หน้ากากขาวและไชยวัฒน์ สินสุวงษ์
ศิษย์โพธิรักษ์ เจ้าลัทธิวิเศษเหนือมนุษย์
เข้าใจผิด เผลอเรอไปเอาสัญลักษณ์ล้มเจ้าในอังกฤษมาสวมใส่ บอกความนัยว่าแท้จริงคนกลุ่มนี้แหละคิดล้มเจ้าเสียเอง
ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ขณะโดนจับร้อยโซ่ข้อมือและเท้า ทำท่าทางไม่หวาดหวั่น เพราะนึกว่าตนเป็นอาริยะบุคคล ศิษย์เอกโพธิรักษ์ ทุเรศ !
กลุ่มคนที่มายึดสนามหลวงไว้ตั้งแต่ 16 พฤษภาคม 2556 จนถึงปัจจุบันนี้ โดยผิดกฎหมาย กทม. แต่กทม.ของพรรคประชาธิปัตย์กลับเอื้ออนุโลมให้คนกลุ่มนี้กระทำผิดกฎหมายไปได้เรื่อย ๆ อันเป็นการแสดงอย่างเปิดเผยถึงขบวนการต่อต้านรัฐบาลเป็นอันหนึ่งเดียวกันกับพรรคประชาธิปัตย์ สิ่งที่คนกลุ่มนี้ได้แสดงออกอย่างชัดเจนก็คือ ล้มล้างระบอบการปกครองของไทย ที่เป็นอยู่โดยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ นั่นเป็นเจตนาร้ายแรง ที่น่าผิดกฎหมายในข้อหากบฎ สิ่งที่กลุ่มนี้ทำได้ก็คือแค่การสร้างความสับสนแด่ประชาชน และก่อกวนทางอารมณ์จิตใจของสังคมให้หงุดหงิด สร้างความสับสนทีเล่นทีจริง และแล้ววันนี้เอง พวกคนกลุ่มนี้ก็ได้นัดชุมนุมครั้งใหญ่ พบว่ามีการเดินขบวนไปยังสำนักพระราชวัง ยื่นหนังสือขอพระราชทานนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ตามมาตรา 7 แห่งรัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งนี้คือการบังอาจของคนกลุ่มนี้ ที่นำโดยนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ที่บังอาจก้าวล่วงพระบรมโพธิสมภารขององค์พระมหากษัตริย์
ภาพไร้สติ เอื้อมใฝ่สูง ตีตัวเสมอท่าน เพราะนึกว่าตนเองสูงสุด จะเอื้อมสัมผัสพระองค์ท่านเมื่อไรก็ได้
ประเด็นสำคัญก็คือการใช้หน้ากากขาว เอามาแจกให้คนในกลุ่มสวมใส่ แล้วเดินขบวนไปที่นั่นที่นี่ ก่อกวนอารมณ์สังคมให้สับสน กลุ้มกลัด ไม่เป็นอันสงบ พวกนี้คอยสร้างความหวาดระแวงให้สังคมเกิดวิตก วิจารณ์ระส่ำระสาย นี่คือความหมายอะไร คนกลุ่มนี้ใช้แผนการณ์ที่ผิดพลาดใช่หรือไม่ ในเมื่อหน้ากากขาวเคยเป็นสัญลักษณ์ล้มกษัตริย์มาในประวัติศาสตร์อังกฤษมาก่อนแล้ว และคนกลุ่มนี้ก็เคยละเมิดองค์พระมหากษัตริย์ไทยอย่างยิ่งมาแล้วนั่นคือการขวางทางพระราชดำเนิน ขณะทรงเสด็จไปในงานพระราชทานเพลิงพระศพพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนา ณ ท้องสนามหลวง เป็นเวลาถึง 6 วัน นี่คือพวกล้มเจ้าตัวจริง
ปรากฎในบันทึกหนังสือพิมพ์ดี ดังนี้
บันทึกประเทศไทย
พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ มีทั้งสิ้น 6 วัน ระหว่างวันที่ 14-19 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2551 ดังนี้
-วันศุกร์ที่ 14 พ.ย.2551 บำเพ็ญพระราชกุศลออกพระเมรุ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
-วันเสาร์ที่ 15 พ.ย.2551 พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุ ท้องสนามหลวง
-วันอาทิตย์ที่ 16 พ.ย.2551 พระราชพิธีเก็บพระอัฐิ ณ พระเมรุ ท้องสนามหลวง
-วันจันทร์ที่ 17 พ.ย.2551 บำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระอัฐิฯ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
-วันอังคารที่ 18 พ.ย.2551 เชิญพระอัฐิประดิษฐานบนพระที่นั่งมูลสถานบรมอาสน์ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
-วันพุธที่ 19 พ.ย.2551 ทรงบรรจุพระสรีรางคาร ณ อนุสรณ์สถานรังษีวัฒนา สุสานหลวงวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
มีเหตุการณ์พิเศษที่ต้องบันทึกเอาไว้ก็คือ ในการเสด็จพระราชดำเนินไปโดยปกติของพระมหากษัติย์ไทยในอดีตสืบมาจนถึงปัจจุบันนี้ จะทรงเสด็จโดยถนนที่หรูหราสมพระเกียรติยศ และมีถนนสำหรับกษัตริย์ทรงเสด็จไปโดยเฉพาะวิสัยกษัตริย์ทุกพระองค์ ๆ นั่นคือ ถนนราชดำเนิน
ถนนราชดำเนิน หรือ Ratchadamnern Avenue ซึ่งโดยภาษาอังกฤษหมายถึงถนนสายกว้างใหญ่ ร่มรื่น มีความสำคัญสำหรับบุคคลระดับสูงของชาติ แต่ภาษาไทยถนนราชดำเนินบอกความหมายตรงตามภาษา ให้ความหมายโดยชัดเจนชัดแจ้งว่าเป็นเส้นทางพระราชดำเนินของกษัตริย์ ซึ่งหมายถึงทรงมีพระราชอำนาจและความสง่างามที่จะทรงเสด็จไปพร้อมพระเกียรติยศอันสูงสุดที่ผู้ใดจะละเมิดมิได้
แต่ในระหว่างเวลา 6 วันที่เสด็จไปประกอบพระราชพิธีเกี่ยวกับพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ ฯ นั้น กษัตริย์ไทยพร้อมขบวนพระราชอิสริยยศ ซึ่งประกอบด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชบริพารทั้งสิ้น รวมทั้งคณะรัฐมนตรี และบุคคลสำคัญในสามสถาบันสูงสุดของชาติ ต้องหลีกชนกลุ่มหนึ่ง ที่ยึดครองบริเวณถนนราชดำเนินไว้ ทรงอ้อมไปทางถนนลูกหลวง ซึ่งเป็นถนนชั้นรอง เพื่อเสด็จไปประกอบพระราชพิธีสำคัญของพระราชวงศ์ คือ พิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ที่ทรงเป็นที่รักของประชาชนไทยอย่างหาที่สุดมิได้อีกพระองค์หนึ่ง ตลอดเวลา 6 วันที่ทรงเสด็จไปประกอบพระราชพิธีในแต่ละวันแต่ละพิธี นั้น
เป็นเหตุให้คนไทยทั้งประเทศตกตะลึงพรึงเพริศ คนไทยทั้งประเทศต่างก็ถามกันว่า ชนกลุ่มใดที่บังอาจขวางเส้นทางพระราชดำเนินของพระมหากษัตริย์ ชนกลุ่มใดที่บังอาจปิดกั้นถนนราชดำเนิน มิยอมให้องค์พระมหากษัตริยเสด็จไปประกอบพระราชพิธีอันสำคัญยิ่งส่วนพระองค์คราวนั้น ซึ่งเป็นการกระทำที่ยะโสโอหัง ที่ละเมิดเบื้องพระยุคลบาท ต่อพระพักร์เช่นนี้
ที่บัดนี้มีคำถามว่า ประชาชนไทยทุกหมู่เหล่า ที่ล้วนจงรักภักดี ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ จะสามารถให้อภัยพวกเขาได้ละหรือ ? ซึ่งคำตอบก็คือ ไม่อาจจะให้อภัยได้เลย
และด้วยบันทึกนี้ เราขอให้ประชาชนไทย หรือที่ได้ชื่อว่าคนไทยทุกหมู่เหล่า ทุกชนชั้น คนไทยทุกคน ทุกเพศทุกวัย อย่าได้ลืมเสียเป็นอันขาด เพราะมันเหมือนเสี้ยนหนามอันแหลมคมที่ระคายระเคืองในจิตใจของเราทั้งหลายอยู่ตลอดเวลา จะไม่ถอนออกมาทำลายเสียได้อย่างไร?.
- หนังสือพิมพ์ดี(อินเทอเนท)
20 พ.ย.2551
ภาพนึกว่าตัวเองเป็นอริยะบุคคล ดูท่าทางหน้าตา สายตาเหมือนไร้ประสาทสัมผัสปกติไปแล้ว
ในเหตุการณ์กบฏสนามม้า เมื่อปลายปี 2555 นั้น ขณะมีการขว้างระเบิดแก๊สน้ำตา เราจะเห็นว่ามีกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่ง แต่งตัวเหมือนคณะสงฆ์ไทย แต่สีเป็นสีกรักนั่นคือคณะโพธิรักษ์ ได้เห็นโพธิรักษ์และคณะนักบวชของเขาวิ่งหนีแก๊สน้ำตาอุตลุดแต่ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส นั่นคือโพธิรักษ์ ผู้หลงผิดคิดว่าตนบรรลุอรหันต์ นั่นเอง ที่พูดถึงก็เพราะบุคคลนี้ได้ตั้งสำนักสันติอโศกขึ้น และมีลูกศิษย์คนสำคัญมาแต่ต้นคือ จำลอง ศรีเมือง กับภริยา ศิริลักษณ์ ศรีเมืองนั่นเอง ต่อมาจึงมีนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เป็นลูกศิษย์เอกผู้รับใช้ทุกชนิดงานการเมือง ด้วยความหลงผิดคิดว่าตนสูงสุดเช่นเดียวกัน สำหรับโพธิรักษ์ เจ้าลัทธิ เนื่องจากเชื่อว่าตนบรรลุโสดาบัน จึงสอนเรื่องโสดาบันและอรหันต์แด่ลูกศิษย์ และคำสอนหลักสำคัญก็คือ อริยบุคลต้องเสียสละ ต้องเมตตาแด่สรรพสัตว์ ต้องกินมังสวิรัติ ต้องได้รับการทดสอบ อริยะบุคคลจะต้องอดทน ทนอด ทนอยาก เพื่อทำความดี ฉะนั้น จึงมีการตื่นอริยะบุคคลกันใหญ่ในมวลหมู่ของโพธิรักษ์เอง จนเชื่อว่าพวกตนล้วนเป็นพวกอริยะบุคคล(เรียกตนเองว่าอาริยะบุคคล) ในการต่อสู้ของขบวนการสนธิลิ้ม-จำลอง-ประช่าธิปัตย์ จึงมีนักบวชสันติอโศกมาร่วมแทบทุกครั้ง โดยทำหน้าที่เป้นวัวงานอย่างดีแก่การชุมนุม สำหรับโพธิรักษ์เอง มีความหวังอันสูงสุดมาแต่ต้นแล้วโดยตนหมายจะเป็นสังฆราช ของแผ่นดินใหม่สยามภายหลังการใหญ่สำเร็จ นั่นเองการต่อสู้จึงไม่มีวันสิ้นสุด ขบวนการสันติอโศกได้กลายเป็นกำลังหลักของการตรึงพื้นที่ อย่างทรหดอดทน ทนแดดทนฝน ทนอดทนอยาก อย่างที่เห็นในสนามหลวงขณะนี้ เพื่อพิศูจน์ว่าตนเป็นอริยะบุคคล กลุ่มชนที่มาตรึงสนามหลวง ก็จึงเป็นพวกที่ถือลัทธิหลงผิดโพธิรักษ์นี่เอง มาทำงานอันยากลำบาก เพื่อพิศูจน์ว่าตนมีความทรหดอดทนเหนือมนุษย์ เพื่อให้ได้รับการยอมรับว่าตนเป็นอริยะบุคคล และพวกเขาเชื่อว่าจะทะลุทะลวงไปสู่การล้มล้างรัฐบาลได้ด้วยคติของอริยะบุลล(ที่หลงผิดวิปลาตไปเช่นนี้)
การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย โดยคนเสื้อแดง บัดนี้ จึงต้องมาตระหนักว่า จักได้มาพบขบวนการปรปักษ์เสื้อแดงไปอีกแบบหนึ่ง นั่นคือพวกหลงผิดวิปลาสน์ คิดว่าตนเป็นผู้สูงสุด เหนือมนุษย์ เป็นพวกที่ด่าไม่เจ็บ หน้าด้านยิ่งกว่าหน้าด้าน เพราะหลงคิดว่าตนเป็นอริยะบุลลคลแล้ว เหนือมนุษย์แล้ว ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ไม่ถือสาการกระทำของพวกมนุษย์..ยกตนว่าสูงสุดกว่าคนทั้งแผ่นดิน ๆ เป็นพวกสัตว์ มีควาย งัว หมู หมา ม้า หรือสัตว์อื่น ๆ (ดังที่พวกนี้เคยทำหน้ากากออกมาสวมเยาะเย้ยคนไทยในสมัยเลือกตั้ง 3 พ.ค.2553 โดยเรียกร้องให้โหวตโน นั่นแหละ)....แต่ตนกระทำผิดกฎหมายบ้านเมืองอย่างไรไม่รู้สึก รู้สึกอย่างเดียวว่าพวกมนุษย์ทำอะไรผิดหมด เท่านั้นเอง นี่เป็นความยากอีกแบบหนึ่งสำหรับประชาชนเสื้อแดงผู้ต้องการนำพาประเทศไปสู่ประชาธิปไตย ที่มาถึงด่านปีศาจหรือคนผู้หลงผิดไปอีกอีกแบบหนึ่งที่ต้องฝ่าฟันไปให้จงได้ ด้วยสปิริตของประชาธิปไตย ด้วยกฎหมายอันสมบูรณ์ของประชาชน เพียงปล่อยพวกเขาให้กระทำวิปริตไป ในที่สุดก็จะพลาดเองและผิดกฎหมายจนได้ เพราะพวกนี้ไม่รู้กฎหมาย เมื่อไรผิดกฎหมายก็จับ เท่านั้นเอง
สุไหงปาดี ชินะกุล
18 มิ.ย.2556