ใครทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 68 และควรจะรับผิดชอบอย่างไร?
นายสมชาย แสวงการ ส.ว.กับพวก ได้เสนอศาลรัฐธรรมนูญ โดยกล่าวหาว่ามีบุคคลจำนวนหนึ่งกำลังกระทำความผิดคิดล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ 2550 และศาลรัฐธรรมนูญ ได้รับเรื่องไว้ตรวจสอบเพื่อวินิจฉัยสั่งการแล้ว ด้วยมติ 3 : 2
บุคคลที่นายสมชาย แสวงการ กับพวกกล่าวหาว่ากระทำผิดร้ายแรงดังกล่าวนั้นก็คือ สมาชิกรัฐสภาจำนวน 312 คน ผู้กำลังทำการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญและได้ผ่านวาระที่ 1 ขั้นรับหลักการไปแล้วเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2556 นี่เอง และฝ่ายค้านที่ได้ทำการก่อกวนเป้นอันธพาลของประชาธิปไตยไทยสู้ทางรัฐสภาไม่ได้ จึงยื่นเรื่องไปทางศาลรัฐธรรมนูญ โดยอ้างมาตรา 68 รธน.2550
แต่มาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญ 2550 ได้ให้อำนาจแด่ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อที่จะรับคำร้องไว้หรือไม่ ไม่ ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีสิทธิและอำนาจที่จะรับเรื่องร้องเรียนไว้ได้ นี่เป็นการละเมิดอำนาจรัฐธรรนูญมาตรา 68 เป็นครั้งที่ 2 เราจึงทวงถาม ณ ที่นี้ว่า ใครทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 68 และควรจะรับผิดชอบอย่างไร ?
โดยหลักการประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญุทุกฉบับของประเทศไทย ล้วนรับรองว่าประเทศไทยจะต้องมีการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย ทุกฉบับ นับแต่รัฐธรรมนูญฉบับแรก ๆ ที่กำหนดไว้ในมาตรา 1 ว่า อำนาจสูงสุดของประเทศเป็นของราษฎรทั้งหลาย............ นี่คือความหมายของประชาธิปไตย มันถูกรับรองด้วยข้อความคล้าย ๆ กันนี้ไว้ในรัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับ รวมทั้งระบบการแยกอำนาจ ......ฯลฯ อันยืนยันว่าประเทศไทยต้องเป็นประชาธิปไตย .............
นั่นหมายถึงรัฐธรรมนูญเขียนขึ้นเพื่อให้ประชาชนไทยทั้งปวงอ่านเข้าใจ ไปตามภาษาไทยเพื่อให้รู้ชัดตระหนักในสิทธิและหน้าที่ของตนอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง และรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 68 ได้เขียนเอาไว้ด้วยภาษาไทย เพื่อให้ประชาชนไทยตระหนักในเงื่อนไขของกฎหมาย อย่างถูกต้องตรงกันทั้งประเทศ อันเป้นเจตนารมณ์ของกฎหมายของประชาชนเพื่อประชาชนและโดยประชาชน
แต่ปรากฎว่าศาลรัฐธรรมนูญเองได้ละเมิดมาตรา 68 มาแล้วครั้งหนึ่ง ในเรื่องราวที่ร้ายแรงมากนี้ ด้วยการรับเรื่องราวโดยตนไม่มีอำนาจที่จะรับ และบัดนี้ได้กระทำความผิดซ้ำอีกครั้งหนึ่ง โดยรับเรื่องราวที่นายสมชาย แสวงการ ส.ว.กับพวก โดยอ้างมาตรา 68 เราจึงทวงถามซ้ำอีกครั้งว่า ใครทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 68 และควรจะรับผิดชอบอย่างไร ?
มีข้อความตรงไหนที่ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญไว้ในมาตรา 68 มาอ่านดูครับ อ่านภาษาไทย
มาตรา 68 บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ มิได้
ในกรณีที่บุคคลหรือพรรคการเมืองใดกระทำการตามวรรคหนึ่ง ผู้ทราบการกระทำดังกล่าว ย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงและยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าว แต่ทั้งนี้ ไม่กระทบกระเทือนการดำเนินคดีอาญาต่อผู้กระทำดังกล่าว
ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้พรรคการเมืองใดเลิกกระทำการตามวรรคสอง ศาลรัฐธรรมนูญอาจสั่งยุบพรรคการเมืองดังกล่าวได้
ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคการเมืองตามวรรคสาม ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหารของพรรคการเมืองที่ถูกยุบในขณะที่กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นระยะเวลาห้าปีนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งดังกล่าว
คำถาม ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 68 ศาลรัฐธรรมนูญมีสิทธิและอำนาจในการรับเรื่องเสนอเพื่อวินิจฉัยสั่งการต่อไปได้หรือไม่?
ดูตรงไหนที่มีข้อความให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญ สามารถกระทำการได้ดังกล่าว
มีข้อความไหนครับ ?
ในวรรคสองหรือ ? วรรคสองเขียนเอาไว้อย่างไร ?
เขียนเอาไว้อย่างนี้.........<<<< ในกรณีที่บุคคลหรือพรรคการเมืองใดกระทำการตามวรรคหนึ่ง ผู้ทราบการกระทำดังกล่าว ย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงและยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าว แต่ทั้งนี้ ไม่กระทบกระเทือนการดำเนินคดีอาญาต่อผู้กระทำดังกล่าว >>>>
ไม่มี
แล้วมีข้อความไหนที่ให้อำนาจท่านไว้ ............. อ่านไทย.......อ่านพบมีแต่คำว่า อัยการสูงสุด กับคำว่า และ โดยข้อความว่า.....>>>>....ย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงและยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าว <<<<....
ฉะนั้น ศาลรัฐธรรมนูญ โดย ตลก.รธน.3 ใน 5 มีมติรับเรื่องเอาไว้วินิจฉัยต่อไป
จึงเป็นการกระทำผิดต่อรัฐธรรมนูญ อันเป็นกฎหมายสูงสุดในระบอบประชาธิปไตย ..... เป็นครั้งที่ 2
โดยหลักประชาธิปไตย กฎหมายย่อมเป็นของประชาชน ประชาชนย่อมตรวจตรา มีสิทธิในการดูแลตรวจสอบการบังคับใช้กฎหมายให้เป็นไปอย่างสอดคล้องความต้องการของประชาชน โดยถูกต้องตามเจตนารมณ์ของประชาชน โดยจะต้องมีความเป็นธรรม ตามระบบสังคม และตามหลักกฎหมายเอง ในเมื่อศาลรัฐธรรมนูญ อันเป็นเจ้าหน้าที่เอง กระทำความผิดเองอย่างยิ่งใหญ่และซึ่งหน้าเช่นนี้ สมควรจะได้รับการลงโทษอย่างไร ?
........ จากศาลของประชาชน................หรือจากประชาชนโดยตรง อันเป็นสิทธิพื้นฐานตามหลักการประชาธิปไตย นั่นคือ >>>> มาตรา 1 อำนาจสูงสุดของประเทศเป็นของราษฎรทั้งหลาย <<<<
ประเด็นที่ 2 การมองประเด็นปัญหานี้ เพื่อความเป็นธรรม ก็ต้องมองในองค์รวมทั้งหมดของระบอบ ปัจจุบันนี้โดยรัฐธรรมนูญไทยทั้ง 18 ฉบับ ล้วนบ่งบอกเจตนารมณ์ว่าต้องการให้ประเทศไทยนำระบอบประชาธิปไตยมาใช้ปกครองประเทศ ไม่มีการหวลย้อนหลัง เพื่อกลับไปสู่ระบอบเก่าก่อนอีกแล้ว เพราะเหตผลของยุคสมัยและองค์รวมของโลกมนุษย์ สำหรับแนวคิดประชาธิปไตยไทยขณะนี้ มีเรื่องที่ควรมองอยู่ดังนี้คือ
1. เรื่องอำนาจการปกครอง ท่านจะเห็นว่าประชาชนโดยขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย(หรือคนเสื้อแดง)ได้เติบโตออกไปมาก ๆ และจะเติบโตต่อไปอีกไม่หยุดหย่อน โดยไม่มีอำนาจใดใดจะระงับยับยั้งได้อีกต่อไป เหตุผลก็คือ พวกเขาได้มาลิ้มรสของอำนาจเข้าแล้ว และรสของอำนาจเป็นรสที่เอร็ดอร่อย อันนี้ตรงหลักสัจธรรมในพระพุทธศาสนาที่ว่า วโส อิสสริยัง โลเก อำนาจเป็นใหญ่ในโลก คนจึงมักหลงอำนาจเสมอ ๆ เพราะหลงด้วยรสอำนาจนี่เอง เมื่อประชาชนคนธรรมดา ๆ มาระลึกและได้ลิ้มรสอำนาจเข้าไปครั้งหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีวันที่จะคาย มีแต่จะแสวงหาอำนาจของประชาชนเรื่อยไป (เช่นสามล้อคนหนึ่ง มีความเหลิงในอำนาจของตนที่บังอาจจะด่าทอเผด็จการอมาตย์ได้อย่างไม่เกรงกลัวใครในแผ่นดินในยุคนี้ พวกเขาได้อำนาจแล้วก็ติดใจในอำนาจการเป็นประชาชนธรรมดาของพวกเขา ไม่ยอมคายแน่นอน) แต่เรานำเอากฎกติกาประชาธิปไตยมาใช้ผนวกกับหลักธรรมของพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนประจำชาติไทย จึงเป็นที่หวังได้ว่าประชาธิปไตยไทยจะเจริญไปอย่างดีและเป็นแบบอย่างของการต่อสู้โดยวิถีทางประชาธิปไตยได้ในโลกนี้
2. อำนาจทางการบริหาร และนิติบัญญัติ บัดนี้เป็นของประชาชนแล้ว แม้จะยังไม่อยู่ในระบบที่สมบูรณ์ แต่การพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นแหละจะนำมาซึ่งระบบอันสมบูรณ์ต่อไป แนวทาวงพัฒนาประชาธิปไตยจึงต้องเป็นไปแบบนี้ แต่เรายังมีอำนาจหนึ่งที่เป็นอำนาจไร้ที่มาอันไม่สอดคล้องหลักประชาธิปไตย ที่เห็นง่าย ๆ ก็องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ 2550 นี่เอง ที่มีสถานะของตนอย่างลักลั่นกัน อย่างไม่สอดคล้องหลักความยุติธรรมอยู่แล้ว มีบางคนไม่ได้มีพระบรมราชโองการแต่งตั้ง กับมีบางคนได้ทรงโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง มีความลักลั่นเช่นนี้แล้วตัวองค์กรเองยังไม่มีความขวนขวายที่จะแก้ไขระบบขององค์กรตนเองให้ดีขึ้นเป็นมาตรฐานสากลขึ้น แต่ที่สำคัญก็คือ ที่มาขององค์กร ที่มาจากการปฏิวัติรัฐประหาร นั่นคือผู้ที่แต่งตั้งองค์กรนี้มาจาก สนธิ บุญรัตนกลิน หัวหน้าคณะปฏิรูปฯ 2549 สนธิ บุญรัตกลินเป็นใคร เป็นอรหันต์หรือ ไม่ แต่เป็นมุสลิมชั่วร้ายคนหนึ่งเท่านั้นเอง ท่านจะเห็นว่านี่คือที่มาอันไม่ชอบตามหลักการประชาธิปไตย และโดยสามัญสำนึกของความเป็นธรรม คนเก้าคนที่มาจากมุสลิมชั่วร้ายคนเดียว มีอำนาจอันชอบธรรมอย่างไรสามารถยุบพรรคการเมืองของประชาชน ที่มาอย่างชอบธรรมถูกต้องตามหลักการประชาธิปไตยแล้ว ที่มีสมาชิกมาจากการเลือกตั้งของประชาชนได้ โดยยุบพรรคไทยรักไทย พรรคชาติไทย พลังประชาชน เป็นต้น แล้วยังสามารถที่จะเลือกไม่ยุบพรรคการเมืองที่ตนสนับสนุนอยู่ได้อีกด้วย(โดยแค่ออกคำพูดว่า หมดอายุความ 15 วัน อันเป็นการดูหมิ่นดูแคลนประชาชนทั้งชาติ) และสามารถอย่างชอบธรรมอย่างไรในการตัดสินขับไล่นายกรัฐมนตรี นายสมัคร สุนทรเวช ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน(เพียงเพราะทำรายการอาหารในโทรทัศน์เท่านั้นเอง) ซึ่งได้ปรากฎว่านายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ได้ออกมาสารภาพว่าที่ตัดสินนายสมัครนั้นเป้นการผิดพลาด นั่นก็ดีแล้ว ซึ่งต่อไปท่านต้องลาออกเพื่อรับผิดชอบในผลงานที่ผิดพลาดนั้น(จะอยู่เฉย ๆ ได้อย่างไร ตามหลักกฎหมายและหลักกรรมในพระพุทธศาสนา ทำกรรมใดใดไว้ตนเองต้องรับผลของกรรมนั้น.....คุณวสันต์ ลองอ่านบทสวดนี้ดู.... กัมมัสโกมหิ เรามีกรรมเป็นของตัว, กัมมะทายาโท มีกรรมเป็นผู้นำมามอบให้, กัมมะโยนิ มีกรรมเป็นผู้นำมาเกิด, กัมมะพันธุ มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์และพวกพ้อง, กัมมะปะฏิสะระโณ มีกรรมเป็นเครื่องยุยงเป็นเครื่องระลึก, ยัง กัมมัง กะริสสามิ เราจะทำกรรมอันใดไว้, กัลยาณังวา ดีก็ตาม, ปาปะกังวา ชั่วก็ตาม, ตัสสะ ทายาโท ภะวิสสามิ เราจะต้องเป้นผู้รับผลของกรรมนั้น....... ไม่มีใครรอดจากกรรมได้ ประชาธิปไตยก็เช่นกัน การเจริญก้าวหน้าในประชาธิปไตย หลักกฎหมายจะต้องศักดิ์สิทธิ์ จะไม่มีใครรอดจากการกระทำผิดไปได้ )
3. ประชาธิปไตยไม่ได้สร้างขึ้นในวันเดียว ยังมีสิ่งที่จะต้องทำอีกมากมายเพื่อให้ประชาธิปไตยไทยเติบโต ไปจนถึงระดับที่มั่นคงและก้าวหน้า ในระยะปัจจุบัน เราจงมาร่วมมือกันให้ได้มาตรฐานชั้นปกติเสียก่อน นั่นคือ การเมืองประชาธิปไตยต้องแก้ด้วยการเมืองระบอบประชาธิปไตย นับแต่นี้ไปจะต้องไม่มีรัฐประหาร ไม่มีการยุบพรรคการเมือง ไม่มีการก้าวก่ายอำนาจระหว่างตุลาการไปก้าวก่ายบริหารหรือนิติบัญญัติ อย่างที่ท่านทำอยู่ขณะนี้นั่นเอง จะต้องไม่มีขึ้นอีก ........จะต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกหลายครั้งจนกว่าจะเป็นที่พอใจของประชาชน....ซึ่งสิ่งนี้ทุกฝ่ายจะต้องเข้าใจตรงกันว่าเป็นสิทธิโดยตรงโดยปกติของประชาธิปไตยอยู่แล้ว.... จนกว่าจะได้รัฐธรรมนูญของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ...... ในระยะต่อไป ประชาชนต้องเติบใหญ่ ประชาชนต้องยืนบนขาตัวเองให้ได้ ปราศจากระบบทาส ฉะนั้น ประเทศไทยจึงต้องรีบเร่งพัฒนาอย่างที่รัฐบาลประชาชนเขาพยายามทำอยู่ ถือว่าเป็นมาตรการยกระดับประชาชนให้ยืนได้อย่างมั่นคง ถ้าเรารักประชาธิปไตย เราต้องพัฒนาไปอีกหลายก้าวใหญ่ ๆ โดยเฉพาะนโยบายใหม่ของรัฐบาลที่เพิ่งผ่านสภาไปคือ โครงการลงทุนคมนาคม 2 ลล. บาทนั่นเป็นตัวอย่าง
ประเด็นที่ 3 ยกประโยชน์ให้แก่จำเลย
ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆิน
5 เม.ย.2556/08.20 น.