สุเทพ เทือกสุบรรณ มนุษย์วานรยุค 1.8 ล้านปี
อย่าลืมพรรคประชาธิปัตย์แท้จริงไม่มีฐานะของพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย
พรรคประชาธิปัตย์ ไม่เคยมีสปิริตของนักประชาธิปไตย ไม่เคยมีสปิริตของนักกีฬาการเมือง โดยที่นักประชาธิปไตยจะได้พบมาตั้งแต่ยุคเริ่มประชาธิปไตยไทย เกี่ยวกับความอิจฉาริษยา เจ้าเล่ห์ เพทุบาย แสวงหาอำนาจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย พยายามขจัดคู่แข่งทุกวิถีทางเพื่อที่ตนจะชนะ และล่าสุด ด้วยวิธีการดังกล่าว สามารถตั้งตนเป็นรัฐบาลได้ โดยการช่วยเหลือของฝ่ายทหาร เรียกว่ารัฐบาลในค่ายทหาร มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป้นนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรองนายกรัฐมนตรี แล้วดำเนินการบริหารประเทศไปอย่างไร้ประสิทธิภาพ เพราะทำอะไรไม่เป็น ดีแต่พูด มีแต่แก้ตัวไปวันหนึ่ง ๆ แล้วก็โกง มีการโกงอย่างซึ่ง ๆ หน้าโดยโกงงบประมาณการก่อสร้างโรงพักตำรวจทั่วประเทศ ร่วม 300 โรงพัก ซึ่งหมดเวลาโครงการไปแล้วยังสร้างโรงพักไม่เสร็จเลยสักโรงพักเดียว เหลือเป็นพยานแต่เสาโด่เด่อยู่ทุกวันนี้ แม้พรรคประชาธิปัตย์เองก็โกงเงินบริจาคเข้าพรรค จนถูกฟ้องร้องให้ยุบพรรคถึง 2 คดี แต่องค์กรอิสระฝ่ายเดียวกัน ที่เข้าด้วยกัน ได้แก่ กกต.กับ ปปช. ร่วมมือกันช่วยเหลือให้รอดการยุบพรรคได้ แล้วโดยที่ไม่เข้าใจระบอบประชาธิปไตย จึงไม่เคารพในสิทธิของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย ไม่เคารพในความเป้นมนุษย์ ในคนไทยด้วยกันเอง จึงได้ออกคำสั่งให้กองทัพล้อมฆ่าประชาชน 99 ศพ บาดเจ็บร่วม 2,000 คน ในวันที่ 10 เม.ย. และ 19 พ.ค. 2553 อันเป็นผลให้ทั้งนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ กลายเป้ฯผู้ต้องหาฆ่าคนตายโดยเล็งเห็นผล อยู่ขณะนี้ ซึ่งสถานะของพวกเขาไม่น่าจะมีเครดิตถ์อะไรเหลืออยู่ในสังคมอะไรเลย คราวนั้นได้เป็นรัฐบาลกุมอำนาจอยู่ 2 ปีเศษ ๆ จึงยอมยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน แล้วมีการเลือกตั้ง 3 ก.ค. 2554 ปชป.แพ้ ได้เป็นฝ่ายค้าน
ระยะหลังที่สุดนี้ มีสถานการณ์ ของพรรคประชาธิปัตย์ตามลำดับไป ดังนี้
1. 8 พ.ย.2556 ปชป.มีมติให้ สส.ของพรรคลาออกจาก สส.ทั้งหมด โดยเหตุผลว่าไม่อาจจะปฏิบัติหน้าที่ในสภาได้ จะไปร่วมต่อสู้กับ ม็อบนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่พาสส. 9 คนลาออกไปก่อนหน้านี้แล้ว นายสุเทพ เองก็อยู่ในฐานะผู้ต้องหากบฎ และผู้ต้องหาฆ่าประชาชน 99 ศพ 10 เม.ย. - 19 พ.ค. 2553 อยู่
2. 9 ธ.ค. 2556 นายสุเทพ เคลื่อนขบวนใหญ่ อ้างว่า 5 ล้านคนไปปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล แต่รัฐบาล นรม.ยิ่งลักษณ์ ประกาศยุบสภาก่อนแต่ตอนเช้า กำหนดให้มีเลือกตั้งทั่วไป ณ 2 ก.พ.2556 นายสุเทพประกาศตั้ง กปปส. อ้างว่ายึดอำนาจไว้ได้แล้ว ออกคำสั่งให้รักษาการณ์นายกรัฐมนตรี ไม่ปฏิบัติหน้าที่ และให้ไปรายงานตัวภายใน 22.30 น. ให้ผบ.ตร.ออกจากทำเนียบ ให้ทหารเข้าควบคุมสถานการณ์แทน แต่ก็กลายเป็นเรื่องตลกระดับโลกไป หลายคนคิดว่านายสุเทพวิกลจริต
3. 21 ธ.ค.2556 ปชป.มีมติเป็นเอกฉันท์ ไม่ส่งผู้ลงเลือกตั้ง 2 ก.พ.2557 โดยนายอภิสิทธิ์ หน.พรรคกล่าวว่า เพื่อหลอมเป็นหนึ่งกับมวลชนร่วมปฏิรูป ล้างระบอบทักษิณ ซึ่งการคิดล้างระบอบทักษิณของพรรคประชาธิปัตย์นี้ ไปไกลถึงขนาดจะไล่ตระกูลชินวัตรออกนอกประเทศไทย กลายเป็นประเด็นเกินไปจากการเมือง เป็นประเด็นศีลธรรม จริยธรรมและศาสนาไป สะท้อนความหยาบกระด้างไม่มีน้ำจิตน้ำใจที่กรุณาแด่เพื่อนมนุษย์ คนไทยด้วยกันเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนไทยชาวพุทธ ที่มีแต่ความเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ผู้เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ทำให้เห็นความป่าเถื่อนของพรรคประชาธิปัตย์ไปไกลเกินกว่าจะเป็นมนุษย์ในระบอบประชาธิปไตยได้
ก่อนที่จะมาถึงสถานการณ์ตาม 1-2-3 ข้างต้น ก่อนวันที่ 22 ส.ค.2556 ได้มีเหตุการณ์ สิ่งที่เราได้เห็นจากพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงที่มีการประชุมรัฐสภา หรือสภาผู้แทนราษฎร แทบทุกวันการประชุม ที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการก่อการร้ายในรัฐสภา การก่อกวนไม่ให้ฝ่ายรัฐบาลเสนอแก้กฎหมายได้ โดยวิธีการที่ไร้จริยธรรมผู้ดี และไร้ความเป็นมนุษย์ ไม่สมกับเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เราได้เห็นภาพการชุลมุนในรัฐสภาหลายอย่าง ตลอดต่อเนื่องไปในการประชุมรัฐสภาแต่ละครั้งอันล้วนเกิดจากสส.พรรคปชป.ทั้งสิ้น จนอาจนิยามว่า เป็นพรรคอันธพาล มีญาติผู้พี่นายสุเทพ นับตั้งแต่นายธานี เทือกสุบรรณ ตรงเข้าบีบคอนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ผู้น้องนายเชน เทือกสุบรรณ ทุ่มเก้าอี้ใส่ต่อหน้าประธานรัฐสภา ถึง 2 ตัว จนมีคนห้าม เราได้เห็นการกลุ้มรุมขึ้นไปบนบัลลังก์ปธ.รัฐสภา และลากมือปธ.รัฐสภาให้ลุกจากเก้าอี้ ปธ.รัฐสภา เห็นสส.หญิง ปชป. ลากเก้าอี้ประธานรัฐสภาออกไปนอกห้องประชุม เห็นนายวรงค์ เดชกิจวิกรม ทุ่มแฟ้มเอกสารใส่ประธานรัฐสภาด้วยท่าทางกริ้วโกรธ นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ลุกขึ้นประท้วงครั้งแล้วครั้งเล่า อย่างไร้เหตุผล และอื่น ๆ เช่นการก่อกวนไม่ให้การประชุมเดินไปได้ โดยนายวัชระ เพชรทอง ลุกเป่านกหวีดกลางสภา สส.สตรีปชป.ทำเสียงโหยหวล ในสภาเหมือนชะนีร้องกลางป่าไพรเถื่อน .......ปรากฎสื่อมวลชนพาดหัวข่าว เช่นไทยรัฐวันที่ 22 ส.ค.255 ว่า สุดถ่อย อัปยศ ปชป.ป่วน สภาหวิดจลาจล........เดลินิวส์ วันเดียวกันว่า ประท้วงในสภาป่วน ขุนค้อนฉุน สั่งตร.หิ้วสส.ปชป.........ข่าวสด ขุนค้อนเคาะ3โป๊ก เบรกสภาชุลมุน ปชป.ยื้อเกมส์ที่มาสว.......
ซึ่งคำว่า สุดถ่อย อัปยศ ของนสพ.ไทยรัฐนั้น ก็สมควรแก่พฤติการณ์ ปชป. จริง และนี่แหละคือความตกต่ำของ ปชป.มาตามลำดับ จนถึงวันนี้ วันที่ ปชป.มีมติไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ.2557 ..... ซึ่งโดยประชาธิปไตยแล้ว นั่นหมายถึงเรื่องที่น่าเศร้าพอ ๆ กับการยุบพรรคการเมืองเลยทีเดียว.......ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ ได้บอกอย่างชัดเจนแล้วว่า พรรคประชาธิปัตย์ พยายามขัดขวางวิถีทางประชาธิปไตย ไม่ได้เดินตามวิถีประชาธิปไตย เป็นพรรคการเมืองที่ไม่มีความยินดีต่อประชาธิปไตย และไม่เป็นประชาธิปไตยเลยแม้แต่น้อย
เราจึงไม่ควรจะไปเอาใจใส่ในประเด็น กปปส.ของพรรคประชาธิปัตย์ ว่ามีสาระอะไร เพราะเหตุที่เป็นการเสนอโดยใครก็ไม่รู้ มีฐานะอะไรก็ไม่รู้ และจะทำการปฏิรูปประเทศไปอย่างไรก็ยังไม่รู้ หรืออย่างน้อยก็ไม่มีความชัดเจนในด้านเนื้อหา และการจัดรูปองค์กร แต่มีความชัดเจนอย่างเดียวเท่านั้นคือใฝ่แสวงหาอำนาจ นายสุเทพ ต้องการเป็นผู้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จของประเทศนี้ โดยวิธีเผด็จการเท่านั้นเอง ......... การปฏิรูปการเมือง แท้จริง เราก็ทำการปฏิรูปมาโดยตลอด ตั้งแต่รัฐบาลทักษิณมาแล้ว ดังที่ปรากฏชื่นชมไปในต่างประเทศว่า ทักษิโณมิคส์ และที่ประชาชนทั่วไปเข้าใจสว่างทั้งแผ่นดินก็คือ ประชาธิปไตยกินได้ แต่พรรคที่คัดค้านการปฏิรูปมาตลอดก็คือพรรคประชาธิปัตย์ เป็นพรรคที่คัดค้านทุกวิถีทางในการแก้กฎหมายรัฐธรรมนูญ จากเผด็จการไปเป็นประชาธิปไตย และสิ่งที่เรียกว่า กปปส.ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ วันนี้เอง ได้แสดงธาตุแท้ออกมาชัดเจนถึงความเป็นกบฏแผ่นดิน ที่ยกพลกองโจรเข้าปล้นบ้านปล้นเมืองอย่างเห็นชัด ๆ จึงขอให้ประชาชนทุกคนไทย จงอย่าได้หลงประเด็นทำความวุ่นวายไปกับพรรคการเมืองขี้อิจฉาริษยาสุดถ่อย อัปยศพรรคนี้ต่อไปเลย จงเดินทางไปสู่การปฏิรูปประชาธิปไตยอย่างแท้จริงต่อไป นั่นคือไปสู่การเลือกตั้ง 2 ก.พ. 2557 นั่นแหละปฏิรูปที่แท้จริงโดยวิถีทางประชาธิปไตย
- สุไหงปาดี ชินะกุล
24 ธ.ค. 2556 22.50.55 น.
บทแทรกที่ 1
มาทำความเข้าใจพรรคประชาธิปัตย์(ต่อ)
พรรคประชาธิปัตย์ได้สร้างความแตกแยกระหว่างประชาชนในชาติไทยโดยการเข้าใจผิดในประเด็นการเมืองระบอบประชาธิปไตยมาโดยตลอด จนขณะนี้ ได้ปรากฎผลร้ายขึ้น อย่างเห็นได้ชัดเจนโดยเกิดการแบ่งแยกเป็นประชาชนภาคต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนภาคใต้ ประชาชนภาคเหนือ ประชาชนภาคอีสาน ประชาชนกรุงเทพมหานคร ฯลฯ ซึ่งสถานการณ์แตกแยกอย่างร้ายแรงเช่นนี้ เป็นผลงานของพรรคประชาธิปัตย์ล้วน ๆ ดังเหตุผลต่อไปนี้
1. พรรคประชาธิปัตย์เป็นเจ้าวาทะที่บิดเบือน ที่ว่า คนต่างจังหวัดเลือกรัฐบาลโง่ ๆ มาให้คนกรุงล้มล้าง เพราะคนกรุงเป็นคนที่เจริญกว่า แต่กลับได้รัฐบาลที่มาจากคนบ้านนอก คนกรุงจึงมีสิทธิ์ที่จะล้มล้างรัฐบาลโง่ ๆ ลงได้เสมอ มาวันนี้ มีความหมายอันเดียวกันนี้ออกมาจากฝ่ายประชาธิปัตย์ โดย กปปส. นั่นคือ นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ กล่าวว่า 1สิทธิ1เสียงไม่อาจจะใช้ได้ในประเทศไทย ผสานไปกับนายเสรี วงศ์มณฑา ที่ว่า คน 3 แสนเสียงในกรุงเทพมหานคร มีคุณภาพกว่า 15 ล้านเสียงจากบ้านนอก ....... นี่เป็นวาทะที่บ่งบอกถึงความเข้าใจไม่ถูกต้องต่อหลักการประชาธิปไตย ในส่วนที่เป็นผลอันร้ายแรงนั้นก็คือ ได้สร้างวัฒนธรรมขึ้นมา ทำให้เกิดการเกลียดชังระหว่างประชาชนภาคใต้ ประชาชนกรุงเทพมหานคร และประชาชนคนต่างจังหวัด โดยไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิง เพราะโดยระบอบประชาธิปไตยแล้ว เราจะต้องมีวัฒนธรรม 1 คน 1 เสียง ในการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่มากสำหรับระบอบประชาธิปไตยทั่วโลก และซึ่งจะต้องดำรงการพัฒนาไปอย่างยั่งยืนของวัฒนธรรม 1 สิทธิ์ 1 เสียงนี้ ซึ่งแม้แต่ประเทศสหรัฐอเมริกาเองก็ยังคงต้องพัฒนาวัฒนธรรมนี้ต่อมาอย่างไม่ลดละ เพื่อให้เกิดประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ ดังจะเห็นการพัฒนามาตามลำดับในเรื่องสิทธิของคนผิวสีในสหรัฐอเมริกา ซึ่งสหรัฐอเมริกายังคงพยายามให้เกิดสิทธิของประชาชนที่เท่าเทียมกันทุกผิว สี เขาร่วมกันรณรงค์กันหลายทาง เพื่อให้ปัญหาเรื่องผิวสีหมดไปจากประเทศของเขาตามที่เราชาวไทยก็ได้ทราบมาเป็นระยะ ๆ แม้กระทั่งบริษัทสร้างภาพยนต์ เขาก็ให้ความร่วมมือยกย่องคนผิวดำให้เป็นพระเอกในภาพยนต์หรือได้บทบาทสำคัญ ๆ ในภาพยนต์ฮอลลีวูดก็จะเห็นว่าดาราผิวดำนั้นมีบทบาทเสมอเท่าเทียมกับคนผิวขาวไปตามลำดับไม่ด้อยกว่ากันเลย อย่างเช่นภาพยนต์เรื่อง To Sir With Love ที่นำแสดงโดย ซิดนี่ย์ ปอยเตีย ที่ประทับใจคนทั้งโลก เรื่อง The Guns Of Navarone ที่มีวีรบุรุษผิวดำ เป็นต้น ทุกวันนี้ ในภาพยนต์ตะวันตกจะมีดาราผิวสีร่วมแสดงในภาพยนต์แทบทุกเรื่อง อันแสดงถึงเจตนาของประเทศเขา ที่ต้องการลดประเด็นความไม่เท่าเทียมกัน ตามหลักประชาธิปไตย เรื่อง equality ให้จงได้ ในวงการกีฬาก็ยิ่งเห็นชัดเจนไปอีก โดยเฉพาะเทนนิส ซึ่งมีสองสาวพี่น้องผิวดำ ที่แสดงความสามารถอย่างมนุษย์ได้ไม่แพ้คนผิวใดใด เป็นที่ทราบดีอยู่แล้ว และที่น่าสังเกตไว้เป็นข้อคิดก็คือ ประธานาธิบดีบารัค โอบามา เอง นั้นแหละเป็นตัวอย่างอันดีที่ชี้ว่า บัดนี้สหรัฐอเมริกา ได้บรรลุจุดที่น่าพอใจที่สุดของระบอบประชาธิปไตยแล้ว ในเมื่อโอบามา เป็นประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของสหรัฐอเมริกา ... นี่ก็คืออุทาหรณ์ว่า การที่จะนำหลักการ 1 สิทธิ์ 1 เสียงมาใช้นั้น กว่าจะบรรลุผลอันอุดมสมบูรณ์ นั้น เราต้องมองให้เห็นด้วยจินตนาการเสียก่อน เพื่อเข้าใจในหลักทฤษฎีและเหตุผลอย่างแท้จริง แล้วยังต้องช่วยกันสร้าง ช่วยกันเพิ่มพูนใปจนกว่าจะบรรลุจุดที่สมบูรณ์...สำหรับไทยเรา เราไม่มีปัญหาผิวสีเช่นประเทศสหรัฐ(ไม่มีสงครามทาสอย่างร้ายแรงเช่นสหรัฐ) .... แต่เรามีปัญหาองค์กรการเมืองเช่นประชาธิปัตย์ ที่ไม่เข้าใจหลักการประชาธิปไตย ไม่นิยมประชาธิปไตย แต่เป็นพรรคการเมืองที่ขัดขวางประชาธิปไตยมาโดยตลอด โดยอวิชชา หรือความไม่เข้าใจ ทั้งเข้าใจแบบผิด ๆในระบอบประชาธิปไตย ในส่วนที่ได้กระทำการขัดขวางระบอบประชาธิปไตยที่สำคัญยิ่งนั้นส่วนหนึ่งก็คือ การพยายามที่จะแบ่งแยกประชาชนไทยออกไปเป็นฝักเป็นฝ่ายโดยความเขลาหรือมีเจตนาก็ตาม มาเป็นเวลานาน จนบัดนี้ทำให้เกิดวัฒนธรรมชั่วร้าย คือการอาฆาต โกรธแค้น พยาบาท และจองเวรกัน ระหว่างประชาชนภาคต่าง ๆ นั่นคือเกิดการมองประชาชนเป็นพรรคเป็นพวก ไม่มีภราดรภาพ ตามหลักการประชาธิปไตย ซึ่งตามหลักการนี้ ต้องมองว่าเราเป็นประชาชนคนไทยเสมอกัน เป็นพลเมืองที่มีสิทธิในการเลือกตั้งเสมอกัน การเลือกตั้งนั้นเป็นเพียงการเลือกนโยบายเท่านั้นเอง เสรีชนย่อมมีอิสรภาพที่จะเลือกนโยบาย ที่ตรงความต้องการของเราเอง ตรงปัญหาของเราเองได้อย่างมีอิสรภาพ นั่นหมายความว่านโยบายที่เราชอบ ที่ตรงกับความต้องการของเราของประชาชนนั้น อยู่กับพรรคการเมืองใด เราก็สามารถเลือกพรรคการเมืองนั้นได้ โดยไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะไปผูกมัดตัวเองกับพรรคการเมืองใดหนึ่ง นั่นเป็นหลักการสำคัญของเสรีชน
2. พรรคประชาธิปัตย์พูดเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่นตลอดมา รวมทั้งการพูดที่ไม่มีความรับผิดชอบ ทำผิดศีลธรรมทุกอย่าง นับแต่การพูดโกหก หยาบคาย ส่อเสียด เพ้อเจ้อ อันเป็นลักษณะวจีทุจริต 4 ประการตามคำสอนของพระพุทธศาสนา ที่เป็นประเด็นก็คือ พรรคนี้จะคอยยุยง เสี้ยมให้ประชาชนชาวใต้เข้าใจผิดต่อประชาชนชาวอิสานและชาวเหนือมาตลอด รวมทั้งคนอีกแห่งหนึ่งคือคนกรุงเทพมหานคร โดยไปเน้นย้ำอยู่ตลอดเวลาในวาระมีการเลือกตั้ง เมื่อเวลาฝ่ายตนพ่ายแพ้การเลือกตั้งครั้งแล้วครั้งเล่าว่า พรรคประชาธิปัตย์เล่นการเมืองอย่างขาวสะอาด ไม่มีการซื้อเสียง พรรคประชาธิปัตย์แพ้เพราะเงิน และเอาความผิดนี้ไปโยนให้พรรคที่ชนะการเลือกตั้งเสมอมา โดยเฉพาะ ทักษิณ ชินวัตร ว่าเป็นนายทุนสามานย์ ใช้เงินซื้อเสียง และพยายามสร้างภาพที่เลวทรามต่ำต้อยให้กับประชาชนภาคอีสานและภาคเหนือ ว่าคนอีสานคนเหนือซื้อได้ ทำให้ประชาชนชาวใต้เชื่อตามไปอย่างไม่ถูกตรงตามความเป็นจริง ไม่มองว่าพรรคประชาธิปัตย์เวลาพูด จะพูดแต่เอาดีเข้าตัวเอาชั่วเข้าคนอื่นเสมอไป และใช้วาทะทางทำลายให้ร้ายนี้ไปอย่างช่ำชอง จนนักวิชาการได้ศึกษาพบว่าเป็น การด่าทอผู้อื่นด้วยสูตรสำเร็จ แม้ในกรณีการโกงการเลือกตั้ง ที่พรรคประชาธิปัตย์มักกล่าวว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยซื้อเสียง เป็นพรรคที่เล่นการเมืองอย่างขาวสะอาด แต่ที่แพ้เพราะพรรคการเมืองอื่นซื้อเสียง ซื้อเสียงจึงชนะเลือกตั้ง ความจริงคือพรรคประชาธิปัตย์นี้เองยิ่งมีการโกงการเลือกตั้งกว่าพรรคการเมืองอื่น ที่เปิดศักราชการซื้อเสียงก่อนพรรคการเมืองอื่น ดังมีกรณีทุจริตซื้อเสียงเลือกตั้งกรณีแรกเกิดขึ้นจาก ดร.บุญมาก ศิรินวกุล อดีต สส.ปชป.จ.ราชบุรี 2 สมัยทุจริตการเลือกตั้งเมื่อ 6 ม.ค. 2544 (ได้ใบแดง) แล้วสู้จนถึงศาลฎีกาในวันที่ 13 ธ.ค.2553 ศาลฎีกาได้พิพากษาว่าทำผิดทุจริตซื้อเสียงจริงให้จำคุกดร.บุญมาก 1 ปี(รอลงอาญา 2 ปี) ปรับและลงนสพ.อีกต่างหาก ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน ที่ลบล้างวาทะที่กล่าวหา เอาดีเข้าตัวเอาชั่วเข้าคนอื่น และการโกหกหลอกลวงใส่ร้ายพรรคการเมืองอื่นของพรรคประชาธิปัตย์ และในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด เมื่อ 3 ก.ค. 2554 นั้นก็มีตัวเลขของ กกต.เผยออกมาว่าพรรคที่ใช้เงินในการจัดการเลือกตั้งมากที่สุดก็คือพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งได้ใช้เงินในการเลือกตั้งมากกว่าพรรคคู่แข่ง คือเพื่อไทยถึง 2 เท่า(แม้นาย อลงกรณ์ พลบุตร อดีต รองหน.พรรค ปชป.ก็ยอมรับและเป็นผู้ที่เปิดเผยความจริงข้อนี้ด้วยตนเอง) ........นั่นเป็นความจริง ที่เกิดจากการโฆษณาชวนเชื่อ หรือการโฆษณาบิดเบือนความจริงจากพรรคประชาธิปัตย์ ที่ทำการหลอกลวงประชาชนชาวใต้ด้วยวิธีการโฆษณาชวนเชื่อ นั่นคือการพูดกรอกหูเข้าไปบ่อย ๆ ในเนื้อเรื่องเดิม ๆ ที่หลอกลวงเช่นนี้ จนชาวใต้เชื่อจริงๆ ว่าเป็นเช่นที่พรรคปชป.หลอกลวง และเกิดผลร้าย นั่นคือเกิดความรู้สึกต่อประชาชนในชาติเดียวกัน ในทางไม่เป็นมิตร ก่อเกิดการแตกแยก เป็นประชาชนชาวใต้ ประชาชนชาวอิสาน ประชาชนชาวเหนือ และประชาชนชาวกรุงเทพมหานคร
ซึ่งโดยวัฒนธรรมประชาธิปไตยแล้ว จะไม่มีการแตกแยกในหมู่ประชาชนเลย หากเรายึดถือเพียงวัฒนธรรมพุทธหรือวัฒนธรรมศาสนาใดใดก็ตามในประเทศของเรา เพราะประชาธิปไตยไม่ต้องการความพยาบาท ความอาฆาต ความจองเวรกันและกันเลย ประชาชนทุกคนในประเทศประชาธิปไตยจะถือหลักธรรมะเหล่านี้ ในประเทศอเมริกา และประเทศประชาธิปไตยอื่น ๆ ทางยุโรป ที่เขาไม่ได้นับถือศาสนาพุทธเช่นเรา ไม่มีธรรมะที่พวกเขารู้จักคือ อาฆาต พยาบาท จองเวร แต่พฤติกรรมของประชาชนในประเทศประชาธิปไตยเหล่านั้น กลับแสดงออกถึงคุณธรรมเหล่านี้ยิ่งไปกว่าเราชาวพุทธเสียอีก นั่นเป็นเหตุให้ระบบวัฒนธรรมประชาธิปไตยของประเทศเหล่านั้นเดินไปอย่างดี และประชาชนไม่แตกแยกเป็นภาค เป็นส่วน ทั้ง ๆ ที่ประเทศเขาใหญ่โตมโหฬาร กว่าประเทศไทยหลายเท่า นั่นก็เพราะถึงเขาจะไม่รู้หลักศาสนาพุทธอย่างเรา แต่เขาใช้ความมีเหตุผลได้ ใช้ความเป็นมนุษย์ได้ แม้กระทั่งหลักคิดอย่างง่าย ๆ นั่นคือกติกาการกีฬา ที่เขาเอามาใช้เป็นกติกาการเมืองได้อย่างดีอย่างสำนึกถึงความจำเป็นเช่นนั้น และพวกเขาฉลาดมีปัญญาดีพอจะเล็งเห็นโทษภัยอันร้ายแรง จากการขาดวัฒนธรรมโดยคุณธรรมดังกล่าว หากมีคุณธรรมเหล่านี้แล้ว ประเทศจะไม่มีการแตกแยกเป็นฝักเป็นฝ่าย เพราะในการแข่งขันเพื่อเลือกตั้งพรรคหรือบุคคลทางการเมือง วาระการเลือกตั้งใดก็ตาม เมื่อการเลือกตั้งจบสิ้นลงแล้ว ประชาชนมารำลึกถึงธรรมะเหล่านี้ ทุกคนก็จะปราศจากการอาฆาต พยาบาท และจองเวร จิตก็ว่าง ประชาชนมีการให้อภัยในการละเมิดระหว่างการแข่งขันเลือกตั้ง มาทำจิตใจกันให้เป็นเสรีชน ยอมรับในกติกา ยอมรับในเสียงส่วนมาก และเทิดูนหลักการภราดรภาพ ประชาธิปไตยก็เดินไปอย่างมีวัฒนธรรมของประชาชนทุกฝ่าย ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะเกิดการแตกแยกเป็นฝักเป็นฝ่ายในประชาชนทั่วประเทศ
แต่สถานการณ์ประเทศไทยวันนี้ เป็นสถานการณ์ที่ไม่ได้ถูกต้องและยึดถือตามหลักวัฒนธรรมดังกล่าว อันเนื่องมาจากมีพรรคการเมืองใหญ่คือพรรคประชาธิปัตย์ ที่คอยสร้างวาทกรรมผิด ๆ กรอกหูประชาชนชาวใต้ และชาวกรุงเทพมหานคร ให้เกิดความพยาบาท อาฆาต จองเวรขึ้นในประชาชนชาวใต้ เป็นเหตุให้เกิดความเข้าใจผิดอย่างยิ่งใหญ่ นับตั้งแต่วาทกรรมล่าสุดที่ดูถูกเหยียดหยามประชาชนชาวอิสาน ไม่ยอมรับในสิทธิ 1 คน 1 เสียง นั่นก็นำไปสู่การแตกแยกในประชาชนไทยเป็นชาวใต้ เป็นชาวเหนือ เป็นชาวอิสาน เป็นชาวกรุงเทพมหานคร ซึ่งหากเราไม่รู้เท่าทันวิถีทางที่ถูกต้องของประชาธิปไตย หรือไม่เข้าใจการสร้างสรรค์วัฒนธรรมประชาธิปไตยที่ถูกต้องเสียแล้ว ประชาธิปไตยที่ไร้วัฒนธรรมก็จะยังผลร้ายให้เกิดการแตกแยกของประชาชนในชาติต่อไป และมีแนวโน้มอันตรายยิ่งขึ้น จึงพึงเข้าใจกันอย่างทั่วถึง ถึงที่มาของความคิดอันแตกแยกระหว่างประชาชน ว่ามีที่มาจากพรรคการเมืองชื่อพรรคประชาธิปัตย์นี่เองโดยแท้ ฉะนั้น ขอให้ประชาชนไทยได้ แสดงออกซึ่งท่าทีที่ถูกต้อง การที่พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นต้นเหตุของการยุยงส่งเสริม ให้เกิดการแตกแยกขึ้นเช่นนี้ จึงหมายถึงการทำร้ายประเทศไทยโดยตรง และทำร้ายประชาธิปไตยอย่างเด่นชัดเจนอย่างไม่มีทางจะปฏิเสธได้ ประชาชนจึงควรจะได้มองสถานการณ์การเมืองอย่างถูกต้อง ไม่ควรที่จะมองตามอวิชชาหรือความคิดที่เข้าใจผิดของพรรคประชาธิปัตย์อีกต่อไป และพึงมองให้เห็นความจริงของพรรคประชาธิปัตย์ นั่นคือความไร้ค่าของพรรคการเมืองนี้ในฐานะพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย หรือแม้มาคิดต่อสู้ขึ้นใหม่ในนาม กปปส. นำโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ยังคงเป็นสิ่งที่ไร้ค่าต่อประชาธิปไตย
- ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆินทร์
26 ธ.ค.2556 20:30:30