อะไรเป็นอะไร วันที่ 12 พ.ย.2556 ?
เป็นภาพข่าวจากเวบไซต์ Manager on line เครือเอเอสทีวี ข้อความว่า <<<กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ กองทัพธรรม และภาคีเครือข่ายประชาชน 77 จังหวัด นำโดย พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสมเกียรติ์ พงษ์ไพบูลย์ เดินเท้าออกจากสถานที่ชุมนุมบริเวณสะพานผ่านฟ้าไปสำนักพระราชวัง เพื่อถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอทูลเกล้าฯจัดตั้งสภาประชาชน และให้รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรยุติบทบาท >>>
หมายเหตุ ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ฝ่ายนายโพธิรักษ์(นายรัก รักพงษ์) ที่อ้างตนว่าเป็นพระโพธิสัตว์(ผู้ที่กำลังจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า) และนายจำลอง ศรีเมือง ผู้เป็นศิษย์เอก นิยามว่า เป็น การเคลื่อนตัวของกองทัพธรรม
มีคำพูดอันน่าเลื่อมใส เป็นการโฆษณาชวนเชื่อ(คือการโกหกชนิดหนึ่ง)ว่า "แพ้ชนะจึงไม่ใช่เป้าหมายของเรา แต่งานช่วยเหลือประชาชนนี่สิคือเป้าหมาย เขาอยู่ 1 วัน ก็ไปช่วย 1 วัน อยู่ 3 วันก็ช่วย 3 วัน โดยเฉพาะเรื่องพลาธิการ เรื่องพยาบาล เราอโศกหรือกองทัพธรรมนี่เช็ด ปัดกวาดเก่ง จะให้ไปตีรันฟันแทงเราไม่เป็น จะบอกว่าสู้ไม่สู้ เราไม่สู้ แบบนั้นไม่เอา ใครจะว่าขี้ขลาดก็ไม่ว่า ........พ่อครูเข้าใจการเมืองประชาธิปไตยเป็นแบบนี้ และอย่างนี้คือ ไม่ได้เป็นไปเพื่อตัวเอง พรรคพวก หมู่ฝูง ครอบครัว เราทำเพื่อประชาชนจริง ๆ แม้เขาจะไม่เชื่อน้ำใจของเราหรอก......... "
แท้จริง ม็อบสุเทพราชดำเนิน อาจจะนิยามได้แล้วว่าเป็นม็อบกบฎแผ่นดิน นั่นหมายถึงมีความผิดฐานก่อการกบฎแผ่นดิน โทษหนักเพราะคิดล้มล้างรัฐบาล และพยายามทุกวิถีทางเพื่อล้มล้างรัฐบาล .......และคิดล้มล้างระบอบประชาธิปไตย
และพฤติกรรของนายโพธิรักษ์ และสิ่งที่เรียกว่ากองทัพธรรม นั้นก็คือ ให้ความช่วยเหลือแด่พวกก่อการกบฎ คิดล้มล้างรัฐบาล และระบอบประชาธิปไตยไทยตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ
นี่แหละ คนที่สอนเรื่องสูง ๆ คือมรรคผล นิพพาน การได้สำเร็จอริยมรรค อริยผล เป็นอริยบุคคลเช่นคนพวกนี้ จะได้ชื่อว่าบรรลุได้อย่างไร ในเมื่อสติปัญญาไม่สูงพอแยกแยะอะไรผิด อะไรถูก แม้เรื่องสำคัญทางโลก เช่นกฎหมาย ก็ไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าอะไรจะเป็นโทษแก่ตัวเองอย่างไร ยังมองไม่เห็น ......ยังคงมีดวงตามืดมัว จนมองไม่เห็นภัยตนเองที่จ่ออยู่ขณะนี้ คือโทษฐานกบฎ คำนิยามที่ว่า เป็นผู้เห็นภัยในวัฏฏะสงสารยังใช้กับคนพวกนี้ไม่ได้ ...แต่ก็สามารถสอนวาทะกรรมไปได้เรื่อย ๆ สอนได้ทุกเรื่อง วันนี้ก็สอนเรื่องสูงเรื่องจะเป็นอรหันต์ได้อย่างไร (พ่อครูเปิดเผยการหมดความยึดอัตตาได้ เพระเหตุใด?) แต่ไม่รู้กฎหมายชั้นต้น ๆ ที่ร้ายแรงขนาดตัวเองกระทำการกบฎอยู่ยังไม่รู้เรื่องเลย ว่าเดี๋ยวโดนกุดหัว
นี่คือ อารยะบุคคลโง่เง่าเราดี ๆ นี่เอง ค่อย ๆ พูดถึงพวกเขาอีกทีภายหลัง เอาไว้แค่นี้ก่อน
- บุษบา บุญเสฎฐ์-อรบุศป์ ละอองธรรม
15 พ.ย.2556/18:25:30 น.
หมายเหตุ 2 คุณ...นายโพธิรักษ์ คุณยังไม่เข้าใจประชาธิปไตยนะครับ ผมจะบอกให้(ถึงจะเป็นพระโพธิสัตว์ปลอม ๆ) ก็ขอบอกให้ เอาชั้นต้น ๆ ก่อน คือชั้นภาษาไทยระดับประถมศึกษา เป็นอย่างนี้ครับ
ประชาธิปไตย เป็นคำสนธิ ตามหลักภาษาไทย โดยมีการเชื่อมคำ 2 คำเข้าด้วยกันเป็น 1 คำ นั่นคือคำว่า ประชา กับคำว่า อธิปไตย วิธีสนธิ เขาก็ตัดคำว่า อ เอาไปต่อกับคำว่า ประชา เพื่อให้สระไม่ซ้ำกัน ก็เป็น ประชาธิปไตย
ก็ไปดูความหมายแต่ละคำก่อนนะครับ ตามปทานุกรม-พจนานุกรม เขาให้ความหมายไว้อย่างนี้
ประชา น. หมู่คน (ส. : ป. ปชา). (ส. ปฺรชฺวร).
ประชากร น. หมู่พลเมือง, หมู่สัตว์.
ประชาชน, ประชาราษฎร์ น. บรรดาพลเมือง.
อธิปไตย [อะทิปะไต, อะทิบปะไต] น. อำนาจสูงสุดของรัฐที่จะใช้บังคับบัญชาภายในอาณาเขตของตน (ป. อธิปเตยฺย ว่า ความเป็นใหญ่ยิ่ง). (อ. sovereignty)
พอเอาคำสองคำนั้นมาต่อกันเข้าก็เป็นคำใหม่ คือ ประชาธิปไตย เขาก็ให้ความหมายไว้แบบรวมความหมายสองความหมายเข้าด้วยกันว่า
ประชาธิปไตย น. แบบการปกครองที่ถือมติปวงชนเป็นใหญ่
ประชาธิปไตย [ปฺระชาทิปะไต, ปฺระชาทิบปะไต] น. ระบอบการปกครองที่ถือมติปวงชนเป็นใหญ่, การถือเสียงข้างมากเป็นใหญ่. (ส.ปฺรชา + ป. อธิปเตยฺย).
สรุปตามหลักภาษาไทยว่า ประชาธิปไตย คือแบบการปกครองที่ถือมติปวงชนเป็นใหญ่ ที่ถือเสียงข้างมากเป็นใหญ่
โดยความหมายภาษาสากลระหว่างประเทศ คำว่า democracy เขาก็หมายถึง 1 a form of government in which the people have a voice in the exercise of power, typically through elected representatves. 2 a state governed in such a way 3 control of group by the majority of its members.
ผมจะแปลให้พอให้จับความหมายสำคัญได้นะครับ ประชาธิปไตยหมายถึง 1 แบบของรัฐบาลแบบหนึ่ง ซึ่งประชาชนมีเสียง ๆ หนึ่งในการจัดการอำนาจของประเทศ โดยวิธีที่ให้มีตัวแทนจากการเลือกตั้งอันเป็นวิธีที่เป็นแบบแผนที่สุด 2 รัฐใดก็ตามที่มีการปกครองโดยวิธีเช่นนั้น 3 การควบคุมประชาชนโดยเสียงส่วนมากของสมาชิก
ต่อไปนี้เป็นข้อสรุปแกมความเห็นของผมเองนะครับ (ผมได้ทำการวิจัยประชาธิปไตยมานานกว่า 14 ปี พูดได้อย่างมั่นใจครับ)
ฉะนั้น ประชาธิปไตยจึงหมายถึงการปกครองประเทศโดยประชาชน เพื่อประชาชน และเป็นสิทธิเป็นเข้าของผลประโยชน์ของประชาชน เขามอบให้ประชาชนเป็นใหญ่ ประกอบด้วยความเสมอกันของประชาชนทุกชนชั้น โดยมีเสียง 1 เสียงเท่าเทียมกัน (ภาษาวิชาการคือคำว่า Liberty Equality Fraternity เข้าใจไหม โพธิรักษ์ ?) ซึ่งโดยประวัติศาสตร์การปกครองของโลก มีการวิวัฒนาการมาอย่างนี้ และวันนี้ พ.ศ.นี้ ประเทศไทยมีการปกครองแบบนี้ ที่ชัดเจนก็คือ อำนาจการปกครองสูงสุดเป็นของราษฎรทั้งหลาย และซึ่งจะต้องมีการเลือกตั้ง แต่ละเขต แต่ละท้องที่(ไทยเรายึดเขตจังหวัด) ให้เป็นตัวแทนของประชาชนเข้ามาสู่รัฐสภา และรัฐสภาจะเลือกรัฐบาล โดยถือเสียงข้างมากเป็นรัฐบาล และถือเสียงข้างมากในการ decision making (การตัดสินโดยยึดเสียงข้างมาก) จึงมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ของประชาชนเสียงส่วนมากของระบอบประชาธิปไตย มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าฝ่ายแค้นในรัฐสภา ซึ่งถือว่าถูกกฎหมาย แต่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นหัวหน้าม็อบ ที่ออกท่าทีเด็ดขาดเปิดเผยว่าจะโค่นล้มรัฐบาล ซึ่งเท่ากับทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อประชาชนเสียงข้างมาก และเป็นปฏิปักษ์ต่อกฎหมาย ต่อหลักนิติธรรมของประเทศนี้ เป็นคนเถื่อนนอกระบอบประชาธิปไตย เข้าใจไหมสุเทพ เข้าใจไหมโพธิรักษ์ ? และอำนาจอธิปไตยเขาแบ่งออกไปให้คานกัน หรือสมดุลกัน 3 อำนาจ คือ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ คุณรู้กฎหมายรัฐธรรมนูญไหมล่ะ? โดยกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 อำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจบริหาร วันนี้ได้สู่สภาพเป็นอำนาจสูงสุดที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ และหลักนิติธรรมแล้ว แต่อำนาจตุลาการขณะนี้ ยังเป็นอำนาจเถื่อนอยู่ ....มันรวมถึง ศาลรัฐธรรมนูญ ที่มีตลกรัฐธรรมนูญทั้ง 9 นั่งบัลลังก์เถื่อนอยู่ อย่างน่าประหลาดใจแด่ชาวโลกทั้งหลาย (เพราะมันหมายถึงเป็นโมฆบุรุษไปแล้ว) อำนาจเถื่อนที่คุณคิดจะให้ล้มล้างรัฐบาลและรัฐสภาอยู่ขณะนี้นั่นเอง ......มันขัดความยุติธรรม และความเป็นธรรม และขัดหลักนิติธรรมตามรัฐธรรมนูญมาตรา 3 ....
อย่าลืม !! ......... อย่าฝากรอยย้ำความคั่งแค้น อันเกิดจากความอยุติธรรมลงไปในสังคมวันนี้ ........ มันแรง ก็เห็นมาแล้วจากประเด็นกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอย .....ไม่เห็นหรืออย่างไร ? ขนาดกระแสแดงทั้งแผ่นดิน ยังหมุนย้อนกลับ สู่อธิปไตยตนเอง ....... มันพอ ๆ กับสินามิ พอ ๆ กับแรงระเบิดของภูเขาไฟวิสสุเวียส ที่ท่วมเมืองทั้งเมืองมาแล้ว
มาเน้นย้ำเข้าไปอีกหน่อย สำหรับคนบอด คนมืด นั่นคือ การเลือกตั้งและถือเสียงข้างมาก จึงเป็นทั้งหลักการและวิธีการของระบอบประชาธิปไตย
ขณะนี้รัฐบาลเขามาจากหลักการประชาธิปไตย นั่นหมายถึงมีพลังของประชาชนเสียงส่วนใหญ่หนุนหลังอยู่ เสมือนหนึ่งผนังทองแดง กำแพงเหล็ก เขามีสิทธิ และ หน้าที่ หรืออำนาจอย่างสมบูรณ์ตามรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ
ใครคิดล้มล้างรัฐบาลประชาธิปไตยไทย ซึ่งมีมีรัฐธรรมนูญรับรองไว้ จึงต้องมีความผิดฐานกบฎ คิดล้มล้างอำนาจของประชาชน และโทษนั้นยิ่งใหญ่ ถึงกุดหัวเจ็ดชั่วโคตร
โพธิรักษ์ จะต้องคืนมาสู่สติสตัง เสียที ที่คุณทำอยู่ขณะนี้ นั่นคือสนับสนุนผู้ก่อการร้าย สนับสนุนผู้ก่อการกบฎ คิดคดคิดยึดครองประเทศไทย เขาทำไม่สำเร็จอย่างแน่นอน และเมื่อถึงเวลานั้น ราษฎรทั้งหลายจะลงโทษเขาอย่างสาสมกับความผิด และสันติอโศกในฐานะบริวารผู้ให้การสนับสนุน ก็ไม่อาจจะรอดไปได้ด้วย
อย่าได้คิดใหญ่ ใฝ่อาจเอื้อมสูงเกินสถานการณ์แผ่นดินไปเลย ไม่มีความสำเร็จหรอก
สันติอโศกควรพยายามในทางที่มันอาจจะเป็นไปได้จริง อย่าเพ้อฝัน ทางที่จะเป็นไปได้จริงก็คือ แก้ไขระดับพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. .... และแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ....) ขอเป็นนิกายหนึ่งเพิ่มเติมไปจากนิกายมหานิกาย นิกายธรรมยุต จีนนิกาย ญวนนิกาย(จะเป็นโพธิรักษ์นิกายก็ได้ตั้งชื่อเอาเอง)..........เท่านี้ก็คงจะพอนะครับ จะได้อยู่อย่างสันติธรรมกันตลอดไป
- บัวระย้า ชะบาบุญเสฎฐ์
16 พ.ย.2556/10.28.26 น.