ม็อบสามเสนแปรเป็นม็อบราชดำเนิน ต้องการอะไร?
ดาราราชดำเนินถ่ายจากจอที่วีช่องบลูสกาย เมื่อประมาณ 23.00 น.ซ้ายมีอ นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ขวามืออ้างว่าเป็นนิติศาสตบัณฑิตย์รามคำแหง ทั้งคู่พูดหยาบคายมากพอ ๆ กันทั้งคนหนุ่มคนแก่ จนกระทั่งคนฟังจะเงียบกริบและฟังกันอย่างตกใจ ไม่มีใครปรบมือให้เลย แล้วก็มีนายอรรถวิทย์ และอีกสองสามคน ขึ้นเวที คนที่พูดอยู่ขณะนี้ ไม่ทราบชื่ออะไร โนเนม เสียงแหบ เครือ ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ น้ำตาท่าจะเล็ดออกมา ด่าไปหมด ไม่มีคนออกอารมณ์ร่วมเลย มือใหม่ พยายามโฆษณาชวนเชื่อ ใช้คำหยาบมาก พูดคำว่า ..โง่..แรด...บ่อยครั้ง แล้วยังตั้งคำถามว่าความเป็นมนุษย์อยู่ที่ไหน ..... ก็น่าจะอยู่ที่คุณคนกำลังพูดนี่แหละ พูดกันหยาบคายเกินไป เกินจะเป็นมนุษย์ เกินประชาธิปไตย และสมกับคำว่า กุ๊ยข้างถนนจริงตามความเป็นจริง พอ ๆ กับกุ๊ยในสภาที่ได้พิศูจน์มาแล้วนั่นเลย ........มีสุภาษิตว่า.คนที่ด่าว่าคนอื่นโง่ แท้จริงตนเองนั่นแหละโง่ไปกว่า ... ...... อ้าว ไป ๆ มา ๆ ร้องไห้จริง ๆ เสียด้วย เอาละพอ ๆ เถอะ ทุเรศ......คนฟังเงียบ....ผิดหวังละ การพูดคราวนี้ทำเสียอนาคตหมด......มีเสียงตะโกน มา หมอตกใจมองไป ทำท่ายิ้ม ๆ พอเถอะ ทุเรศเต็มทีแล้ว ด่าเขายังไงคนฟังเขาก็นิ่ง ๆ บอกว่า ดัง ๆ ยาว ๆ แต่ก็ไม่ยาว ...หมอยังดันไป นี่เวลา 02.40 น. 5 พ.ย.56 แล้ว .........คนหนีไปหมดแล้ว ......อ้าว สุเทพ เทือกสุบรรณ ยังฟังอยู่ มี องอาจ คล้ามไพบูลย์ อยู่ด้วย ออกยิ้มเจื่อน ๆ .......คงห่วงลูกศิษย์ เสียงนกหวีด เป่าเชียร์ หรือเป่าไล่....หมอจบลงว่า ช่วยพี่เหี้ย ๆ คนเดียว อย่าอยู่เลย.....เป็นนักกลอนเสียด้วย(อ้อรู้แล้ว ชื่อ จิตรกร บุษบา) สุเทพ ขึ้นเวทีมาโอบกอด....องอาจว่าเห็นหรือยังการเป็นผู้นำต้องอยู่กับประชาชน ไม่ใช่ไปอยู่กับนิโกรพ่อมึง .....ทั้ง ๆ ที่มีป้ายเตือนว่ากรุณาใช้ถ้อยคำสุภาพให้ส่งเอสเอ็มเอสด้วยคำสุภาพ แต่คนพวกนี้กลับหยาบคายจริง ๆ ........ และเวลากล่าวหาอะไรใครขึ้นมา กลับเท่ากับกล่าวหาตัวเอง เพราะตนทำไว้ทั้งหมด เช่นว่าเขาฆ่าประชาชน ตนนั่นแหละฆ่าประชาชนตัวจริง กลางเมือง ... น่าเป็นห่วงว่าคนพวกนี้เสียสติไปแล้ว...แต่นี่แหละกุ๊ยข้างถนนจริง พวกเขาพิศูจน์ตนเอง
•สถาวร ผดุงศิษย์ รายงาน
5 พ.ย. 2556 02:55:50
บทแทรกที่ 1
พรรคประชาธิปัตย์ ดูเหมือนจะไม่เคยปรากฎถึงการยอมรับวิถีทางประชาธิปไตย เคยมีคราวหนึ่งเมื่อนายชวน หลีกภัยพูดถึงระบบรัฐสภา ว่ายอมรับระบบรัฐสภา และเคยแสดงน้ำใจน่าชื่นชมในการยอมรับเสียงส่วนมาก แม้ชนะเพียงคนสองคน .... แต่แล้วพฤติกรรมก็ไม่มีลักษณะเป็นอุดมการ นั่นคือมิได้เกิดจากความเข้าใจที่แท้จริงในอุดมการณ์ของประชาธิปไตย ก็กลายมาเป็นเพียงคำพูด หมายถึงคำพูดที่ไม่สอดคล้องกับความประพฤติจริงของตน แล้วพรรคประชาธิปัตย์ก็ดำเนินการต่อสู้โดยวาทะกรรมล้วน ๆ ตลอดมา และเนิ่นนานมาจนเกิดความชำนาญทางการใช้วาทกรรมเป็นหลัก ยิ่งกว่าความที่ควรจะเป็นวิถีทางของการต่อสู้ทางระบอบประชาธิปไตย
ในวันนี้ ประชาธิปัตย์จึงมีเพียงวาทกรรม ซึ่งหมายถึงการใช้วาจาคำพูดล้วน ๆ และพวกเขาได้พัฒนาสิ่งนี้มาจนปรากฎว่ามีความชำนาญมากในเวลานี้ ความชำนาญของพวกเขาออกมาใน 2 รูปแบบ คือวาทะกรรมสุภาพ เมื่อพรรคการเมืองนี้จะใช้วาทะที่สุภาพ ดูเป็นผู้ดี พวกเขาก็ทำได้ดี พวกเขารู้ว่าจะใช้วาทกรรมฝ่ายสุภาพนี้อย่างไร เมื่อไร และอีกอย่างหนึ่งคือวาทกรรมหยาบคาย ที่สะใจ หรือโดยรูปธรรมก็คือ คำด่า บริภาษต่าง ๆ รวมไปถึงการกระทำผิดศีลธรรมทางวาจาโดยหลักของพุทธศาสนาด้วย ได้แก่ความสามารถในการที่จะใช้ทุจริตทางวาจาตามที่มีหลักศาสนาห้ามไว้ 4 อย่างคือ คำหยาบ คำโกหก คำส่อเสียด และคำเพ้อเจ้อ ที่เรียกว่าวจีกรรม 4
ระยะปัจจุบัน นอกจากวาทกรรมแล้ว เขาก็ยังใช้กายกรรม และมโนกรรม เข้าไปเสริมวาทะนั้นด้วย เช่นในสภา พวกเขากล้าที่จะแสดงอาการ หรือพฤติกรรมอันเกรี้ยวกราด เป็นอันธพาลได้ทุกแบบ นับตั้งแต่การก่อกวนให้เกิดความปั่นป่วนขึ้น ที่เห็น ๆ มาอย่างที่ไม่น่าเป็นก็คือ การรวน โดยพยายามชี้ด้วยวาทกรรมว่าประธานสภาไม่เป็นกลางแล้วการกรูเกรียวกันเข้ายึด ฉุดประธานสภาให้ลุกออกไปจากเก้าอี้ของประธานสภา จนตำรวจสภาต้องยกกองอารักขาเข้ามาคุ้มครอง และแม้กระนั้น ก็ยังมีการโยนแฟ้มเอกสารใส่ประธานสภา จนต้องปกปิดกันพัลวัลก็ได้เกิดขึ้นโดยฝีมือของพรรคประชาธิปัตย์ และที่เห็นบ่อยที่สุดก็คือการแข็งขืนไม่ปฏิบัติตามระเบียบการประชุมสภา จนถึงต้องมีการใช้ตำรวจสภาเข้ามาควบคุมตัวออกไป....เช่นความประพฤติของนายวัชระ เพชรทอง กับนายบุญยอด สุขถิ่นไทย นายวรงค์ เดชกิจวิกรม นางตอแหล...... เป็นต้น
เราจะชี้ให้เห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้ฝึกตนเองผิดทางของประชาธิปไตยมาแต่ต้นแต่เดิมแล้ว ไม่ชอบด้วยหลักการประชาธิปไตย ที่ปรารถนาของปวงชนชาวไทย วันนี้พรรคนี้ใช้วาทกรรมทางการด่าขนาดหนักโดยเห็นเจตนาว่า จะเอาชนะให้ได้ด้วยวาทกรรมการด่า...และแต่ละคนก็ได้สรรหาวาทกรรมและวางแผนมาอย่างดี สำหรับการจะใช้สิ่งนี้บนเวทีสาธารณะ แม้แต่นายไตรรงค์ สุวรรณคีรีซึ่งเป็นคนอาวุโสสูงสุดคนหนึ่ของพรรคการเมืองนี้ วันนี้ก็ได้เผยสันดารเช่นนี้ของประชาธิปัตย์ออกมาอย่างเต็มที่ราวกับเป็นการชี้นำรุ่นเด็ก ๆ รุ่นน้อง ๆไปผิด ๆ ตามตนไป อย่างนายอะไรที่อ้างว่าตนเป็นนิติศาสตร์บัณฑิตย์รามคำแหง และนายจิตรกร บุษบา เป็นต้น ที่เขาตั้งใจศึกษาการเมืองมาแบบประชาธิปัตย์โดยไม่ทราบเลยว่า นั่นมันขัดหลักการประชาธิปไตย ไม่สอดคล้องวิถีประชาธิปไตย นั่นหมายถึงไม่เป็นการสร้างสรรค์ประชาธิปไตยของชาติแล้ว ยังไม่เป็นการสร้างสรรค์พรรคประชาธิปัตย์อย่างถูกทางด้วย
เพราะการเมืองทุกวันนี้ ไม่ว่าการเมืองระบอบใด การเมืองย่อมทันสมัยในทางที่ว่า การเมืองนั้นต้องรับใช้ประชาชน การเมืองนั้นจะต้องสร้างประโยชน์ให้แก่ประชาชน การเมืองต้องสร้างประชาชน ในระบอบประชาธิปไตย การเมืองต้องสร้างฐานะของประชาชนส่วนที่ต่ำต้อยอ่อนแอให้ให้ยืนขึ้นได้ด้วยลำแข้งของตนเอง และระบอบประชาธิปไตยนั้นยืนอยู่บนอุดมการณ์ของความเป็นมนุษย์ มนุษย์จะต้องบรรลุขั้นต่ำของสถานภาพแห่งชีวิตคือความเสมอภาค จะต้องไร้ระบบหรือวิถีทางแห่งทาสโดยสิ้นเชิง ซึ่งในประเทศไทย หรือ ลาว เขมร พม่า มาเลเซีย ที่กำลังด้อยพัฒนาการทางการเมืองอยู่ จะต้องพัฒนาการเมืองไปในเส้นทางนี้ นั่นคือวิถีที่รับใช้ประชาชน และเป็นการเมืองที่ต้องเข้าใจนโยบาย
แต่วันนี้ ประชาธิปัตย์ต้องการอะไร เขาต้องการกลับมาได้อำนาจอีกครั้งหนึ่งหรือ ? หรือแค่ว่า ค้านทุกเรื่อง ตามนิสัยเลวทรามของตน
แต่วิธีที่เขาจะเอาชนะทางการเมืองด้วยวิธีการเช่นที่เขาทำอยู่นี้ มันได้บอกอะไร
1. พรรคประชาธิปัตย์ เพียงแค่เป็นคนทำงานไม่เป็น มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ มีหัวแหลมแทงทะลุจุดบกพร่องของคนอื่นแล้วเอาไปนินทา แล้วจ้องมองแต่เรื่องมองคนอื่นในแง่ร้าย ใช้เวลาแสวงหาทางที่จะทำเรื่องเช่นนี้ให้ดีขึ้นไป ๆ ให้คนชอบนิยมในวาทกรรมร้าย ๆ ของตนไปเรื่อย ๆ เวลาของชีวิตของพรรคนี้ก็สูญไปเปล่ากับการทำสิ่งที่ไม่ชอบด้วยวิถีทางการเมืองประชาธิปไตย และทั้งทำให้ไม่เข้าใจคนอื่น ไม่เข้าใจคนที่ทำงาน ไม่เข้าใจการบริหารงาน ไม่เข้าใจการประสานงานในโลกยุคโลกาภิวัฒน์ ระหว่างประเทศทั้งหลาย สารพัดที่จะไม่เข้าใจโดยคอยมองในสิ่งที่ตนรู้สึกจากความอิจฉาริษยา เสียเวลาไปอย่างนั้นหมด
2. ระบอบประชาธิปไตย ต้องสนองตอบต่อความต้องการของประชาชนให้ได้ มันหมายถึงพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ต้องรอบรู้และเสนอนโยบายต่าง ๆ ในทางที่จะให้เห็นได้ว่าอนาคตเราจะเป็นไปในทางที่ดีกว่า ก้าวหน้ากว่า ประชาชนอยู่ดีกินดี มีเงินใช้ มีการเดินทางคมนาคมที่ทันสมัย มีการตามสถานการณ์ระดับโลกได้ทัน และพรรคการเมืองจะต้องพูดสิ่งที่เป็นนโยบายเหล่านี้
แล้ววันนี้ ประชาธิปัตย์ที่เอาเงินจ้างขนคนมาชุมนุมใหญ่สูญเสียเงินทองไปเป็นจำนวนมาก ก็เพียงเพื่อจะมาด่ารัฐบาลให้ฟัง ซึ่งเท็จบ้างจริงบ้าง ตามหลักการโฆษณาชวนเชื่อ ตามหลักการของวาทกรรมที่ฝึกฝนมาอย่างช่ำชองของพรรคประชาธิปัตย์
แต่สิ่งที่คุณพูด มันไม่ได้บอกเลยว่าคุณจะทำอะไรบ้าง ที่เรียกว่านโยบาย พรรคประชาธิปัตย์เข้าใจหรือไม่ ? คุณไม่ได้พูดนโยบายของพรรคให้ประชาชนฟังเลย ......... การด่ามันไม่ได้บอกว่าคุณจะมีความสามารถในการทำงานอะไร ใคร ๆ ก็ด่าได้ ถ้าประชาชนเขามีสติสตังดี เขาก็แค่ฟัง แล้วเคลิ้มตามไปบ้าง แล้วมาระลึกว่า นี่แค่การด่า มันไม่ได้บอกว่าเขาจะทำอะไรได้เลย มันไม่ได้บอกว่า เขาเป็นพรรคเพื่ออนาคนของประชาชนชาวไทย แต่เป็นพรรคที่จะพาถอยหลังเข้าคลอง ไปจมอยู่กับความอิจฉาริษยาอย่างล้ำลึกของพรรคประชาธิปัตย์
โดยระบอบประชาธิปไตยแล้ว ประชาชนจะได้ประโยชน์อะไรจากพรรคที่ไม่มีความสารถในการสร้างสรรค์นโยบายอะไรเลย เรียกประชาชนมานับหมื่น แต่คำเดียวไม่มีคำของอนาคตแด่ประชาชน มีแค่วาทกรรม ด่า และด่า เท่านั้นมันสร้างสรรค์อะไร? คิดดูบ้างซี
และโดยระบอบประชาธิปไตยแล้ว ไปดูพรรคเพื่อไทย นำโดยทักษิณเดิม และยิ่งลักษณ์ใหม่ ดูวันนี้ ดูช่องไหนก็ได้ นั่นแหละคือการทำการเมืองโดยหลักและอุดมการณ์ของประชาธิปไตยจริง คือมองประชาชนจะได้อะไรในปัจจุบัน และอนาคต มุ่งสร้างความเสมอภาคให้ได้อย่างพอแก่การปกครองตนเอง โดยเสนอนโยบายที่น่าตื่นเต้นตะลึง ไม่ว่าโครงการรถไฟด่วนหัวจรวด โครงการคมนาคมที่เชื่อมทุกทิศอย่างสมบูรณ์ ที่มองเห็นภาพได้ว่า ทุกการคมนาคมนำทุกทิศทุกทางมาสู่ประเทศไทย นำคนมาสู่ประเทศไทย ...... คุณดูวัดก็แล้วกัน เคยเข้าวัดหรือเปล่า? วัดไหนมีคนเข้าเยอะ วัดนั้นรวย ดูวัดโสธรสิ คนไหลเข้าไปบูชาพระพุทธโสธรวันหนึ่ง ๆ เท่าไร และทำรายได้เข้าวัดมหาศาลเพียงไหน ง่าย ๆ เพียงถนนนำคนเข้าวัดได้มาก ๆ เท่านั้นเอง ประเทศไทยที่นำโดยพรรคเพื่อไทยนี่แหละกำลังทำนโยบายที่ยิ่งใหญ่ที่เป็นศูนย์อาเซียนอยู่ขณะนี้ ผลดีจะเป็นอย่างไร คิดได้อย่างเขาบ้างไหม ?
นั่นคือวิถีทางประชาธิปไตย ประชาธิปัตย์หัดเรียนรู้เสียบ้าง เอาแต่ด่า ๆ ๆ ๆ หัวหงอกเช่นนายไตรรงค์สามสี....ก็ยังไม่เข้าใจ นี่เป็นการบอกให้รู้ว่าวิถีทางที่ประชาธิป้ตย์ทำอยู่ มันไม่ใช่ประชาธิปไตย ไม่มีสิ่งที่จะบอกได้ว่าคุณจะนำประชาชนไปสู่อนาคต และมาสู่พื้นฐานของเสรีชน ได้อย่างไร ? นั่นหมายความว่าประชาชนเขาก็จะคิดได้เอง ว่าเขาควรจะเข้าใจประชาธิปไตยอย่างไร ? พรรคการเมืองใดให้ประชาธิปไตยแด่พวกเขา?
- นายประชาธิปไตย
5 พ.ย.2556/11.20.30 น.
บทแทรกที่ 2
คุณประชาธิปไตยพูดถูก แต่สถานการณ์วันนี้ เป็นสถานการณ์ที่ประชาชนผู้รักความยุติธรรมส่วนหนึ่ง คือพวกเสื้อแดงเอง ถูกปลุกเร้าอารมณ์ จนแตกกระเจิง ด้วยสิ่งที่มีเหตุผลอยู่ส่วนหนึ่ง นั่นคือ ความรักในความยุติธรรม ตรงไปตรงมา ที่พวกเขาต้องการให้เอาตัวฆาตกรไปลงโทษ สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างใหญ่โตขนาดนี้ มันเกิดขึ้นด้วยจิตใจที่รักความยุติธรรมและความไม่เป็นธรรมแท้ ๆ เพราะเหตุที่กมธ. มีนายสามารถ แก้ววิชัย และนายหัวเกรียน(ขอโทษจำชื่อประยุทธ ศิริพานิช ไม่ได้) เสียงส่วนมาก ได้ทำการจัดการไปลับ ๆ ปราศจากการแย้มพรายให้ประชาชนรู้ แล้วลงมติกลับหลักการร่างที่ผ่านสภาผู้แทนราษฎรไปแล้วในวาระ 1 .....โดยอ้างรัฐธรรมนูญโจร 2550 มาตรา 30 แปรหลักการการช่วยเหลือประชาชนที่ถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรมว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ไปเป็นการช่วยเหลือฆาตกรผู้เข่นฆ่าพวกของเขา 99 ศพ และยัดพวกเขาเข้าห้องขังมา...ซึ่งในวันก่อนหน้านั้นเพียงวันเดียว อัยการสูงสุดก็ได้สั่งฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ข้อหาเจตนาฆ่าโดยเล็งเห็นผลไปแล้ว กมธ.ชุดนี้ก็ทราบแล้ว แต่กลับไปดำเนินการในสิ่งที่ตรงข้าม ที่ดับความฝันอันแรงของประชาชนในทางที่จะให้ความเป็นธรรมเกิดขึ้น การออกกฎหมายนิริโทษแด่ฆาตกร ซึ่งถูกสั่งการให้ดำเนินคดีไปแล้ว เท่ากับทำการปลดปล่อยฆาตกรเสียโดยฉับพลันทันที นี่เท่ากับการช่วยเหลือฆาตกรนะ(คุณก็มีความผิดฐานช่วยเหลือผู้กระทำผิด ใช่ไหม คุณเป็นนักกฎหมายนี่?) ที่เขากำลังเอาเข้าที่ประหารอยู่แล้ว .....มันไม่ยุติธรรมขนาดหนัก ที่ทำลายจิตใจคนเสื้อแดงลงอย่างแหลกราญ แม้กระทั่งแกนนำคนสำคัญของคนเสื้อแดง(ตั้งแต่ธิดา ถาวรเศรษฐ์ จตุพร พรหมพันธ์ และณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ) ก็ถึงดวงใจแหลกสลาย
และพรรคประชาธิปัตย์ ที่เฝ้าเรียนรู้ในเรื่องที่จ้องดูความผิดของผู้อื่น มองคนอื่นในส่วนเสียส่วนเดียว โดยสนองจิตใจที่เต็มไปด้วยความคั่งแค้นอิจฉาริษยาต่อพรรคฝ่ายตรงข้าม ซึ่งเป็นพรรคที่ได้รับความนิยมชมชื่นจากประชาชน ที่ประชาชนส่วนใหญ่หอม คือพรรคไทยรักไทยก็ดี พรรคพลังธรรมก็ดี พรรคชาติไทยก็ดี หรือพรรคเพื่อไทย พรรคชาติไทยพัฒนา ... รวมทั้งฝ่ายที่ครองอำนาจโดยถูกต้องตามวิถีทางประชาธิปไตย ฝ่ายแค้นรุ่มร้อนด้วยความอิจฉาริษยาจึงหาวิธีการที่จะเอาชนะด้วยวิธีทางที่ไม่ถูกต้อง โดยหลักการโฆษณาชวนเชื่อ ที่ได้รับการประคองปกป้องจากสถาบันอำนาจสูงสุดส่วนที่ 3 ของอำนาจสูงสุด 3 อำนาจในระบอบประชาธิปไตยคืออำนาจส่วนหนึ่งแห่งตุลาการตามรัฐธรรมนูญ 2550(รัฐธรรมนูญโจร เถื่อน ที่พลอยทำให้องค์กรอิสระทั้งหลายตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นองค์กรเถื่อน ไร้ความชอบธรรมในการที่จะทำหน้าที่ไปแล้ว)
การโฆษณาชวนเชื่อของพรรคประชาธิปัตย์ หมายถึงวาทะกรรมที่ผิดกฎหมาย และผิดศีลธรรมอันดีงามของสังคมไทยที่ทะนุถนอมมาเนิ่นนานมาตั้งแต่เราเป็นพุทธศาสนิกชนผู้มีความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา ต่อวัดวาอาราม ต่อสถาบันสงฆ์ ของประเทศนี้ นั่นคือ การกล่าววาทะที่โกหกหลอกลวงประชาชนอย่างเปิดเผย ก็ดี การกล่าวคำหยาบคายอย่างยิ่ง ยิ่งกว่าชนชั้นทาสในสมัยก่อน พวกเขาก็สามารถทำได้ ทั้งในสภาและนอกสภา และที่สำคัญ สามารถที่จะกล่าวคำส่อเสียด ซึ่งตามหลักศาสนาหมายถึงการยุแยกให้แตกสามัคคี ในประชาชนไทยได้อย่างเปิดเผย และกล่าวคำที่เพ้อเจ้อ คือการพูดที่ไร้หลักฐาน ไร้ข้อเท็จจริงโดยสิ้นเชิง แต่พรรคประชาธิปัตย์สามารถนำมากล่าวหาคนอื่นได้อย่างไม่มีความผิด ทั้งในสภาและนอกสภา โดยได้รับการคุ้มครอง ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากองค์กรอิสระต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศาลรัฐธรรมนูญ (ตามมาตรา 197-254 ของรัฐธรรมนูญเถื่อนฉบับปัจจุบันนี้ รัฐธรรนูญเถื่อน ทำให้เกิดองค์กรอิสระเถื่อน เถื่อนหมายถึง เป็นโมฆะ ใช้บังคับไม่ได้)
พวกเขาก็สามารถขยายงานด้านการโฆษณาชวนเชื่อไปได้เรื่อย ๆ โดยไม่เกรงกลัวต่อความผิด...ไม่มีองค์กรแม้รัฐบาลใดกล้านำตัวไปลงโทษตามหลักการสากลของการปกครองประเทศ เพื่อให้เข็ดหลาบ พวกเขาจึงลำพองใจไปเรื่อย ๆ ยกระดับความกล้ากลั่นกำแหงในทางที่ชั่วยิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ เช่นงานการกล่าวหาว่าประชาชนเสื้อแดง ผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของชาติ รวมทั้งแกนนำทั้งหลายว่าเป็นผู้ก่อการร้าย เผาบ้านเผาเมือง และเป็นพวกที่คิดล้มสถาบันมีการออกแผนผังที่เรียกว่าผังล้มเจ้าเผยแพร่ไปก่อนเกิดเหตุการณ์ 10 เม.ย.และ 19 พ.ค. 2553.....โดยที่ ประชาชนส่วนมากจำนวนหนึ่งไม่คิดเฉลียวใจ ว่าแท้ที่จริงพรรคประชาธิปัตย์นี่เองที่คิดและประพฤติตนไม่ซื่อตรงต่อสถาบันกษัตริย์ โดยจะเห็นว่าฝ่ายพวกนี้พายามอ้างเอาสถาบันลงมาเสริมวาทะของพวกเขาตลอด ๆ คนที่ไม่ทันสังเกตก็ไม่เข้าใจว่านั่นเป็นเพียงการโฆษณาชวนเชื่อ กล่าวหาใส่ร้ายพรรคการเมืองตรงข้ามตนโดยอ้างอิงสิ่งที่สูงส่ง ตามหลักการโฆษณาชวนเชื่อ
ดังปรากฎว่าพรรคประชาธิปัตย์ต้องคดีถึงยุบพรรคในคดีโกงเงิน 2 คดี คือ โกงเงิน 258 ล้าน ซึ่ง กกต.มีมติ 4:1 ให้ยุบพรรคในวันที่ 12 เม.ย.2553 และอีกคดีหนึ่งคือ โกงเงิน 29 ล้าน ซึ่ง กกต.มีมติโดยเอกฉันท์ให้ยุบพรรค ในวันที่ 21 เม.ย.2553 แล้วองค์กรเถื่อนเหล่านี้ก็เล่นละครตบตาประชาชน เพราะเมื่อกกต.ส่งไปถึงศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินเพียงสั้น ๆ ว่า คดีความหมดอายุ (ใครก็ทำอะไรพวกเขาไม่ได้)แม้แต่กกต.ที่ต้องรับผิดชอบในการทำให้เกิดการ “หมดอายุ”
เอาไว้เมื่อปชช.เป็นใหญ่ในแผ่นดินจะจัดการทีหลัง บ้านเมืองต้องมีขื่อมีแป
ส่วนในกรณีผังล้มเจ้า นั้น นายสุเทพ เทือกสุบรรณเอง เป็นคนเอาออกมากล่าวใส่ร้ายประชาชนคนเสื้อแดง ผู้ต่อสู้จนตัวตายในสนามด้วยมือเปล่าเป็นศพไปคณานับไม่ได้ร่วมร้อยศพ ท่านคิดว่าไม่มีความหมายหรือ? หายสูญไปอีกเป็นจำนวนเท่าไรไม่อาจประะมาณได้ และบาดเจ็บอีกร่วม 2,000 ถูกจับกุมคุมขังอยู่ในขณะนี้อีกร่วมร้อยคนบริสุทธิ์ ซึ่งนี่แหละความไม่เป็นธรรม ความอยุติธรรมที่พวกเขาได้รับ โดยนายสุเทพออกประกาศในเอเอสทีวี และหนังสือพิมพ์ฝ่ายเขา และซึ่งที่ลึกไปกว่านั้นก็คือ ได้นำเอาข้อกล่าวหานี้ไปปลุกระดมทหาร ก่อเกิดความเคียดแค้นและเข้าใจผิดต่อทหารว่าแดงประชาธิปไตยในราชประสงค์ขณะนั้นเป็นพวกก่อการร้ายมีข้อกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ด้วย (ดูว่านายสุเทพแกโบราณขนาดที่เรียกได้ว่ามนุษย์วานร 1.8 ล้านปีได้ไม่ผิดเลย) และที่ฉกรรจ์ก็คือข้อกล่าวหาว่าแดงเป็นพวกทรราชย์ที่คิดล้มล้างสถาบัน จึงเกิดการปฏิบัติการรุนแรงอย่างไม่น่าเชื่อของฝ่ายทหารขณะนั้นด้วยความเข้าใจผิดจากการโกหกพกลมของนายสุเทพ และก็ได้ปรากฏความจริงแล้ว โดยได้รับการตัดสินจากศาลไปแล้วถึง 16 คดีว่าการตายของพวกเขามาจากกระสุนปืนของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร รวมทั้งกรณี 6 ศพในวัดปทุมวนาราม ก็เช่นเดียวกันนั่นคือ เกิดจากการยิงของฝ่ายทหาร ที่ทำการตามคำสั่ง ศอฉ.ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ขณะนั้น ...... ทั้งหมดของเรื่องราวนี้ก็เป็นที่รู้กันดีไปทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลานั้นได้มีสื่อมวลชนสำคัญคือบีบีซี และอัลจาชีรา มาถ่ายทอดสด ๆ ของเหตุการณ์ชนิดที่ทำให้เป็นหลักฐานทางคดีความได้อย่างชัดเจนชัดแจ้ง ไปทั่วโลกได้เลย และซึ่งขณะนี้พรรคประชาธิปัตย์กำลังใช้วาทะกลิ้งกลอกของตนตบตาประชาชนอยู่อย่างปราศจากความละอายใจ ในฐานะที่เป็นรูปนามส่วนหนึ่งแห่งพุทธศาสนิกชน
และสิ่งที่ ประหลาดเกี่ยวกับข้อหาประชาชนเสื้อแดงโดยไม่เป็นธรรมที่ว่าพวกเขาเป็นทรราชย์ทรยศคิดคดคิดล้มล้างสถาบันนั้น ขอให้เรามาดูความจริงกันจะจะถึงเหตุการณ์ในเดือนพฤศจิกายน 2551 ดีกว่าจะฟังคำพูดของพรรคประชาธิปัตย์ เดือนนั้น ซึ่งเป็นเดือนที่ประชาชนไทยกำลังเศร้าโศรก ทั้งประเทศกำลังไว้ทุกข์ เนื่องเพราะสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่งทรงสิ้นพระชนม์ เวลา 02.54 น. วันที่ 2 ธันวาคม 2550 ณ ร.พ.ศิริราช พระชันษา 84 ปี และจะทรงมีพระราชพิธี พระราชทานเพลิงพระศพ ทั้งสิ้น 6 วัน ระหว่างวันที่ 14-19 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2551 ในการนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในนามกษัตริย์ จะต้องทรงเสด็จผ่านถนนราชดำเนิน(ถนนส่วนพระมหากษัตริย์...ที่เป็นเครื่องยอพระยศให้เกิดความสง่าราศีอันประมาณมิได้แด่องค์พระมหากษัตริย์) ) เพื่อทรงประกอบพระราชพิธี ดังนี้
-วันศุกร์ที่ 14 พ.ย.2551 บำเพ็ญพระราชกุศลออกพระเมรุ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
-วันเสาร์ที่ 15 พ.ย.2551 พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุ ท้องสนามหลวง
-วันอาทิตย์ที่ 16 พ.ย.2551 พระราชพิธีเก็บพระอัฐิ ณ พระเมรุ ท้องสนามหลวง
-วันจันทร์ที่ 17 พ.ย.2551 บำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระอัฐิฯ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
-วันอังคารที่ 18 พ.ย.2551 เชิญพระอัฐิประดิษฐานบนพระที่นั่งมูลสถานบรมอาสน์ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
-วันพุธที่ 19 พ.ย.2551 ทรงบรรจุพระสรีรางคาร ณ อนุสรณ์สถานรังษีวัฒนา สุสานหลวงวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
แต่แล้วก็มีม็อบประชาธิปัตย์ ที่ยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสะพานมัฆวานและบริเวณถนนราชดำเนินอยู่ขณะนั้น ทำการปิดกั้นเส้นทางพระราชดำเนิน ไม่ว่าทางรัฐบาลขณะนั้นจะได้ขอเจรจาให้เปิดเส้นทางเพื่อองค์พระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์จะเสด็จผ่านเพื่อทรงประกอบพระราชพิธีสำคัญยิ่งของส่วนองค์พระมหากษัตริย์เองและของประชาชน ชาติไทยทั้งชาติ ก็หายอมไม่ จนองค์พระมหากษัตริย์พร้อมพระราชวงศ์ ทูตานุทูตต้องทรงเสด็จอ้อมไปทางถนนลูกหลวงแทน ตลอดเวลา 6 วันที่ต้องทรงเสด็จไปในพระราชพิธีนั้น นี่เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่คอขาดบาดตายยิ่งกว่าเรื่องราวที่กำหนดในมาตรา 112 หลายเท่านัก แต่พรรคประชาธิปัตย์อยู่รอดมาได้อย่างไร จากการประกอบกรรมเลวทรามร้ายแรงและทรยศต่อสถาบันได้ขนาดนี้ ……….คำตอบ เขาเรียนรู้มาตลอดเวลายาวนานในวิชาศรีธนญชัย ยอดคนกะล่อนแห่งยุค .....คงจำได้ ที่คนของพรรคประชาธิปัตย์ไปตะโกนในโรงหนังว่า ปรีดีฆ่าในหลวง ...
เราหวังว่า เมื่อความกะล่อนของพรรคการเมืองหนึ่งพรรคนี้ได้ถูกเปิดเผยออกมาตามความจริงของเขา ว่ามารก็คือมาร จำแลงแปลงกายเป็นเทพ ก็ยังส่อแววมารอยู่ตลอดไป ก็ไม่อาจจะซ่อนรูปกายแท้ไว้ได้ และที่สำคัญคือทฤษฎีประชาธิปไตย อิงอยู่กับทฤษฎีความเป็นมนุษย์ มนุษย์จะถูกหลอกลวงนั้น เป็นอันเป็นสิ่งที่ไม่ชอบธรรมของความเป็นมนุษย์ คน ย่อมอยู่กับความยุติธรรมเสมอ ตราบที่เขายังคงเป็นคนอยู่
และครั้นรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ได้โอนอ่อนผ่อนตามไป เพื่อเอื้อแด่สามัคคีธรรมของคนในชาติ เอื้อแด่ประชาชนไม่จำกัดฝ่าย เป็นการเอื้ออย่างมีความเสมอภาค และเพื่อภราดรภาพของคนไทยเราทั้งประเทศ นั่นหมายถึงสันติธรรม ตามหลักการของพระพุทธศาสนาแล้ว ก็ได้เริ่มปรากฏถึงความเห็นอกเห็นใจ ประชาชนไทยที่ซึมซับเอาความดีงามมาตามหลักธรรมพระพุทธศาสนา มีเมตตา กรุณา อภัย จะได้รู้ ตาสว่างว่าอะไรเป็นอะไร ใครเป็นใคร และเราขอให้รัฐบาลเร่งดำเนินการตามเป้าหมายยุทธศาสตร์ของพรรคต่อไป
ปัญหาของชาวไร่มัน...นโยบายการธนาคารเพื่อการเกษตร... เป็นสิ่งที่จะต้องทำอย่างรอบคอบเหมาะสม และเป็นยุทธศาสตร์สำคัญขณะนี้ (เขาเรียกร้องอะไร ดูให้สมเหตุผล และยุติธรรม และไปสุด ๆ สุดซอย) เพื่อชนะใจประชาชน ด้วยนโยบายที่สอดคล้องความหมายของประชาธิปไตย
- นายยอดเยี่ยม ยิ่งยง
7 พ.ย.2556/ 08.15.20 น.
ภาพจากเวทีราชดำเนิน เมื่อ 00.20 น. 10 พ.ย.2556 ศิลปินชรา อ้าปากออกทีไรเต็มไปด้วยคำหยาบคาย ดูถูกสตรีเพศ..มีพิธีกรนักบิด นักปลุกระดมจากเอเอสทีวีคืออีปอง(นางอัญชลี ไพรีรัก คนที่ด่าพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ว่าหัวกระบือ มาใกล้ ๆ กูจะเคาะกะโหลกให้จะได้ฉลาดขึ้น) กับ...ไม่รู้จักชื่อ 2 ชายหุ่นและหน้าตาดี คนหนึ่งหน้ายิ้ม ๆ หน้าเป็น ...พอได้ข่าวเสื้อแดงโคราชเคลื่อนพลมา 35 รถบัส 40 รถตู้ ก็ดูหงอยลง แต่เสียงตะโกนของเขา มันบ่งบอกถึงปัญหาอันเร้นลึกที่ซ่อนอยู่ในอกเช่นเดียวกันหมดของคนประชาธิปัตย์ น่าวิตกว่าสังคมไทยเราได้เพาะปลูกสิ่งที่เลวร้าย ลงในนาแห่งจิตใจเด็กเยาวชนที่มา และงอกงามขึ้นเรื่อย ๆ คือความอิจฉาริษยา เสียงที่ก้องออกไปเป็นวาทะผรุสวาทที่ด่าคนอื่นนั้น นั่นแหละน่ากลัว เป็นเสียงที่สะท้อนความกลุ่มกลัดอันเกิดจากความอิจฉาริษยาทั้งสิ้น น่ากลัวว่าอกจะแตก อาเจียนเป็นลิ่มเลือด ตายได้นะหากตะโกนมาก...01.00 น...คนใจใหญ่กว่ากำปั้นมาแล้ว สาธิต วงศ์หนองเตย(คนที่เสื้อแดงตั้งชื่อว่าหมากระเป๋านั่นแหละ)
ฟังเด็กศรีสะเกษขึ้นเวที ในนามนักศึกษา อ้างว่าเกิดที่กาฬสินธ์ ไปโตที่ศรีสะเกษ มาเรียนหนังสือที่กทม.ออกวาทะได้ตามแบบเปี๊ยบเลย น่าเป็นห่วงอนาคตของเด็กคนนี้ และคนเหล่านี้ เมื่อมาใกล้ชิดประชาธิปัตย์ เพราะสิ่งที่ประชาธิปัตย์อบรมสั่งสอนสั่งสมลงสู่มันสมองเยาวชนไทย ตลอดทั้งพรรคพวกตนเองนั้น ไม่ได้มีอะไรเลยนอกจากฝึกหัดการด่าให้ ไม่ได้คำนึงถึงอนาคต มีแต่ฝังแฝงอารมณ์ความอิจฉาริษยาลงไป เริ่มตั้งแต่ฝึกสร้างให้รู้จักออกวาทกรรมอันหยาบคาย ผรสุวาท หัดโกหกพกลมตามหลักการโฆษณาชวนเชื่อ หัดให้รู้จักใช้วาทะส่อเสียด ให้เข้าใจชั้นเชิงวาทะที่ยุแยกให้คนแตกสามัคคี สอนเรื่องการบิดเบือน สอนการส่อเสียดยุแยก ใส่ร้ายป้ายสีให้ ตลอดถึงการสร้างวาทกรรมเพ้อเจ้อไร้เหตุผล ไร้หลักฐานข้อเท็จจริงโดยสิ้นเชิง ฉะนั้น ด้วยการฝึกสร้างนิสัยเช่นนี้ จึงทำให้พรรคประชาธิปัตย์เองได้เป็นก็เพียงพรรคการเมืองที่ปราศจากการสร้างสรรค์โดยสิ้นเชิง สิ่งที่พรรคนี้จะเป็นได้ก็เป็นได้เพียงพรรคที่ดีแต่พูด ทำอะไรไม่เป็นแค่นี้จริง ๆ น่าเสียดายอนาคตเยาวชน ที่มาใกล้ชิดพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะพลอยดูดซับเอาอุปนิสัยชั่วร้าย ที่ไร้การสร้างสรรค์ไปจากพรรคการเมืองนี้ และเป็นคนที่ดีแต่พูด ทำอะไรไม่เป็นเช่นพรรคประชาธิปัตย์ และเช่นเดียวกันกับสมาชิกพรรคนี้ ส.ส. ส.ว.ที่สังกัดพรรคนี้ ตามที่เห็นบทบาทพวกเขาในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งคนรู้เห็นกันว่าเป็นบทบาทอันธพาลในระบอบประชาธิปไตยเราดี ๆ นี่เอง
บทแทรกที่ 3
ว่าไงสุเทพ เทือกสุบรรณ กรณีปิดกั้นเส้นทางพระราชดำเนิน ความหมายคืออะไร ? มนุษย์วานร 1.8 ล้านปีอาจจะไม่ทราบก็ได้ ผมจะบอกให้ นั่นหมายถึงครุโทษกุดหัวเจ็ดชั่วโคตรเลย ขนาดร้ายแรงปานนี้แล้วยังไม่เจียมตัวอีก พวกประชาธิปัตย์นี่แหละคือพวกที่มักเอื้อมตนคิดล้มเจ้าโดยแท้จริง การออกผังล้มเจ้าออกมาในเดือนเมษายน 2553 นั้นก็เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจไปจากทุจริตที่ตนได้ทำเอาไว้ ประชาชนเขาไม่โง่ เขายังคิดกันอยู่
แล้วที่นายสุเทพประกาศกลางสภาว่าจะล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ให้ได้ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดใดนั้น คุณพูดอย่างนี้ไม่ได้ เพราะหมายถึงการกบฏ .......คุณไม่เข้าใจถึงความชอบธรรมตรงนี้หรือ? .......เอาละพอเข้าใจอยู่ที่ว่ากุ๊ยการเมืองไม่เข้าใจมารยาทวัฒนธรรมการเมืองก็มีอยู่
ในระบอบประชาธิปไตยเขาอนุญาตให้คุณทำการล้มรัฐบาลได้ด้วยการขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ลงมติแล้วคุณชนะ รัฐบาล ๆ ก็ไปได้ เขาจะไปโดยไม่โกรธเคืองคุณเลย นั่นเป็นวิธีสากลของประชาธิปไตย หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งว่าวิถีทางรัฐสภา ก็ได้ คุณทำได้โดยมีสิทธิ์เต็ม 100 เปอร์เซ็นต์
แต่คุณประกาศว่าจะล้มให้ได้โดยวิธีการใดใด เช่นนี้ คำว่าวิธีการใดใด มันหมายถึงการที่คุณอาจจะยกพวกเข้ายึดทำเนียบเอาดื้อ ๆ เช่นนั้นคุณทำไม่ได้ นั่นเป็นการปล้น โจรกรรมเราดี ๆ นี่เอง และแท้จริงมันเป็นการปล้นนั่นเอง แล้วคุณจะรอดความผิดฐานกบฎหรือ? และ เจ้าบ้านเขามีสิทธิ์เอาปืนยิงคุณตายได้ คิดดู มันมีความเป็นธรรมอย่างเต็ม 100 % เมื่อโจรบุกรุกเข้าไปในบ้านเรา เราก็มีสิทธิป้องกันตนเอง เขาจึงมีหลักการว่า เรามีสิทธิ์ เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิของคนอื่นเท่านั้น นี่คือสิทธิที่คุณยังไม่เข้าใจ ไม่ใช่ว่ามีสิทธิเสรีภาพแล้วคุณจะทำอะไรตามใจคุณได้ มันทำได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิของคนอื่นเท่านั้น ...ผมว่านายสุเทพ ดึกดำบรรพ์เกินไป ไม่น่าจะอยู่ในระบอบประชาธิปไตยได้หรอก ยุคของเขาคือมนุษย์วานร 1.8 ล้านปี นั่นถูกแล้ว ...... คือยกพวกบุกเข้าไป ๆ ๆ ๆ แบบวานร ๆ ๆ ๆ
ในกรณีนี้ ขอบอกไปถึงนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ด้วย การที่คุณจ้องจะเคลื่อนม็อบไปบ้านนายกรัฐมนตรี คุณคิดจะทำอะไร? ถามตรง ๆ อะไรคือข้อเรียกร้องของคุณ ๆ ก็พูดได้โดยไม่ต้องไปออกอาการคุกคามเช่นนั้น และใครจะไว้ใจโจรอย่างคุณ ในเมื่อพวกคุณเคยยกพวกเข้ายึดทำเนียบรัฐบาลแล้ว เข้ายึดสถานีช่อง 11 เข้ายึดสนามบินสุวรรณภูมิมาแล้ว ใครจะไว้ใจคุณล่ะ ? อีกอย่างคุณก็ต้องเข้าใจว่าการกระทำเช่นนั้นก็เป็นการละเมิดสิทธิของบุคคลสาธารณะ ที่คนนับล้าน ๆ คนเลือกตั้งมา มันไม่หมายถึงบุกบ้านนายกรัฐมนตรีในฐานะปัจเจกบุคคล แต่เป็นคนของประชาชน โดยเฉพาะเป็นคนของเสื้อแดงเขา เดี๋ยวเสื้อแดงเขาก็ลุกมาเหยียบคุณแบน คุณไม่กลัวหรือ? และมันหมายถึงการบุกรุกทำร้ายคนของประชาชนนับล้านคนที่เลือกเขามา เป็นความผิดฐานกบฎเช่นเดียวกัน รู้กฎหมายหรือเปล่า? นายไชยวัฒน์นี่เป็นลูกศิษย์เถนโพธิรักษ์นะ มีเรื่องจะเล่าให้ฟัง โพธิรักษ์นี่ไม่รู้อะไรเป็นอะไรในเรื่องโลก ๆ เขาเลย ตอนมีเรื่องราวกับมหาเถรสมาคม และโดนฟ้องร้อง จนต้องสละผ้าเหลือง ออกจากมหาเถรสมาคมไปนุ่งห่มแบบฆราวาส นั้น เวลาขึ้นศาลโพธิรักษ์อ้างว่าตนเป็นพระโสดาบัน แล้วอธิบายศาลเขาไปใหญ่เลยว่าพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ เป็นผู้สูงสุดโดยสิ้นกิเลสอย่างไร แล้วว่าตนเป็นถึงอริยะบุคคล จะทำอะไรผิดได้ ไม่ทำผิดอย่างแน่นอน .ศาลก็เลยตัดสินให้แพ้ ต้องออกจากมหาเถรสมาคม และห้ามใช้ชื่อพระนำหน้า(ก็เลยเรียกตัวเองว่า สมณะโพธิรักษ์) ห้ามแต่งกายแบบเดียวกับสงฆ์ คือมีประเด็นอยู่ที่โพธิรักษ์แกไม่เข้าใจว่าศาลเขาตัดสินไปตามกฎหมาย เขาไม่รู้เรื่องราวอะไรเกี่ยวกับอริยบุคคลของคุณ ตลกมาก ๆ เลย คล้าย ๆคนเสียสติ เพราะตอนมีม็อบแช่แข็งหรือม็อบสนามม้าแกก็ยกพวกสันติอโศกของแกไปร่วมชุมนุมด้วย อย่างเป็นแกนนำหลัก ตอนนี้ก็มีศิษย์เอกคนหนึ่งคือนายจำลอง ศรีเมือง จำลองคนนี้เดิมเป็นพลตรี ทางเวบของเราได้ประกาศถอดยศพลตรีไปเรียบร้อยแล้ว เพราะมีความประพฤติเชื่อถือไม่ได้(อ้างว่าถือศีล8 อาบน้ำ5ขันจนได้ชื่อว่ามหาห้าขัน แต่ทางเราสืบได้ว่าแอบไปนอนกับคุณศิริลักษณ์ รวมทั้งกระทำการลามกอนาจารในที่ลับตาเป็นประจำ) มีสติเลื่อนลอย เหมือน ๆ โพธิรักษ์ ผู้เป็นอาจารย์เขา
ผมหมายความว่า บางทีนายไชยวัฒน์ นี่ก็ดูจะไม่สมประกอบเท่าไรเหมือน ๆ จำลอง ศรีเมือง และพวกของแกที่สันติอโศกนั่นแหละ แกอาจจะไม่เข้าใจว่าการยกพวกบุกบ้านนายกรัฐมนตรีนั้นมีโทษถึงกบฏแผ่นดิน ตัดหัวเจ็ดชั่วโคตร ก็เลยเตือน ๆ เอาไว้หน่อย เดี๋ยวจะอ้างว่าตนเป็นอริยบุคคลทำอะไรก็มีเจตนาดีอย่างเดียว ร้ายไม่มี ก็จะเหมือนโอมชิรินเกียวในญี่ปุ่น สอนสมาธิไปด้วยเสพกามไปด้วย ท้ายสุดเพ้อไปสุด ๆ ว่าโลกมันสกปรก จะล้างโลกให้สะอาด ก็ให้ไปวางระเบิดควันพิษสถานีรถไฟใต้ดินคนตายหลายร้อยคน กว่าจะรู้ว่าเป็นฝีมือนักบวชคณะนี้ก็สืบนานถึง 2 ปีเศษ ๆ นี่คือพวกที่เสียสติ หากเสียสติไปแล้วก็อาจจะไม่รู้อะไรดีอะไรชั่ว ไม่รู้อะไรตามความเป็นจริงได้
และในระบอบประชาธิปไตย เขาไม่มองเรื่องหลักการศาสนานะครับ คุณโพธิรักษ์ คุณจำลอง คุณไชยวัฒน์ เขามองกฎหมายเป็นคัมภีร์ และซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้ คัมภีร์อื่นใดจะขัดแย้งกฎหมายไม่ได้ กฎหมายจึงต้องมีการสร้างขึ้นอย่างถูกต้อง ทรงความยุติธรรม และสามารถเลิกเสีย และมีการปรับไปได้เสมอตามเจตนารมณ์ของประชาชน ผู้เป็นศาสดา โดยให้สนองตอบต่อสถานการณ์ได้ทุกอย่าง ๆ รวดเร็ว ทั้งนี้เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชน มีประชาชนเป็นจุดหมายปลายทาง เป็นเป้าหมายของกฎหมาย โดยที่ชื่อว่าเป็นกฎหมายของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน นี่คือลักษณะกฎหมายในอุดมการณ์ของประชาธิปไตย อย่างแรกที่สุดก็คือกฎหมายอ่านได้ กฎหมายง่าย เขียนด้วยภาษาคนธรรมดา ๆ ไม่ต้องตีความโดยนักกฎหมาย แต่ตีความโดยเจตนารมณ์ของประชาชน
ต่อไป เราอาจจะสามารถสร้างกฎหมายขึ้นมาควบคุมม็อบ ที่ไม่เข้าใจวิถีทางการต่อสู้ตามแนวทางของประชาธิปไตย ออกมาก่อการยุ่งยากโดยไม่ถูกหลักการประชาธิปไตย ไร้เหตุผลอย่างพวกกุ๊ยประชาธิปัตย์นี้ก็ได้ ก็จะดีมาก ๆ
เอาละ คุณจะทำอะไร จะยกพวกเข้ายึดทำเนียบ ยึดบ้านนายก คุณทำไม่ได้ทั้งนั้น เพราะผิดกฎหมาย เข้าข่ายเป็นกบฎทันที และประชาชนย่อ่มทราบดีว่ารัฐบาลเมื่อเข้ามาสู่สถานะของอำนาจบริหารแล้ว พวกเขาย่อมมีความชอบธรรม ที่จะใช้ทรัพยากร เครื่องจักร เครื่องมือทุกชนิดของประเทศนี้ และใช้กองกำลังทุกชนิดเพื่อป้องกันทรัพย์สมบัติของประเทศนี้จากการรุกรานของข้าศึก หรือโจร ...........นี่ก็เป็นไปตามธรรมดาของระบอบประชาธิปไตย
เอาละ คนทั้งหลายก็กำลังคอยดูว่าพรรคประชาธิปัตย์มีความมุ่งหมายตั้งใจอย่างไรที่แท้จริง ตั้งใจจะต่อต้านพรบ.นิรโทษใช่ไหม? บัดนี้รัฐบาลก็ยอมถอยแล้ว จะว่าไง ? หรือยังฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง ?
บอกแล้วว่าตามหลักการประชาธิปไตยคุณจะคิดล้มรัฐบาลนอกสภาไม่ได้ พูดง่าย ๆ ก็คือ คุณจะทำแบบพวกปล้นไม่ได้ เพราะรัฐบาลของประชาชน ที่ได้รับการมอบหมายจากประชาชน ย่อมมีความชอบธรรมพร้อมด้วยอำนาจรัฐที่เข้มแข็งที่จะจัดการกับพวกปล้น หรือใครก็ตามที่มีการรวมหัวกันคิดจะปล้นประเทศชาติ เช่นที่คุณเคยทำมา
- ประยุกต์ นามเสพ
7 พ.ย.2556/20.27.42น.
<<<<< อ่านไทยป.4 บทบาทที่น่าเหมาะสมขององค์กรเถื่อน ม.30กรรมต่างกันสุดขั้วเอามารวมกันได้อย่างไรมันผิดธรรมชาติและไม่เป็นธรรม>>>>>
<<<<< ล้อมกรอบประชาธิปัตย์วันนี้ดูดี ๆ มาธาดอร์ สิงห์ปชป.ถึงคราวสิ้นชื่อ>>>>>
<<<<<พรรคที่ไร้ประโยชน์แด่ประชาชนโดยสิ้นเชิงคือพรรคประชาธิปัตย์>>>>>
<<<<<ฝ่ายค้านที่ไม่เข้าใจฐานะตนเองในระบอบประชาธิปไตย สื่อมวลชนรุมประนามพฤติกรรมสุดถ่อย-อัปยศในรัฐสภาไทย>>>>>
<<<<<ม.68กับภาษาไทยระดับประถมศึกษา ตลก.รัฐธรรมนูญไร้วุฒิภาวะ>>>>>