ภาพตราสัญลักษณ์ข้างต้นนี้ มีชื่อว่า INTER-PARLIAMENTARY UNION INTERPARLEMENTAIRE 1889 สหภาพรัฐสภาโลก ตัวเลขคงบอกปีที่ตั้งขึ้นมา 124 ปีแล้ว นั่นหมายถึงได้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยโลกมา 124 ปีแล้ว ความหมายนี้เป็นความหมายที่ยิ่งใหญ่มาก และน่าซาบซึ้งตรึงใจสำหรับเสรีชนผู้รักประชาธิปไตย และแน่นอน องค์การนี้ได้มองมาที่ประเทศไทย และเห็นการต่อสู้ของประชาชนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต่อสู้ของคนเสื้อแดง แล้วทนเห็นความอยุติธรรมที่ฝ่ายประชาชนผู้รักประชาธิปไตยได้รับมาแต่สมัยรัฐบาลอมาตย์สั่งทหารล้อมฆ่าประชาชนไม่ได้ จึงมองมาที่ประเทศไทย โดยหน้าที่ของผู้รักและสนับสนุนประชาธิปไตยของโลก จึงพอใจมาร่วมในการต่อสู้ ในฐานะสาวกของประชาธิปไตย นั่นเอง
ทราบว่าจะขอเข้าพบ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไทย แต่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไทยปฏิเสธไม่อนุญาตให้เข้าพบหรือขอข้อมูล มีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับ จตุพร พรหมพันธ์ โดยเฉพาะ นั่นคือ IPU มองว่า จตุพร พรหมพันธ์ ได้รับการตัดสินอย่างไม่เป็นธรรมจากศาลรัฐธรรมนูญไทย และเรียกร้องให้คืนสิทธิ สส.แด่จตุพร พรหมพันธ์
ประเด็นที่น่าคิดก็คือ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไทย ทำอะไร และมององค์กรระดับโลกเพื่อประชาธิปไตยนี้อย่างไร ?
นี่เป็นประเด็นที่น่าคิด
ประการแรก ตัวเลข 124 ปี เมื่อเทียบกับไทยแล้ว เป็นสิ่งที่น่าตื่นตกใจเพียงไหน ไทยเราปีนี้มีรัฐธรรมนูญมาครบ 80 ปี (นับเวลาเท่ากันกับการปฏิวัติ 24 มิ.ย.2475) แต่ 80 ปีนี้มีค่าเท่ากับจุดศูนย์ของประชาธิปไตยไทย คือไม่ก้าวไปจากจุดเดิมเลย ในขณะที่สภาโลกผ่านไปถึง 124 ปีแล้ว ความเป็นประชาธิปไตยของสังคมไทยจึงยังห่างไกลระดับมาตรฐานของวัฒนธรรมประชาธิปไตยสากลโลก นั่นก็เป็นเพราะความรู้ความเข้าใจในประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่อ่อนด้อยมาก ที่สำคัญ ที่เป็นประเด็นก็คือความอ่อนด้อยนี้กลับปรากฏในบุคคลระดับมีพื้นฐานการศึกษาทางวิชาการการเมืองอยู่ในระดับสูงสุดของสังคมด้วยซ้ำ ตัวอย่างเช่น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีพื้นฐานการศึกษามาจากมหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด อังกฤษ ที่คนไทยคาดว่าจะเป็นคนหนุ่มยุคใหม่ที่จะมาช่วยสร้างสรรค์ประชาธิปไตยไทยให้รุ่งเรือง แต่เรากลับได้เห็นสิ่งที่ผิดหวังจากคน ๆ นี้มาตลอด เพราะพฤติกรรมทุกอย่างทางการเมืองตั้งแต่ต้นมา ที่ไม่สอดคล้องวิถีทางประชาธิปไตยเลย ขณะนี้เขาเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ฝ่ายค้าน ที่ระยะหลังก็ได้สร้างประวัติการในรัฐสภาไว้อย่างน่าสมเพช หลายเรื่อง นับแต่เป็นฝ่ายที่ค้านทุกเรื่องในรัฐสภา และนอกสภา และทั้งรวมหัวกันก่อเหตุรุนแรงต่อประธานรัฐสภา อันเป็นการละเมิดที่ลดศักดิ์ศรีของสถาบันตนเอง รวมทั้งความไร้สปิริตจิตใจหรือจรรยาบรรณอันพึงปรากฎในสังคมการเมือง ที่พึงมีอย่างสุภาพชนคนธรรมดา ๆ ก็ไม่เคยได้เห็นจากคน ๆ นี้ ตามที่ทราบกันทั่วไปแล้ว มีศาสตราจารย์ที่บริหารสถาบันการศึกษาด้านการเมืองโดยตรง ในมหาวิทยาลัยมีชื่อ หลายคนเช่น (ศ.)อมรา พงศาพิศ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ศ.) สมบัติ ธำรงค์ธัญญวงศ์ แห่งนิดา เป็นต้น ที่กลับสอนให้ความรู้และทำอย่างตรงกันข้ามกับวิถีทางประชาธิปไตย ฯลฯ ซึ่งเมื่อมองประเด็นนี้แล้ว ย่อมเห็นชัดเจนว่าเป็นปัจจัยเหตุสำคัญที่ฉุดรั้ง และทำลายวิถีประชาธิปไตยไทยมาตลอดจนแม้กระทั่งบัดนี้
สำหรับคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ(ตลก.รธน.) ก็ไม่ได้แสดงให้เห็นว่ามีความเข้าใจประชาธิปไตยแต่อย่างใด มีกี่ครั้งที่ได้เห็นแม้เพียงท่าทีที่บอกถึงความเข้าใจประชาธิปไตย จากบุคคลคณะนี้....แม้สัก 1 ครั้งก็ไม่เคยเห็น การที่แสดงท่าทีที่ไม่เป็นมิตรกับ ประเทศประชาธิปไตย ก็ยากที่จะร่วมมือกับประเทศสากลสร้างสรรค์ประชาธิปไตยของประเทศเราไปได้ สำหรับตลก.รธน.คณะนี้ อย่าว่าแต่เรื่องการเมืองประชาธิปไตยเลย แม้วิชาภาษาไทย ภาษาประจำชาติ ก็แทบไม่เข้าใจประเด็นสำคัญของภาษาไทย ยังอ่านคำไทย ประโยคภาษาไทยในระดับการศึกษาชั้นประถมมัธยมต้น ๆ ไม่เข้าใจ จนเป็นเหตุให้ตีความกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ไปอย่างผิด ๆ อันเป็นตัวต้นเหตุของความตระหนกในท่าทีของพวกเขาที่สร้างความวิตกกังวลไปทั้งประเทศ ว่าจะอาจก่อวิกฤตร้ายแรงแก่ประเทศชาติและประชาชนอีกครั้งหนึ่ง อย่างที่ไม่มีเหตุผลเลย
สุไหงปาดี ชินะกุล
6 มิ.ย.2556/19.30 น.