สิ่งที่เรียกว่า องค์การพิทักษ์สยาม
กำลังจะเริ่มต้นการแสดงวันนี้ 24 พ.ย.2555 เวลา 09.01 น.
ในขณะที่ ทางตะวันออกกลาง หลังยิงกันมา 8 วันได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิงกันแล้ว
ภาพนี้ได้มาจาก aljazeera.com โทรทัศน์อัลจาชีรา โทรทัศน์มืออาชีพทางการทำข่าวสงครามและกลิ่นไอความรุนแรงทุกชนิดในโลกนี้ ยังไม่ได้ให้ความสนใจแก่การชุมนุมของสิ่งที่เรียกว่า องค์การพิทักษ์สยาม ในประเทศไทย นั่นแสดงว่าในไทยยังไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้นตกใจมากนัก ในสายตาของอัลจาชีรา ยังคงให้ความสนใจสถานการณ์ตะวันออกกลางครั้งใหม่ ที่เกิดขึ้นเมื่อ 8 วันมาแล้ว ด้วยการเปิดฉากการยิงและส่งกำลังทางอากาศของอิสราเอล ลงในฉนวนกาซา แล้วกลายเป็นสงครามครั้งใหม่ที่ไม่มีการประกาศ เกิดเป็นวิกฤตฉนวนกาซาอยู่ 8 วัน แต่แล้วมาถึงวันนี้ วันที่ทางประเทศไทยกำลังจะเริ่มต้น อะไรที่มีลักษณะคล้าย ๆ วิกฤต ที่ได้ก่อความปั่นป่วนในเชิงจิตวิทยามวลชนสู่ประเทศไทย มาตั้งแต่วันที่ 28 ต.ค.2555 มาแล้ว แต่ทางตะวันออกกลาง วันนี้มีรายงานจากอัลจาชีราว่า ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิงแล้ว [Gaza ceasefire comes into effect] ทั้งนี้ตามที่อัลจาชีรารายงานล่าสุดวันนี้ และรายงานความเสียหายว่า 8 วันแห่งการเปิดฉากต่อสู้กันนั้นมีเหยื่อระเบิดในปาเลสไตน์ ฉนวนกาซา ฝ่ายปาเลสไตน์ ประชาชนเสียชีวิตอย่างน้อย 160 ศพ ความเสียหายหลายร้อยล้านดอลลาร์ ฝ่ายอิสราเอล โดนไปเหมือนกัน อย่างน้อยก็ทหาร 5 นายเสียชีวิตด้วยการยิงของฝ่ายตรงข้าม
การสู้รบในตะวันออกกลาง นาน ๆ ทีก็มีกันคราวหนึ่ง แล้วเมื่อเกิดความเสียหายขึ้นมา ซึ่งมักจะเป็นเหยื่อที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ คือประชาชนทั้งคนแก่และเด็กตายกันไปทุกครั้ง ๆ ก็มาเจรจาหยุดยิงกัน เหมือนประเทศไทยไม่มีผิด ที่นาน ๆ ก็มีกองทัพออกมาปฏิวัติล้มล้างรัฐบาลที แล้วก็มีการเลือกตั้งกันใหม่ วนไปวนมาอยู่เช่นนี้ แต่ทางเราได้วิเคราะห์ถึงสาเหตุ ว่าแท้จริงเป็นเพราะความเข้าใจประชาธิปไตยยังไม่เข้าถึงสายเลือดของประชาชนส่วนใหญ่ เป็นอวิชชากันทั่วไป แม้ในระดับคนผู้มีการศึกษาชั้นสูงเช่นศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัย ในศาลรัฐธรรมนูญ ฯลฯ ก็ยังไม่เข้าใจประชาธิปไตย ........ และแม้กระทั่งหัวหน้าผู้ก่อการวันนี้ คือพล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ซึ่งเป็นอดีตกบฏ 26 มี.ค.2520 ที่ได้แสดงวิสัยทัศน์อันเป้ฯอวิชชาทางประชาธิปไตยอย่างแท้จริง สิ่งที่เรียกว่า องค์การพิทักษ์สยาม ที่ออกมาก่อการประกาศจะล้มล้างรัฐบาล...แบบม้วนเดียวจบ....ซึงมีเหตุผลตามหลักการประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญไทยเองปัจจุบัน คือ รธน.2550 เข้าลักษณะเป็นกบฏอย่างแท้จริง ( ...แต่วานนี้ศาลรัฐธรรมนูญไทย ท่านตัดสินว่าไม่เป็นกบฏ .......) ก็ยังไม่เข้าใจหลักประชาธิปไตยแม้เบื้องต้น ๆ เลย นี่เป็นต้นเหตุทำการอันโง่เขลามาทุกครั้ง ๆ เหตุการณ์ที่จะถูกสร้างขึ้นโดยสิ่งที่เรียกว่า องค์การพิทักษ์สยามวันนี้ จึงน่าจะได้เป็นบทเรียนทางประชาธิปไตยบทสำคัญของประชาชนไทยทั้งหลาย เพื่อที่ตาสว่างทั้งแผ่นดินและยุติครรลองอันไม่ชอบธรรมจตามหลักการประชาธิปไตยลงเสียสักที
- สุไหงปาดี ชินะกุล รายงาน
24 พ.ย.2555, 09.55 น.
บันทึก
10.40 น. รต.แซมดิน เลิศบุศป์ พาพวกสันติอโศก บุกข้ามลวดหนาม บริเวณ สะพานมัฆวานรังสรรค์ จะฝ่าด่านไป ตร.โยนแกสน้ำตา ไล่ ......... ควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว เวทีลานพระรูป นายบุญเลิศกล่าวโจมตีรัฐบาล ว่าไม่จงรักภักดี ... ตามสูตร คือมีการทุจริตคอรรัปชั่นเยอะ ....การเลือกตั้งโกง......(เอเซียอัพ รายงาน)
# ผบ.ตร.ย้ำกม.มั่นคงป้องเหตุรุนแรงสมช.ห่วงมือ3 ยันใช้สันติวิธีป้องม็อบ ..kwamjing/ 24พ.ย.2555 /08:41:08
# ป่วนแต่เช้า! ม็อบฝ่าด่านลวดหนามสพานมัฆวานไปสนามม้า ตร.ใช้แก๊สน้ำตาสกัด .....kwamjing/ 24พ.ย.2555/09.37
# ตร.ยันใช้แก๊สน้ำตาเหตุม็อบฝ่าพรบ.มั่นคงปูดเจออาวุธมีดลูกกระสุนเพียบ..kwamjing/ 24พ.ย.2555/10.36
ภาพเหตุการณ์เมื่อเช้า จากข่าวสดออนไลน์ 14.10 น.
* ม็อบขับรถ6ล้อชนแนวตำรวจ-โยนแก๊สน้ำตา
"เวลา 08.50 น.กลุ่มผู้ชุมนุมนำรถบรรทุก 6 ล้อ ติดเครื่องขยายเสียงที่มีการพูดปลุกระดมอย่างต่อเนื่อง ได้พยายามขับไปทางด้านซ้ายของช่วงกลางสะพานมัฆวาน ที่ได้มีการรื้อแท่นคอนกรีตที่ขวางทางออกไว้ก่อนหน้านี้แล้ว โดยมีผู้ชุมนุมเป็นชายฉกรรจ์กว่า 10 คน ได้วิ่งเข้าไปผลักดันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ใช้โล่ใสเป็นเวลานานกว่า 2 นาที และเมื่อรถบรรทุกคันดังกล่าวได้เคลื่อนตัวเข้ามาติดเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กำลังผลักดันกับผู้ชุมนุม ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจโยนแก๊สน้ำตาแบบขว้างมาจากทางด้านหลัง ทำควันสีขาวกระจายเต็มพื้นที่ดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ชุมนุมแตกวงและวิ่งหลบหนีอย่างชุลมุน ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจต่างถอยร่นออกไปด้านข้าง
อย่างไรก็ตามผู้ชุมนุมบางส่วน รวมถึงรถบรรทุก 6 ล้อ สบโอกาสอาศัยช่วงชุลมุลวิ่งฝ่าวงล้อมตำรวจเข้าไป ก่อนตำรวจจะมีการขว้างแก๊สน้ำตารอบที่ 2 พร้อมดำเนินการจับกุมผู้ชุมนุมที่ฝ่าวงล้อมเข้าไป โดยหลังจากสถานการณ์สงบลงพบผู้บาดเจ็บ 5 ราย และพบกระป๋องแก๊สน้ำตาที่ถูกใช้งานแล้วกว่า 10 กระป๋องในจุดที่เจ้าหน้าที่ขว้างเข้ามา ขณะที่ตำรวจก็เริ่มใส่ชุดหน้ากากป้องกันแก๊สน้ำตาพร้อมโล่และกระบองกลับมาวางแนวป้องกันเช่นเดิม "
- จากข่าวสดออนไลน์ 24 พ.ย.2555
11.00 น. ช่อง 11 รายงาน+ภาพ ส่งผู้บาดเจ็บทั้งประชาชน+ตำรวจ ที่เกิดวุ่นวายขึ้นที่สพานมัฆวานฯ ส่งรพ.แล้ว ทางนายบุญเลิศ ประกาศว่าให้พวกประชาชนชุมนุมโดยสงบ ไม่ให้มีอาวุธ (ระวังว่าอาจเป็นยุทธวิธี...การโฆษณาชวนเชื่อ...ของฝ่ายศัตรูได้ บก.).......สถานการณ์สงบ
# เสธ.หนั่นช๊อก หามส่งรพ.หมอปั๊มหัวใจแต่อาการยังโคมา แพทย์ยังดูแลใกล้ชิด...K..ฯ../11:14:27
# ดุสิตโพล ตร.มั่นใจ 96.23 % ดูแลม็อบเสธ.อ้ายได้ วอนชุมนุมภายใต้กรอบกฎหมาย.........K ฯ.../11:52:25
- ช่วงเช้า เอเซียอัพเดทมีปัญหาการถ่ายทอด.......หลายชั่วโมง
15.50 น. สถานการณ์ล่าสุด
- มีข่าวชุมนุมเสื้อแดง ลำลูกกา 3 ปทุมธานีกว่า 50,000 คน วุฒิพงศ์ คชธรรมคุณ ว่าชุมนุมในที่ตั้ง ตามสิทธิ์ และหน้าที่ที่จะปกป้องรัฐบาลของประชาชน คอยดูว่ากบฏไล่รัฐบาลยกระดับไปถึงไหน อันตรายเพียงใด ทำเพราะรักประชาชน รักประชาธิปไตย รักรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และรักทักษิณ ขณะนี้ยังมีเสื้อแดงทะยอยมาเรื่อย ๆ จาก กทม. อ่างทอง กาญจนบุรี นครปฐม ฯลฯ
- รมช.มท. นายประชา ประสพดี ให้สัมภาษณ์ว่า ทางรัฐบาลได้เตรียมรถบัสไว้รับประชาชนที่มาชุมนุมเดินทางกลับบ้านแล้วอย่างเพียงพอ ว่ามีประชาชนสำนึกตัวว่ามาผิดความมุ่งหมาย จะขอเดินทางกลับบ้าน
- กลับมาแล้ว เอเซียอัพเดท รายการรามสูร บอกไปยังม็อบสนามม้าว่า มึงยึด กูล้อม มึงเข้าซอยกูปิดซอย แดงไม่เอาอะไรมา เอาหัวใจมา
16.30 น.
- อัลจาชีรา ยังไม่สนใจเหตุการณ์ที่กรุงเทพ ไม่ปรากฎรายงานข่าวใดใดเลย อัลจาชีราตามข่าวซีเรียอยู่
- สื่อไทยรายงาน พล.อ.บุญเลิศ ขอให้ม็อบอดทนรอ ทหารต้องออกมาช่วยพวกเราอย่างแน่นอน ส่วนตัวเองขอสู้ตายถวายชีวิต
- สื่อมวลชนขอสัมภาษณ์นายแพทย์ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ นพ.ตุลยืนยันว่า พรุ่งนี้ซึ่งจะมีการประชุมอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล จะไม่ยึดรัฐสภา และ ทำเนียบรัฐบาล อย่างแน่นอน
บทวิเคราะห์ ไม่ทราบว่าทางม็อบต้อการอะไร ไม่ทราบว่าจะเสนอข้อเรียกร้องอะไรแก่รัฐบาล ..... แต่ชัดเจนว่าพฤติกรรมที่แสดงออกคือการพยายามทำการกบฏ(คือชุมนุมชนมาขับไล่รัฐบาล...ประกาศขับไล่รัฐบาล และเริ่มด้วยการก่อความรุนแรง มาตั้งแต่เช้า ฯลฯ ) อีกไม่กี่นาทีข้างหน้าก็จะมืดลง แต่ม็อบสนามม้าจำนวนหนึ่ง ก็ยังคงมีการชุมนุมอยู่ บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า มันให้ความรำลึกในแผลเก่าของคนเสื้อแดง ถึงคืนวันที่ 10 เมษายน 2553 และทหาร ในเรื่องราวที่ร้ายแรงและน่าตื่นตระหนกตกใจ ...... แน่ละ เราไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ใดใดขึ้นในลักษณะเช่นนั้นอีก ........ แม้ว่ามีเสื้อแดงชุมนุมที่คลอง 3 ลำลูกกา จ.ปทุมธานี จำนวนหลายเท่ากว่าที่ชุมนุมลานพระบรมรูปทรงม้า ..... ตรงนี้จะกระทำได้ หากฝ่ายรัฐบาลได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนไป ภายใต้ความสำนึกว่า เราเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย หน้าที่ของรัฐบาลคือการปกป้องคุ้มครองให้ความปลอดภัยแด่ประชาชนทุกฝ่าย ตามเหตุตามผลของสถานการณ์ และปฏิบัติการฝ่ายตำรวจปราบปรามจลาจล ให้ถูกต้อง เป็นมาตรฐานของระบอบประชาธิปไตยสืบไป
17.40 น. มีรายงานว่าฝนตกหนัก และมีการประกาศเลิกชุมนุม ยังรอทบทวน .... ยืนยันเป็นการประกาศของพล.อ.บุญเลิศ
เขาสัมภาษณ์หมอตุล ๆ ว่าคงเป็นเพราะคนมาชุมนุมไม่ถึงยอดที่กำหนด ไม่มากพอ และเป็นการชุมนุมที่ขัดรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน (ขณะให้สัมภาษณ์หมอตุลอยู่นอกเขตชุมนุม)
ถามย้ำอีกว่าการตัดสินใจยกเลิกการชุมนุมเป็นเพราะกรรมการแกนนำ หรืออย่างไร .......... หมอตุลว่าเลิกชั่วคราววันนี้ แต่หลักการยังอยู่คือรัฐบาลยังทำชั่วอยู่ตราบใด เราก็ยังต้องขับไล่อยู่ต่อไป
17.35
ไปดู บลูสกาย เศร้าไปตาม ๆ กัน ที่พูดฉับ ๆ อยู่คือ โฆษกหญิง มีเอสเอ็มเอส เข้ามาบางตา ออันแรกว่า "กลัวทักษิณกันหมดเลยหรืออะไร"
แล้ว เสรี วงศ์มณฑา พูดออกมา ว่ารัฐบาลไม่มีสิทธิอันชอบธรรมที่จะอยู่ต่อไป เพราะใช้แก๊สน้ำตาทำร้ายประชาชน
โฆษกชายเสียงแหบ ๆ ไม่ทราบชื่ออะไร ถามคนที่น่าเป้นผู้สื่อข่าวบลูสกายเองว่าคนที่ถูกตำรวจจับไปเป็นอย่างไรครับ อ๋อ เขาดูแลดีมากค่ะ มีข้าวปลาอาหารกินอย่างดี อยู่ห้องแอร์ด้วย ..... นั่นเป้นคำตอบ หมอกำลังมองหาแง่มุมที่จะใส่ร้ายเขาตามสันดารทีวีแห่งนี้นั่นเอง แต่หงายเลย
แล้ว นายสุริยะใส กตะศิลา ในฐานะผู้ประสานงานกลุ่มกรีน แก้ตัวไปตามหลักจิตนาการเพ้อเจ้อตามเคย ว่า ............. 1. เน้นความรับผิดชอบต่อชีวิตของประชาบชนเป็นสิ่งสำคัญ จึงเห็นด้วยกับเสอ้าย 2. คนน้อย ผมเองว่าไม่น้อย 3. พ่อท่านถูกแกสน้ำตาเข้าเต็มตา ก็เกรงว่าจะกระทบพ่อท่าน .......4. .เขาไม่ได้หมายว่าเลิดกเลยนะ ......... คนในทีวีแห่งนี้ก็พยายามต่อไปที่จะพูดผิดให้เป็นถูก ..ฝ่ายตน และ พูดถูกให้เป็นผิด....ฝ่ายรัฐบาล ...........
แล้วโฆษก 2 ชายหญิงก็แสร้งยิ้มหัวเราะกลบเหลื่อนสีหน้าแท้จริงไป ........โฆษกหญิงน่าเป็นมัลลิกา บุญมีตรกูล ดูผอม ๆ ไปจำไม่ถนัด (ใช่จริง ๆ มิน่าฉับ ๆ ๆ ๆ ๆเลย อีกคนเสียงแหบ นายธีมะ กาญจนะไพริน) ..........แล้วไปเอาภาพเสอ้ายตอนประกาศเลิกชุมนุม มาออก...... เสอ้ายว่าเลิก ไม่มีครั้งที่ 3 อีก ผมบอกแล้วไงว่าคนมาน้อยเลิก..... ไม่มีครั้งที่ 3 ....... เลิก คุยกับท่านพ่อ โพธิรักษ์ ผมเป็นห่วงชีวิตที่มาชุมนุม.......... ผมขอโทษที่ทำให้พวกเขามายากลำบาก ...... ใช้เสอ้ายแทนเจ๊กลิ้ม.... น่าผิดหวังนะ บลูสกาย...ก็เลยเป็นฟ้าที่เศร้าโศรก ? .......
บทสรุปทั้งสิ้น
1. ภายหลังฝ่ายที่คิดก่อการณ์ล้มล้างรัฐบาลโดยวิธีการที่ไม่ชอบด้วยกฎกติกาของระบอบประชาธิปไตยซึ่งมีความหมายถึงการก่อการทรยศเป็นกบฏ ตามนัยความหมายที่คนทั่วไปเข้าใจดีอยู่แล้วนั่นเอง ครั้นทำไม่สำเร็จเพราะแผนพินาศย่อยยับลงไม่อาจจะเดินแผนยุทธศาสตร์ม้วนเดียวจบต่อไปได้ ก็จำเป็นต้องประกาศเลิกชุมนุมลงเอง และเนื่องจากการดำเนินการล้มล้างรัฐบาลครั้งนี้ ฝ่ายอมาตย์ที่นำโดยใครก็เป็นที่รู้จักกันดีขึ้นแล้ว ได้กำหนดแผนการไว้เป็นยุทธศาสตร์ 2 ด้าน ควบคู่กันไป 2 แผนใหญ่ ๆ ก็คือ
(1) ใช้วิธีการนอกรัฐสภา โดยอ้างหลักการประชาธิปไตยที่ตนเข้าใจเอาเองแบบงู ๆ ปลา ๆ ว่าประชาธิปไตยให้สิทธิในการชุมนุม แต่ไม่เข้าใจโดยตลอดว่า สิทธิใดใดในระบอบเสรีชนนั้น มีขอบเขตอยู่ที่การไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น หากละเมิดสิทธิของผู้อื่น ย่อมมีโทษตามความรุนแรงของการละเมิด เช่นคิดล้มล้างรัฐบาลแบบโจร ตามความคิดของอมาตย์ครั้งนี้ นั่นคือวางแผนยกพวกเข้าขับไล่รัฐบาลในทำเนียบรัฐบาล คือคิดยกพวกเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล ยึดรัฐสภา ยึดสนามบิน รวมทั้งการคิดสร้างสถานการณ์ร้ายขึ้น ให้เห็นว่ารัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาได้แล้ว ย่อมมีความชอบธรรมที่ทหารจะออกมาควบคุมสถานการณ์อยู่ดี..... เช่นนี้ เป็นการเข้าใจผิดในระบอบประชาธิปไตย เพราะสิทธิและหน้าที่ของรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยนั้น ย่อมอยู่เหนือกองทัพและกองกำลังทั้งสิ้น หากมาตรการป้องกันของฝ่ายรัฐบาลอันเป็นแผนที่ 1 ไม่สามารถเอาสถานการณ์อยู่ รัฐบาลก็สามารถใช้แผนการอันดับต่อไปได้ เพราะรัฐบาลมีหน้าที่ที่จะต้องปราบปรามกบฏอยู่โดยตรงแล้ว จึงมีทั้งสิทธิและหน้าที่อย่างสมบูรณ์ตามระบอบประชาธิปไตย ที่จะสั่งการกองทัพหรือกองกำลังใดใดออกมาได้ ไม่ใช่กองทัพหรือกองกำลังใดใดจะเคลื่อนไหวได้เป้นอิสระ ฉะนั้น เมื่อฝ่ายกบฏกระทำไปด้วยความเข้าใจผิดเช่นนี้ การกระทำจึงเป็นการละเมิดสิทธิผู้อื่นในระดับรุนแรง เพราะฉะนั้นประเทศที่เจริญด้วยประชาธิปไตยแล้วในยุโรป และประเทศที่เจริญทั้งหลาย การละเมิดเช่นนี้จึงถูกกำหนดไว้เป็นกติกาในกฎหมายว่าต้องมีโทษหนักระดับเป็นกบฏ ......โทษถึงประหารชีวิต หรือโทษถึงปลดออกจากราชการ.... ตัวอย่างเช่น ในการทำนโยบายถอนถอนทหารออกจากตะวันออกกลางของประธานาธิบดีโอบามา อันเป็นนโยบายที่ชนะในการเลือกตั้งมา ได้มีผู้บัญชาการทหารภาคตะวันออกกลาง ทำการวิจารณ์นโยบายนี้ ภายหลังการเลือกตั้งว่าเป็นนโยบายที่ทำขึ้นอย่างไม่สอดคล้องกับสถานการณ์สู้รบในตะวันออกกลาง ไม่คำนึงความคิดเห็นของฝ่ายทหารที่ทำการอยู่ในตะวันออกกลาง เพียงความคิดที่วิพากษ์วิจารณ์ของผู้บัญชาการทหารคนนี้เอง ไม่ได้มีการกระทำใดเกิดขึ้นในทางขัดขวางนโยบายของรัฐบาลโอบามา ประธานาธิบดีโอบามาก็สามารถปลดออกจากตำแหน่งได้.... ฐานทำผิดหน้าที่ และแสดงถึงท่าทีที่ขัดขวางนโยบายที่ผ่านการอนุมัติของประชาชนส่วนใหญ่ของอเมริกามาแล้ว นี่คือหลักของ Majority rule minority right ที่ได้เป็นสิทธิอันชอบธรรมของประธานาธิบดีปลดผู้บัญชาการทหารนี้ออกจากตำแหน่งได้ทันที และคนทั่วโลกก็ได้เห็นแล้วว่า อเมริกันมีสปิริตของประชาธิปไตยสูงมาก โดยทหารอเมริกันทั้งกองทัพก็ยอมรับในสิทธิของประธานาธิบดีและยอมรับในหลักการประชาธิปไตย เราจึงไม่เคยเห็นทหารในประเทศที่เจริญด้วยประชาธิปไตยออกมาทำอะไรอย่างเช่น สนธิ บุณยรัตนกลิน หัวหน้ารัฐประหาร 19 ก.ย.2549 และคนอื่น ๆ ในอดีต รวมทั้ง กรณีม็อบอดีตทหารกบฏโดยอมาตย์หนุนหลังครั้งนี้ ...แตกต่างกันมากกับทหารสหรัฐ ...เพราะม็อบโง่เขลา ไม่เข้าใจหลักการประชาธิปไตย ทำไปโดยตนเองยังไม่รู้ถึงโทษอันร้ายแรงแก่ชีวิตตนเองด้วยซ้ำ ถ้าเพียงมีจิตใจรักความเป็นธรรมสักหน่อย คนทั้งหลายก็ย่อมยอมรับ และการบัญญัติกติกาข้อนี้จึงมีอยู่ในกฎหมายของทุก ๆ ประทศ เพราะกระทำได้ง่าย ไม่มีคนใจเป็นธรรมที่ไหนจะคัดค้าน ทุกคนใจเป็นธรรมมีความเห็นตรงกันอย่างแท้จริง .... นั่นก็คือ เป็นการสมควรที่พวกที่ยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบินนานาชาติ ยึดสถานีโทรทัศน์ และคิดล้มล้างรัฐธรรมนูญ สมควรได้รับโทษอันร้ายแรง ถึงระดับกบฏ โทษถึงประหารชีวิต ทั้งนี้เพื่อให้สังคมเสรีชนเป็นสังคมที่ปราศจากคนเห็นแก่ตัว มีแต่คนทั้งหลายที่ล้วนเข้าใจกันและกันในอำนาจของสิทธิและหน้าที่ที่ตนมีอยู่ เห็นในความทุกข์ ความสุขของคนอื่น เห็นคนอื่นเสมอกับเรา มั่นใจในความเป็นธรรมตามหลัก equlity คือมีความเสมอภาค ไม่เหลื่อมล้ำในสิทธิที่จะปกครองตนเอง เป็นการให้คุณค่าของความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน และมีภราดรภาพ อันเป็นทางแห่งความปรองดอง ความมี humanity คือมนุษยสัมพันธ์อันดี นำไปสู่ความสงบสันติสุขของสังคมโดยรวม
(2) แผนการล้มล้างรัฐบาลในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งฝ่ายอำมาตย์วางแผนไว้ให้โจมตีรัฐบาลทั้งทางนอกและทางใน ทางนอกมีสิ่งที่เรียกว่าองค์การพิทักษ์สยาม ทางในมีสิ่งที่เรียกว่าพรรคประชาธิปัตย์ อันเป็นฝ่ายค้านในระบอบรัฐสภาตามหลักการประชาธิปไตย โดยกำหนดเวลาให้รับรองกันให้กองทัพภายนอกเข้าโจมตีก่อนโดยเริ่มก่อนในวันที่ 24 พ.ย.2555 แล้วการโจมตีภายในรัฐสภาจึงตามขย่มต่อกระทบเป็นศึกสองด้าน ในวันที่ 25-26-27-และลงคะแนนวันที่ 28 ซึ่งนับว่าเป็นแผนการที่แยบยล และมีการซ่อนเก็บแผนการณ์ไว้เป็นความลับจนวินาทีสุดท้าย นั่นคือไม่ยอมส่งคำขออภิปรายให้ฝ่ายรัฐบาล จนถึงกับเป็นประเด็นสำคัญ ที่โต้เถียง ทั้งนี้ เราก็ต้องถือว่าฝ่ายรัฐบาลทำถูก และเหตุเกิดเพราะฝ่ายค้านที่ซ่อนแผนอันร้ายไว้ในการอภิปรายครั้งนี้นั่นเอง เป็นเหตุให้เสียเวลารัฐสภาไปเป็นอันมาก จนที่สุดเมื่อตนคิดว่าฝ่ายรัฐบาลเตรียมตัวไม่ทัน จึงแจ้งรายการที่จะอภิปรายให้ฝ่ายรัฐบาลทราบ (ในเรื่องนี้ ปรากฏว่าประธานสภากลับมีท่าทีเข้าข้างคนผิด ฝ่ายผิด โดยเห็นดีเห็นงามกับฝ่ายค้าน ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎ ระเบียบ โดยพยายามแก้ตัวให้ฝ่ายค้านอยู่ตลอด ....อันเป็นสิ่งที่ส่อแสดงถึงความไม่เข้าใจระบอบประชาธิปไตยของคนระดับผู้นำของอำนาจนิติบัญญัติอีกด้วย และส่อถึงการทำหน้าที่ไม่ถูกต้องตามหลักการปกครอง ....... มีเหตุผลหลายประการที่ผู้นำด้านรัฐสภาไทยมีพฤติกรรมที่ไม่เอื้อแด่ระบอบประชาธิปไตยเสียเอง อันเนื่องมาจากความไม่เข้าใจประชาธิปไตย นับแต่เรื่องตลกรัฐธรรมนูญ เรียกไปให้การ กรณีวาระที่ 3 ของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 เป็นต้นไปถึงด้านการปกครองในรัฐสภา ทั้ง ๆ ที่ประธานรัฐสภาได้ถูกกระทำเสียเองอย่างเสียหาย นั่นคือเหตุการณ์ ที่สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ฝ่ายค้านกระทำการก่อกวนการประชุมสนสภา อย่างป่าเถื่อน มีการรวมหมู่ปฏิบัติการร้าย ตั้งแต่ขึ้นไปบนบัลลังก์ประธานสภา ทำการลากดึงประธานสภาออกจากเก้าอี้ ลากมือถือแขนให้ลุกจากเก้าอี้ เป็นเชิงให้สัญลักษณ์ว่าท่านไม่เหมาะที่จะนั่งตรงนี้แล้ว เชิญออกไปได้ อะไรประมาณนี้ แล้วมีสส.หญิง นางรังสิมา รอดรัศมี วิ่งขึ้นไปลากเก้าอี้ประธานสภา ดึงออกไปจากห้องประชุมอย่างไร้สติความคิดถูกผิดและสมสถานะสส.อย่างไร แล้วนายวรงค์ เดชกิจวิดกรม สส.ปชป.พิษณุโลก ผู้อยู่เบื้องล่างก็โยนแฟ้มเอกสารปึกใหญ่ หลายแฟ้มใส่ประธานสภา จนตำรวจสภาเข้ามากันไว้ อย่างที่แสดงอารมณ์อันโกรธแค้น เกลียดชัง ผิดวิสัยของคนที่มาสู่ตำแหน่งชั้นสูงของประเทศ แล้วมีสส.กทม.นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ทำเหมือนเด็กปัญญาอ่อน ทำท่าฮิตเลอร์ใส่ประธานสภา.....และมีการบีบคอสส.ฝ่ายรัฐบาลตรงข้ามตนแทบตายเพราะหายใจไม่ออก..แล้วนายนิพิธ อินทรสมบัติ ปชป.พัทลุงก็กล่าวบริภาษณ์ประธานสภาอย่างหยาบคาย ไม่สมกับเคยเป็นอดีตรมว.วัฒนธรรม .....อันเป็นการกระทำที่ป่าเถื่อนของพรรคประชาธิปัตย์ นำโดย ร.ต.อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ........ แต่ปรากฏว่าประธานรัฐสภา ไม่คำนึงถึงสถาบัน เอาสถานะส่วนตัวไปตัดสินว่าให้อภัย อย่าเอาเรื่องเอาราวกันเลยเพื่อนเอ๋ย ให้แล้ว ๆ กันไป .......ที่จริงถ้าจะแสดงความใจกว้างก็ลองลาออกจากตำแหน่งดู นั่นจะแสดงความใจกว้างจริง...อันที่ง่าย ๆ เช่นมาพูดคำว่าเลิกแล้วต่อกันเถอะเพื่อนเอ๋ย นี่ง่าย ใคร ๆ ก็ทำได้ อันทำยากเช่นลาออกนี่ทำได้ไหม ...ถ้าทำได้ก็ลาออกไปดู....แต่ที่สำคัญไม่ชอบด้วยหลักการปกครอง. ... คุณต้องใช้หลักการทางศาสนาเข้าประกอบ ไม่ว่าหลักคริสต์ อิสลาม ที่จะต้องมีการให้รางวัลและการลงโทษ มีนรกสำหรับการลงโทษคนทำชั่ว มีสวรรค์สำหรับให้รางวัล ในกรณีการปกครองในรัฐสภานี้ ต้องถือหลักว่า พึงข่มบุคคลที่ควรข่ม พึงชมบุคคลที่ควรชม(นิคฺคณฺเห นิคฺหารหํ ปคฺคณฺเห ปคฺคห่ารหํ) จึงจะถูกต้อง .(ถ้าคุณไปให้ท้ายคนหน้าด้าน มันก็จะด้านไปกว่าเดิมอีก).... หรือถ้าจะดีก็เอาหลักทศกัณฐ์มาเพิ่มอีกเป็นหลักที่ 3 คือหากไม่เห็นพอจะทำอะไรได้ก็ถืออุเบกขาเสีย แต่อันนี้ให้เป็นทางเลือกจริง ๆ เดี่ยวจะเหมือนขี้เกียจละเลยหน้าที่ไป ในด้านศึกภายในนี้ ฝ่ายค้านประชาธิปัตย์ ใช้วิธีการปั้นแต่งเรื่องราวต่าง ๆ ขึ้นมาให้เห็นว่าทางฝ่ายรัฐบาลนั้นเป็นรัฐบาลที่มีแผนหลอกลวงตบตาประชาชนอย่างแยบยลลึกซึ้ง หวังโกงชาติโกงประเทศอย่างมโหฬารชนิดคาดถึงโดยยาก อันเกินสายตาประชาชน .....ดูได้จากการอภิปรายของนายวรงค์ เดชกิจวิกรม สส.ปชป.พิษณุโลก กรณีนโยบายจำนำข้าว ซึ่งตั้งใจสร้างเรื่องเท็จขึ้นทั้งเรื่อง....มีคลิปมาประกอบ ... และบังเอิญคนสร้างเรื่อง ทำให้เห็นว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์นี้เลวเกินไป เกินจากความเป็นมนุษย์ คนก็เลยได้คิดว่าคน ๆ หนึ่งจะเลวได้ขนาดอย่างที่นายวรงค์พูดมาหรือ ควรรอฟังฝ่ายรัฐบาลแก้ตัวเสียก่อน จึงค่อยโกรธเคืองเอากับรัฐบาลขี้โกง ที่ตบตาประชาชนอย่างมโหฬาร และครั้นฟังนาย บุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิช อภิปรายแก้ จึงเข้าใจอะไรเป็นอะไร สว่าง . .... และเพิ่มความเกลียดชังพรรคการเมืองฝ่ายค้านพรรคนี้ไปอีกหลายเท่า….. นั่นแหละแผน 2 ของฝ่ายอำมาตย์ก็พังพินาศอีก ดูคะแนนไว้วางใจนายกรัฐมนตรีก็แล้วกัน ได้ถึง 308 เสียง เกินคะแนนเสียงฝ่ายรัฐบาลในสภาไปเสียอีก นั่นแสดงว่าพรรคฝ่ายค้าน ประชาธิปัตย์เองก็ยอมรับ ลงคะแนนให้นายกรัฐมนตรี
2. สิ่งที่น่าเป็นห่วง ในการเจริญทางประชาธิปไตยไทยก็คือ การเจริญไปฝ่ายเดียวคือฝ่ายรัฐบาล หรือพรรคเพื่อไทยพรรคเดียว ซึ่งตามสถานการณ์ปัจจุบัน เมื่อคำนึงว่าประชาธิปไตยต้องมั่นคงแล้วก็เป็นการดี แต่แท้จริงแล้ว จะเป็นการดีกว่านี้อีก หากมีฝ่ายค้าน เพราะฝ่ายค้านย่อมทำหน้าที่การตรวจสอบรัฐบาล แทนหูตาประชาชน (ประชาชนจะได้มีเวลาไปทำมาหากิน ขืนมาเฝ้าอยู่อย่างแดงเพื่อประชาธิปไตยทุกวันนี้ ก็ไม่มีเวลาทำมาหากินกันละ) หากแต่พรรคฝ่ายค้านคือพรรคประชาธิปัตย์ปัจจุบัน ทำหน้าที่มาแล้วนี้มีความบกพร่องอย่างยิ่งใหญ่ และไม่เป็นที่ไว้วางใจของประชาชนได้เลย สถานะจริงของพรรคประชาธิปัตย์วันนี้คืออันธพาลในระบอบประชาธิปไตยเราดี ๆ นี่เอง และทั้งหมายถึงระดับชาติ และระดับ กทม.ด้วย .... ที่สำคัญคือเป็นพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ที่ไม่เข้าใจประชาธิปไตยเลย นับตั้งแต่พรรคนี้ทำความผิดอันยิ่งใหญ่เอาไว้ในรัฐบาลทักษิณ รัฐบาลสมัคร รัฐบาลสมชาย ที่ล้วนบ่งบอกว่าพรรคฝ่ายค้านพรรคประชาธิปัตย์ทำหน้าที่ไปอย่างไม่เข้าใจประชาธิปไตย มีการบอยค๊อตการเลือกตั้งครั้งปลายรัฐบาลทักษิณ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าละอายชาวโลกที่เจริญ เพราะครั้งนั้นพรรคประชาธิปัตย์ไม่ส่งผู้แทนลงสมัครรับเลือกตั้ง อันหมายความถึงไม่ยอมใช้สิทธิของตนแล้ว ซึ่งทางที่ถูกพรรคนี้ก็ควรจะต้องอยู่เฉย ๆ แต่พรรคนี้ไม่อยู่เฉย ๆ จัดตั้งขบวนการต่อต้าน ทำตนเป็นศัตรูของฝ่ายที่ลงเลือกตั้ง อันเป็นคู่แข่งกับตนคือพรรคไทยรักไทย มีการวางแผนปฏิบัติยุทธศาสตร์ดาวกระจาย ส่งขบวนการดิสเครดิตถ์โฆษณาชวนเชื่อไปต่อต้านฝ่ายรัฐบาลทักษิณ ทั้ง ๆ ที่ตนเองไม่มีสิทธิ์ดังกล่าว เพราะตนสละไม่ส่งผู้แทนลงเลือกตั้งแล้ว..... เช่นนี้ ..... มีแต่จะเป็นผลให้พรรคต่ำเสื่อมทรามลงไป .....พฤติกรรมถัด ๆ มา ซึ่งเพิ่งปรากฏความจริงมาในระยะหลัง ๆ มาตามลำดับ ก็คือการก่อตั้งขบวนการโฆษณาชวนเชื่อ มีกลุ่มพธม. หรือสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์ ......ขึ้นดำเนินการดิสเครดิตถ์รัฐบาลทักษิณ และดำเนินการก่อกวนจนเป็นเหตุอ้างได้ว่ารัฐบาลคุมสถานการณ์ไว้ไม่ได้แล้ว มีความชอบธรรมที่ทหารต้องออกมาก่อการรัฐประหาร .....แล้วขบวนการนี้ก็คงดำเนินการดิสเครดิตถ์ รัฐบาลสมัคร รัฐบาลสมชาย ......จนฝ่ายตนได้เป็นรัฐบาล ที่มีกลโกงจนสามารถตั้งรัฐบาลในค่ายทหารได้สำเร็จ .....ตราบมาถึงเหตุการณ์ที่ร้ายแรงถึงเลือดถึงเนื้อ...ก็คือเป็นรัฐบาลอมาตย์อยู่เบื้องหลัง รัฐบาลที่ไม่เข้าใจในสิทธิของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย เป็นเหตุให้ลุอำนาจ ทำการปิดล้อมเข่นฆ่าประชาชนกรณี 10 เม.ย.-19 พ.ค.2553 ...และล่าสุดมีเหตุการณ์หลายอย่างทั้งของพรรคเองและหัวหน้าพรรค ในปัจจุบัน เหตุการณ์ตาม 1 นั่นเอง นี่คือแนวโน้มของพรรคการเมืองฝ่ายค้านในระบอบประชาธิปไตยไทย คือพรรคประชาธิปัตย์นับวันจะตกต่ำลง อันเป็นเหตุให้ประชาธิปไตยไทยไม่สมบูรณ์ เนื่องจากฝ่ายตรวจสอบรัฐบาลอ่อนแอ ไร้ความเป็นพรรคการเมืองที่แท้จริง ผลก็คือจะเป็นเหตุให้ประชาชนเหน็ดเหนื่อยต่อไปอีกยาวนาน ในเมื่อไม่มีตัวแทนฝ่ายตรวจสอบคอยทำหน้าที่......... พรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นพรรคเก่าแก่ น่าจะมองการเมืองสิงคโปร์เป็นตัวอย่าง นักการเมืองสิงคโปร์มีเงินเดือนเมื่อเทียบกับประเทศไทยแล้วถึง 10 เท่า นรม.ไทยปัจจุบันได้ประมาณ 1 ล้านบาท สิงคโปร์ ได้ถึง 10 ล้านบาทต่อเดือน รมต. สส. ไทยทุกวันนี้ ยังอยู่ในฐานะที่ต่ำต้อย แต่หากจะคิดขึ้นเงินเดือนให้ในขณะนี้แล้ว ใครเขาจะเห็นใจพวกคุณ รับรองว่าประชาชนไทยเขาเบือนหน้าหนีแน่ แม้กระทั่งที่คิดขึ้นเงินเดือนให้ตนเอง ก็ยังถูกฟ้องร้องต้องหลุดจากตำแหน่งไปเลย(กรณีประธานวุฒิสภาคนก่อน คงจำได้) ฉะนั้นการทำชั่วไว้อย่างร้ายแรงในการประชุมสภามันเสียหายแด่สถาบัน เห็นไหม?
...... แต่สิ่งที่น่ามองมีมากกว่าประเด็นนี้ นั่นคือสิงคโปร์แทบไม่มีบทบาทของพรรคฝ่ายค้านเลย เหตุหนึ่งเป็นเพราะประเทศเล็กมีประชาชนน้อยแต่ประชาชนทุกคนล้วนมีฐานะดี มีความเสมอกันทางเศรษฐกิจ สามารถตรวจสอบรัฐบาลได้เอง ได้ง่าย และที่สำคัญพรรคฝ่ายค้าน ได้กระทำตัวเอง....เหมือนพรรคประชาธิปัตย์นี่แหละ จึงประสบความตกต่ำมาตามลำดับ ล่าสุดพรรคฝ่ายค้านสิงคโปร์ ได้รับบทเรียนอันสาหัสฉกรรจ์มาก จากการโฆษณาใสร้ายรัฐบาล โดยมีหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งร่วมมือ เหมือนกับที่หมอวรงค์ใส่ร้ายรัฐบาลคราวอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้เลย ..... แต่สิงคโปร์เขาเอาผิดร้ายแรงมาก ...น่าไปศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองฝ่ายค้านของสิงคโปร์ว่าตกต่ำมาอย่างไรโดยสรุปก็คล้ายพรรคประชาธิปัตย์นี่แหละไม่มีผิดเลย ประกอบกับเป็นเจ้าสำนวนโวหาร ดีแต่พูด ศึกษากฎหมายมาแบบนกแก้วนกขุนทอง ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ทางเศรษฐกิจเพราะนักกฎหมาย ประกอบกับกฎหมายไทยที่ล้าหลังมาก ๆ แต่ไม่มีคนเข้าใจว่าล้าหลังอย่างไร ก็เลยมีแต่ใช้กฎหมายเป็นช่องทางดิสเครดิตให้ร้าย ฝ่ายตรงข้ามตน เพื่อตนได้ประโยชน์ นักการเมืองประชาธิปัตย์ก็อาศัยช่องทางนี้มาตลอด เมื่อตนมีโอกาสมาบริหารประเทศ จึงบริหารไม่เป็น ทำนโยบายอะไรไม่เป็น ต้องลอกพรรคไทยรักไทยมา(แล้วไม่นึกละอายใจที่ไปด่าทักษิณ) เห็นได้แต่การเลือกตั้งคราวที่แล้ว พรรคการเมืองไทยทุกพรรค เว้นพรรคเพื่อไทยพรรคเดียวที่หาเสียงโดยนโยบายและรอบรู้นโยบาย จึงถึงใจประชาชน บางพรรคเช่นภูมิใจไทยยังไม่รู้นโยบายด้วยซ้ำ ว่านโยบายคืออะไร ทำมาหามาได้อย่างไร ขึ้นป้ายประกาศว่าเราจะจงรักภักดีต่อในหลวง ซึ่งมันไม่ใช่นโยบาย ....กกต.ก็เลยให้ปลดลง คงเห็นกันมาแล้ว ซึ่งประชาชนสิงคโปร์ไม่เห็นว่าพฤติกรรมฝ่ายค้านและสำนวนเช่นนี้จะมีการสร้างสรรค์อย่างไร ....ประชาชนเขาไม่ชอบพรรคเจ้าเล่แบบนี้ ... จนมาถึงคดีฝ่ายค้านกล่าวหาว่ารัฐบาลโกงประชาชน(เหมือนนายวรงค์กล่าวหารัฐบาลยิ่งลักษณ์คราวนี้เลย) ผ่านสื่อหนังสือพิมพ์ดังกล่าว โดนรัฐบาลสิงคโปร์ฟ้องร้อง ปรากฏว่าทั้งหนังสือพิมพ์และหัวหน้าฝ่ายค้านแพ้คดี ต้องถูกลงโทษจำคุก และปรับด้วยจำนวนเงินมหาศาลมาก (กฎหมายเขากำหนดโทษไว้สูง เพราะเขาเกลียดคนดีแต่พูด ไม่ต้องการพันธุกรรมนี้ในประเทศเขา) ปรากฏว่าฝ่ายค้านไม่มีเงินเสียค่าปรับ หัวหน้าพรรคต้องเข้าคุกแทนเงินค่าปรับ .....อายไปทั่วโลกเลย นี่เป็นกรณีที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยสิงคโปร์ที่ฝ่ายค้านอย่างประชาธิปัตย์น่าจะศึกษาดู อันเป็นเหตุให้การเมืองสิงคโปร์ไปปราศจากฝ่ายค้านอยู่ในทุกวันนี้ .............และน่าเป็นห่วงสำหรับประเทศไทย ที่ประชาชนคงจะต้องเหนื่อยต่อไปในการทำหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบรัฐบาลเอง (แต่ขณะนี้รัฐบาลของเขาเองเขาไว้ใจอยู่แล้ว แต่กลับต้องตรวจสอบฝ่ายค้านอย่างหนัก) เพราะฝ่ายค้านโง่เขลาไม่เข้าใจการต่อสู้ตามกฎกติกาประชาธิปไตยในยุคสมัย กลับไปยอมตนเป็นเครื่องมือระบอบขุนนาง อมาตย์ เผด็จการเต่าล้านปีไปเสีย อันเป็นเหตุให้ขาดความไว้วางใจจากประชาชน....และเป็นเหตุให้เพลี่ยงพล้ำแก่ฝ่ายรัฐบาลที่นับวันเข้มแข็งขึ้นไปทุกที และนั่นเป็นเพราะพรรครัฐบาลได้กระทำสิ่งที่ถูกต้องและสร้างสรรค์นโยบายเป็นที่ถูกใจของประชาชน ...และรอบรู้ชั้นเชิงที่จะกำจัดอธรรมในระบอบประชาธิปไตยดีขึ้นไปทุกวัน ๆ จนกว่าเราจะได้มีฝ่ายค้านที่เข้าใจประชาธิปไตย.... หมายถึงเข้าใจหน้าที่ของตนเองในระบอบประชาธิปไตย....รู้กติกาประชาธิปไตย มีสปิริตจิตใจเป็นประชาธิปไตย ....... นั่นแหละประเทศจึงจะเป็นประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ และประชาชนสบายใจได้
3. เรื่องอำนาจตุลาการ ความจริงประเทศเราจะไม่มีปัญหา หากฝ่ายตุลาการ ศาล จะเข้าใจหลักการประชาธิปไตยให้ดีขึ้นกว่านี้ และถึงคราวที่จะต้องมองแนวโน้มของสถานการณ์ ฉะนั้นก็ขอให้ดูเมียนมาร์ เป็นตัวอย่าง เมียนมาร์เมื่อเข้าใจประชาธิปไตย เขาก็เข้าใจในเรื่องฝ่ายค้าน และเข้าใจการตัดสินใจแบบ Majority rule minority right เขาจึงปลดปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยควบคุมกักขังนางอ่องซาน ซูจี กับพวก ผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย...แบบที่ไม่มีร่องรอยเก่าอันเป็นขวากหนามประชาธิปไตยเหลืออยู่ เรื่องราวของประชาธิปไตยในเมียนมาร์จึงเดินมาอย่างดีและ อย่างเร็วถึงปัจจุบันนี้ ล่าสุด เมียนมาร์ได้ปลดปล่อยนักโทษการเมือง ก่อนหน้าโอบามามาเยือนจำนวน 452 คน เป็นรุ่นสุดท้าย โดยเหตุผลง่าย ๆ ว่าเมียนมาร์เป็นประชาธิปไตยแล้ว และนั่นเป็นเหตุให้ทั้งรมว.ต่างประเทศและทั้งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาพอใจ (ที่เมียนมาร์จะมาเป็นประชาธิปไตยเช่นเดียวกัน) นั่นคือเหตุผลอย่างธรรมดา ๆ มากสำหรับประเทศที่ตั้งใจจะเป็นประชาธิปไตย แต่ศาลไทยเป็นอย่างไร ? ตามข้อเท็จจริงที่ยอมรับกันแล้ว แท้จริงประชาชนได้เห็นมาว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายอมาตย์ ……. ส่วนหนึ่งของพรรคฝ่ายค้าน ..... เป็นระบบที่วางไว้เพื่อการใช้อำนาจนอกระบบ..........แต่สถานการณ์วันนี้ ไม่มีอะไรดีแด่วงการศาลไทย โดยเฉพาะองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ 2550 (รัฐธรรมนูญโจร) ...ในเรื่องการเป็นศาลสองมาตรฐาน ศาลสถิตศรีธนญชัย นั้นเห็นชัดเจนมาตามลำดับแล้ว .ล่าสุดจะมีการถอนประกันประชาชนผู้ต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยอีกแล้ว.............แน่นอน บทบาทของศาลไทยยุคอมาตย์ที่ชัด ก็คือเป็นที่ร้องเรียนของพรรคฝ่ายอมาตย์ เพื่อตัดสินลงโทษประชาชนฝ่ายประชาธิปไตย .....ไม่คำนึงพื้นฐานงานฝ่ายตุลาการว่า เป็นงานที่สำคัญเพียงใดในการทำนุบำรุงรักษาไว้ซึ่งเกียรติของความเป็นมนุษย์ ...บัดนี้ก็ยังมีประเด็น สิทธิในการประกันตัวของผู้ต้องหามีอย่างไร...........หากเป็นศาลสถิตยุติธรรมจริงก็น่าจะทบทวน ให้เกิดความเป็นธรรมในเนื้อหาของงานที่รับผิดชอบ ที่อยู่ในหน้าที่ของตน จะดีกว่า ................อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้กำลังจะได้รับการเปลี่ยนแปลงแก้ไขไปอย่างขนาดใหญ่ โดยวิถีทางที่ประชาธิปไตยไทยกำลังถึงคราวเปลี่ยนแปลงไปขนาดใหญ่ คำพูดที่ว่า ช่วงเปลี่ยนผ่าน เผด็จการสู่ประชาธิปไตย ....เป็นวาทะที่ชอบธรรม และเป็นธรรมในหมู่ประชาชนผู้รักความเป็นธรรม ไม่อาจมีอธรรมใดขัดขวางได้
- สุไหงปาดี ชินะกุล
29 พ.ย.2555/09.00 น.