กระบวนการยุติธรรมไทยน่าอดสูเพียงไหน อับอายไปทั่วโลก
คุมขังพวกเขาทำไม ? เขาเป็นสัตว์ร้ายหรือถึงต้องตีโซ่ตรวน ?
โปรดติดตามและแสดงความคิดเห็นได้ในเวบบอร์ดครับ กรุณาคลิกที่นี่ได้เลย
ร่วมสร้างกติกาประชาธิปไตยไทย
กระบวนการยุติธรรมไทยน่าอดสูเพียงไหน อับอายไปทั่วโลก
คุมขังพวกเขาทำไม ? เขาเป็นสัตว์ร้ายหรือถึงต้องตีโซ่ตรวน ?
พวกเขาเพียงเรียกร้องให้ระบบไทยทั้งระบบ ทั้งประเทศดำเนินไปโดยวิถีทางประชาธิปไตย ให้ละทิ้งวิถีทางเผด็จการเสีย มาเป็นประชาธิปไตยกันเถิด พวกเขามีแนวคิดประชาธิปไตยอยู่ในหัวแล้ว ก็แปลว่า ไร้ความรุนแรง ประชาธิปไตยแปลว่าพูดคุยกันได้และแก้ไขปัญหาอย่างอหิงสาและสันติ ฉะนั้นพวกเขา ทุกผู้ทุกคน ผู้รักประชาธิปไตยในโลก ทั่วโลก ไม่เฉพาะแดงในแผ่นดินไทย จึงย่อมไม่มีแนวคิดรุนแรงอยู่ในแผนการประชาธิปไตยอยู่แล้ว เพราะระบบประชาธิปไตยเป็นเช่นนั้น และประชาชนแดงทั้งแผ่นดิน แดงขึ้นไปเรื่อย ๆ จนแดงทั้งแผ่นดิน พวกเขาจึงไม่ได้คิดใช้กำลังเลย แต่นั่นเป็นความพยายามที่จะยืนยันถึงความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ จำนวนมหาศาล ที่น่าเพียงพอสำหรับฝ่ายบริหารจะรับฟัง ในประเด็นที่ว่า เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ต่อประเทศชาติทั้งระบบ เรียกว่าถือความเห็นของประชาชนส่วนใหญ่เป็นหลัก นี่ก็เป็นหลักการสำคัญของประชาธิปไตย พวกเขาทำถูกหลักการประชาธิปไตย แต่พวกคุณเป็นเผด็จการที่โง่เง่า ไม่เข้าใจอะไรดีอะไรชั่ว อะไรจะเป็นประโยชน์ ไม่เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ คุณเองต่างหากที่ทำตัวเหมือนไม่ใช่คน เป็นสัตว์ร้าย มีข้อเท็จจริงพิศูจน์ชัดเจนอยู่ ก็ในเหตุการณ์วันที่ 19 พ.ค.2553 นั่นเอง ไม่เห็นหรือ ??
แล้วคุณคุมขังพวกเขาทำไม ? เขาเป็นสัตว์ร้ายหรือถึงต้องตีโซ่ตรวน ?
ควรเข้าใจความดีของประชาธิปไตย ประชาธิปไตยเป็นความหมายของมนุษย์ในสังคมทุกคน ทุกชนชั้น ที่อยู่กันอย่างมีความเสมอภาค มีเสรีภาพ และ ที่สุดก็เพราะประชาธิปไตยเป็นระบบพี่ ๆ น้อง ๆ คือระบบภราดรภาพ ฝรั่งใช้คำอยู่ 3 คำที่อธิบายประชาธิปไตยก็คือ freedom equality และ fraternity นี่เป็นความหมายของประโยชน์ของมนุษย์เอง ทั่วโลก ที่จะสามารถอยู่กันอย่างสงบ ไร้ความรุนแรง โลกจึงต้องการประชาธิปไตย
ถ้าเพียงคุณเข้าใจหลักการประชาธิปไตย คุณก็จะละอายใจ ในการกระทำที่สั่งทหารล้อมฆ่าปราบปรามประชาชนมือเปล่า ๆ เหล่านี้ ที่คุมขังคนบริสุทธิ์ และตีโซ่ตรวนเขาอย่างกับเขาเป็นสัตว์ร้าย นั่นเป็นการก่อเวรก่อกรรมอันหนักของคุณ และเป็นเพราะคุณเขลาไม่เข้าใจประชาธิปไตย คุณไม่คิดดูย้อนหลังไปเลยเมื่อ 8 เดือนก่อนนั้น วันนั้น 19 พ.ค.2553 โทรทัศน์อัลจาชีรา (Aljazeera)มาทำข่าวอย่างละเอียด อ้างอิงได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งเรื่องสไนเปอร์ที่แอบบสังหารประชาชน ประเด็นสำคัญที่ขออ้างอัลจาชีราก็คือรัฐบาลเองเป็นฝ่ายขอร้องให้แกนนำมอบตัว แล้วพวกเขาก็มอบตัว เขาไม่สั่งให้ประชาชนฮือขึ้นก่อการร้ายทั่วประเทศ.... คุณลืมคำสัญญาของคุณหรืออย่างไร ???(ภาพนี้ถ่ายจากข่าวโทรทัศน์ เมื่อ 17 ม.ค.2554)
ประชาธิปไตยเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่จิตใจต้องสูงส่ง
โปรดเข้าใจประชาธิปไตยว่าเป็นระบบที่ไม่ยุ่งยากสลับซับซ้อนอะไรเลย แต่เป็นระบบที่ง่าย ๆ ใช้คำว่า simple ของฝรั่งชัดเจนดี คือง่าย ๆ ไม่สลับซับซ้อนเลย เรื่องสำคัญที่สุดของคนก็คือเรื่องอำนาจ ที่ใคร ๆ ก็อยากมีอำนาจ ขอให้เรามาดูสัจธรรมเกี่ยวกับอำนาจ ว่ามนุษย์ใช้มันไม่ถูกต้องมาแต่ยุคดั้งเดิม การอยากมีอำนาจ หมายถึงการอยากอยู่เหนือคน นั่งบนหัวคนอื่นแล้วชี้นิ้วสั่งการคนอื่น เขาไม่ทำก็ใช้กำลังที่เหนือกว่า กระทั่งใช้กองกำลังบังคับให้เขาทำตาม นั่นเป็นธรรมอย่างไร ในเมื่อคนอื่นก็เป็นคนเหมือนกัน มีสองมือ สิบนิ้วเหมือนกัน เราจงลืมเสีย เพราะนั่นแหละคือ ยุคทาส ถ้าท่านอยากมีอำนาจ แสวงหาอำนาจนั่นก็คืออยากเอาคนอื่นมาเป็นทาส นั่นเอง มันไม่เป็นธรรมใช่ไหม ??? ซึ่งยุคนี้โลกเขาเลิกทาสกันหมดแล้ว ในอเมริกา ถึงต้องทำสงครามกลางเมือง เพื่อปลดปล่อยระบบทาสทั้งแผ่นดินอันกว้างใหญ่ และพวกเขาเสรีชนอเมริกัน ก็ทำได้สำเร็จ เพราะหลักการมีว่า เสรีชนย่อมไม่ยอมเป็นทาสใคร แม้กระทั่งความเป็นทาสของพระเจ้า....อันเป็นความหมายของความเป็นมนุษย์
แล้วเขาก็จัดการเรื่องอำนาจอย่างง่ายมาก นั่นคือ ไม่ให้คนใดคนหนึ่งอยู่ในอำนาจไปชั่วนิรันดร เหมือนคนยุคเก่า .... ทุกวันนี้คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทำสิ่งที่ฝืนสัจธรรมของเสรีชนประชาธิปไตย คืออยากอยู่ในอำนาจไปชั่วชีวิต นี่คือความเขลา ที่คิดกระทำในสิ่งที่ไม่อาจเป็นไปได้ ในยุคใหม่นี้ และนี่เป็นความคิดผิดมาตั้งแต่ สนธิ บุณยรัตกลิน มุสลิมชั่วร้ายทรยศต่อรัฐบาลประชาธิปไตย โดยล้มล้างประชาธิปไตยไทยเสีย ทำประเทศพระพุทธศาสนาให้แตกแยก
ขอให้เราจงกลับมาคิดเสียใหม่ คิดให้ถูกต้องตามหลักการประชาธิปไตย เราจงมาเข้าใจเรื่องอำนาจกันก่อน เราจงลงจากอำนาจเสีย และยินยอมให้คนอื่นขึ้นสู่อำนาจได้ โดยการรับรองของปวงประชาชน หรือประชาชนส่วนใหญ่ เราจะต้องจำกัดการอยู่ในอำนาจ ไม่ให้เป็นการอยู่ไปตลอดชีพ มีตัวอย่างเมื่อเร็ว ๆ นี้ ไม่ใช่หรือ ที่ประเทศตูนีเซีย อาฟริกา ประธานาธิบดีเบนอาลีเป็นเผด็จการฉ้อฉลจะอยู่ในอำนาจไปตลอดกาล มีเลือกตั้งทีไรแกก็โกงเอาทุกวิถีทาง ชนะมาตลอด ประชาชนได้แต่เก็บเอาความคั่งแค้น อยุติธรรมไว้ในอก ระยะหลังแกเห็นว่าไม่ค่อยดี ก็ทำโครงการประชาวิวัฒน์ เอาเงินทองโปรยซื้อเสียงจากประชาชน เพื่อตัวเองอยู่ได้ เหมือนรัฐบาลอภิสิทธิ์ทำอยู่ขณะนี้เลย (นายอภิสิทธิ์ลอกกากนโยบายนี้มาทำต่อในประเทศไทยขณะนี้) แล้วอย่างไร.... ประชาชนตูนีเซีย ซึ่งเหมือนเสื้อแดงไทยไม่มีผิดเลย ก็เหลืออด ก็ลุกขึ้นพร้อม ๆ กันทำสิ่งที่เรียกว่า จัสมิน เรโวลูชั่น (jasmine revolution : การปฏิวัติอย่างนุ่มนวลเหมือนสวนผึ้งดอกมะลิ) คุกแตก คือมีประชาชนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย อย่างเมืองไทยยุค ศอฉ.ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณไม่มีผิด แหกคุกออกมา ร่วมมือกับประชาชน มีฆ่ากันตายเล็กน้อย รายงานเบื้องต้นว่า 61 คน ยังไม่เท่าประเทศไทย 19 พ.ค.2553 ที่ทหารทั้งกองทัพล้อมฆ่าคนมือเปล่า ๆ และโดยที่เขาไม่ต่อสู้เลย จึงตายถึง 92 ศพ ในตูนีเซียประธานาธิบดีเผ่นออกนอกประเทศหายไปตั้งแต่วันที่ 14 มกราคม 2554 ไม่กี่วันมานี่เอง ภายหลังครองอำนาจมา 23 ปี คนประชาธิปไตยทั่วโลกโห่ร้องกันใหญ่ สมน้ำหน้านักเผด็จการ
ในระบอบประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ ผู้ขึ้นสู่อำนาจก็คือผู้รับใช้ประชาชน นี่จะต้องเข้าใจก่อน และผู้ขึ้นสู่อำนาจ จะอยู่ไปชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้น เช่นอเมริกาเขาให้อยู่ได้ 2 สมัย ถ้าเก่ง ก็ 8 ปี นี่ก็เป็นหลักการที่ง่าย ๆ มาก คือประชาธิปไตยไม่ยอมให้คุณอยู่ตลอดชีพ ต้องเปิดโอกาสให้คนอื่นผลัดเปลี่ยน หมุนเวียนขึ้นสู่อำนาจได้ พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องอำนาจไว้ว่า หากอยู่ในอำนาจนานเกินไปก็จะหลงอำนาจ เรื่องกิเลสมนุษย์ไม่พึงเสพจนติด จะหลงและมัวเมา ฉะนั้นเรื่องอำนาจจึงเป็นเรื่องสำคัญและเราต้องจัดการอำนาจนี้ให้ถูกต้อง
ฉะนั้น ประการที่ 1 ก็คือ อย่าให้อยู่ในอำนาจตลอดกาล ให้อยู่แค่ 4 ปี 8 ปี ก็ออกไปให้คนอื่นขึ้นสู่อำนาจแทนไป (ไทยมีบางพวกอยู่ได้ถึง 9 ปี มีเหตุผลอะไร ?) หลักการนี้ก็ต้องใช้ในการเมืองทุกระดับนะครับ แม้กระทั่งระดับชาวบ้าน ๆ การจัดตั้งเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย เพื่อทำอะไรสักอย่างร่วมกันนี่ ก็ต้องระวังว่า อยู่ใต้หลักการนี้เหมือนกัน คืออย่าให้เป็นหัวหน้าเขาไปตลอดกาล (ระวังถึงเขาให้เป็นต่ออีกก็ต้องปฏิเสธ จะเหลิง ไปเป็นอย่างอื่นแทนเช่นนักวิชาการ นักวิจัย หรือที่ปรึกษา เป็นต้น) ให้คนอื่นขึ้นแทนได้ เรายอมเขาเป็นหรือไม่ ถ้ายอมได้ นั่นแหละคือสปิริตของนักประชาธิปไตย และเป็นสิ่งที่จำเป็นมากที่สุดในระบบอำนาจ เพื่อให้มีการหมุนเวียนขึ้นสู่อำนาจเสมอ ถ้ามิฉะนั้น เกิดปัญหาอย่างแน่นอน
เพราะฉะนั้น เราจงมาสู่การบริหารอำนาจแบบประชาธิปไตยกันเถิด นั่นเป็นทางแก้ปัญหาของประเทศชาติ การเลือกตั้ง ที่จริงไม่ใช่ทางเดียว การเลือกตั้งใช้เมื่อขนาดใหญ่มโหฬารเกินไป เท่านั้น ประชาธิปไตยสามารถตกลงกันเองได้ว่าใครจะขึ้นเป็นใหญ่เป็นหัวหน้า แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า อย่าอยู่ไปตลอดกาล ถึงเวลาต้องลงจากอำนาจ ให้คนอื่นขึ้นแทนบ้าง เท่านั้นเอง (ถึงจะเก่งก็ต้องลงจากอำนาจครับเมื่อถึงเวลา อย่างเช่นสิงคโปร์ อเมริกา อังกฤษดูนายกรัฐมนตรีโทนี่ แบลร์ เป็นตัวอย่าง)
และประการที่ 2 ระบบการเลือกตั้งเป็นเรื่องของประชาชน ถ้าการเลือกตั้งไม่เรียบร้อย เราก็เลือกใหม่ เลือกไป 2 ครั้ง ยังไม่ได้ตัว มีปัญหา ก็เลือกไป 3-4-5-6 ครั้งไป ยอมลงทุนในเรื่องนี้ อย่าเสียดาย และเราต้องให้การเลือกตั้งแต่ละครั้งเป็นการเรียนรู้ไปอย่างใหญ่ทุกครั้ง อย่างไรก็ตาม ปัญหาของการเลือกตั้งก็คือการต่อสู้ทางการเมืองเพื่อการเลือกตั้งไม่เป็นธรรม ต้องระวังว่าระบบจะต้องเป็นธรรม หมายความว่ารัฐบาลอย่าเอาเปรียบประชาชน อย่าให้เหมือนตูนีเซีย ........... และพม่า...นั่นก็คือประชาธิปไตยต้องการสปิริตอันสูงส่ง นักประชาธิปไตยต้องจิตใจสูง เสมอ ๆ แม้นนักบวช นั่นแหละจึงจะมาทำงานการเมืองแบบแฟร์เพลได้ เริ่มแต่การเข้าสู่อำนาจ อย่าคิดอยากได้อำนาจโดยวิธีการที่ผิด โดยการโกง เอารัดเอาเปรียบ หรือซื้อสิทธิ์ซื้อเสียงประชาชน อย่าคิดครองอำนาจประชาชนไปจนวันตายของตัวเอง นั่นเป็นความคิดของคนบ้าในยุคประชาธิปไตย
กติกาข้อต้น การร่วมสร้างกติกาประชาธิปไตย
ก็เกิดกติกาประชาธิปไตยขึ้นอย่างเงียบ ๆ ลึกซึ้งในจิตใจของเสรีชนทั้งปวง ในเมื่อมารู้ความจริงของมนุษย์ข้อสำคัญเกี่ยวกับอำนาจ และมนุษย์เห็นว่าความยุติธรรม และความอยุติธรรมในสังคมทั้งปวง เกิดจากการเข้าใจเรื่องอำนาจ และเห็นความเป็นธรรม และมนุษย์มาตกลงกันในใจเงียบ ๆ ว่าไม่พึงมีผู้หนึ่งผู้ใดอยู่ในอำนาจตลอดกาล การอยู่ในอำนาจจะต้องมีวาระ จำกัดให้เป็นระยะเวลาที่เหมาะ เหมาะสมพอไม่ให้เกิดการเหลิงอำนาจ จนกระทั่งลืมสัจธรรมหลักการสำคัญ นั่นคืออำนาจเป็นของประชาชน ประชาธิปไตยเป็นของประชาชน เพื่อประชาชน และโดยประชาชน ผู้ขึ้นสู่อำนาจ ขึ้นสู่อำนาจ และอยู่ในอำนาจได้ด้วยการอนุญาตของประชาชนเสมอ และหน้าที่ของผู้ขึ้นสู่อำนาจการปกครองมีสถานเดียวคือ ปกครองเพื่อการรับใช้ประชาชน ประชาชนย่อมเป็นนายของผู้ปกครอง
และดูเหมือนว่าเราไม่จำเป็นต้องทำงานมากนัก เมื่อมีประเทศประชาธิปไตยเก่าแก่ทำตัวอย่างไว้แล้ว เช่นการกำหนดกติกาการอยู่ในอำนาจให้เป็น 4 ปี 2 วาระ เป็นต้น
นี่เป็นกติกาตรงกันของประชาชน เสรีชนทั่วโลก และถูกจารเอาไว้ในเส้นเลือดของเสรีชน ในจิตใจเบื้องลึกของประชาชน และพวกเขารู้แจ้ง รู้กระจ่าง แล้วหวงแหนอำนาจไว้เพื่อให้เป็นของประชาชนตลอดกาลไป พวกเขาเข้าใจตรงกันอย่างนี้โดยธรรมชาติ โดยธรรมดาของเสรีชน โดยไม่จำเป็นต้องเขียนลงเป็นลายลักษณ์อักษรใด เพราะมันถูกเขียนเอาไว้ในใจแล้ว
แล้วเรายังต้องระวังเรื่องอำนาจต่อไปอีก และปฏิบัติต่อมันอย่างรัดกุม อุปมาอำนาจเหมือนสัตว์ใหญ่ ถ้าเราประมาทไม่จัดการมันอย่างถูกต้อง อำนาจก็จะทำร้ายเรา ทำร้ายสังคมเราอย่างสาหัสฉกรรจ์ ดังตัวอย่างที่เห็นชัดเจนในประเทศไทยเราเอง และประเทศต่าง ๆ ในทวีปอาฟริกาที่เริ่มมีตาสว่างเห็นเส้นทางประชาธิปไตของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชนเหมือนเช่นเรา มนุษย์จึงดำเนินการแยกซอยอำนาจลงไปอีกเป็น 3 อำนาจ ใหญ่ ๆ เป็นสถาบันตัวแทนอำนาจของประชาชนทั้งมวล ในบ้านเราเอาตามอย่างของประเทศที่ก้าวหน้าไปก่อนแล้ว คือประเทศตะวันตกและอเมริกา จึงแบ่งอำนาจออกเป็น 3 สถาบันอำนาจ เรียกว่าอำนาจบริหาร 1 นิติบัญญัติ 1 และ ตุลาการหนึ่ง และระวังว่าโดยหลักการสำคัญก็เพื่อควบคุมอำนาจในระดับละเอียดและให้มั่นใจจริง ๆ ว่าเราจะสามารถควบคุมอำนาจไว้ได้และเอาไปใช้ประโยชน์แก่สังคมได้ ไม่เป็นอันตรายต่อสังคมนั่นเอง ด้วยเหตุนี้จึงกำหนดว่าหน้าที่ของสามสถาบันอำนาจนี้ และหน้าที่สำคัญก็คือการถ่วงดุลกันระหว่างอำนาจทั้ง 3 นั่นเอง
นั่นคือแต่ละอำนาจนั้นจะต้องมีอิสรภาพของตนเองภายใต้การรับใช้ประชาชน หมายถึงมีศักดิ์ศรีของสถาบัน เป็นใหญ่ในหน้าที่ของตนเอง ไม่เอนเอียงไปเข้าข้างหนึ่งข้างใด หรือรับใช้สถาบันอื่น เช่นตุลาการก็ต้องไม่เป็นตุลาการภิวัฒน์ ไม่เป็นตุลาการสองมาตรฐาน และไม่เป็นตุลาการศรีธนญชัย เป็นต้น และอำนาจบริหาร ซึ่งเป็นอำนาจการวินิจฉัยสั่งการที่มีพร้อมด้วยเครื่องมือและทรัพยากรของชาติทั้งหมด จะต้องวางตัวเป็นผู้รับใช้ประชาชน มีวาจาสัตย์ คือแถลงนโยบายไว้อย่างไร ก็รับผิดชอบต่อการแถลงนั้น ย่อมไม่โกหกพกลม และทั้งต้องยอมรับว่าประชาชนมีสิทธิที่จะตรวจสอบได้อยู่ตลอดเวลา และฝ่ายบริหารต้องยอมรับในการตรวจสอบของสถาบันอำนาจอื่น ไม่แทรกแทรงอำนาจอื่น หรือละเมิดอำนาจอื่น ด้านนิติบัญญัติ ท่านอย่าเขียนกฎหมายโดยปราศจากการรับรู้ การเข้าใจของประชาชน และท่านต้องยอมให้ประชาชนตีความกฎหมายที่สับสนได้ ฐานะของอำนาจทั้งสาม ไม่ว่าฐานะด้านใด ๆ แม้กระทั่งค่าตอบแทนจากเงินเดือน ที่ได้มาจากภาษีอากรของประชาชน ก็จะต้องเสมอกัน และมีศักดิ์ศรีของสถาบันเสมอกัน
กติกาประชาธิปไตยข้อต่อไป
ว่าไปตามสถานการณ์
มาทำความเข้าใจกัน ว่าเรื่องมันง่าย(simple)จริง ๆ จนคนทั่ว ๆ ไปขึ้นชื่อว่าคน แม้เด็ก ๆ ก็เข้าใจได้ไม่ยาก เมื่อฝ่ายรัฐบาล ไม่ว่าของพรรคการเมืองใด ได้อำนาจการบริหารแล้ว รัฐบาลต้องบริหารไปอย่างสุจริตสอดคล้องนโยบายที่ให้ไว้แด่ประชาชน นั่นคือก่อนการเลือกตั้งคุณพูดอะไรไว้ คุณก็ต้องทำตามที่พูด นั่นคือหลักการว่าด้วยศีล(ขอที่ 4 ในพระพุทธศาสนาคือ อย่าโกหก ซึ่งชาวพุทธทั่วไปเขาถือและใช้ประมาณการณ์สถานการณ์และบุคคล) หากพบว่ารัฐบาลบริหารออกนอกแนวนโยบายที่เคยพูดไว้ต่อหน้าประชาชน แล้ว นั่นพึงเชื่อไว้ก่อนเลยว่า คือร่องรอยของรัฐบาลทุจริต คิดมิชอบต่อประชาชน และเมื่อมีการแสดงหลักฐานสำคัญที่พิศูจน์ให้เชื่อได้ว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นจริง ๆ แล้ว นั่นหมายถึงการขาดความชอบธรรม ขาดทั้งสิทธิที่ และทั้งคุณสมบัติจะอยู่เป็นรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลก็ต้องพิจารณาตัวเอง ต้องออกไป
แต่ในความเป็นจริงของเหตุผลหลาย ๆ ด้าน ถึงแม้จะมีการทุจริตดังว่านั้นแล้ว แต่รัฐบาลที่หน้าด้านจะไม่ยอมลาออกไปง่าย ๆ อย่างเช่นรัฐบาลอภิสิทธิ์ปัจจุบันนี้เลย เราต้องให้พรรคการเมืองฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ไล่รัฐบาลแทนประชาชน ในการนี้ฝ่ายค้านจะต้องมีหน้าที่สำคัญคือการตรวจสอบแทนประชาชน สามารถตั้งกระทู้ถาม เพื่อตรวจสอบสิ่งที่น่าสงสัยได้ทุกอย่าง ทุกประการ ตลอดเวลา ตามความเหมาะสม สิ่งที่เราจะต้องมาทำความเข้าใจก็คือ สำนึกของฝ้ายค้าน ผู้ทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลนั้น ก็คือหน้าที่ในการไล่รัฐบาลทุจริตออกไป เมื่อพบว่ารัฐบาลทุจริตโดยเหตุผลที่ฝ่ายค้านได้พบ ท่านต้องว่าไปตามเหตุผล และบทสรุปคือ ต้องไล่รัฐบาลทุจริตออกไปให้ได้ อย่าเอาไว้ ต้องไม่ยอมเปิดโอกาสให้รัฐบาลกระทำการทุจริตได้อีกต่อไป นี่ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจกันได้ง่าย ๆ ว่าทำไมเราจึงต้องมาตั้งกติกา ให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล รวมทั้งกติกาข้ออื่น ๆ ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนขับไล่รัฐบาลทุจริตได้
เมื่อมาคำนึงดู ก็จะได้พบว่าทางตะวันตกอเมริกาก็ได้แบบแผนนี้มาจากหลักการในพระปาฏิโมกข์นั่นเอง เมื่อประยุกต์มาใช้ในทางการเมือง ก็พบว่ามีความผิดอยู่สำคัญ ๆ 4 ประการที่สามารถจะไล่รัฐบาลออกไป โดยกติกากำหนดให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล รวมทั้งกติกาสำหรับประชาชนที่จะขับไล่รัฐบาลได้โดยตรง
หลักการในพระปาฏิโมกข์ในประเด็นนี้ก็คือหลักพระวินัย ปาราชิก 4 เมื่อเปรียบเทียบหลักการพระปาฏิโมกข์กับหลักการประชาธิปไตยแล้ว ได้ปาราชิก 4 ทั้งฝ่ายพระสงฆ์และฝ่ายรัฐบาล ดังนี้ (ลำดับแรก เป็นปาราชิกฝ่ายสงฆ์ ลำดับหลัง เป็นปาราชิกฝ่ายฆราวาส)
1 อนึ่งภิกษุใด ถึงพร้อมด้วยสิกขาสาชีพของภิกษุทั้งหลายแล้วไม่บอกคืนสิกขา ไม่ทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้ง เสพเมถุนธรรม โดยที่สุดแม้ในสัตว์เดรัจฉานตัวเมีย เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้"
1. รัฐบาลเสพสมกับพรรคการเมือง หรือกลุ่มบุคคลที่ชั่วร้ายทุจริต เช่นรัฐบาลประชาธิปัตย์ ได้ความเป็นรัฐบาลมาจากการเสพสมกับบุคคลเลว ๆ 4 ประเภทคือ ราบ 11 และพวกทหารเผด็จการอมาตยาธิปไตย, ขบวนการโฆษณาชวนเชื่อพันธมิตรสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์ ที่นำโดยเจ๊กลิ้ม, กระบวนการยุติธรรมสองมาตรฐาน และพรรคการเมืองโสเภณี ฯลฯ
2 อนึ่ง ภิกษุใด ถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยส่วนแห่งความเป็นโขมย จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี พระราชาทั้งหลายจับโจรได้แล้ว ประหารเสียบ้าง จองจำไว้บ้าง เนรเทศเสียบ้าง ด้วยบริภาษว่า เจ้าเป็นโจร เจ้าเป็นคนพาล เจ้าเป็นคนหลง เจ้าเป็นโขมย ดังนี้ ในเพราะถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้เห็นปานใด ภิกษุถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้เห็นปานนั้น แม้ภิกษุนี้ ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้"
2. รัฐบาลบริหารการเงินการงบประมาณของชาติอย่างหละหลวม เปิดช่องให้เกิดการรั่วไหล มีการเปิดทางให้แก่นักการเมืองและคนภายนอกทำทุจริตหากินกับงบประมาณอย่างมากมายมหาศาล พบการทุจริตจากโครงการของรัฐบาลทุกโครงการ วันแล้ววันเล่า แต่ในขณะเดียวกันรัฐบาลและคนของรัฐบาลก็ยังหน้าด้านไม่อับอายสายตาประชาชน ปล่อยประชาชนให้ลำบากปากกัดตีนถีบไปตามยถากรรม
3. อนึ่ง ภิกษุใดจงใจพรากกายมนุษย์จากชีวิต หรือแสวงหาศัสตราวุธอันจะปลิดชีวิตให้แก่กายมนุษย์นั้น หรือพรรณนาคุณแห่งความตาย หรือชักชวนเพื่ออันตายด้วยคำว่า แน่ะนายผู้เป็นชาย จะประโยชน์อะไรแก่ท่าน ด้วยชีวิตอันแสนลำบากยากแค้นนี้ ท่านตายเสียดีกว่าเป็นอยู่อย่างนี้ เธอมีจิตอย่างนี้ มีใจอย่างนี้ มีความหมายหลายอย่าง อย่างนี้พรรณนาคุณในความตายก็ดี ชักชวนเพื่ออันตายก็ดี โดยหลายนัย แม้ภิกษุนี้ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้"
3. รัฐบาลที่ฆ่าคน สังหารประชาชน เห็นชัดเจนในเหตุการณ์ปี 2553 ตั้งแต่ต้นปี มาหลายครั้ง จนถึงครั้งใหญ่ 19 พ.ค.2553 ที่รัฐบาลล้อมปราบปรามประชาชน ตายถึง 91 ศพ และฆ่าคนของมูลนิธิเพื่อการกุศลที่ปฏิบัติหน้าที่การกุศลอยู่ในเขตอภัยทาน สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธศาสนา 6 ศพตายในวัดปทุมวนาราม กลางกรุงเทพ
4 อนึ่ง ภิกษุใดไม่รู้เฉพาะกล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรม อันเป็นความรู้ความเห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้ามาในตนว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ ครั้นสมัยอื่นแต่นั้น อันผู้ใดผู้หนึ่งถือเอาตามก็ตาม ไม่ถือเอาตาม ก็ตาม เป็นรอันต้องอาบัติแล้ว มุ่งความหมดจด จะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า แน่ะท่าน ข้าพเจ้าไม่รู้อย่างนั้น ได้กล่าวว่ารู้ ไม่เห็นอย่างนั้น ได้กล่าวว่าเห็น ได้พูดพล่อย ๆ เป็นเท็จเปล่า ๆ เว้นไว้แต่สำคัญว่าได้บรรลุ แม้ภิกษุนี้ ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้" (ศึกษาเพิ่มเติมจากเวบบอร์ดเรื่อง ศอฉ.สามารถจับพระสงฆ์สึกได้จริงหรือ???)
4. รัฐบาลโอ้อวดผลงานของตนเกินความเป็นจริง เช่นรัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่ไม่มีแม้แต่นโยบายของตนเอง เป็นนักลอกกากนโยบาย (เช่นลอกกากนโยบายประชาวิวัฒน์ของประธานาธิบดีเบน อาลี ประเทศตูนีเซีย ซึ่งบัดนี้โดนประชาชนอัปเปหิไปนอกประเทศเรียบร้อยแล้ว มาเป็นนโยบายประชาวิวัฒน์ 9 ข้อสำหรับประชาชนไทย เป็นต้น) ไม่เคยแถลงนโยบายต่อหน้ามหาประชาชนก่อนการเลือกตั้ง และไม่เคยแถลงนโยบายในสภาผู้แทนราษฎร และไม่ปรากฏผลงานออกมาเลย ไม่ว่าตรงนโยบายหรือไม่ตรงนโยบาย และซ้ำยังออกนโยบายขัดความจริงตามเหตุตามผลที่ควรจะเป็นไปได้ตามสายตาประชาชน เช่นนโยบายชั่งกิโลไข่ขาย เป็นต้น โดยมีการโอ้อวดเกินความจริงและการโกหกพกลมตลบตะแลงไปอย่างไม่หวั่นต่อคำครหานินทาและหน้าที่รับผิดชอบ ผ่านรายการของหัวหน้ารัฐบาลเช่น รายการเชื่อมั่นประเทศไทย รายการเจิมสาก และเอเอสทีวี เป็นต้น
ทั้ง 4 ประการนี้ ทำให้เกิดสิทธิอย่างสำคัญของฝ่ายค้านในรัฐสภา ที่จะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลได้ ซึ่งในการนี้ฝ่ายค้านต้องพยายามพิศูจน์ให้เห็นชัดเจนว่ารัฐบาลได้กระทำความผิดประการใดประการหนึ่งใน 4 ประการข้างต้น ก็สามารถขับไล่ได้
ในสภาวะการณ์ทั่วไปในขณะนี้ รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ยุคที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่มีข้อไหนใน 4 ข้อที่รัฐบาลนี้ไม่ทุจริต โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อที่รัฐบาลล้อมปราบปรามประชาชน 19 พ.ค.2553 นั่นเป็นหลักฐานชัดเจนอยู่แล้ว และหมายความว่ารัฐบาลปาราชิกต้องออกไปทันที แต่ฝ่ายค้านคือพรรคเพื่อไทย อ่อนด้อย หรืออาจจะไม่รู้ในสิทธิและหน้าที่ของตน ก็ได้ ฉะนั้นจึงต้องเข้าใจว่าหน้าที่สำคัญของตนเองมาถึงแล้ว จะเอารัฐบาลทุจริตเยี่ยงนี้ไว้ทำไมให้ทำลายชาติและประชาชน ? ถ้าเขาหน้าด้านนัก ประชาชนต้องมาร่วมใจกันขับไล่..เสมือนพระสงฆ์ต้องปาราชิก 4 ...นี่เป็นกติกาสากลธรรมชาติของประชาธิปไตย.