Thai-English

      

 

A.

ทวนความหลัง  อรหันต์องค์สุดท้ายปรากฏในยุคพระเจ้ามิลินทร์ ในหนังสือ มิลินทร์ปัญหา  500 ปีหลังพุทธเจ้าดับขันธ์ไปแล้ว 

พระเจ้ามิลินทร์ทรงเป็นปราชญ์ และทั้งนับรบ  ทรงขนาบนักบวชศาสนาต่าง ๆ  จนไม่อาจจะขยับเขยื้อนมาลองวาทะกับพระองค์ได้   และรวมทั้งศาสนาพุทธด้วย   จึงเป็นระยะที่จะมีการประกาศความเชื่อแบบพระยามิลินท์ขึ้นมาใหม่ในโลกอีกครั้งหนึ่ง  อีกลัทธิหนึ่ง  หากแต่ วงการพุทธได้บังเกิดอรหันต์ 2 องค์สำคัญองค์สุดท้าย  คือ  พระนาคเสนมหาเถระ  กับพระอายุบาล ขึ้นในสมัยนั้น   ทำการปราบปรามวาทะทุจริตของพระอยามิลนทร์ลงได้   ด้วยอำนาจแห่งปัญญาระดับอรหันต์รู้แจ้งโลกมีขึ้นมา  

คำว่าพระอรหันต์จึงหมายถึงผู้รู้แจ้งโลก รู้สัจธรรมสูงสุด  รวมทั้งรู้คำสอนลัทธินิกายอื่น ๆ ทั้งสิ้น  หากโลกขาดพระอรหันต์ ไปเสียแล้วก็เสมือนโลกขาดผู้รู้คอยพิทักษ์วิชชาเอาไว้ นำโลกสู่ความมืด สู่อวิชชาอีกครั้งหนึ่งนั่นเอง

จากนี้ถือว่าหมดยุคพระอรหันต์  ต่อมาจึงเกิดมีพระเยซูมาประกาศศาสนาพระเจ้ายะโฮวาห์ขึ้นในโลกนี้  และเผยแผ่ออกไปแบบเป็นเพียงจินตนาการ ความเชื่อ ความใฝ่ฝัน เพ้อเจ้อ  เท่านั้นเอง  เพราะหาสัจธรรมไม่ได้เลย  แต่เนื่องจากโลกว่างจากพระอรหันต์ลัทธิเยซูจึงแผ่ผายออกไป   จน600 ปีต่อมามีอีกลัทธิหนึ่งคือ  อิสลาม ของมุฮำมัด  ประกาศเผยแผ่ออกไปทับซ้อนลงไปกับคริสต์ศาสนา  เป็น 2 ลัทธิหลงผิด จนนำมาซึ่งสงครามโลกครั้งยิ่งใหญ่ คือสงครามครูเสด  ที่สอนคนให้อาฆาต พยาบาท จองเวร กันมาถึงทุกวันนี้ กว่า 300 ปีแล้ว  อันเนื่องจากโลกว่างเว้นไปจากพระอรหันต์ในพระพุทธศาสนานั้นเอง จึงเกิดศาสนาคริสต์  และอิสลามขึ้นมาพาคนหลงไปนอกทางบุญทางบาป  นอกทางความจริงของชีวิต มาจนถึงวันนี้ เวลานี้

มาถึงโลกยุคใหม่

แล้วได้พบว่า มีการเกิดขึ้นของปัญญาชนผู้รู้แจ้งโลก  ในวงการเมือง มหาอำนาจโลก จนสามารถสร้างประเทศขึ้นมาใหม่เป็นมหาอำนาจ  คือ  สหรัฐอเมริกาเกิดขึ้น

จึงได้เห็นร่องรอยของการฟื้นขึ้นมาสู่โลกยุคใหม่ของพระอรหันต์ผู้รู้แจ้งสัจธรรมแห่งโลก

นั่นคือการได้พบว่า ผู้นำยุคนั้น ผู้ประกาศชัยชนะสงครามสันติภาพที่ยืดเยื้อ  ชนะอังกฤษ ฝรั่งเศส เจ้าอาณานิคมยุคนั้น ลงทะเลหายไปเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่    

แทนที่จะประกาศยกประเทศตนขึ้นเป็น  จักรพรรดิ  แห่งสหรัฐอเมริกามหาจักรพรรดิ์    เป็นมหาจักรพรรดิ ยอรจ วอชิงตัน แห่งมหาประเทศจักรพรรดิอเมริกา

แต่กลับมาใช้หลักการแบ่งปันอำนาจ อันเป็นหลักการประชาธิปไตย การปกครองยุคใหม่  สร้างรัฐธรรมนูญขึ้นกำหนดกฎการเมืองประชาธิปไตย  ที่เป็นการถาวรลงตัวมาตั้งแต่นั้นถึงวันนี้

และโดยสัจธรรมคือประชาธิปไตยและความประพฤติของเขา นายพลยอร์จ วอชิงตัน    ที่ประกาศไม่รับฐานะ จักรพรรดิ แห่งอเมริกา 

ถึงขนาดพระเจ้ายอร์จที่3 แห่งอังกฤษ มีพระราชกระแสว่า  “เขาจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก “

B.

และคณะของเขาทั้งประเทศยกย่องเป็น  “บิดาแห่งประเทศของเรา”

ในประวัติสำคัญว่า

“รับผิดชอบการร่างรัฐธรรมนูญใน ค.ศ. 1787 เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกา ดำรงตำแหน่ง ค.ศ. 1789-1797[1][2][3] วอชิงตันเป็นผู้นำการสร้างรัฐบาลแห่งชาติที่เข้มแข็งและมีการคลังที่ดี ซึ่งวางตนเป็นกลางในสงครามที่ปะทุขึ้นในยุโรป ปราบปรามกบฏและได้รับการยอมรับจากชนอเมริกันทุกประเภท รูปแบบความเป็นผู้นำของเขาได้กลายมาเป็นระเบียบพิธีของรัฐบาลซึ่งปฏิบัติสืบต่อกันมานับแต่นั้น

อาทิ การใช้ระบบคณะรัฐมนตรีและการปราศรัยในโอกาสเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ ของยอร์จ วอชิงตันซึ่งน่าคิดว่า ได้รู้ธรรมะชั้นสูงส่งในพระพุทธศาสนา (ระดับไม่แพ้อัลเบิร์ต ไอสไตน์)  เขาจึงมาตกลงแบ่งอำนาจการเมืองกันโดยอเมริกันทุกคนแต่ละคนจะได้เท่ากัน  คนเท่ากันได้รับส่วนแบ่งแห่งอำนาจการเมืองคนละ 1 อำนาจเท่ากันหมด  ขอแต่ให้เป็นคนเสรีชน  พึ่งตนเองได้  มนุษย์จะต้องเสมอกัน ในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์...คำว่าเสรีชนนั้น เป็นสิ่งที่มีคุณค่าสูงสุดที่น่ามาจาก จอร์จ วอชิงตันทรงปัญญารู้แจ้งสัจธธรรมเรื่องไตรลักษณ์ คือทุกขัง  อนิจจัง  และ อนัตตา  ได้บรรลุอรหัตผลนั่นเอง  ยังชัดเจนไปอีกตามประวัติย่อว่า 

“ เป็นผู้นำทางทหารและการเมืองของอเมริกา ในสงครามประกาศอิสรภาพ เป็นหนึ่งในคณะทำงานที่รับผิดชอบการร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกของอเมริกา และเป็นผู้นำที่ปฏิเสธตำแหน่ง “จักรพรรดิแห่งอเมริกา” แต่เลือกเป็น “ประธานาธิบดี” ที่มาจากการเลือกตั้งทุกๆ 4 ปี”... นั่นแหละลักษณะผู้รู้ธรรมเสรีภาพสูงสุดในพระพุทธสาสนา(เสรีภาพที่พ้นทาสตัณหาทุกประการ คำว่าจักรพรรดิ นั้นก็คือภวะตัณหา-วิภวะตัณหา  การปฏิเสธนั้นหมายถึงจิตใจที่หลุดพ้นไปแล้ว บรรลุอรหัตตผลนิพพานได้...แต่ทางมนุษย์ เอาแค่ไม่เป็น “ทาส”  ก็ดีพอเป็นประชาธิปไตยได้)”

และคนอเมริกันก็ยกย่องทั่วไปว่าเป็น "บิดาแห่งประเทศของเขา" ด้วย

แม้สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่งจักรภพอังกฤษ ก็ทรงตรัสถามวอชิงตันว่าจะทำอะไรต่อไป และทรงได้รับข่าวลือมาว่าวอชิงตันจะกลับไปยังบ้านไร่ของตนเองไม่คิดเรื่องอำนาจ-ตำแหน่งทางการเมืองอีก  ทำให้มีพระราชกระแสในทันทีว่า "ถ้าเขาทำเช่นนั้น เขาจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก"(คือบรรลุอรหันต์) ซึ่งวอชิงตันก็ได้กลับไปใช้ชีวิตสมถะอย่างชาวไร่จริง ๆ ที่เมานต์เวอร์นอน นั่นแหละการบำเพ็ญเพียรตามแบบเจ้าชายสิทธัตถะ ผู้สละราชสมบัติ บัลลังก์จักรพรรดิ เข้าป่า วิเวกที่วิเวกจนรู้แจ้งสัจธรรมโลกทั้ง 4 ประการเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาได้  วอชิงตัน "ในยามรบ ยามสงบ และในหัวใจของเพื่อนร่วมชาติ        เขาคือที่หนึ่ง สำหรับอเมริกันชนทั้งปวง

ประวัติทางการทหารการรบ

“วอชิงตันมีทั้งศักดิ์ศรี ประสบการณ์ด้านการทหาร มีบุคลิกภาพที่งามสง่า มีประวัติในการเป็นผู้รักชาติ และเขาได้รับการสนับสนุนจากรัฐภาคใต้ในขณะนั้น โดยเฉพาะจากเวอร์จิเนีย ถึงแม้เขาไม่ได้ต้องการมีตำแหน่งหน้าที่เป็นผู้นำทัพ และเขายังกล่าวด้วยว่าเขาเองอาจไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง แต่ในที่ประชุมก็ไม่มีใครแข่งขันด้วย”

สภาฯ ได้ก่อตั้งกองทัพบกที่เรียกว่ากองทัพฝ่ายอาณานิคม (Continental Army) ในวันที่ 14 มิถุนายน วอชิงตันติดยศพลตรีและได้รับเลือกจากสภาฯ ให้เป็นผู้บัญชาการกองทัพบกฝ่ายอาณานิคม (Commander-in-chief)

เดือนธันวาคม ค.ศ. 1777 กองทัพของวอชิงตันได้ตั้งค่ายที่ วอลเล่ย์ ฟอจ เป็นเวลา 6 เดือน ในช่วงฤดูหนาวนั้นทหารจำนวน 2,500 คนจากจำนวน 10,000 คนได้เสียชีวิตจากโรคและความหนาวเหน็บ ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ กองทัพได้ฟื้นตัวขึ้นที่ วอลเล่ย์ ฟอจ

ในปี ค.ศ. 1779 ทหารอังกฤษได้ถอนออกจากเมืองฟิลาเดลเฟีย และกลับสู่เมืองนิวยอร์ก ในขณะนั้นวอชิงตันได้อยู่กับกองทัพของเขาในด้านนอกของนิวยอร์ก และในฤดูร้อนของปี ค.ศ. 1780 ด้วยคำสั่งของวอชิงตัน นายพลจอห์น ซูวิลเลียน, ได้ตอบโต้ต่อการที่ Iroquois และ Tory โจมตีชาวอาณานิคมอเมริกันในช่วงต้นของสงคราม เป็นการรบชนะที่เด็ดขาด สามารถทำลายอย่างน้อย 40 หมู่บ้าน Iroquois ทั่วทั้งตอนเหนือของรัฐนิวยอร์ก เขาได้โจมตีครั้งสำคัญในวันที่ 17 ตุลาคม ค.ศ. 1781 หลังจากชัยชนะของกองทัพเรือฝรั่งเศส ทำให้กำลังทัพของอังกฤษยอมแพ้ที่ยอร์คเทาน์ และทำให้สงครามได้ยุติลง

C.

มีสนธิสัญญาสงบศึกกับอังกฤษ (Treaty of Paris) ที่ยอมรับในความเป็นเอกราชของประเทศสหรัฐอเมริกา วอชิงตันจึงได้สลายทัพบกในความรับผิดชอบของเขา และในวันที่ 2 พฤศจิกายน เขาได้กล่าวอำลาต่อทหารของเขา

วันที่ 25 พฤศจิกายน อังกฤษถอนกำลังออกจากนิวยอร์ก วอชิงตันและผู้ว่าการรัฐจึงเข้ายึดพื้นที่ที่ Fraunces Tavern วันที่ 4 ธันวาคม เขากล่าวอำลานายทหารของเขา และวันที่ 23 ธันวาคม เขาลาออกจากการเป็นผู้บัญชากองทัพบกฝ่ายอาณานิคม (commander-in-chief) และเป็นต้นแบบของผู้นำประเทศสาธารณรัฐที่ปฏิเสธการใช้อำนาจ ในระหว่างนั้นประเทศสหรัฐมีการปกครองโดยบทบัญญัติว่าด้วยสมาพันธรัฐ (Articles of Confederation) ซึ่งยังไม่มีประธานาธิบดีและรัฐบาลอย่างที่มีในปัจจุบัน

 

 วอชิงตันทำพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1789 ภายในอาคาร เฟดเดอรัลฮอล นิวยอร์กซิตี้ ถึงแม้ว่าในตอนแรกเขาไม่ต้องการที่จะรับตำแหน่งนี้

 

สภาคองเกรสที่ 1 ได้ออกเสียงอนุมัติเงินเดือนของวอชิงตันที่ปีละ 25,000 ดอลลาร์ ซึ่งจัดว่ามีมูลค่ามากในขณะนั้น แต่เนื่องด้วยวอชิงตันได้เป็นผู้มีฐานะอยู่แล้ว จึงปฏิเสธที่จะรับเงินเดือนเพราะเขาเห็นว่าการเข้ารับตำแหน่งเป็นการทำงานรับใช้ประเทศอย่างไม่เห็นแก่ตน แต่ด้วยการหว่านล้อมของสภาฯ เขาจึงได้ยอมรับเงินเดือนนั้น ซึ่งเรื่องนี้ได้เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ เพราะเขาและบรรดา “บิดาผู้ก่อตั้งประเทศ” (Founding fathers) ต้องการให้ตำแหน่งประธานาธิบดีในอนาคตสามารถมาจากคนที่กว้างขวาง โดยไม่ถูกจำกัดด้วยสถานะทางเศรษฐกิจของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี

 

วอชิงตันได้เข้ารับหน้าที่อย่างระมัดระวัง เขาต้องการให้มั่นใจได้ว่าระบบของสาธารณรัฐจะไม่ทำให้ตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นเหมือนกษัตริย์แห่งราชสำนักในยุโรป เขาชอบที่จะให้คนเรียกเขาว่า “ท่านประธานาธิบดี” (Mr. President) มากกว่าที่จะเรียกเป็นอื่นๆในลักษณะที่เรียกกษัตริย์   หรือ จักรพรรดิ์

 

หลังจากการรับตำแหน่งในวาระแรก เขาลังเลที่จะรับตำแหน่งต่อในวาระที่สอง และเขาปฏิเสธที่จะดำรงตำแหน่งต่อในวาระที่สาม และนั่นจึงเป็นประเพณีสืบต่อมาที่จะไม่มีใครรับตำแหน่งประธานาธิบดีเกิน 2 สมัย จนกระทั่งในการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งที่ 22 ช่วงหลังสงครามโลกรั้งที่สองแล้ว จึงได้มีการตราเป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญว่าประธานาธิบดีจะดำรงตำแหน่งติดต่อกันได้ไม่เกิน 2 สมัย

 

แต่เขาปฏิเสธที่จะใส่ส่วนที่เกี่ยวข้องกับศาสนาที่อาจสร้างความขัดแย้ง

แต่ให้เน้นความสำคัญของการศึกษา และเห็นว่าศีลธรรมของชาติจำเป็นต้องมีหลักการแห่งศาสนา

แนวคิดของวอชิงตันนั้นเอง ทำให้การสอนในโรงเรียนศาสนา(คริสต)เปลี่ยนไปนจากการบังคับให้เชื่อ  โดยมีปรากฎการณ์จากบุตรของท่านประธานาธิบดีท่านหนึ่งนั่นเอง ทำให้ต้องเข้าไปดูการสอนในโรงเรียนศาสนาด้วยตนเอง  และเตือนอย่างเด็ดขาด  อย่าสอนโดยการบังคับให้นักเรียนเชื่อ แต่สอนโดยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์  อันน่ามาจากสัจธรรมของกาลามสูตรนั่นเอง

D.
<<<วอชิงตันกล่าวเตือนถึงอิทธิพลจากยุโรป ที่จะมาแทรกแซงการเมืองภายในของสหรัฐฯ เขากล่าวเตือนว่าการเมืองภายในจะไม่เอนเอียงเข้ากับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เขาเรียกร้องให้อเมริกาเป็นอิสระจากการผูกพันกับต่างประเทศ แต่เป็นมิตรกับทุกประเทศ และเตือนไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสงครามในยุโรป หรือไปเป็นพันธมิตรที่ซับซ้อนพัวพัน (Entangling alliances)[52] คำกล่าวของเขาได้กลายเป็นค่านิยมของอเมริกันทางด้านศาสนาและด้านการต่างประเทศในยุคต่อมา>>>

 

นี่คือเรื่องราวชีวิตของบุคคลสำคัญทางโลก  ที่ส่อร่องรอยเค้าแห่งสติปัญญาต้องตรงตามหลักสัจธรรมทางพระพุทธศาสนา และแสดงภาคส่วนแห่งจิตวิญญาณสูงส่งทางปัญญารู้แจ้งอริยสัจธรรมถึงระดับ อริยบุคคลอรหันต์เลย

และนั่นหมายถึง ยอร์จ  วอชิงตัน   ผู้ที่ได้สร้างระบบการเมือง สถาบันประชาธิปไตยโลกขึ้นเป็นครั้งแรก  แห่งแรกที่ประเทศสหรัฐอเมริกา  เป็นแบบประชาธิปไตยโลกที่โลกต้องการการเมืองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ที่โลกกำลังเห่อเหิมกันไปทั้งโลก

และนั่น แท้จริงคือพุทธศาสนานั่นเอง  ฟึกฟื้นขึ้นมา  แผ่ผายไปสู่คนยุคใหม่ในนาม ประชาธิปไตย  ในนามสิทธิเสรีชนคนทั้งหลาย   หรือคำว่า  สิทธิมนุษยชน  นั่นเอง  ไปสู่ประเทศต่าง ๆ  ทั่วโลก

ประชาธิปไตยกับพระพุทธศาสนาเป็นสิ่งเดียวกันอย่างไร  ? 

จริยธรรม 3 ของระบอบประชาธิปไตยคือ  เสรีภาพ  เสมอภาค   ภราดรภาพ คือสัจธรรมพุทธเต็มตัวเลยนั้น ทำไมชาวไทยพุทธไม่เข้าใจ 

นี่แหละ  ระดับผู้รู้  อรหันตบุคคลจะไม่สงสัย  และมีแต่จะส่งเสริมประชาธิปไตยออกไปทั่วโลก  เพราะนั่นคือการเผยแผ่สัจธรรมพุทธศาสนาตรงไปเพื่อประโยชน์ทางการเมือง  และสูงส่งไปกว่านั้นอีกก็เพื่อประโยชน์ทางมรรคผล นิพพานโดยตรง ตามลำดับชั้นไปอีกนั่นเอง

มาสู่ยุคใหม่

พระอรหันต์คือผู้รู้ ผู้ไม่สำเร็จระดับอรหันต์ ก็จะไม่รู้

เช่น มูดี้ (Dr.B.K.Modi) มหาเศรษฐี อินเดีย ผู้อุทิศชีวิตศึกษาพระพุทธศาสนาอยู่ถึง30 ปี  แล้วลงทุน 3,000 ล้านบาทสร้างภาพยนตร์ ซีรี่ส์ยิ่งใหญ๋ขึ่นมา คือ  พระพุทธเจ้า มหาศาสดาของโลก   10 กว่าปีมาถึงวันนี้ ที่ชาวพุทธทั่วโลกชื่นชมว่าเป็นเรื่องยิ่งใหญ่  เป็นการเผยแผ่พระพุทธศาสนาออกไปทั่วโลก

E.

หากแต่แท้จริง  ไม่ใช่ .....  เป็นการเผยแผ่ฮินดู ไปด้วย   เพราะเขามองว่า พระพุทธเจ้านั้นเป็นอวตารองค์หนึ่งฃของผู้มีบุญ  ที่เขาบอกต้นเรื่องไว้ว่า  เมื่อโลกมีภัยร้ายขึ้นมา ผู้มีบุญก็จะอวตารลงมาช่วยโลก  ก่อนนี้ก็มีอวตารของกฤษณะ  แล้ว...ก็ตามรามเกียรตินั่นเอง มายุคนี้ ผู้มีบุญก็ส่งพระพุทธเจ้าอวตารลงมาช่วยโลกอีก   ซึ่งบอกความหมายเช่นที่พรหมณ์-ฮินดูเคยบอกมาว่า  พระเจ้าของเขานั้นอวตารมา 10 ปางแล้ว  ปางสุดท้ายเป็นพระพุทธเจ้า นั้นเอง  .....ซึ่งความจริงไม่ใช่เลย  พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลายอยู่เหนือเทพเจ้า เหนือศาสดาลัทธิศาสนาอื่น ๆ ทั้งหมด

ไปดู ดร.อัมเบดก้าร์  ผู้เขียน รธน.อินเดีย และประกาศตนนับถือพุทธศาสนา  ว่าตนเกิดมาในครอบครัวฮินดู แต่จะตายแบบพุทธ และศึกษารู้แจ้งสัจธรรมสำเร็จอรหันต์ จนพาชาวอินเดียฟื้นฟูพระพุทธศาสนายุคใหม่ขึ้น  มีการชุมนุมกันในเดือนธันวาคม ที่เมืองนาคปุระและเมืองบอมเบย์     ทุกปี ๆ  และมาร่วมปฏิญญาณกันทุกปี 22 ข้อ .....ตามข่าวคือ 

วันที่ 26 ธันวาคม พุทธศักราช 2560 ชาวอินเดียที่เมือง นาคปุระ และ เมืองบอมเบย์ จำนวนหลายหมื่นคน  ได้รวมตัวกันปฏิญญาณตนเป็นพุทธศาสนิก  เป็นการปฏิณาณตนตามแบบ ดร..บี.อาร์.อัมเบดการ์  22 ข้อดังนี้(เป็นแบบต่อมาทุกเดือนธ.ค.ของทุกปี)

๑.ข้าพเจ้าจะไม่บูชาพระพรหม พระศิวะ พระวิษณุต่อไป

๒.ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อว่าพระราม พระกฤษณะ เป็นพระเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่เคารพต่อไป

๓.ข้าพเจ้าจะไม่เคารพบูชาเทวดาทั้งหลายของศาสนาฮินดูต่อไป

๔.ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อลัทธิอวตารต่อไป

๕.ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อว่า พระพุทธเจ้าคืออวตารของพระวิษณุ การเชื่อเช่นนั้น คือคนบ้า

๖.ข้าพเจ้าจะไม่ทำพิธีสารท และบิณฑบาตแบบฮินดูต่อไป

๗.ข้าพเจ้าจะไม่ทำสิ่งที่ขัดต่อคำสอนของพระพุทธเจ้า

๘.ข้าพเจ้าจะไม่เชิญพราหมณ์มาทำพิธีทุกอย่างไป

๙.ข้าพเจ้าเชื่อว่าทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้มีศักดิ์ศรีและฐานะเสมอกัน

๑๐.ข้าพเจ้าจะต่อสู้เพื่อความมีสิทธิเสรีภาพเสมอกัน

๑๑.ข้าพเจ้าจะปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ โดยครบถ้วน

๑๒.ข้าพเจ้าจะบำเพ็ญบารมี ๑๐ ทัศ โดยครบถ้วน

๑๓.ข้าพเจ้าจะแผ่เมตตาแก่มนุษย์และสัตว์ทุกจำพวก

๑๔.ข้าพเจ้าจะไม่ลักขโมยคนอื่น

๑๕.ข้าพเจ้าจะไม่ประพฤติผิดในกาม

๑๖.ข้าพเจ้าจะไม่พูดปด

๑๗.ข้าพเจ้าจะไม่ดื่มสุรา

๑๘.ข้าพเจ้าจะบำเพ็ญตนในทาน ศีล ภาวนา

๑๙.ข้าพเจ้าจะเลิกนับถือศาสนาฮินดู ที่ทำให้สังคมเลวทราม แบ่งชั้นวรรณะ

๒๐.ข้าพเจ้าเชื่อว่าพุทธศาสนาเท่านั้นที่เป็นศาสนาที่แท้จริง

๒๑.ข้าพเจ้าเชื่อว่าการที่ข้าพเจ้าหันมานับถือพระพุทธศาสนานั้นเป็นการเกิดใหม่ที่แท้จริง

๒๒.ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าจะปฏิบัติตน ตามคำสอนของพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด

หลังจากปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะแล้ว ท่านอัมเบ็ดกากล่าวว่า "ข้าพเจ้าเกิดมาจากตระกูลที่นับถือศาสนาฮินดู แต่ข้าพเจ้าจะขอตายในฐานะพุทธศาสนิกชน        

https://youtu.be/YMJFe66sGHw

F.

ท่านจะเห็นว่าดร.อัมเบ็ดก้า ได้พาชาวอินเดียใหม่คือพุทธ สาบาญตรงไปตรงมาตามข้อ ๑.ข้าพเจ้าจะไม่บูชาพระพรหม พระศิวะ พระวิษณุต่อไป  ๒.ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อว่าพระราม พระกฤษณะ เป็นพระเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่เคารพต่อไป

๓.ข้าพเจ้าจะไม่เคารพบูชาเทวดาทั้งหลายของศาสนาฮินดูต่อไป๔.ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อลัทธิอวตารต่อไป จะไม่นับถือพระพรหม  อิศวร  นารายณ์ อีกเลย จะเอาเทวรูปเหล่านี้ไปโยนทิ้งลงเหว   

มันยากที่จะเข้าใจ ดร.อัมเบดก้า และชาวพุทธแท้อินเดีย ที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วทุกปี ๆ 

แต่นั่นแหละ   ภูมิปัญาสูงสุดย่อมรู้จริงกว่าคนอื่นทั้งสิ้น  คือ มูดี  ไปเทียบเชิงปัญญากับ อัมเบดก้ามันคนละชั้นกันเลย...มูดี น่าเพิ่งเข้าระดับโสดาบันมรรคอ่อน ๆ เท่านั้นเอง ก็มูดี้ยังบอกเลยว่า พระพุทธเจ้า เป็นอวตารของกฤษณะ หรือ  ผู้มีบุญ อยู่  ทีเดียว    แต่ดูเหมือนคนจะชอบหรือนับถือ มูดี้มากกว่า...นั่นแหละเรื่องความโง่

ถ้าโลกมีผู้รู้อยู่วันนี้  แน่นอนเขาก็จะบอกความจริงต่าง ๆ ให้ชาวโลกได้รู้ …แบบที่ดร.อัมเบดก้า บอกมานั่นเอง

อันเป็นความจริงสูงสุด  ที่บอกถึงความรู้วิชชา  ที่ย่อมหักล้างอวิชชาโดยอัตโนมัติเองอยู่แล้ว

ทบทวนมานี้เพื่อให้รู้ว่า  อรหันต์ นั้นคือปัญญา ไม่จำกัดว่าจะเป็นนักบวชหรือฆราวาส   เพราะคนย่อมมีปัญญา  มีขันธ์5เท่ากัน  มีรูป เวทนา สัญญา  สังขาร วิญญาณ เท่ากันและโดยเหตุ  ทำดีอยู่ตราบใดโลกไม่ว่างเว้นอรหันต์

และอรหันต์นั้นเป็นคุณประโยชน์แด่โลกอย่างยิ่งใหญ่แน่ ๆ ฟังและ ทำตามท่านเถิด(ทำตามท่าน ดร.อัมเบ็ดก้าเถิด)

@ พุทธศาสนธรรมมรรคผลนิพพานยุคเก่ายุคใหม่ยอร์จ วอชิงตันถึงดร.อัมเบดก้า

-----

Thai-English

Buddhism, Dhamma, Path, Nirvana, old era, new era, George Washington to Dr. Ambedkar

A.

Referring to the past, the last Arahant appeared in the era of King Milin, in the book Milin Pankha, 500 Years After the Buddha's Death.

King Milin was a wise man and a warrior. He rebuked the religious monks of various religions until they could not move to try to argue with him. and including Buddhism as well Therefore, it is a period when Phraya Milin's beliefs will be re-proclaimed in the world once again. Another sect, but the Buddhist circles have produced two important Arahants, the last being Phra Nāgasenā Maha Thera. with His Majesty happened in those days was able to suppress the corrupt words of Phra Ayamilon. With the power of the Arahant's knowledge, the world came to be known.

The word Arahant therefore means one who knows the world. Know the highest truth Including knowing the teachings of all other sects. If the world lacks Arahants Once gone, it is like the world lacks knowledgeable people to protect wisdom. Leading the world into darkness To ignorance again.

From now on, it is considered that the era of Arahants has ended. Later, Jesus came to preach the religion of Jehovah in this world. and spread it out as mere imagination, belief, ambition, and delusion, that's all, because no truth can be found at all. But because the world was free of Arahants, the cult of Jesus spread out until 600 years later, another cult, Islam of Muhammad, announced its spread and overlapped with Christianity, becoming 2 delusional cults, leading to a world war. big time is the crusade That has taught people to be revengeful, vengeful, and to hold revenge until today, more than 300 years ago, because the world has been free of Arahants in Buddhism. Thus was born Christianity. And Islam came up and led people astray from the path of merit and sin. Outside the reality of life Until today, this time

Arriving in the new world

Then it was discovered that there was the emergence of intellectuals who enlightened the world in the political sphere, a world superpower, to the point of being able to create a new country into a superpower, namely the United States of America.

Thus we see traces of the resurrection into the modern world of the Arahant who has known the truth of the world.

That is to find that the leader of that era who declared victory in the prolonged peace war defeated England and France, the colonial masters of that era. Lost into the sea was a great victory.

Instead of declaring his country to be the Emperor of the United States, the Great Emperor He was the great emperor, George Washington, of the great nation of America.

But back to using the principle of power sharing. which is a democratic principle new era governance Create a constitution to establish the rules of democratic politics. which has been permanent since then until today

And in truth, it is democracy and his conduct. General George Washington announced that he would not accept the position of Emperor of America.

To the point of King George III of England saying that “He will be the greatest in the world.”

B.

and his group throughout the country praised them as "Father of our country"

In the important history that

“Responsible for drafting the Constitution in 1787, he served as the first President of the United States, serving from 1789-1797. [1][2][3] Washington led the creation of a strong, fiscally sound national government. That's good. who were neutral in the war that broke out in Europe Suppress rebellion and gain acceptance from all types of Americans. His leadership style became a government protocol that has continued ever since.

For example, George Washington's use of the Cabinet system and speech on the occasion of his official presidential inauguration, which is worth thinking about. Gain knowledge of the highest dharma in Buddhism. (Level not inferior to Albert Einstein) So he came to an agreement to divide political power so that every American would have the same amount. Equal people receive an equal share of political power. I just want to be free people, self-reliant. Human beings must be equal. In human dignity...the word freeman is It is something of the highest value that should come from George Washington, who had wisdom and knowledge of the truth about the Three Characteristics, namely dukkha, impermanence, and anattā, and attained arahativity. It is also clear from the brief history that

“Being America's military and political leader. In the War of Independence It was one of the working groups responsible for drafting America's first constitution. And it is the leader who refuses the position. "Emperor of America" but chooses to be "President" who is elected every 4 years"... That is the characteristic of a person who knows the highest freedom in Buddhasasana (freedom that is free from the bondage of every desire). word emperor That is bhava tanhā - vibhava tanhā. Refusal means a mind that has become liberated. Arahat can be achieved and nirvana...but only through human means. Just not being a "slave" is good enough to be a democracy)"

and Americans generally praise it as also "father of his country"

Even King George III of the British Commonwealth He asked Washington what he would do next. And he received rumors that Washington would return to his homestead and not think about power or political position again. causing immediate royal news that "If he does that He will be the greatest in the world.” Washington returned to the humble life of a farmer at Mount Vernon. That is Prince Siddhartha's practice of diligence. abdicate The emperor's throne, went into the forest, found solitude until he realized the four worldly truths and became the Buddha. Washington "in battle, in peace, and in the hearts of our fellow citizens He is number one For all Americans

History of military warfare

“Washington has dignity. Military experience Have an elegant personality Has a history of being a patriot And he had the support of the southern states at the time. Especially from Virginia Even though he didn't want to have the position of being the leader of the army. And he also said that he himself may not be suitable for the position. But at the meeting there was no one competing.”

The House of Representatives established the Continental Army on June 14. Washington rose to the rank of major general and was elected by the House of Representatives. to be commander of the colonial army (Commander-in-chief)

In December 1777, Washington's army camped at Whalley Forge for six months. That winter, 2,500 of the 10,000 soldiers died from disease and cold. during the spring The army recovered at Volley Forge.

In 1779, British troops withdrew from Philadelphia. and returned to New York City At the time, Washington was with his army just outside of New York. And in the summer of 1780, at the behest of Washington, General John Suvillian, responded to Iroquois and Tory attacks on American colonists early in the war. It was a decisive battle. It was able to destroy at least 40 Iroquois villages throughout upstate New York. He launched his major attack on October 17, 1781, after the French navy's victory. causing the English forces to surrender at Yorktown and brought the war to an end.

C.

 

There was a peace treaty with England (Treaty of Paris) that recognized the independence of the United States. Washington dissolved the army under his command, and on November 2 he bid farewell to his soldiers.

On November 25, the British withdrew their forces from New York. Washington and the governor took over at Fraunces Tavern. On December 4, he bid farewell to his officers, and on December 23 he resigned as commander of the colonial army. (commander-in-chief) and is a model of a republican leader who refuses to use power. During that time, the United States was governed by the Articles of Confederation, without the president and government that we have today.

 

  Washington took the oath of office as President under the Constitution of the United States on April 30, 1789, in Federal Hall, New York City. Although he initially did not want to accept the position,

 

The First Congress approved Washington's annual salary of $25,000, which was considered substantial at the time. But because Washington was already a man of status Therefore, he refused to receive a salary because he saw that accepting the position was a selfless service to the country. But with the persuasion of the council So he accepted that salary. This matter has become a turning point. Because he and all The founding fathers wanted future presidents to come from a broad spectrum of people. without being limited by the economic status of the presidential candidates.

 

Washington approached his duties cautiously. He wanted to ensure that the republican system would not make the presidency like that of a European court monarchy. He likes to be called that. “Mr. President” rather than being called anything else in the manner of calling a king or emperor.

 

After accepting office in the first term He was reluctant to accept a second term. and he refused to continue in office for a third term. And that is why it has been a tradition that no one will hold the office of president for more than two terms. Until the 22nd amendment of the constitution, after the world war, it was already the second time. Therefore, it has been enacted as a constitutional law that the President shall hold office for no more than 2 consecutive terms.

 

But he declined to include any sections dealing with religion that might create conflict.

But emphasize the importance of education. and saw that national morality required the principles of religion

Washington's own ideas This causes teaching in religious (Christian) schools to change from being forced to believe. There was a phenomenon from the son of one of the presidents. This made me have to go see the teaching in religious schools for myself. and strictly warn Don't teach by forcing students to believe. but taught by scientific reasoning It comes from the truth of the Kalama Sutta.

D.

<<<Washington warns of European influence. to intervene in the internal politics of the United States He warned that internal politics would not favor any one side. He called for America to be freed from foreign ties. but friendly to all countries and warned against involvement in the war in Europe. or into complex entangling alliances.[52] His words became a defining characteristic of American religion and foreign affairs in the era that followed.>>>

This is the life story of an important worldly figure. that show signs of wisdom must conform to the principles of Buddhist truth. and shows the part of the high spirit, intellectual knowledge and knowledge of the Noble Truths to the level A noble person, an Arahant.

And that means George Washington, who created the political system. World democratic institutions established for the first time The first in the United States It is a world democracy in which the world needs politics of the people, by the people, and for the people. that the world is being proud of each other all over the world

And that, in fact, is Buddhism. revived Spread to the new generation in the name of democracy, in the name of the rights and freedoms of all people, or the word human rights itself, to various countries around the world.

How are democracy and Buddhism the same thing?

The three ethics of democracy are freedom, equality, and fraternity, which are true Buddhist truths. Why don't Thai Buddhists understand this?

This is the level of knowledgeable people. Arahants will not have doubts. And it will only promote democracy throughout the world. Because that is the propagation of Buddhist truth for political gain. And even higher than that, it is directly for the benefit of the path, Nirvana, in the hierarchy.

Come to a new era

An Arahant is a knowledgeable person. Those who have not attained the Arahant level will not know.

For example, Moody (Dr.B.K.Modi), an Indian billionaire who dedicated his life to studying Buddhism for 30 years and then invested 3,000 million baht to make a movie. The even bigger series is the Lord Buddha, the Great Teacher of the World, more than 10 years ago until today. which Buddhists around the world admire as a great thing It is the propagation of Buddhism throughout the world.

E.

But really, it's not.....it's also propagating Hinduism because they think that The Buddha is one incarnation of a meritorious person. As he said at the beginning of the story, When the world is in danger Those with merit will incarnate to help the world. Before this there was an avatara of Krishna. And then...following the Ramayana itself, in this era, meritorious people sent the Buddha avatar to help the world again. which tells the meaning as Brahman-Hindu once said, His god has incarnated in 10 forms, the last being the Buddha himself.....which is not true at all. The Buddha and all Arahants are above the gods. Above all other religious sects

Look at Dr. Ambedkar, who wrote the Indian Constitution and declared himself a Buddhist. that he was born into a Hindu family But I will die like a Buddhist. and study and understand the truth and become an Arahant until leading Indians to revive modern Buddhism There was a gathering in December. in Nagpur and Bombay every year and come together to make 22 vows every year.....according to the news,

On December 26, 2017, tens of thousands of Indians in Nagpur and Bombay gathered together and pledged themselves to be Buddhists It is a form of vowing. Dr. B.R. Ambedkar 22 points as follows (subsequently followed every December of every year)

1. I will no longer worship Brahma, Shiva, and Vishnu.

2. I will not believe that Rama or Krishna are gods. I will no longer respect them.

3. I will no longer worship the gods of Hinduism.

4. I will no longer believe in the doctrine of Avatara.

5. I will not believe that Buddha is the incarnation of Vishnu. To believe that is crazy.

6. I will not perform any formalities. and continue to receive alms in the Hindu style

7. I will not do anything that is contrary to the teachings of the Buddha.

8. I will not invite brahmins to perform all ceremonies.

9. I believe that everyone born into this world has equal dignity and status.

10. I will fight for equal rights and freedom.

11. I will practice the Eightfold Path completely.

12. I will practice the ten virtues completely.

13. I will spread kindness to humans and all kinds of animals.

14. I will not steal from others.

15. I will not commit sexual misconduct.

16. I will not lie.

17. I will not drink alcohol.

18. I will practice myself in charity, morality, and meditation.

19. I will stop practicing Hinduism. that makes society worse caste division

20. I believe that only Buddhism is the true religion.

21. I believe that turning to Buddhism is a true rebirth.

22. From now on I will conduct myself Strictly following the teachings of Buddhism

After vowing to become a Buddhist Ambedkar said: “I was born from a Hindu family. But I will die as a Buddhist.

https://youtu.be/YMJFe66sGHw

F.

You will see that Dr. Ambedkar brought a new Indian, Buddhist Swear straightforwardly according to the rules 1. I will no longer worship Brahma, Shiva, and Vishnu. 2. I will not believe that Rama or Krishna are gods. I will no longer respect them.

3. I will no longer worship the gods of Hinduism. 4. I will no longer believe in the cult of Avatara. I will never revere Brahma, Isvara, Narayana again. I will take these idols and throw them into the abyss.

It is difficult to understand Dr. Ambedkar and true Indian Buddhists. That number is increasing rapidly every year.

But that is, the Supreme Bhumi Paññā knows more truth than all others, that is, Moudi is compared in terms of wisdom with Ambedkar is on a different level...Moudi He should have only just reached the level of a weak Sotapanna path. Moody also said that the Buddha was an incarnation of Krishna or a person with merit. But people seem to like or respect him. More Moody...that's stupidity.

If the world had knowledge today He will surely tell the truth to the world. ...Just like Dr. Ambedkar said.

which is the highest truth that tells of knowledge which automatically refutes ignorance.

Review this to know that Arahant is wisdom, not limited to being a monk or a layperson. Because people have wisdom Having the same five aggregates, having the same form, feeling, perception, body, consciousness, and cause. Do good as long as the world does not spare Arahants.

And Arahants are definitely a great benefit to the world. Listen and follow him. (Follow him. Dr. Ambedkar)

@ Buddhism, Dhamma, Path, Nirvana, old era, new era, George Washington to Dr. Ambedkar

@ พุทธศาสนธรรมมรรคผลนิพพานยุคเก่ายุคใหม่ยอร์จ วอชิงตันถึงดร.อัมเบดก้า

-----