั่นคือมารตัวโตที่ควบคุมชีวิตทั้งชีวิต การชำระล้างความขี้เกียจเสียได้จักปรากฏที่ดวงใจให้มีแต่ความว่าง มีแต่ความขยันขันแข็งใช้เวลาทุกนาทีทุกวินาทีให้เป็นประโยชน์ได้ เสมือนล้างตัณหาไปจากจิตใจได้แล้ว นั้นคือผลลัพธ์อันสุดแสนประเสริฐ และความพากเพียรชอบนี้เองที่คนทั้งหลายพึงฝึกฝนกันมาตั้งแต่เกิด ออกมาจากครรภ์มารดาเลยทีเดียวและทำไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตบนโลกนี้จนกว่าจะหมดความขี้เกียจ  เพราะความขี้เกียจนี้คือมารตัณหานั้นเองชำระเสียให้หมดความขี้เกียจไปจากใจนั้นคือชำระกิเลสตัณหาไปได้แล้วมีผลต่อมรรคผลโดยตรงเลยทีเดียว

7.  สัมมาสติ ทุกข์ยากลำบากเพียงไหนก็ตามขอให้มีสติชอบ การรู้ปัจจุบัน  รู้วินาที  นาทีแห่งชีวิตปัจจุบัน นั้นแหละทางแห่งความรอด ความไม่ประมาท  ไม่ใช่ทางแห่งความตายเลย แม้กิจการทุกอย่างที่เรารู้สติพิจารณาตลอดเวลาตลอดนาที วินาทีให้รู้ว่าทำดีหรือทำอะไรอยู่  แล้วนั้นแหละทางรอดของชีวิต  แม้ในเรื่องการงานอาชีพก็จะพบจะเห็นว่ามีศัตรูหมู่อมิตรคู่แข่งทำอะไรอย่างไรมิตรของเราอยู่ไหนทำอะไรอยู่ มาสู่ปัจจุบัน เพื่อสร้างอนาคนให้ดีให้ได้ แม้สร้างทางมรรคผล นิพพานก็มีการสร้างในเวลาปัจจุบันนี้เอง  อย่าหวังว่าจะเป็นวันพรุ่งนี้  แต่ต้องเป็นเวลานี้นาทีนี้ ที่นี่และเดี๋ยวนี้เลยทีเดียว

5.

8.  สัมมาสมาธิ ทุกข์ยากลำบากเพียงไหนก็ตามขอให้มีสมาธิชอบ  นั้นคือ การสร้างดวงจิต  การฝึกจิต  ความนึกคิดให้กล้าแกร่ง  มั่นคงดำรงธรรม  กล้าต่อสู้อุปสรรคศํตรู หมู่มารทั้งหลาย  ไม่ย่อท้อ  นั่นเอง  เมื่อมีสัมมาสมาธิเต็มที่แล้วนั้นแหละสามารถอุทิศตน สละชีพเพื่อปกป้องคุ้มครองความดี  คนดี  สิ่งที่ดีได้  และทั้งในที่สุด สมาธินี้เอง สามารถนำชีวิตจิตใจลัดไปสู่โลกุตระนิพพานได้

เรียนรู้ทางปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์จากหลักอริยสัจธรรมข้อที่ 4  คือที่ทรงตั้งชื่อว่า  นิโรธะคามินีปะฏิปะทา (ทางปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์) มรรค 8 หรือ ที่รู้กันแต่ต้นว่า  มัชฌิมาปะฏิปะทา ทางสายกลาง นั้นเอง 

ในเมื่อมีการถูกข่มขี่เผชิญสถานการณ์โลกอันแสนทุกข์ด้วยภัยเศรษฐกิจ ความอดอยากหิวโหย อันเกิดจากไวรัสร้ายโควิต19 อยู่ขณะนี้  และพยายามประพฤติธรรมตามหลักมรรค 8 นั้นในที่สุดก็จะได้เรียนรู้เข้าใจ ความจริงของสิ่งที่เรียกว่า ทุกข์  นั้นเอง เข้าใจชีวิตที่เป็นทุกข์  โลกที่เป็นทุกข์

และครั้นได้เรียนรู้แจ้งเรื่องทุกข์แล้ว

ก็จะได้รู้สัจธรรมว่า  ทุกข์ ก็คือ  ทุกขัง,  อะนิจจัง,  และ อะนัตตา,   ทุกข์มันเป็นทุกข์   มันไม่เที่ยง  และ ไม่มีใครสั่งให้มันเป็นไปตามใจปรารถนาของตนได้ (เช่นสั่งให้ทุกข์มันหนีไปเสียเถิด ก็สั่งไม่ได้)  .... และครั้นมีการเกิด มีทุกข์เกิดมาแล้ว  มันก็มีปลายทางของมัน เช่นเดียวกับคนเรา เช่นเดียวกับสรรพสิ่งสรรพธรรมทั้งหลาย มาพร้อมกับการเกิด เช่นเดียวกับสรรพสิ่งทั้งหลายนั้นเองและแล้วก็ย่อมเป็นไปตากฎการเกิดคือ  มี  แก่   มีเจ็บ  และ มีตายไป เป็นเรื่องธรรมดาธรรมชาติเองอยู่แล้ว  ทุกข์วันนี้ ที่เราทั้งหลายทรมานกันอยู่  ก็จะเดินไปสู่จุดเสื่อมสลายลงไป ๆ เป็ฯธรรมดาและหมดลงไปเองอยู่แล้ว  จงเรียนรู้สัจธรรมแห่งทุกข์เช่นนี้เถิดชีวิตจะสบายใจขึ้น

โลกและชีวิต และทุกข์ทั้งหลาย ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์เกิด  ทุกข์เท่านั้นที่เป็นไป  ตลอดชีวิต หนึ่ง  และทุกข์เท่านั้น ที่ค่อยเสื่อมสลายหายคลายไปเอง จนที่สุด ทุกข์เท่านั้นตาย วอดวายไปเอง(ไม่ต่างไปจากภัยธรรมชาติ มหาสินามินั้นเอง) การรู้แจ้งโลกที่เป็นทุกข์เช่นนี้เอง นำไปสู่ความหน่ายคลายใจไปจากความหลงใหลในโลกนี้ พ้นไปได้จากภวะตัณหา วิภวะตัณหา  รู้ทุกข์แล้วย่อมบังเกิดใหม่ด้วยใจอันบริสุทธิ์เป็นอริยบุคคล อรหันต์ขึ้นมาพ้นทุกข์ไปเองโดยอัตโนมัต  นั่นแหละภาวการณ์รู้แจ้งโลกคือมีปัญญาหรือการรู้แจ้งเกิดขึ้น [enlightenment]   นำไปสู่การเกิดใหม่เป็นพระอริยบุคคลอรหันต์พ้นทุกข์ไปชั่วนิรันดร์กาล

รู้เช่นนี้ ก็จะกลายเป็นผู้รู้เรื่องราวสัจธรรมของชีวิตขึ้นมา เป็นปาฏิหาริย์ของความรู้แจ้ง(emlightenment) เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น  ผู้เบิกบาน อย่างพระพุทธเจ้าขึ้นมาได้  ฉะนั้นโอกาสดีที่สุดของโลกทั้งโลกเพื่อการรู้แจ้งทุกข์มาถึงแล้ว ขณะนี้ วันนี้เวลานี้   ครั้นรู้แจ้งอริยสัจธรรมแห่งทุกข์แล้ว    ก็พ้นทุกข์ไปสู่ความเป็นอริยบุคคลอรหันต์ พ้นโลกสู่โลกุตตระนิพพานกันได้ทั้งโลก  

-----

*****

-----

อริยสัจธรรมแห่งชีวิต

บทที่ 5  เรื่องชีวิตจบลงตามแบบตามรอยพระพุทธเจ้า 3 รอบ12 อาการ  เป็นทางเดียวเท่านั้น ทางอื่นไม่มี   

-----

เป็นความจริงอันประเสริฐที่ทรงได้ค้นพบมาอย่างนี้   อย่างอื่นไม่มี

เป็นพระธรรมคำสอนอันประเสริฐของพระพุทธเจ้าอย่างนี้  อย่างอื่นไม่มี

12 อาการของอริยสัจ 4 นี่แหละความรู้แจ้ง อันเป็นปาฏิหาริย์ นำสู่มรรคผล นิพพาน แดนอริยบุคคล  8 โสดาบันมรรค  โสดาบันผล,  สกทาคามิมรรค สกทาคามิผล,  อนาคามิมรรค  อนาคามิผล, อรหัตมรรคอรหัตตผล,  แล้วเลยสู่  พุทธะ

-----

-----

อาการที่   1. ทุกข์ 

รอบที่ 1.....อริยสัจจันติ เม ภิกขเว..... (นี่เป็นสัจธรรมอันประเสริฐเลยนะภิกขุทั้งหลาย) ..   

อาการที่   2. ทุกข์ 

รอบที่ 2.....ปะรัญเญย ยันติ  เม  ภิกขะเว.....(ภิกขุ ท. ก็ทุกข์อริยสัจนี้นั้นแล ควรกำหนดรู้)

อาการที่  3. ทุกข์  

รอบที่ 3.....ปะริญญา ตันติเม ภิกขะเว.....(ภิกขุ ท.ก็ทุกข์อริยสัจนี้นั้นแล เราได้กำหนดรู้แล้ว)

 

อาการที่  4.  ทุกข์สมุทัย 

รอบที่ 1.....อริยสัจจันติ เม ภิกขะเว..... (นี่เป็นสัจธรรมอันประเสริฐเลยนะภิกขุทั้งหลาย) ..

อาการที่  5.  ทุกข์สมุทัย 

รอบที่ 2.....ปะหาตัพพันติ เม ภิกขะเว.....(ภิกขุ ท.นี่ทุกข์สมุทัยอริยสัจ นี้แลควรละเสีย)

อาการที่  6.  ทุกข์สมุทัย 

รอบที่ 3.....ปะนันติ เม ภิกขะเว.....(ภิกขุ ท. นี่ทุกข์สมุทัยอริยสัจนี้แล เราละได้แล้ว

 

อาการที่  7.  ทุกข์นิโรธ  

รอบที่ 1.....อริยสัจจันติ เม ภิกขะเว.....(นี่เป็นสัจธรรมอันประเสริฐเลยนะภิกขุทั้งหลาย)

อาการที่  8.  ทุกข์นิโรธ  

รอบที่ 2.....สัจฉิกาตัพพันติ เม ภิกขะเว .....(นี่ทุกขนิโรธอริยสัจนี้นั้นแล ควรทำให้แจ้ง)

 อาการที่  9. ทุกข์นิโรธ

รอบที่ 3.....สัจฉิกะตันติ  เม  ภิกขะเว.....(นี่ทุกขนิโรธอริยสัจนั้นแล  อันเราได้ทำให้แจ้งแล้ว)

 

อาการที่ 10.  ทุกข์นิโรธคามินี  ปฏิปทา

รอบที่ 1.....อริยสัจจันติ เม ภิกขะเว…..(นี่เป็นสัจธรรมอันประเสริฐเลยนะภิกขุทั้งหลาย) ..

อาการที่ 11.  ทุกข์นิโรธคามินี ปฏิปทา

รอบที่ 2.....ภาเวตัพพันติ เมภิกขะเว.....(ภิกขุ ท. ก็ทุกขนิโรธคามินี ปฏิปทาอริยสัจนั้นแลควรทำให้เจริญ)

อาการที่ 12. ทุกข์นิโรธคามินี ปฏิปทา 

รอบที่ 3.....ทรงพิจารณาเสร็จแล้ว  ได้ทางปฏิบัติ 8 ประการ  คือ สัมมาทิฏฐิ,  สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา,   สัมมาอาชีโว,  สัมมากัมมันโต,   สัมมาวายาโม,   สัมมาสติ,   สัมมาสมาธิ,.....ภาวิตันติ เม ภิกขะเว......(ภิกขุท.ก็ทุกขนิโรธคามินี ปฏิปทาอริยสัจนั้นแล อันเราเจริญแล้ว )

-----

-----

คือพิจารณาศึกษา เรื่อง ทุกข์ ให้ครบ 12 อาการ จึงจะเข้าใจเรื่องราวของชีวิต และมุ่งหมายมรรคผล นิพพานได้ ตามแบบพระพุทธเจ้า 

การศึกษาธรรมะปฏิบัติแบบใดไปก็ตาม  หากไม่เอามาเปรียบเทียบ ให้ถูกต้องสอดคล้องหลัก  3 รอบ  12 อาการนี้แล้ว ก็จะไม่ใช่วิธีปฏิบัติที่ถูกต้องของพระพุทธศาสนา อาจจะหลงทางไปสุดกู่ด้วยซ้ำ และไม่อาจจะบรรลุมรรคผลนิพพานได้เลย 

และครั้นจบการศึกษา 3รอบ 12 อาการตามแบบพระพุทธเจ้าแล้ว  ก็  จบ    ชีวิตหนึ่งก็ จบลง ไม่มีอะไรอีก

และย่อมรู้เองว่า  แบบ 3 รอบ 12 อาการนี้เป็นทางเดียว ทางอื่นไม่มีจริงๆ

-----

*****

-----

·       อริยสัจธรรมแห่งชีวิต บทที่ 1 2 3 4 5 รวมพิมพ์โรพิเศษ

 




28.Mongolia-มองโกเลีย

1..วาทะที่ 1.. kata nombor satu: Wuhan virus, bagaimana dunia akan menyebarkan virus yang mengerikan ini? Kenali kebenaran dan kebersihan Begitu kotor dahulu
2..วาทะที่ 2. Ω 2 дахь үг, Wuhan вирус нь орчин үеийн ертөнцийl
3..วาทะที่ 3.Ω 3 дахь үг: Дэлхий Cowit-19-ээс 14 хоногийн турш зуг
4..วาทะที่ 4..Дөрөв дэх үг .. COVI-19 вирус, вирусыг ялаарай. Дэl
5..วาทะที่ 5.Үйл ажиллагаа явуулж COVID-19 дайны эсрэг тула
6..วาทะที่ 6..COVID-19-ийн нас барагсдыг оршуулсан газар хан
9..Дугаар 9. Манай байшин бүр сүм хийд юм. Дэлхи
10..วาทะที่ 10.. Хангалттай эдийн засаг ба илүүдэл нь эн&
12..วาทะที่ 12..Энэ бол COVID 19-ийн ес дэх үг бөгөөд хүмүүст бүm
32..วาทะที่ 32..Mother's grace พระคุณของแม่
34..วาทะที่ 34..Ковидын эрин үед Энэтхэг болон дэлхийн &#
38..วาทะที่ 38.. Үхлийн аюултай коронавирус хүний ​​ер
39..วาทะที่ 39..Өнөөдөр Англид буй COVID-ийн шинэ үүлдэр бол &#
41..วาทะที่ 41 สคส.2564 43 ภาษาโลก แสนเวทนาโควิดเอาชีวิตชาวโลกไปมหาศาล จงสู้ด้วยสัจธรรมแห่งความสันโดษเถิดทางนั้นไปสู่โลกนิพพาน ที่สิ้นทุกข์มีแต่สุขอมตะนิรันดร
42..วาทะที่ 42.Хятадын шинэ жилийн хувьд 2021 оны 2-р сарын 12
43..วาทะที่ 43.Валентины өдөрт зориулав
44..วาทะที่ 44..Хөгшрөхөөсөө өмнө эсвэл өнөөдөр КОВИД-
50..วาทะที่ 50. เสนอรัฐบาลทั่วโลกให้สร้างเมืองใหม่ ช่วยประชาชนคนอดอยากให้รอดชีวิต
51..วาทะที่ 51. จันทร์เต็มดวงบ่งบอกดวงจิตผ่องแผ้ว15Оват, Патимокха гэсэн шившлэгийг 
52..วาทะที่ 52 แด่วันสตรีสากล For International Women's Day
53..วาทะที่ 53.. Дайн бол амьдралын асуудал юм Нэг амьдр
54..วาทะที่ 54..Рупанг Бхикаве Анатта харагтун, лам хув&#
55..วาทะที่ 55.. 55 дахь үг..Мьянмарын төрийн эргэлт хийх х
57..วาทะที่ 57..To Montenegro : แด่ประเทศมอนเตเนโกร คิดการปฏิวัติและล้มล้างสถาบันกษัตริย์ไทย???
58..วาทะที่ 58..To Afganistan and new Taliban แด่อาฟกานิสถานและตาลีบันใหม่
59..วาทะที่ 59..To Afganistan and new Taliban 2 แด่อาฟกานิสถานและตาลีบันใหม่ 2
60..วาทะที่ 60..To Afganistan and new Taliban 3 แด่อาฟกานิสถานและตาลีบันใหม่ 3
61..วาทะที่ 61..สัญญาณสันติธรรมแห่งโลกยุคใหม่ Signs of peace in the new world ERA
62..ยอดสุภาษิตโลก (44ภาษา) world proverb(44 languages)
63..ลาลิสาแบลคพิ้งค์ Come out and listen to LALISA BLACKPINK
64..TO UNO
66..วันเด็กแห่งชาติ
67..44ภาษาแด่วันคริสต์มาส 25 ธค.2021
68..ปัญหามุสลิม Лалын шашинтнууд, Лалын ертөнцийн асуу&#
69..วันสำคัญของมวลมนุษย์ทั้งโลก รอบ 16 ก.พ. 2565Маха Бучагийн өдөр, дэлхий даяарх k
70..แด่สงครามรัสเซีย-ยูเครน Орос-Украины дайнд
75..อริยสัจธรรมข้อที่ 1 ทุกข์ Эрхэмсэг үнэн No1 Зовлон
76..อริยสัจธรรมข้อที่ 2 สมุทัย เหตุแห่งทุกข์Зовлонгийн 2-р эрхэм үнэн, зовлонгий&
77..อริยสัจธรรมข้อที่ 3 ทุกขนิโรธ Гурав дахь эрхэм үнэн: Дукха Ниродха
79.. The 4 Noble Truths, 4 manuscripts for translations of 64 world languages, complete the 4 Truths, Samutaib, Nirodha, the Path. 79..อริยสัจธรรม 4 ต้นฉบับ สำหรับการแปล 64 ภาษาโลก ครบ 4 สัจจะทุกข สมุทัยบ นิโรธ มรรค
90 อริยสัจ ๔ Please translate to your language by Google translate
91 คำชี้ทางปฏิบัติ สังหารกามกิเลสลงได้จริง Please translate to your language
93 Тайландын лалын шашинтнууд Исламын судр
99..อริยสัจธรรมแห่งชีวิต บทที่ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 Please translateto your language by Google translate
100..Буддизм юу сургадаг вэ? Энэ бол гайхалтай 
101..การเมือง เสนอให้คิด คนไทยไปสู่ประชาธิปไตยจริง ๆ ชุดที่1-5 18 เรื่องต้นฉบับไทยสมบูรณ์
102..Please translate NWE ต้นฉบับ ยอดสุภาษิต เดือนกันยายน 2565 50บท ภาษา ไทย-อังกฤษ
103 Please translate Phayap Panyatharo ประวัติชีวิตนักปฏิบัติธรรมทั้งชีวิต พระพยับ ปัญญาธโร (เล่าเอง) ตอนที่ 1-2 ไทย 48 บท
104.pleasetranslate รวมยอดสุภาษิต ถ่ายทอดไป 138ภาษาโลก ครอบพลเมือง 7.6 พันล้านคน
105 please translate รวมยอดสุภาษิตวรรคสั้น 210 บทต้นฉบับ ถ่ายทอดไป 138 ภาษาโลกครอบ 8พันล้านประชากรทั้งโลก
106 please translate ปัญหาของพระพุทธศาสนาแก้ไขได้ง่ายทั้งระบบสงฆ์แล้วนั้นหมายถึงสว่างรุ่งเรืองไปทั้งโลกยุคนี้
107. ส.ค.ส.(ส่งความสุขปีใหม่) 2566 แด่พลโลก 8พันล้านชีวิต
108.Please translate อิสลาม-พุทธศาสนา รายวัน 21 ธ.ค.2565 สมาธิ3ระดับสุดยอดมหานิพพาน
109. Please translate รายงานการวิจัยความคิดเห็นของคนไทยต่อปัญหาเดินขบวนในกรุงเตหะราน อิหร่าน
110.please translate พุทธศาสนารายวัน 26 ต.ค.65-5 ม.ค.66(21ตอน)ปัญหาพุทธศาสนาวันนี้แรงร้ายแต่แก้ไขได้ด้วยพุทธิปัญญา ไทย
111.please translate พุทธศาสนารายวัน 26 ต.ค.65-5 ม.ค.66(21 ตอน ๆ ที่21) กลับมาทำหน้าที่เถิด
111.please translate การเมืองโลก ประชาธิปไตยอเมริกาจากธัมมจักกัปปวัตนสูตร สู่กาลามสูตร ต้นฉบับ 138 ภาษาโลก
112 please translate พุทธศาสนาวันนี้ รำลึกวันอาสาฬหบูชา วันพุทธองค์ทรงแสดงปฐมเทศนา
120 แด่เพื่อน 2567
121 เรื่องราวของชีวิต ตอนที่ 1+2+3+4 ต้นฉบับไทย
122.การเมืองไทยวันนี้ 22สค.2566 ทักษิณกลับไทยแบบมหาเศรษฐีต้องโทษอาญาแผ่นดินเข้าคุกทันที8ปีทบทวน11กพ.2567
123 โหราศาสตร์ชี้ชะตาสงครามรัสเซีย-ยูเครน และ อิสราเอล-ฮามาส
124 โหราศาสตร์ ดาว6ดวงเคลื่อนมารวมกัน ใน7เม.ย.2567 อะไรจะเกิดขึ้นแก่ประเทศไทย
125 พุทธศาสนา โอวาทปาฏิโมกข์ วันมาฆะบูชาของชาวพุทธไทยและชาวพุทธทั้งโลก
126 การเมืองไทยวันนี้ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ พิธา-ก้าวไกลคิดล้มล้างการปกครอง ไม่ผิดหรอก
127 การเมืองไทยคัวอย่างที่น่าอัยอาย อำนาจตุลาการสูงสุดถูกแทรกแซงก้าวก่ายลดน้อยด้อยค่ามาตลอดจากอำนาจยริหารแม้หน่วยงานกระจิบกระจ้อยต้อยต่ำแค่กรมราชทัณฑ์ยังทำได้
128 เรื่องราวของชีวิต ตอนที่ 5
129 พุทธศาสนารายวัน 9 มี.ค.2566 มรรค 8 เพื่อบรรลุอริยบุคคลอรหันต์
130 การเมืองไทยวันนี้ 11 มี.ค. 2567 ศึกษาการเมืองไทย ประชาธิปไตยไม่เหมาะแก่การเมืองสัตว์ป่า จ่าฝูงเผด็จการทุกชนิด ประชาชนไทยต้องตื่นทำหน้าที่แล้วดูนายพลยอร์จ วอชิงตัน ผู้รู้ธรรมะประชาธิปไตยโลก
131 พุทธศาสนา สมาธิสูงสุดปราณ และ 9 เทกนิคการฝึกสมาธิของแพทย์ประสานกัน
132 การเมืองไทยวันนี้ยังเละเทะสับสนด้วยยุคซ็อฟท์เพาเวอร์ และพลังสงครามจิตวิทยา อันซ่อนเร้นเกินความรู้สึกอันเกี่ยวกับการเมืองอันตรายทั้งสิ้น
133. รวมเรื่องร้ายกาจรายวันในโลกยุคนี้ 4 เรื่อง
134 การเมืืองไทยวันนี้ 30 มี.ค.2567 บอกความคิดอ่านยังด้อยพัฒนาเป็นการเมืองต่ำต้อยด้อยพัฒนาจริง ๆ
135. การเมืองไทยในรัฐสภาวันนี้ 28 มี.ค. 2567 รับเรื่องบ่อนการพนันครบวงจรถูกกฎหมาย



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
----- ***** ----- โปรดใช้บริการการแปลของ Google Translate นี่คือเวบไซต์คู่ www.newworldbelieve.com กับ www.newworldbelieve.net เราให้เป็นเวบไซต์ที่เสนอธรรมะหรือ ความจริง หรือ ความคิดเห็นในเรื่องราวของชีวิต ตั้งใจให้ธัมมะเป็นทาน ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แด่คนทั้งหลาย ทั้งโลก ให้ได้รู้ความจริงของศาสนาต่าง ๆในโลกวันนี้ และได้รู้ศาสนาที่ประเสริฐเพียงศาสนาเดียวสำหรับโลกยุคใหม่ จักรวาลใหม่ เราได้อุทิศเนื้อที่ทั้งหมดเป็นเนื้อที่สำหรับธรรมะทั้งหมด ไม่มีการโฆษณาสินค้า มาแต่ต้น นับถึงวันนี้ร่วม 14 ปีแล้ว มาวันนี้ เราได้สร้างได้ทำเวบไซต์คู่นี้จนได้กลายเป็นแดนโลกแห่งความสว่างไสว เบิกบานใจ ไร้พิษภัย เป็นแดนประตูวิเศษ เปิดเข้าไปแล้ว เจริญดวงตาปัญญาละเอียดอ่อน เห็นแต่สิ่งที่น่าสบายใจ ที่ผสานความคิดจิตใจคนทั้งหลายด้วยไมตรีจิตมิตรภาพล้วน ๆ ไปสู่ความเป็นมิตรกันและกันล้วน ๆ วันนี้เวบไซต์ สื่อของเราทั้งหมดนี้ ได้กลายเป็นแดนสนุกน่าท่องเที่ยวอีกโลกหนึ่ง ที่กว้างใหญ่ไพศาล เข้าไปแล้วได้พบแต่สิ่งที่สบายใจมีความสุข ให้ความคิดสติปัญญา และได้พบเรื่องราวหลายหลากมากมาย ที่อาจจะท่องเที่ยวไปได้ตลอดชีวิต หรือท่านอาจจะอยากอยู่ณโลกนี้ไปชั่วนิรันดร และซึ่งเป็นโลกหรือบ้านของท่านทั้งหลายได้เลยทีเดียว ซึ่งสำหรับคนต่างชาติ ต่างภาษาต่างศาสนา ได้โปรดใช้การแปลของ กูเกิล หรือ Google Translate แปลเป็นภาษาของท่านก่อน ที่เขาเพิ่งประสบความสำเร็จการแปลให้ได้แทบทุกภาษาในโลกมนุษย์นี้แล้ว ตั้งแต่ต้นปีนี้เอง นั้นแหละเท่ากับท่านจะเป็นที่ไหนของโลกก็ตาม ทั้งหมดโลกกว่า 8 พันล้านคนวันนี้ สามารถเข้ามาท่องเที่ยวในโลกของเราได้เลย เราไม่ได้นำท่านไปเที่ยวแบบธรรมดาๆ แต่การนำไปสู่ความจริง ความรู้เรื่องชีวิตใหม่ การอุบัติใหม่สู่ภาวะอริยบุคคล ไปสู่การเปลี่ยนแปลงไปพ้นจากทุกข์ ทั้งหลายไปสู่โลกแห่งความสุขแท้นิรันดร คือโลกนิพพานขององค์บรมศาสดาพุทธศาสนา พระบรมครูพุทธะ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงแต่ท่านโปรดใช้บริการการแปลของ Google Translate ท่านก็จะเข้าสู่โลกนี้ได้ทันทีพร้อมกับคน 8 พันล้านคนทั้งโลกนี้. ----- ***** ----- • หมายเหตุ เอาขึ้นเวบไซต์ แทนของเดิม ทั้ง 2 เวบ .net .com วันที่ 21 เม.ย. 2565 เวลา 07.00 น.