มีรายงานเรื่องตั้งฉายานี่ถี่จริง ๆ ขยันตั้งกันจริง ๆ
นี่มาจากเอแบคโพล ว่า "คนตั้งฉายารัฐบาลเอาอยู่ ชอบ ปราบยา ยี้แก้น้ำท่วมโกงถุงยังชีพ" เอสเอ็มเอส ส่งมาจาก inn pol (โพลห่วย ๆ นี้ส่งมาให้เราได้อย่างไร ไม่ได้สมัครสมาชิกสักหน่อย ..... มีเอสเอ็มเอสอีกสองสามสาย ส่งข่าวมาให้ระยะนี้โดยไม่ได้สมัคร..... มาได้อย่างไร ..... กระทรวงอีซีที ดูให้หน่อย ประชาชนเดือดร้อนเพราะถูกบังคับจ่ายจากพวกหัวเอารัดเอาเปรียบทางสื่อพวกนี้ตลอดเวลา มิน่า เขาจึงว่าได้อันดับโหล่ ๆ)
"สื่อตั้งฉายาสภากระดองปูแดง นายกดาวดับ รังสิมาดาวเด่น สว.สังคโลก......................."
ไปเอายายรังสิมามาว่าเป็นดาวเด่น เพราะเหตุที่พูดฉอด ๆ ๆ ๆ จนถูกอุ้มออกไปจากสภา อย่างนั้นหรือ ........ สื่ออะไรไร้เหตุผลจริง ๆ นั่นแหละ ความไร้รับผิดชอบ ตามหลัก เขาต้อง ข่มบุคคลที่ควรข่ม ชมบุคคลที่ควรชม ไปดูที่หัว นสพ.สยามรัฐซี เขียนว่าอย่างนี้ นิคฺคณฺเห นิคฺคหารหํ ปคฺคนฺเห ปคฺคหารหํ เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้าใช้เป็นธรรมประจำสื่อก็ได้ แปลว่า พึงข่มบุคคลที่ควรข่ม พึงชมบุคคลที่ควรชม ............ (สังคมจึงจะเจริญ มีธรรมะเกิดขึ้นในสังคมนั้น) ถ้าสื่อไร้ธรรมะ นั่นแหละสื่ออาธรรม คุณไปชมคนพาล ให้ท้ายคนพาล ๆ ก็เบ่งพองเต็มเมืองสิ ส่วนคนดีคนไปตำหนิ คนดีก็ลี้หนีหายไป สังคมจะมีใครดูแลล่ะทีนี้ พวกไร้หัวคิดจริง ๆ
สื่อไม่น่านับถือจริง ๆ
ทำตนเป็นเด็ก ๆ อมมือ มีปากก็พูดไป มีปากกาก็เขียนไป
สื่อคงไม่รู้ตัวเท่าไรว่า จริง ๆ แล้ว คนเขาคิดอย่างไรต่อตัวเอง ทั้งในรูปส่วนตัวและส่วนรวม
สื่อน่าขยะแขยง เมื่อเฉียดมาใกล้ ๆ เรา ไม่อยากให้มาใกล้ ๆ เกลียดกลิ่นสาป แมงสาบ
เป็นวัฒนธรรมศรีธนญชัยอีกแบบหนึ่งในสังคมไทย นั่นคือไม่ค่อยมีสำนึกของความรับผิดชอบในการกระทำของตนเองต่อสังคม โดยคิดว่าทำอะไรไป พูดอะไรไป เป็นเพียงเรื่องสนุก ๆ และตนเป็นพวกมีปาก ก็เพียงเม้าท์กันไปสนุก ๆ ไม่ได้เอาจริงเอาจังอะไร แต่แล้วก็เลยเถิดไป แล้วก็ไร้คนรับผิดชอบ นี่คือศรีธนญชัย ก็เลยกลายเป็นการสมสร้างอุปนิสัยสังคมไทยไปในทิศทางที่เหลาะ ๆ แหละ ๆ เมื่อคิดจะทำอะไร ก็ทำได้เพียงการทำเล่น ๆ เหลาะ ๆ แหละ ๆ
พวกที่ชอบทำโพลต่าง ๆ น่าจะยกระดับตนเองขึ้นไปเป็นการศึกษาวิจัยลักษณะอุปนิสัยคนไทย สาเหตุของพฤติกรรมต่าง ๆ ในสังคมไทยบ้าง จะได้หาสาเหตุที่แท้จริงมาตั้งประเด็นการพัฒนาทางบุคคลิกภาพ ... ให้รอดไปจากอิทธิพลวัฒนธรรมศรีธนญชัย
มาเรื่องสื่อต่อ..... ที่พูดนี้ มิใช่ผลงานวิจัยอย่างอาจจะอ้างอิงได้ มาจาก การสังเกตุการณ์(observe)ยาวนาน และได้ทดสอบสมมติฐาน บางข้อมานานแล้ว ...........แม้การพูด การเขียน การแสดงความคิดเห็น ของสื่อ และสังคมไทยทั่วไป ก็ไม่มีความเอาจริงเอาจัง พอใจแค่ความคมคายในวาทะ แข่งกันในเชิงวาทะ ว่าของใครคมคายกว่า ...... แม้กระทั่งว่าใครด่าได้ลึก ได้ซึ้ง ได้ถึงใจ รุนแรงกว่า......นี่แหละพฤติกรรมศรีธนญชัย .... ดังปรากฎชัดเจนในประชาชนชาวใต้ ที่นิยมเรื่องการโต้วาที เอาวาทะมาแลกกัน ตามวัฒนธรรมชนงัว และโนราห์ อย่างที่พรรคประชาธิปัตย์ เป็นมา และเป็นอยู่ขณะนี้ กลายผลไปเป็น พรรคที่ ดีแต่พูด
สื่อมวลชนไทยก็แสดงออกทางดีแต่พูดเช่นเดียวกัน
เรามองว่าเมื่อไรสังคมไทย จึงจะรู้จักตั้งใจทำงานกันเสียที
เวลาพูด ก็ขอให้รู้ว่า อะไรคือการพูดกันเล่น ๆ และอะไรคือการพูดกันจริง ๆ
แยกประเภทหน่อยนะ นานมาแล้ว ที่มีการพูดกันแบบ เล่น ๆ กันไปหมด จนเวลาพูดเอาจริง ๆ ก็ไม่มีใครเชื่อว่านั่นเป้นคำพูดจริง ๆ มองเป็นเรื่องเล่น ๆ ที่กลบเกลื่อนด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม ๆ ไปหมด
แน่ละ เมื่อเราไปต่อว่าสื่อเข้าว่า ดูถูกดูหมิ่นเขา ทำให้เขาเสียหาย การเขียนของคุณเป็นการดิสเครดิต โดยไร้เหตุผล คุณรับผิดชอบในการวิเคราะห์วิจารณ์ของคุณหรือเปล่า ?
สื่อจะไม่เข้าใจ ถ้าถามถึงความรับผิดชอบ
นั่นหมายถึงสื่อไม่เข้าใจคำว่า สิทธิ เขาเข้าใจเอาแบบที่ไม่ถูกต้องตามครรลองประชาธิปไตย
เพราะเขาคิดว่าสิทธิคือเสรีภาพที่จะเขียน จะพูด จะทำอะไรก็ได้ตามใจตนเอง โดยปราศจากการเห็นอกเห็นใจคนอื่น ผู้ที่ได้รับผลกระทบ
จนลืมไปว่า ในระบอบประชาธิปไตย เขาไม่ได้ให้คุณคนเดียวมีสิทธิ เขาให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิเท่า ๆ พอ ๆ กับคุณ
และให้อย่างเสมอภาค เขาว่า มี equality เสมอ ๆ กันทุกคน แต่ถ้าคุณไปเข้าใจว่าคุณได้สิทธินั้นเพียงคนเดียว อย่างนี้มันโง่เกินจะสอนแล้ว
ถ้าไม่งั้นคุณลองตอบซิว่า สิทธิของคุณมีขอบเขตอยู่เพียงไหน ?
คำตอบ ไม่ใช่เพียงพูดคำตอบออกมาถูกตรงตามเฉลยข้อสอบเท่านั้น แต่ต้องเข้าใจ และยังผลให้การประพฤติเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ แห่งจิตใจที่รอบรู้ในเรื่องสิทธิของตนและของคนอื่น รอบรู้ถึงว่าการกระทำอย่างไรที่ต้องไม่ละเมิดสิทธิของคนอื่นเขา ....
ขอเพียงแต่เข้าใจให้ดี
เข้าใจอย่างที่ชาวไทยพุทธเราโดยทั่วไปในชนบท แม้เขามีการศึกษาต่ำเพียงป.3 ป.4 เข้าใจดีในเรื่อง ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เข้าใจในทุกข์ในสุขของคนอื่น เข้าใจผู้ตกทุกข์ได้ยาก นั่นแหละครับ ฉะนั้นจึงได้เห็นสิ่งที่เราได้เห็น อย่างที่เห็นเขาออกมาช่วยเหลือกันในระยะน้ำท่วมนั่นแหละครับ ถึงขนาด รองนายกรัฐมนตรี- นายกรัฐมนตรีเห็นก็อดน้ำตาไหลไม่ได้ นั่นแหละเขาเข้าใจกันและกัน มีความเข้าใจคนอื่น คนอื่นเข้าใจเรา สังคมจึงจะเกิดภราดรภาพ เหมือนเรา เราเหมือนคนอื่น นั่นเท่ากับภาษาใหม่ ๆ แห่งประชาธิปไตยที่ว่า เขารู้ในสิทธิของตนและของคนอื่น นั่นเอง และช่วยรักษาสิทธิของตนพอ ๆ กับช่วยรักษาสิทธิของคนอื่น .นั่นคือสิ่งที่ประชาธิปไตยต้องการ.... .จิตใจคนจะต้องสูงส่ง รู้ในสิทธิของตน และรู้ในสิทธิของคนอื่น จึงจะเป็นประชาธิปไตยได้โดยสมบูรณ์
|