กลุ่มวารสารต้านนิติราษฎร์
วารสารศาสตร์ ต้านเขาทำไม เขาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
นิติราษฎร์ไม่ใช่ธรรมศาสตร์อย่างไร ในเมื่อธรรมศาสตร์สอนประชาธิปไตย ใครไม่ใช่ธรรมศาสตร์กันแน่
ในทัศนะของผม เห็นว่ากลุ่มนิติราษฎร์ มองกว้างขวางและครบองค์รวมมากทีเดียว เขาไม่ได้มองแค่ ม.112 นะครับ แต่มองว่า ม.112 มีความเกี่ยวข้องไปถึงปัญหาอะไร ไกลไหน ๆ อะไร องค์กรหรือสถาบันใดด้วย .......ประเด็นคือ องค์รวมของระบบยุติธรรมไทยเรานี้ ควรจะต้องมีการแก้ไข เปลี่ยนแปลงให้เป็นธรรมขึ้น โดยให้สอดคล้องระบอบของประชาธิปไตย ซึ่งโดยนัยะนี้ แม้ ม.112 มีความชัดเจนในลายลักษณ์อักษร แต่เมื่อการบังคับใช้มีปัญหา ก็ย่อมต้องมีการพิจารณาโดยการเชื่อมโยงไปยังองค์รวมทั้งหมดของปัญหา และอาจจะมีการแก้ไขให้รับกับองค์รวมได้
สิ่งที่ผมเห็นว่าตรงประเด็นของนิติราษฎร์ก็คือ สถาบันศาลไทย ยังอาจสามารถใช้เป็นเครื่องมือของเผด็จการได้อยู่ เนื่องเพราะขาดการเชื่อมโยงไปถึงประชาชน ทุกวันนี้ระบบยุติธรรมไทยเป็นอิสระอย่างมากมายจนกลายเป็นสถาบันอำนาจสูงสุดทีปราศจากการตรวจสอบโดยสิ้นเชิง เป็นอำนาจเผด็จการสูงสุด .... ตามหลักอำนาจทางการเมืองระบอบประชาธิปไตย ทุกอำนาจจะต้องอยู่ใต้การตรวจสอบของประชาชนได้ .......โดยหลักการ อำนาจเป็นของประชาชน....ประชาชนเป็นนาย......ข้าราชการ หรือสถาบันบริหารทั้งหมด ต้องอยู่ใต้การตรวจสอบของประชาชนผู้เป็นนายได้ ...... เหมือนนายนั่นแหละครับ ตรวจสอบได้ทุกอย่าง .... แต่โดยสถานะการณ์ทุกวันนี้ เรามีสถาบันนิติบัญญัติ คือ รัฐสภา นี่ก็อยู่ใต้การตรวจสอบของประชาชนเต็ม ๆ เนื่องเพราะไปเกี่ยวกับการเลือกตั้งโดยตรง อำนาจบริหารหรืออำนาจการจัดการประเทศก็เช่นเดียวกัน เป็นอำนาจที่ได้มาโดยประชาชน อยู่ใต้การตรวจสอบของประชาชน เพราะโดยระบบรัฐสภานั้นทำให้รัฐบาลจำต้องบริหารไปตามสัญญาที่ให้ไว้แก่ประชาชน และยังต้องเสนอนโยบายที่ถูกใจประชาชนอีกด้วยเป็นเรื่องการควบคุมที่ยิ่งใหญ่ของประชาชน
แต่ถ้าเรามองอำนาจอีกอำนาจหนึ่ง ซึ่งทางรัฐธรรมนูญเราจำเป็นต้องกำหนดไว้เสมอ เพื่อให้ได้ชื่อว่าเป็นประชาธิปไตย ก็ให้เป็น 1 ในอำนาจสูงสุดทั้ง 3 เพื่อให้สอดคล้องความหมายในแง่การถ่วงดุลอำนาจทั้ง 3 เอง คือ นิติบัญญัติ บริหาร และ ตุลาการ แต่จริง ๆ แล้ว เหตุใดจึงไม่มีการระวังเลยว่า มีอำนาจตุลาการนี้แหละ ที่รอดปลอดไปจากการตรวจสอบของประชาชนโดยสิ้นเชิง และในประเด็นของเจตนารมณ์ของประชาธิปไตย ที่ต้องการให้มีการถ่วงดุลกันระหว่างอำนาจทั้ง 3 อย่างจำเป็น แต่กลับปรากฎว่าไม่มีอำนาจใดจะทัดทาน ต่อรอง หรือถ่วงดุลอำนาจตุลาการได้เลย นี่คือสภาพที่เป็นอยู่ของอำนาจตุลาการขณะนี้
นั่นคือ ความไม่เป็นธรรม ที่รัฐธรรมนูญปล่อยให้มีอำนาจสูงสุดเกิดขึ้แต่เพียงอำนาจเดียว คืออำนาจตุลาการซึ่งโดยพฤตินัย เป็นอำนาจที่สูงสุดเพียงอำนาจเดียวขณะนี้ เพราะขาดอำนาจการถ่วงดุลจากนิติบัญญัติ และบริหาร และจากการตรวจสอบของประชาชน ........โดยสิ้นเชิง จนกระทั่งมีกฎหมายระบุเอาโทษต่อผู้ที่วิจารณ์การตัดสินความของอำนาจตุลาการอีกด้วย ......... แต่ในที่สุด กาลเวลาก็ได้พิศูจน์ ในด้านความเชื่อในคุณธรรมของผู้พิพากษา ก็เชื่อถือไม่ได้ เพราะเขาก็คือคน ๆ หนึ่ง ผู้มีกิเลส นั่นเอง ฉะนั้นทำให้ประเทศไทยกลายพันธ์ทางตุลาการไปเป็น ตุลาการภิวัฒน์.... จนถึงตุลาการศาลสถิตศรีธนญชัยเผด็จการไป นั่นคือรูปธรรมของสองมาตรฐานเกิดขึ้นอย่างชัดเจน ในวงการตุลาการไทย ......มาจนถึงทุกวันนี้
ดังจะเห็นว่าฝ่ายเผด็จการไทยระยะหลัง ๆ มานี้ สามารถครอบงำอำนาจสูงสุดนี้ ....โดยลับโดยทุจริต ไม่ปรากฎต่อสายตาประชาชน จนสามารถล้มล้างรัฐบาลประชาธิปไตยได้ถึง 2 รัฐบาล ......(ล้มนายสมัคร สุนทรเวช นรม.ที่มาจากการเลือกตั้งโดยอ้างว่าการทำรายการอาหารทางโทรทัศน์....ไม่ผิดกฎหมายแต่เอาผิดจากผิดพจนานุกรมจนได้ ประเด็น ..ล้มพรรค.เพื่อเอาสมชาย วงษ์สวัสดิ์ออกจากตำแหน่งนรม.คนต่อมา ......และยังสามารถคุ้มครองป้องกันพรรคประชาธิปัตย์ให้รอดจากการ ถูกล้มพรรค...โดยอ้างว่าคดีหมดอายุความ อายุความ 15 วัน ซึ่งเป็นการอ้างอย่างกล้าหาญในการบิดเบือนเรื่องราว อย่างหมิ่นแคลนประชาชนอย่างยิ่ง.....) นั่นเป็นความไม่เป็นธรรม .......เป็นสิ่งที่เห็นชัดเจนมากถึงความอยุติธรรมของสถาบันยุติธรรมไทย และเป็นสิ่งที่ไม่พึงบังเกิดขึ้นได้ในระบอบประชาธิปไตย และย่อมจะมีการเรียกร้อง เอาคืน จากการกระทำทุจริตเช่นนั้น .... อย่างมีเจตนาทุจริต.....
ในขณะนี้ ฝ่ายตุลาการกำลังจะใช้อำนาจยับยั้งรัฐบาลของประชาชน ไม่ให้สามารถดำเนินนโยบายการบริหารอันชอบธรรมของรัฐบาล กล่าวคือรัฐบาลยิ่งลักษณ์เร่งการบริหารงานด่วนเพื่อประชาชนเรื่องการป้องกันน้ำท่วม.....รวมถึงผลอันจะเกิดทางเศรษฐกิจแก่ประเทศชาติและประชาชนอย่างตรงสถานก รณ์ ถูกกาลถูกสมัย ........ กรณี พรก. 4 ฉบับ ที่ทางศาลรัฐธรรมนูญรับจากพรรคฝ่ายค้าน.....ที่ค้านทุกเรื่อง..ไว้พิจารณา .....มีอำนาจได้อย่างไรไม่ทราบ.....ที่จะอาจยับยั้งการบริหารตามนโยบายที่ให้ไว้แด่ประชาชน และล้มล้างรัฐบาลของประชาชนได้ (รัฐธรรมนูญ 2550 ของคณะรัฐประหารสนธิ บุณยรัตกลิน เขียนเอาไว้ ให้อำนาจไว้เช่นนี้....) ...... นี่คืออำนาจที่เลยเถิดเกินจะถ่วงดุลได้ (ซึ่งจำเป็นต้องพูดถึงและแก้ไขเสีย) .......... การที่เห็นกันชัดเจนอยู่เช่นนี้ ว่า อำนาจตุลาการ เป็นอำนาจสูงสุดเกินที่อำนาจอื่นถ่วงดุลได้ และขาดการตรวจสอบจากประชาชนอย่างสิ้นเชิง และนั่นเป็นเหตุของความผิดพลาดอย่างมหันต์ โดยได้กลายเป็นเครื่องมือของเผด็จการมาได้ระยะหนึ่ง ก่อความเลวทรามมาระยะหนึ่งจนถึงบัดนี้ และโดยหลักการประชาธิปไตย คนย่อมเชื่อถือไม่ได้ ฉะนั้นคนผู้บริหาร ผู้จัดการเรื่องสำคัญ อำนาจสำคัญ ๆ จะต้องได้รับการตรวจสอบอยู่เสมอ....ถ้าปล่อย...กิเลสก็จะครอบงำเขา.....ฉะนั้นคนผู้อยู่ในอำนาจจะต้องยอมรับการตรวจสอบของประชาชน
คณะนิติราษฎร์ ได้พูดถึงประเด็นสำคัญ ๆ เช่นนี้ไว้หมดแหละครับ ..... แต่ก็มีพวกคับแคบเพราะไม่เข้าใจหลักการประชาธิปไตย เช่น ฝ่ายทหาร ....ที่ออกมาพูด ให้เตรียมปฏิวัติ รัฐประหาร(พล.อ.ทหารนอกราชการนายนั้น กับนายสนธิ ลิ้มทองกุลเจ้าเก่า) แสดงความคิดเห็น หรือแม้กระทั่งปฏิเสธอย่างแรงต่อแนวคิดสร้างสรรค์ของคณะนิติราษฎร์ .......... (ที่จริงทหารไม่มีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์การเมือง ....... แต่ที่พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. พูดครั้งแรก ที่ว่าให้คณะนิติราษฎร์หนีไปอยู่ต่างประเทศเสีย ประเทศไทยไม่ต้อนรับนั้น ....และล่าสุด วันสองวันมานี้ .....ให้หยุดคณะราษฎร์...หยุดการเคลื่อนไหวลงเสียทันที...... เสมือนพูดสั่งการต่อรัฐบาลด้วยซ้ำ ซึ่งถือว่าไม่ถูกต้อง ....(คนที่จะพดคำเหล่านี้ไม่ควรเป็น ผบ.ทบ. ควรเป็นรัฐบาลเผด็จการัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง แต่รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลประชาธิปไตย ก็เลยไม่จำเป็นต้องพูด.......เลยให้ผบ.ทบ.สั่งการเอากับรัฐบาลว่าให้หยุดคณะราษฎร์) เพราะทหารเป็นเพียงเครื่องมือของรัฐบาล....ตามระบอบประชาธิปไตย หรือระบอบไหน ๆ .....นั่นแสดงถึงการหลงตัวในอำนาจที่เคยมีมา........เช่นเดียวกับ ผบ.ทบ.คนก่อน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ที่ออกความเห็นว่ารัฐบาลสมัคร ควรลาออก และไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ตามพรก.สถานการณ์ฉุกเฉิน คราวพันธมิตรยึดทำเนียบรัฐบาล และยึดสนามบินนานาชาติ ......
ซึ่งความไม่ถูกต้องเหล่านี้ จำเป็นต้องมีผู้เข้าใจ ผู้รู้ ให้การศึกษาแก่ประชาชน แก่คนที่ไม่รู้ให้รู้ หรือที่เรียกว่า ให้ ตาสว่างขึ้นทั้งแผ่นดินนั่นแหละครับ
ฉะนั้น ถ้าคุณจะให้หยุดคณะราษฎร์ แล้วก็แปลว่าหยุดการอบรม ให้ความรู้เชิงความเห็นทางสร้างสรรค์ แก่ประชาชนในระบอบประชาธิปไตย นั่นเอง ........... ทุกวันนี้ มีประชาชนส่วนหนึ่ง (รวมทั้งพวกสื่อสายหลัก..ข้าราชการพวกหนึ่ง...รวมทั้ง ผบ.ทบ. หลายยุคมา) ที่ยังไม่เข้าใจประชาธิปไตยเลย ......เมื่ออยากเป็นประชาธิปไตย ก็ต้องให้มีการแสดงความคิดเห็นเช่นนี้ .....และเปิดเสรี ตามที่รัฐธรรมนูญทุกฉบับรับรองไว้ .....เพื่อประโยชน์ทางการตกผลึกทางความคิดขึ้น เพื่อประโยชน์แด่ชาติและสถาบันอย่างแท้จริง คุณทหารก็เพียงอยู่เฉย ๆ รอฟังรัฐบาลพูดดีกว่า อย่าชิงพูดแทนรัฐบาล อยากให้ดูทหารประชาธิปไตยอย่างทหารสหรัฐอเมริกานะครับ .... และเร็ว ๆ นี้ก็คอยดูทหารพม่า ทำท่าจะไปในระบอบประชาธิปไตยไกลกว่าทหารไทยเสียแล้ว
- ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆินทร์
8 ก.พ.2555/10.25 น.