www.newworldbelieve.net
Facebook.com Phayap Panyatharo
สารบาญโหราศาสตร์
หน้ากากขาวและไชยวัฒน์ สินสุวงษ์
ศิษย์โพธิรักษ์ เจ้าลัทธิวิเศษเหนือมนุษย์
เข้าใจผิด เผลอเรอไปเอาสัญลักษณ์ล้มเจ้าในอังกฤษมาสวมใส่ บอกความนัยว่าแท้จริงคนกลุ่มนี้แหละคิดล้มเจ้าเสียเอง
ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ขณะโดนจับร้อยโซ่ข้อมือและเท้า ทำท่าทางไม่หวาดหวั่น เพราะนึกว่าตนเป็นอาริยะบุคคล ศิษย์เอกโพธิรักษ์ ทุเรศ !
กลุ่มคนที่มายึดสนามหลวงไว้ตั้งแต่ 16 พฤษภาคม 2556 จนถึงปัจจุบันนี้ โดยผิดกฎหมาย กทม. แต่กทม.ของพรรคประชาธิปัตย์กลับเอื้ออนุโลมให้คนกลุ่มนี้กระทำผิดกฎหมายไปได้เรื่อย ๆ อันเป็นการแสดงอย่างเปิดเผยถึงขบวนการต่อต้านรัฐบาลเป็นอันหนึ่งเดียวกันกับพรรคประชาธิปัตย์ สิ่งที่คนกลุ่มนี้ได้แสดงออกอย่างชัดเจนก็คือ ล้มล้างระบอบการปกครองของไทย ที่เป็นอยู่โดยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ นั่นเป็นเจตนาร้ายแรง ที่น่าผิดกฎหมายในข้อหากบฎ สิ่งที่กลุ่มนี้ทำได้ก็คือแค่การสร้างความสับสนแด่ประชาชน และก่อกวนทางอารมณ์จิตใจของสังคมให้หงุดหงิด สร้างความสับสนทีเล่นทีจริง และแล้ววันนี้เอง พวกคนกลุ่มนี้ก็ได้นัดชุมนุมครั้งใหญ่ พบว่ามีการเดินขบวนไปยังสำนักพระราชวัง ยื่นหนังสือขอพระราชทานนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ตามมาตรา 7 แห่งรัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งนี้คือการบังอาจของคนกลุ่มนี้ ที่นำโดยนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ที่บังอาจก้าวล่วงพระบรมโพธิสมภารขององค์พระมหากษัตริย์
ภาพไร้สติ เอื้อมใฝ่สูง ตีตัวเสมอท่าน เพราะนึกว่าตนเองสูงสุด จะเอื้อมสัมผัสพระองค์ท่านเมื่อไรก็ได้
ประเด็นสำคัญก็คือการใช้หน้ากากขาว เอามาแจกให้คนในกลุ่มสวมใส่ แล้วเดินขบวนไปที่นั่นที่นี่ ก่อกวนอารมณ์สังคมให้สับสน กลุ้มกลัด ไม่เป็นอันสงบ พวกนี้คอยสร้างความหวาดระแวงให้สังคมเกิดวิตก วิจารณ์ระส่ำระสาย นี่คือความหมายอะไร คนกลุ่มนี้ใช้แผนการณ์ที่ผิดพลาดใช่หรือไม่ ในเมื่อหน้ากากขาวเคยเป็นสัญลักษณ์ล้มกษัตริย์มาในประวัติศาสตร์อังกฤษมาก่อนแล้ว และคนกลุ่มนี้ก็เคยละเมิดองค์พระมหากษัตริย์ไทยอย่างยิ่งมาแล้วนั่นคือการขวางทางพระราชดำเนิน ขณะทรงเสด็จไปในงานพระราชทานเพลิงพระศพพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนา ณ ท้องสนามหลวง เป็นเวลาถึง 6 วัน นี่คือพวกล้มเจ้าตัวจริง
ปรากฎในบันทึกหนังสือพิมพ์ดี ดังนี้
บันทึกประเทศไทย
พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ มีทั้งสิ้น 6 วัน ระหว่างวันที่ 14-19 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2551 ดังนี้
-วันศุกร์ที่ 14 พ.ย.2551 บำเพ็ญพระราชกุศลออกพระเมรุ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
-วันเสาร์ที่ 15 พ.ย.2551 พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุ ท้องสนามหลวง
-วันอาทิตย์ที่ 16 พ.ย.2551 พระราชพิธีเก็บพระอัฐิ ณ พระเมรุ ท้องสนามหลวง
-วันจันทร์ที่ 17 พ.ย.2551 บำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระอัฐิฯ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
-วันอังคารที่ 18 พ.ย.2551 เชิญพระอัฐิประดิษฐานบนพระที่นั่งมูลสถานบรมอาสน์ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
-วันพุธที่ 19 พ.ย.2551 ทรงบรรจุพระสรีรางคาร ณ อนุสรณ์สถานรังษีวัฒนา สุสานหลวงวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
มีเหตุการณ์พิเศษที่ต้องบันทึกเอาไว้ก็คือ ในการเสด็จพระราชดำเนินไปโดยปกติของพระมหากษัติย์ไทยในอดีตสืบมาจนถึงปัจจุบันนี้ จะทรงเสด็จโดยถนนที่หรูหราสมพระเกียรติยศ และมีถนนสำหรับกษัตริย์ทรงเสด็จไปโดยเฉพาะวิสัยกษัตริย์ทุกพระองค์ ๆ นั่นคือ ถนนราชดำเนิน
ถนนราชดำเนิน หรือ Ratchadamnern Avenue ซึ่งโดยภาษาอังกฤษหมายถึงถนนสายกว้างใหญ่ ร่มรื่น มีความสำคัญสำหรับบุคคลระดับสูงของชาติ แต่ภาษาไทยถนนราชดำเนินบอกความหมายตรงตามภาษา ให้ความหมายโดยชัดเจนชัดแจ้งว่าเป็นเส้นทางพระราชดำเนินของกษัตริย์ ซึ่งหมายถึงทรงมีพระราชอำนาจและความสง่างามที่จะทรงเสด็จไปพร้อมพระเกียรติยศอันสูงสุดที่ผู้ใดจะละเมิดมิได้
แต่ในระหว่างเวลา 6 วันที่เสด็จไปประกอบพระราชพิธีเกี่ยวกับพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ ฯ นั้น กษัตริย์ไทยพร้อมขบวนพระราชอิสริยยศ ซึ่งประกอบด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชบริพารทั้งสิ้น รวมทั้งคณะรัฐมนตรี และบุคคลสำคัญในสามสถาบันสูงสุดของชาติ ต้องหลีกชนกลุ่มหนึ่ง ที่ยึดครองบริเวณถนนราชดำเนินไว้ ทรงอ้อมไปทางถนนลูกหลวง ซึ่งเป็นถนนชั้นรอง เพื่อเสด็จไปประกอบพระราชพิธีสำคัญของพระราชวงศ์ คือ พิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ที่ทรงเป็นที่รักของประชาชนไทยอย่างหาที่สุดมิได้อีกพระองค์หนึ่ง ตลอดเวลา 6 วันที่ทรงเสด็จไปประกอบพระราชพิธีในแต่ละวันแต่ละพิธี นั้น
เป็นเหตุให้คนไทยทั้งประเทศตกตะลึงพรึงเพริศ คนไทยทั้งประเทศต่างก็ถามกันว่า ชนกลุ่มใดที่บังอาจขวางเส้นทางพระราชดำเนินของพระมหากษัตริย์ ชนกลุ่มใดที่บังอาจปิดกั้นถนนราชดำเนิน มิยอมให้องค์พระมหากษัตริยเสด็จไปประกอบพระราชพิธีอันสำคัญยิ่งส่วนพระองค์คราวนั้น ซึ่งเป็นการกระทำที่ยะโสโอหัง ที่ละเมิดเบื้องพระยุคลบาท ต่อพระพักร์เช่นนี้
ที่บัดนี้มีคำถามว่า ประชาชนไทยทุกหมู่เหล่า ที่ล้วนจงรักภักดี ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ จะสามารถให้อภัยพวกเขาได้ละหรือ ? ซึ่งคำตอบก็คือ ไม่อาจจะให้อภัยได้เลย
และด้วยบันทึกนี้ เราขอให้ประชาชนไทย หรือที่ได้ชื่อว่าคนไทยทุกหมู่เหล่า ทุกชนชั้น คนไทยทุกคน ทุกเพศทุกวัย อย่าได้ลืมเสียเป็นอันขาด เพราะมันเหมือนเสี้ยนหนามอันแหลมคมที่ระคายระเคืองในจิตใจของเราทั้งหลายอยู่ตลอดเวลา จะไม่ถอนออกมาทำลายเสียได้อย่างไร?.
- หนังสือพิมพ์ดี(อินเทอเนท)
20 พ.ย.2551
ภาพนึกว่าตัวเองเป็นอริยะบุคคล ดูท่าทางหน้าตา สายตาเหมือนไร้ประสาทสัมผัสปกติไปแล้ว
ในเหตุการณ์กบฏสนามม้า เมื่อปลายปี 2555 นั้น ขณะมีการขว้างระเบิดแก๊สน้ำตา เราจะเห็นว่ามีกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่ง แต่งตัวเหมือนคณะสงฆ์ไทย แต่สีเป็นสีกรักนั่นคือคณะโพธิรักษ์ ได้เห็นโพธิรักษ์และคณะนักบวชของเขาวิ่งหนีแก๊สน้ำตาอุตลุดแต่ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส นั่นคือโพธิรักษ์ ผู้หลงผิดคิดว่าตนบรรลุอรหันต์ นั่นเอง ที่พูดถึงก็เพราะบุคคลนี้ได้ตั้งสำนักสันติอโศกขึ้น และมีลูกศิษย์คนสำคัญมาแต่ต้นคือ จำลอง ศรีเมือง กับภริยา ศิริลักษณ์ ศรีเมืองนั่นเอง ต่อมาจึงมีนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เป็นลูกศิษย์เอกผู้รับใช้ทุกชนิดงานการเมือง ด้วยความหลงผิดคิดว่าตนสูงสุดเช่นเดียวกัน สำหรับโพธิรักษ์ เจ้าลัทธิ เนื่องจากเชื่อว่าตนบรรลุโสดาบัน จึงสอนเรื่องโสดาบันและอรหันต์แด่ลูกศิษย์ และคำสอนหลักสำคัญก็คือ อริยบุคลต้องเสียสละ ต้องเมตตาแด่สรรพสัตว์ ต้องกินมังสวิรัติ ต้องได้รับการทดสอบ อริยะบุคคลจะต้องอดทน ทนอด ทนอยาก เพื่อทำความดี ฉะนั้น จึงมีการตื่นอริยะบุคคลกันใหญ่ในมวลหมู่ของโพธิรักษ์เอง จนเชื่อว่าพวกตนล้วนเป็นพวกอริยะบุคคล(เรียกตนเองว่าอาริยะบุคคล) ในการต่อสู้ของขบวนการสนธิลิ้ม-จำลอง-ประช่าธิปัตย์ จึงมีนักบวชสันติอโศกมาร่วมแทบทุกครั้ง โดยทำหน้าที่เป้นวัวงานอย่างดีแก่การชุมนุม สำหรับโพธิรักษ์เอง มีความหวังอันสูงสุดมาแต่ต้นแล้วโดยตนหมายจะเป็นสังฆราช ของแผ่นดินใหม่สยามภายหลังการใหญ่สำเร็จ นั่นเองการต่อสู้จึงไม่มีวันสิ้นสุด ขบวนการสันติอโศกได้กลายเป็นกำลังหลักของการตรึงพื้นที่ อย่างทรหดอดทน ทนแดดทนฝน ทนอดทนอยาก อย่างที่เห็นในสนามหลวงขณะนี้ เพื่อพิศูจน์ว่าตนเป็นอริยะบุคคล กลุ่มชนที่มาตรึงสนามหลวง ก็จึงเป็นพวกที่ถือลัทธิหลงผิดโพธิรักษ์นี่เอง มาทำงานอันยากลำบาก เพื่อพิศูจน์ว่าตนมีความทรหดอดทนเหนือมนุษย์ เพื่อให้ได้รับการยอมรับว่าตนเป็นอริยะบุคคล และพวกเขาเชื่อว่าจะทะลุทะลวงไปสู่การล้มล้างรัฐบาลได้ด้วยคติของอริยะบุลล(ที่หลงผิดวิปลาตไปเช่นนี้)
การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย โดยคนเสื้อแดง บัดนี้ จึงต้องมาตระหนักว่า จักได้มาพบขบวนการปรปักษ์เสื้อแดงไปอีกแบบหนึ่ง นั่นคือพวกหลงผิดวิปลาสน์ คิดว่าตนเป็นผู้สูงสุด เหนือมนุษย์ เป็นพวกที่ด่าไม่เจ็บ หน้าด้านยิ่งกว่าหน้าด้าน เพราะหลงคิดว่าตนเป็นอริยะบุลลคลแล้ว เหนือมนุษย์แล้ว ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ไม่ถือสาการกระทำของพวกมนุษย์..ยกตนว่าสูงสุดกว่าคนทั้งแผ่นดิน ๆ เป็นพวกสัตว์ มีควาย งัว หมู หมา ม้า หรือสัตว์อื่น ๆ (ดังที่พวกนี้เคยทำหน้ากากออกมาสวมเยาะเย้ยคนไทยในสมัยเลือกตั้ง 3 พ.ค.2553 โดยเรียกร้องให้โหวตโน นั่นแหละ)....แต่ตนกระทำผิดกฎหมายบ้านเมืองอย่างไรไม่รู้สึก รู้สึกอย่างเดียวว่าพวกมนุษย์ทำอะไรผิดหมด เท่านั้นเอง นี่เป็นความยากอีกแบบหนึ่งสำหรับประชาชนเสื้อแดงผู้ต้องการนำพาประเทศไปสู่ประชาธิปไตย ที่มาถึงด่านปีศาจหรือคนผู้หลงผิดไปอีกอีกแบบหนึ่งที่ต้องฝ่าฟันไปให้จงได้ ด้วยสปิริตของประชาธิปไตย ด้วยกฎหมายอันสมบูรณ์ของประชาชน เพียงปล่อยพวกเขาให้กระทำวิปริตไป ในที่สุดก็จะพลาดเองและผิดกฎหมายจนได้ เพราะพวกนี้ไม่รู้กฎหมาย เมื่อไรผิดกฎหมายก็จับ เท่านั้นเอง
สุไหงปาดี ชินะกุล
18 มิ.ย.2556
Akeyuth Anchanbutr
เอกยุทธ อัญชัญบุตร
Tweet
กำหนดสวดอภิธรรมศพ ณ วัดลาดพร้าว ศาลา 6 วันที่ 13 - 19 มิถุนายน 2556 เวลา 19.00 น.
ข่าวนายเอกยุทธ อัญชัญบุตร (คนโกงแปดเหลี่ยม)จาก เฟสบุคของเขาเองวันนี้
คนที่เดือดร้อนที่สุดในวันนี้ก็คือพรรคประชาธิปัตย์ ที่ต้องออกมาปกป้องคนของเขา โดยนายกรณ์ จาติกวณิชย์ ออกมากล่าวว่า น่ามีข้อสงสัยไปถึงทักษิณ ชินวัตร ว่าอาจจะอยู่เบื้องหลังการสังหารนายเอกยุทธ ขอให้รัฐบาลอย่าเร่งรีบปิดสำนวน ก่อนได้พบความจริงเบื้องหลังการตายของนายเอกยุทธ แต่วันนี้คนทั้งหลายได้รู้ความจริงไปจนสิ้นสงสัยไปแล้ว่า นายเอกยุทธถูกคนขับรถของเขาเองกับพวกรวม 4 คนรัดคอฆ่าชิงทรัพย์ และเอาศพไปฝัง ที่จังหวัดพัทลุง ตำรวจได้หลักฐานอย่างครบถ้วนพร้อมคำสารภาพของผู้ต้องหาทั้ง 3 คนแล้ว
นายสันติภาพ เพ็งด้วง(คนขับรถ) ที่ร่วมกับนายทิวากร เกื้อทอง และ นายชวลิต วุ่นชุม 3 ผู้ต้องหาที่ร่วมกันฆ่าชิงทรัพย์ นายเอกยุทธ
ภาพเอกยุทธ ตอนเล่นละคร ที่โรงแรม4ซีซันส์ มีคนแอบเข้ามาทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ ขณะไปด้อม ๆ มอง ๆ ดูนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ที่กำลังร่วมประชุมกับนักธุรกิจต่างชาติ
และแล้ว เพื่อประโยชน์ในการใส่ร้ายบิดเบือนให้คนเข้าใจผิด แม้เล็ก ๆ น้อย เพื่อชัยชนะเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการเลือกตั้งเขตดอนเมืองขณะนั้น พรรคประชาธิปัตย์ได้ทะยอยออกมาใส่ความว่า คดีนี้มีเบื้องหลัง มีการทำงานเป็นทีม โดยมีคนใหญ่คนโตอยู่เบื้องหลัง เป็นคดีที่มีการอำพราง.......แม้กระทั่งหน.ปชป.เอง นายอภิสิทธิ์ ก็ออกมาโกหกพกลมเช่นเคยว่ามีคนสำคัญอยู่เบื้องหลังการสังหารครั้งนี้ ...และแล้วก็พบ ดร.เฉลิม อยู่บำรุง ให้คณะกรรมการสอบสวนมีหนังสือเชิญคนที่ใส่ความเหล่านี้มาให้ข้อมูลหลักฐานต่อคณะกรรมการ นั่นคือ 1. หมอพรทิพย์ ผู้กล่าวว่าเป็นคดีอำพราง2. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 3. นายสุวัฒน์ อภัยภัค ทนายความพธม. 4. นายกรณ์ จาติกวิณิช รองหน.ปชป. ......ขอเชิญมาให้ข้อมูลแด่กรรมการสอบสวนสืบสวน ............ในฐานะที่แสดงว่าตนมีข้อมูลเกี่ยวกับการสังหารนายเอกยุทธ์ ......
นี่คือการพิศูจน์ ดูว่าคนเหล่านี้ มีหลักฐานอะไร จึงกล้ากล่าวเช่นนั้น .......หากไม่มีหลักฐาน แน่ละ คนเหล่านี้ก็จะเป็นแค่นักโกหกพกลมเท่านั้นเอง ........จะได้รู้กันชัด ๆ ไปเลย.
ภาพตราสัญลักษณ์ข้างต้นนี้ มีชื่อว่า INTER-PARLIAMENTARY UNION INTERPARLEMENTAIRE 1889 สหภาพรัฐสภาโลก ตัวเลขคงบอกปีที่ตั้งขึ้นมา 124 ปีแล้ว นั่นหมายถึงได้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยโลกมา 124 ปีแล้ว ความหมายนี้เป็นความหมายที่ยิ่งใหญ่มาก และน่าซาบซึ้งตรึงใจสำหรับเสรีชนผู้รักประชาธิปไตย และแน่นอน องค์การนี้ได้มองมาที่ประเทศไทย และเห็นการต่อสู้ของประชาชนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต่อสู้ของคนเสื้อแดง แล้วทนเห็นความอยุติธรรมที่ฝ่ายประชาชนผู้รักประชาธิปไตยได้รับมาแต่สมัยรัฐบาลอมาตย์สั่งทหารล้อมฆ่าประชาชนไม่ได้ จึงมองมาที่ประเทศไทย โดยหน้าที่ของผู้รักและสนับสนุนประชาธิปไตยของโลก จึงพอใจมาร่วมในการต่อสู้ ในฐานะสาวกของประชาธิปไตย นั่นเอง
ทราบว่าจะขอเข้าพบ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไทย แต่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไทยปฏิเสธไม่อนุญาตให้เข้าพบหรือขอข้อมูล มีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับ จตุพร พรหมพันธ์ โดยเฉพาะ นั่นคือ IPU มองว่า จตุพร พรหมพันธ์ ได้รับการตัดสินอย่างไม่เป็นธรรมจากศาลรัฐธรรมนูญไทย และเรียกร้องให้คืนสิทธิ สส.แด่จตุพร พรหมพันธ์
ประเด็นที่น่าคิดก็คือ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไทย ทำอะไร และมององค์กรระดับโลกเพื่อประชาธิปไตยนี้อย่างไร ?
นี่เป็นประเด็นที่น่าคิด
ประการแรก ตัวเลข 124 ปี เมื่อเทียบกับไทยแล้ว เป็นสิ่งที่น่าตื่นตกใจเพียงไหน ไทยเราปีนี้มีรัฐธรรมนูญมาครบ 80 ปี (นับเวลาเท่ากันกับการปฏิวัติ 24 มิ.ย.2475) แต่ 80 ปีนี้มีค่าเท่ากับจุดศูนย์ของประชาธิปไตยไทย คือไม่ก้าวไปจากจุดเดิมเลย ในขณะที่สภาโลกผ่านไปถึง 124 ปีแล้ว ความเป็นประชาธิปไตยของสังคมไทยจึงยังห่างไกลระดับมาตรฐานของวัฒนธรรมประชาธิปไตยสากลโลก นั่นก็เป็นเพราะความรู้ความเข้าใจในประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่อ่อนด้อยมาก ที่สำคัญ ที่เป็นประเด็นก็คือความอ่อนด้อยนี้กลับปรากฏในบุคคลระดับมีพื้นฐานการศึกษาทางวิชาการการเมืองอยู่ในระดับสูงสุดของสังคมด้วยซ้ำ ตัวอย่างเช่น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีพื้นฐานการศึกษามาจากมหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด อังกฤษ ที่คนไทยคาดว่าจะเป็นคนหนุ่มยุคใหม่ที่จะมาช่วยสร้างสรรค์ประชาธิปไตยไทยให้รุ่งเรือง แต่เรากลับได้เห็นสิ่งที่ผิดหวังจากคน ๆ นี้มาตลอด เพราะพฤติกรรมทุกอย่างทางการเมืองตั้งแต่ต้นมา ที่ไม่สอดคล้องวิถีทางประชาธิปไตยเลย ขณะนี้เขาเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ฝ่ายค้าน ที่ระยะหลังก็ได้สร้างประวัติการในรัฐสภาไว้อย่างน่าสมเพช หลายเรื่อง นับแต่เป็นฝ่ายที่ค้านทุกเรื่องในรัฐสภา และนอกสภา และทั้งรวมหัวกันก่อเหตุรุนแรงต่อประธานรัฐสภา อันเป็นการละเมิดที่ลดศักดิ์ศรีของสถาบันตนเอง รวมทั้งความไร้สปิริตจิตใจหรือจรรยาบรรณอันพึงปรากฎในสังคมการเมือง ที่พึงมีอย่างสุภาพชนคนธรรมดา ๆ ก็ไม่เคยได้เห็นจากคน ๆ นี้ ตามที่ทราบกันทั่วไปแล้ว มีศาสตราจารย์ที่บริหารสถาบันการศึกษาด้านการเมืองโดยตรง ในมหาวิทยาลัยมีชื่อ หลายคนเช่น (ศ.)อมรา พงศาพิศ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ศ.) สมบัติ ธำรงค์ธัญญวงศ์ แห่งนิดา เป็นต้น ที่กลับสอนให้ความรู้และทำอย่างตรงกันข้ามกับวิถีทางประชาธิปไตย ฯลฯ ซึ่งเมื่อมองประเด็นนี้แล้ว ย่อมเห็นชัดเจนว่าเป็นปัจจัยเหตุสำคัญที่ฉุดรั้ง และทำลายวิถีประชาธิปไตยไทยมาตลอดจนแม้กระทั่งบัดนี้
สำหรับคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ(ตลก.รธน.) ก็ไม่ได้แสดงให้เห็นว่ามีความเข้าใจประชาธิปไตยแต่อย่างใด มีกี่ครั้งที่ได้เห็นแม้เพียงท่าทีที่บอกถึงความเข้าใจประชาธิปไตย จากบุคคลคณะนี้....แม้สัก 1 ครั้งก็ไม่เคยเห็น การที่แสดงท่าทีที่ไม่เป็นมิตรกับ ประเทศประชาธิปไตย ก็ยากที่จะร่วมมือกับประเทศสากลสร้างสรรค์ประชาธิปไตยของประเทศเราไปได้ สำหรับตลก.รธน.คณะนี้ อย่าว่าแต่เรื่องการเมืองประชาธิปไตยเลย แม้วิชาภาษาไทย ภาษาประจำชาติ ก็แทบว่าไม่เข้าใจในประเด็นสำคัญของภาษาไทย ยังอ่านคำไทย ประโยคภาษาไทยในระดับการศึกษาชั้นประถมมัธยมต้น ๆ ไม่เข้าใจ จนเป็นเหตุให้ตีความกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ไปอย่างผิด ๆ อันเป็นตัวต้นเหตุของความตระหนกในท่าทีของพวกเขาที่สร้างความวิตกกังวลไปทั้งประเทศ ว่าจะอาจก่อวิกฤตร้ายแรงแก่ประเทศชาติและประชาชนอีกครั้งหนึ่ง อย่างที่ไม่มีเหตุผลเลย
สุไหงปาดี ชินะกุล
6 มิ.ย.2556/19.30 น.
ข่าวใหญ่วันนี้ พระดังที่อ้างว่าตนเป็นหลวงปู่เณรคำ อรหันต์เก๊ ภาพเหล่านี้บอก-ยืนยันอะไร?
นิดาโพล ห่วยที่สุด?
SMS หลอกลวงประชาชน
สื่อหนังสือพิมพ์สาย เอเอสทีวี