วันมาฆะบูชา หลักยุทธศาสตร์ในศาสนา
14 กุมภาพันธ์ 2557 เป็นวันมาฆะบูชา ปีนี้ตรงกับวันของศาสนา 2 ศาสนาคือของพุทธและของคริสต์ที่ชื่อว่าวันวาเลนไทน์ ซึ่งมีนิทานความเป็นมาว่า เป็นวันที่บาดหลวงชื่อวาเลนไทน์เผยแพร่ศาสนาคริสต์อยู่ในอินเดีย ได้แอบเป็นชู้กับภรรยาท่านหลอดคนหนึ่ง ขณะที่ภรรยาเดินทางไปอินเดีย ต่อมาท่านหลอดซึ่งอยู่ในอังกฤษได้ติดตามภรรยาไปอินเดียจึงได้รู้ความจริง ว่าเมียลอบเป็นชู้กับบาดหลวง ก็โกรธมาก ได้บังคับคั้นเอากับภรรยาตนเองโดยเอาจำขังไว้ ล่ามโซ่ไว้ในห้องทรมาน กะว่าจะทรมานอย่างสาหัสจนกว่าจะเอ่ยบอกความจริงออกมา ภรรยาคิดในใจว่าตายเสียเพื่อรักษาชื่อเสียงของคนรักดีกว่าจะบอกความจริง คนก็นิยมว่านี่เป็นรักแท้ ก็สรรเสริญ ต่อมามีทาสหรือคนรับใช้ผู้ซื่อสัตย์มาช่วยพาออกจากที่คุมขังลัดป่าจะหนีไปทางทะเล ขณะรีรออยู่จะขึ้นรถม้าหนีไป ก็ปรากฎบาดหลวงโผล่มาหา บอกว่าสละตำแหน่งบาดหลวงอันสูงส่งขอไปร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกับคนรักไปชั่วชีวิต แล้วขึ้นรถม้าหายไปจากที่นั้น นักรักทั้งหลายเขาจึงยกย่องว่า นี่คือความรักแท้ของคนทั้งสองจึงตั้งเป็นวันแห่งความรักตามชื่อบาดหลวงวาเลนไทน์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ในทางศาสนาพุทธกล่าวกันว่าเป็นวันแห่งความเมตตาต่อสรรพสัตว์ มักอ้างว่าวันนี้มีความสำคัญโดยที่องค์พระศาสดาได้แสดงหลักการสำคัญของพระพุทธศาสนาไว้ 3 ข้อ(โดยแสดงแก่พระอรหันต์ 1,250 องค์) คือ (1) สพฺพปาปสฺส อกรณํ : การไม่ทำบาปทั้งปวง (2) กุสลสฺสูปสมฺปทา : การทำแต่กุศลทุกชนิด และ(3) สจิตฺตปริโยทปนํ ทำจิตใจให้บริสุทธิ์
ในที่นี้ วันนี้ เรามามองหลักธรรมของพระพุทธศาสนาในมุมมองวิทยาศาสตร์และทันเหตุการณ์กันสักหน่อย
ด้วยคำถามว่า หลักธรรมโอวาทปาติโมกข์นี้ ที่ถือว่าสูงสุด จะสามารถใช้เป็นยุทธศาสตร์ได้เพียงไรหรือไม่ ?
คำตอบก็คือโดยรูปธรรมที่เป็นอยู่ ปรากฎว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้นำคำสอนนี้ไปทำยุทธศาสตร์การปราบปรามเอาชนะม็อบสุเทพ อยู่แล้ว ฉะนั้น รัฐบาลจึงมีแต่ถอยมาตลอดตราบถึงการยุบสภาเสีย ตั้งแต่ได้รับการคุกคามจากม็อบ กปปส.เมื่อ 9 ธ.ค.2556 เป็นต้นมา สมควรเรียกว่ายุทธศาสตร์ถอย แต่ถอยโดยที่มีเหตุผลว่า ประการที่ (1) ไม่ต้องการทำบาป คือทำให้เกิดความรุนแรงมีการเสียเลือดเสียเนื้อและชีวิต ประการที่ (2) มีการให้ มีการทำกุศล มีการทำหน้าที่บริการของรัฐต่อไปอย่างไม่ท้อถอยท่ามกลางสถานการณ์ที่วิกฤตของรัฐบาลเอง นับแต่การให้หน่วยราชการสำคัญ ๆ แม้ทำเนียบรัฐบาลเอง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการพาณิชย์ และสถาบันการเงิน ที่ถูกม็อบคุกคามโดยเข้ายึดปิดกั้นโดยมุ่งหมายมิให้บริการประชาชนได้ แต่รัฐบาลก็ใช้สติปัญญา พร้อมจิตที่ประกอบด้วยกุศล พยายามช่วยทุกข์สุขของประชาชนได้อย่างไม่ทอดทิ้ง โดยเฉพาะในระยะปัจจุบัน ที่มีม็อบข่มขู่ปิดกั้นธนาคาร และให้พวกตนคือ กกต. มิให้จ่ายเงินช่วยรัฐบาลตามโครงการจำนำข้าว แต่รัฐบาลก็ไม่ท้อถอยจัดการหาเงินมาชดใช้แด่ชาวนาจนได้ ล่าสุด นรม.ประกาศว่าเงินจะถึงชาวนาในวันที่ 17 ก.พ.2557 นี่แล้ว ประการที่ (3) ความจริงใจ สุจริต และยึดหลักเมตตาในการปฏิบัติหน้าที่ เห็นได้จากตำรวจ ที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความอดทน ด้วยใจที่ใสสะอาด ปราศจากความโกรธ เกลียด อาทร จองเวร ไม่ปฏิบัติตอบโต้ แม้ตนถูกกระทำ ถูกข่มเหงคะเนงร้าย จนบาดเจ็บถึงแก่เสียชีวิตไปแล้วเรื่อย ๆ (ขณะนี้มีบาดเจ็บถึง 26 นาย เสียชีวิต 3 นายแล้ว) ก็ทำใจใสสะอาด ไปได้ ก็ถือว่าได้นำเอาหลักการศาสนาข้อที่ว่าโอวาทปาฎิโมกข์นี้มาเป็นยุทธศาสตร์(คือวิธีการต่อสู้เพื่อให้ฝ่ายตนชนะจงได้)
อย่างไรก็ดี การที่เราจะเอาหลักธรรมมาใช้เป็นยุทธศาสตร์ในสถานการณ์ต่อสู้นั้น ต้องระวังจริง ๆ ว่า เราจะต้องอธิบาย ทบทวนเหตุผลได้เสมอ โดยอธิบายได้ว่าที่เราทำอย่างนั้น(ทำตามหลักโอวาทปาฏิโมกข์3ข้อนั้น) จะเป็นเหตุให้เราได้ชัยชนะได้อย่างไร หากอธิบายไม่ได้ แต่ทำไปเพราะความเชื่อหรือมีศรัทธา ว่า ทำอย่างนั้นเป็นบาป ย่อมไม่เจริญ ย่อมแพ้ ทำอย่างนี้เป็นบุญ ย่อมชนะเสมอแล้ว นั้นไม่ใช่วิธีวิทยาศาสตร์ ย่อมเสี่ยงต่อความไร้เหตุผลและงมงายได้ (เพราะบาปบุญพิศูจน์ไม่ได้เป็นรูปธรรม...เพราะมันเป็นนามธรรม) พูดง่าย ๆ ก็คือเราไร้ความคิดตามเหตุและผลเพียงเชื่อในศาสนา เพียงกลัวว่าจะบาป เรากลัวบาป เราจึงถอย คิดเท่านี้ ไม่ใช่วิธีวิทยาศาสตร์ มันไร้เหตุผล อธิบายเหตุผลไม่ได้ ที่สำคัญมันเป็นยุทธศาสตร์ที่ตายตัว หากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปขนาดใหญ่ ไม่อาจจะปรับยุทธศาสตร์ได้ทันสถานการณ์ ก็จะอาจกลับกลายเป็นแพ้ได้
ที่สำคัญ ก็คือ อาจจะยังมีการเข้าใจผิดในหมู่ชาวพุทธเป็นอันมากว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งสันติภาพ ฉะนั้น การใดที่รุนแรงชาวพุทธจะกระทำไม่ได้เป็นอันขาด เราต้อง non-violence(อหิงสา) สถานเดียว ไม่มีทางอื่น ฉะนั้น การทำยุทธศาสตร์ของชาวพุทธจึงจะ violence(รุนแรง) ไม่ได้ ต้อง non-violence เท่านั้น ซึ่งเป็นการเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวงมาก [เป็นลักษณะคนไม่รู้สถานการณ์ ไม่เข้าใจสัปปุริสธรรม 7 ประการ คือ เหตุ, ผล, บุคคล(รู้เขา), ตน(รู้เรา), กาล(timing), ประมาณ และประชาชน อันเป็นแนวคิดวิทยาศาสตร์...หมายความว่า เราอาจจะใช้ความรุนแรงได้ตามสถานการณ์ ตัวแปรทั้ง 7 เช่น เขาเป็นโจรร้ายติดอาวุธ เราไม่ใช่พระพุทธเจ้าที่จะแสดงอภินิหาริย์ได้ เรามือเปล่า จะเข้าไปจับ มันก็พลาดเสียชีวิตได้ เป็นต้น เรียกตามหลักยุทธศาสตร์ซุนวูว่า ไม่รู้เขา ไม่รู้เรา] หากสถานการณ์ร้ายแรงขึ้นไปแล้ว จะอาจพ่ายแพ้ตกเป็นทาสเขาได้ .......ทั้งนี้โดยนัยะทางยุทธศาสตร์นะครับ
จะยกตัวอย่าง ธรรมะข้อที่บอกถึงยุทธศาสตร์ชาวพุทธ ที่ชาวพุทธทั้งหลายทั้งปวงได้ฟังอยู่อย่างต่อเนื่องเป็นประจำวันก็ว่าได้ในการทำบุญตักบาตรทุกวันพระ หรือการทำทานใดใดของชาวพุทธ ชาวพุทธจะได้ฟังบทสวดที่บอกถึงยุทธศาสตร์ของชาวพุทธไว้ นั่นคือ บทสวดที่ว่าด้วยชัยชนะของพระพุทธเจ้า 8 บท 8 ยุทธศาสตร์ในการเอาชนะมารหรือศัตรูของพระพุทธเจ้า(คือ บทพาหุ นั่นเอง แม้นักเรียนก็ท่องจำได้)
มียุทธศาสตร์ 8 ประการดังนี้ ให้สังเกตว่าเมื่อสถานการณ์แตกต่างออกไป ก็ทรงเลือกใช้ยุทธศาสตร์โดยเหมาะสม ซึ่งมีทั้งลักษณะรุนแรงและไม่รุนแรง เพื่อที่จะเอาชนะตามสถานการณ์ชนิดนั้น โปรดสังเกตดังต่อไปนี้
ยุทธศาสตร์ชัยชนะของพระพุทธเจ้า
ยุทธศาสตร์ที่ 1. ทรงทำศึกกับพระยามารผู้เนรมิตแขนมากตั้งพัน ถืออาวุธครบมือ ขี่ช้างครีเมขละ มาพร้อมกับเหล่าเสนามารซึ่งโห่ร้องกึกก้อง ด้วยวิธีอธิษฐานถึงทานบารมี…..อธิบายได้ว่า นี่เป็นสงครามทางวิญญาณ หรือสงครามทางนามธรรม การปรากฏของมารพันมือมานั้น เป็นการปรากฏมาทางวิญญาณ ไม่ใช่มีตัวตนมีรูปกายมาจริง ๆ จะเห็นว่าในการเอาชนะก็ทรงใช้ยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมเพื่อจะชนะ ในที่นี้ทรงใช้ทรงใช้ยุทธศาสตร์นามธรรมตอบโต้ไป ได้แก่ ทรงอธิษฐานถึงทานบารมีของพระองค์ในอดีตชาติ เช่นชาติที่ทรงเป็นพระเวสสันดร ที่ทรงให้ทานทุกอย่าง นับแต่ทานของ ทอง เครื่องประดับ ทานช้าง ทานม้า ทานราชรถ ทานลูกในไส้ของตน ทาน ภริยาตน ทานชีวิตตน ..... นี่คือยุทธศาสตร์นามธรรมอธิษฐานจิต อ้างเอาทานบารมีมาต่อสู้
ยุทธศาสตร์ที่ 2. ยักษ์ชื่อ อาฬวกะ ผู้มีจิตหยาบกระด้าง ผู้ไม่มีความอดทน มีความพิลึกน่ากลัวกว่าพระยามาร ซึ่งได้เข้ามาต่อสู้อย่างยิ่งยวดจนตลอดคืนยันรุ่ง ....นี่ก็คือสงครามนามธรรมอีกครั้งหนึ่ง ทรงเอาชนะด้วยยุทธศาสตร์ที่ว่าด้วย ขันติ ความอดทน, .....นี่คือยุทธศาสตร์อดทน...ทรงอยู่ในสมาธินิ่งในสมาธิ ไม่ตอบโต้ประการใด จนมารพ่ายแพ้ภัยตัวเองไป
ยุทธศาสตร์ที่ 3. พระจอมมุนี ได้เอาชนะช้างตัวประเสริฐ ชื่อ นาฬาคิรี ที่เมายิ่งนัก และแสนจะดุร้าย ประดุจไฟป่าและจักราวุธและสายฟ้า ด้วยวิธีรดลงด้วยน้ำ คือ ความมีพระทัยเมตตา, เรื่องนี้เป็นเรื่องรูปธรรมจริง ตามที่ชาวพุทธได้เรียนรู้มา คราวเทวทัตผู้มีจิตริษยา คิดช่วงชิงการนำในหมู่สาวกของพระองค์ จึงปล่อยช้างตกมันออกมาให้ทำร้ายพระพุทธองค์ แต่พระองค์ทรงใช้เมตตาบารมีสะกดช้างลงได้ .....นี่คือยุทธศาสตร์เมตตา
ยุทธศาสตร์ที่ 4. พระจอมมุนี ทรงคิดจะแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ จึงได้เอาชนะโจรชื่อ องคุลิมาล ผู้แสนจะดุร้าย มีฝีมือ ถือดาบวิ่งไล่พระองค์ไปสิ้นระยะทาง ๓ โยชน์, …สถานการณ์นี้ จะเห็นว่ามิได้ทรงใช้ความละมุนละม่อมแล้ว แต่ทรงใช้อิทธิปาฏิหาริย์ ....หมายถึงทรงใช้อำนาจที่สามารถบีบบังคับได้ ให้ผู้ร้ายยอมจำนน ..... นี่คือยุทธศาสตร์ที่ใช้อำนาจอิทธิปาฏิหาริย์ อันเป็นลักษณะก้าวร้าวรุนแรงอีกวิธีหนึ่ง
ยุทธศาสตร์ที่ 5. พระจอมมุนี ได้เอาชนะคำกล่าวใส่ร้ายของ นางจิญจมาณวิกา ซึ่งทำอาการเหมือนดั่งตั้งครรภ์ เพราะเอาท่อนไม้กลมผูกไว้ที่หน้าท้อง ด้วยวิธีทรงสมาธิอันงาม คือ ความกระทำพระทัยให้ตั้งมั่นนิ่งเฉย ในท่ามกลางหมู่ชน, .....ยุทธศาสตร์นี้คือ ยุทธศาสตร์ความสงบสยบความชั่วร้าย นั่นเอง(ไม่ทรงตอบโต้ เอาแต่นิ่งเข้าไว้) เรื่องนี้เป็นรูปธรรม มีในประวัติพุทธองค์ในคราวเริ่มเร่งสถาปนาพระพุทธศาสนาให้มั่นคงในโลก
ยุทธศาสตร์ที่ 6. พระจอมมุนี ผู้รุ่งเรืองด้วยแสงสว่าง คือ ปัญญา ได้เอาชนะ สัจจกะนิครนถ์ ผู้มีความคิดมุ่งหมายในอันจะละทิ้งความสัตย์ มีใจคิดจะยกถ้อยคำของตนให้สูงประดุจยกธง และมีใจมืดมนยิ่งนัก ด้วยการแสดงเทศนาให้ถูกใจ, ..... ยุทธศาสตร์นี้คือ การแสดงเทศนา
ยุทธศาสตร์ที่ 7. พระจอมมุนี ได้เอาชนะพญานาคราช ชื่อ นันโทปนันทะ ผู้มีความรู้ผิด มีฤทธิ์มาก ด้วยวิธีบอกอุบายให้พระโมคคัลลานเถระพุทธชิโนรส แสดงฤทธิ์เนรมิตกายเป็นนาคราช ไปทรมานพญานาค ชื่อ นันโทปนันทะ นั้น, ..... ยุทธศาสตร์ที่ 7 นี้ เห็นไหมครับว่า เป็นยุทธศาสตร์ที่ใช้กำลัง ใช้การปะทะต่อสู่ อย่างกับนักมวย นักรบเลยทีเดียว ทั้งนี้ก็เพราะว่า ตามสถานการณ์ เหตุผล บุคคล เวลา ขณะนั้นจะเอาชนะได้ด้วยวิธีใด นั่นเองครับ จะเอาแต่สวดอิติปิโส อยู่ก็แพ้ราบสิครับ
ยุทธศาสตรที่ 8. พระจอมมุนี ได้เอาชนะพระพรหมผู้มีนามว่า ท้าวผกาพรหม ผู้มีฤทธิ์ คิดว่าตนเป็นผู้รุ่งเรืองด้วยคุณอันบริสุทธิ์ ผู้ถูกพญานาครัดมือไว้แน่น เพราะมีจิตคิดถือเอาความเห็นผิด ด้วยวิธีวางยา คือ ทรงแสดงเทศนาให้ถูกใจ, ..... นี่คือยุทธศาสตร์เทศนา คล้าย ๆ ยุทธศาสตร์ที่ 6 อันเป็นยุทธศาสตร์หลักของสงฆ์สาวกส่วนใหญ่มาแต่เดิมและปัจจุบันนี้
ยังมีเรื่องราวในประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนา ส่วนที่เกี่ยวกับคนบาปที่ก่อกรรมชั่วหนักขนาดต้องตกนรกอเวจี คือก่อกรรมมหันตโทษจนโดนแผ่นดินสูบ เป็น ๆ .......... นั่นก็เกิดจากยุทธศาสตร์ที่รุนแรงยิ่งกว่าประหารชีวิต คือให้แผ่นดินสูบตัวลงไปทั้งเป็น คุณคิดว่านี่เป็นเรื่องรุนแรงขนาดไหนแต่ก็มีเหตุผลสมควรสมกับคนบาปหนักขนาดนั้น
ฉะนั้น จึงพึงมาทำความเข้าใจกันให้ดี ถูกต้อง เกี่ยวกับการนำหลักธรรมในศาสนาไปทำยุทธศาสตร์....มันต้องแล้วแต่สถานการณ์ ...... แล้วสัปปุริสบุคคล ย่อมเลือกใช้ยุทธศาสตร์ได้ทั้งแนวสันติธรรม และ แนวรุนแรง ได้ และต้องเป็นยุทธศาสตร์ที่เหมาะตามควรแก่เหตุ, ผล, บุคคล, ตน, กาล, ประมาณ และ ประชาชน จึงจะได้ชัยชนะ จงดูยุทธศาสตร์ชัยชนะของพระพุทธเจ้าทั้ง 8 ยุทธศาสตร์เป็นตัวอย่าง เมื่อสถานการณ์ควรใช้ความรุนแรง ใช้กำลัง ก็ต้องใช้ความรุนแรง ใช้กำลัง เมื่อเผชิญมารใจบาปหยาบช้าโหดร้าย ถ้าเรามัวท่องอิติปิโสเดินไปขอจับตัวเขา ๆ ก็จะฟังเราหรือ? หัดคิดเป็นวิทยาศาสตร์หน่อยเถอะ.
- บุษบา บุญเสฏฐ์-อรบุศป์ ละอองธรรม
16 ก.พ.2557/20.30.30น.
บทแทรกที่ 1
คำว่ายุทธศาสตร์ เป็นภาษานักรบ เดิมใช้ในสงครามเท่านั้น ตรงกับภาษาอังกฤษว่า strategy ที่กล่าวว่า ยุทธศาสตร์ถอยนั้น แท้ที่จริง การถอยไม่อาจจะนับเป็นยุทธศาสตร์ได้ แต่จะเป็นยุทธวิธี(tactics)ได้อย่างดี พอ ๆ กับยุทธวิธีอื่น ๆ ในยุทธศาสตร์ ที่โดยปกติต้องเป็นเชิงรุกเสมอ และยุทธวิธีนี้มักจะเป็นความลับอย่างยิ่ง ยังมียุทธศาสตร์สำคัญประการหนึ่งคือ ยุทธศาสตร์ ชนะโดยไม่ต้องรบ มีปรากฎในวรรณคดีจีนสามก๊ก ว่าทหารโจโฉกับทหารขงเบ้งมาปะทะสู้รบกัน ขงเบ้งมีทหารน้อยกว่า เสียเปรียบด้านชัยภูมิที่สู้รบ จึงได้ใช้ยุทธวิธีถอยหลอกล่อทหารโจโฉเข้าไปในทุ่งพกป๋อง ทหารโจโฉหลงกลนึกว่าฝ่ายขงเบ้งแตกหนีกระจัดกระจายไปแล้ว ก็ตามไล่เข้าไปในทุ่งพกป๋องซึ่งเป็นทุ่งแคบ ๆ อยู่ระหว่างแวดล้อมของภูเขาทั้งสี่ด้าน ทหารขงเบ้งพอเข้าไปในทุ่งแล้วก็สลายมวลชน หายเข้าไปในช่องเขาแคบ ๆ ทหารโจโฉที่ไม่ชำนาญภูมิประเทศก็ไหลเข้ามาจนกองทัพทั้งกองทัพมารวมกันในทุ่งนั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นขงเบ้งก็ให้สัญญาณ ทหารก็ยิงธนูไฟลงมาที่ทุ่งนั้น ๆ ก็เกิดระเบิด และไฟไหม้ขึ้นอย่างรวดเร็ว ทหารโจโฉหนีไม่ทันก็ถูกเผาไปทั้งกองทัพ .....อันนี้ยังไม่ใช่ชนะโดยไม่ต้องรบนะครับ มีอีกคราวหนึ่ง ทหารโจโฉโดยขุนทัพใหญ่ฝ่ายโจโฉเคลื่อนทัพไล่ตามฝ่ายขงเบ้งไป ขงเบ้งหลบเข้าไปในเมืองเล็ก ๆ เมืองหนึ่ง ฝ่ายโจโฉก็จะเข้ายึด จับขงเบ้งไป ในคราวนั้ขงเบ้งไม่อยู่ในฐานะที่จะเอาชนะได้เลย เพราะทัพโจโฉเป็นทัพใหญ่ ส่วนฝ่ายขงเบ้งมีพลทหารอยู่เล็กน้อยเท่านั้นเอง อยู่ใสถานะที่ไม่อาจจะสู้รบกับกองทัพโจโฉได้เลย ขงเบ้งจึงออกอุบายโดยยุทธศาสตร์ชนะไม่ต้องรบนี้ คือขงเบ้งก็แต่งเนื้อแต่งตัวอย่างดี ท่าทางไม่ทุกข์ร้อนอะไร ขึ้นไปนั่งคอยกองทัพโจโฉอยู่บนกำแพงเมืองพร้อมกับดีดพิณขับร้องไปด้วย เสมือนว่าชีวิตมีความสุขเหลือเกิน พอทหารโจโฉมาถึง เห็นขงเบ้งนั่งดีดพิณอยู่บนกำแพงเมือง ก็พากันหยุด ไม่เข้าโจมตี และเกิดสับสนคิดระแวงว่าขงเบ้งคงจะหลอกเราไปฆ่าเหมือนยุทธการทุ่งพกป๋องละกระมัง ก็ไม่กล้าโจมตี ที่สุดก็พากันถอยกลับไปอย่างเงียบ ๆ ขงเบ้งก็หนีไปได้ ..... นี่คือชนะโดยไม่ต้องรบ ....... รัฐบาลยิ่งลักษณ์ อาจจะใช้ยุทธวิธีถอย โดยยุทธศาสตร์ชนะโดยไม่ต้องรบ ... โดยยุทธศาสตร์วันมาฆะบูชา คือ โอวาทปาติโมกข์ ....ก็จะต้องพิจารณาว่า ชนะโดยไม่ต้องรบแบบขงเบ้งนี้ เป็นยุทธศาสตร์ชั่วคราวเท่านั้น ใช้ได้แบบแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เมื่อข้าศึกรู้ความจริงทีหลัง ข้าศึกก็จะย้อนกลับมาบดบี้เอาชนะเราได้อีก(เช่นเขารู้ความจริงว่าที่ถอย ๆ เพราะเพราะขี้ขลาด ไม่มีน้ำยาจริง ๆ เขาก็กระหยิ่มได้) และที่เป็นความหมายชนะโดยไม่ต้องรบจริง ๆ ก็คือ บนโต๊ะเจรจา (ในเมื่อสถานการณ์ของเราได้เปรียบ) ...... ชนะโดยไม่ต้องรบก็มีในสงครามครูเสดครับ ....... แต่ใช้ยุทธวิธี โดยฝ่ายนักรบมุสลิมหลอกนักรบคริสต์ให้ตามไปในทะเลทราย ...... ตายเองทั้งกองทัพ เพราะไม่มีน้ำกิน ........
ในที่นี้ มีเรื่องที่เกี่ยวกับยุทธศาสตร์สำคัญ ๆ จากประวัติศาสตร์และจากศาสนา สรุปลงได้ว่ายุทธศาสตร์ทั้งหลาย จะต้องเป็นเชิงรุกทั้งนั้น ยุทธศาสตร์ถอย ไม่มี การถอยเป็นได้เพียงยุทธวิธีเท่านั้น แต่ในเชิงรุกต่อเชิงรุกนั้นก็แล้วแต่มียุทธศาสตร์ที่เสริมเพิ่มเติมมาอย่างไร หรือมีข้อได้เปรียบเสียเปรียบกันอย่างไร ดูยุทธศาสตร์อเลกซานเดอร์มหาราชนักรบหนุ่มคนนั้น เป็นยุทธศาสตร์ม้าศึก ชนะมาทุกทิศทางจนกระฉ่อนโลกด้วยกองทัพม้า แต่เมื่อมาพบยุทธศาสตร์ช้างศึกเข้า ไม่ยอมใช้สติปัญญา ไม่ยอมปรับเปลี่ยนยุทธวิธี คือกองทัพม้าอย่างไร ๆ ก็ไม่อาจจะสู้กองทัพช้างได้ หากมุ่งหมายปะทะกันซึ่ง ๆ หน้า แต่อเลกซานเดอร์หยิ่งผยองเกินไป และมุ่งหมายสร้างวีรกรรมให้กระฉ่อนโลก จึงเร่งทหารที่กำลังลังเลเข้าสู้ ....ตายกันเกือบหมด ภาพมันดูกล้าหาญดีเมื่อม้าศึกทะยานออกไปอย่างห้าวหาญสมเป็นม้าศึก พอเข้าระยะประชิด ก็หยุดยกขาหน้าขึ้นยืนบนขาหลังทำตัวให้สูงขึ้น เพื่อเสมอ ๆช้างข้าศึก เพื่อจะทรงใช้อาวุธได้อย่างเฉียบคมที่ปลิดชีวิตข้าศึกบนคอช้างได้ฉับพลัน แต่กรณีนี้ ต่างก็มีเชิงรุกอย่างเข้มพอ ๆ กัน ข้าศึกบนคอช้างที่สูงกว่าย่อมได้เปรียบอยู่แล้ว จึงซัดหอกลงมาได้เร็วกว่า ก็ชนะกันในเสี้ยววินาทีเท่านั้นเอง นั่นคือจุดจบของอเลกซานเดอร์มหาราช จบโดยยุทธศาสตร์เชิงรุก เมื่อไปเจอเชิงรุกที่ได้เปรียบกว่า .........
ยุทธศาสตร์ม้าศึกที่ปะทะยุทธศาสตร์ช้างศึกเช่นนี้ ที่น่าศึกษามาในสงครามในอดีตก็คือยุคคาเถจ ระยะสุดท้าย ที่สู้กับยุคโรมันระยะเริ่มต้น นั่นคือพิวนิกวอร์ หรือสงครามฮันนิบาล ฮันนิบาลเป็นแมทัพฝ่ายคาเถจ ใช้ยุทธศาสตร์ช้างศึกเป็นหลัก ฝ่ายโรมันมีม้าศึก และพลเดินเท้าติดหอกยาว และพลเครื่องเสียง เมื่อเริ่มรบ คาเถจตั้งกองทัพช้างเรียงแถวเป็นรูปหน้ากระดาน โดยจะใช้น้ำหนักช้างบดขยี้โรมให้ละเอียดแบนติดดิน ในยุคโบราณเขาจะตั้งขบวนทัพเผชิญหน้ากันตรง ๆ ก่อน ก็จะเห็นกัน ฝ่ายโรมันมีทัพม้า ซึ่งฝึกมาใช้ความเร็วสูงเป็นพิเศษ อยู่ข้างซ้าย ขวา ตรงกลางมีพลเดินเท้า เขาจะคุมเชิง อ่านกันจนสิ้นสงสัยกันก่อน แล้วขยับตัว ก็พอ ๆ กัน พอฝ่ายหนึ่งขยับอีกฝ่ายหนึ่งก็ขยับตามทันควัน คาเถจเริ่มก่อน ขับทัพช้างดาหน้าเข้าใส่ฝ่ายโรมัน .... ตรงนี้ก็คือ การศึกษาเรื่องยุทธวิธีโดยเฉพาะ โดยศึกษาจากฝ่ายโรมัน ชนะโดยยุทธวิธีโดยแท้จริง คือ พอเริ่ม ทัพม้าเร็วของโรมันทั้งปีกซ้ายและปีกขวาทะยานออกไปก่อนอย่างเร็วสุดฝีเท้า แต่อ้อมไปทางหลังของกองทัพคาเถจ ย้อนมาโจมตีทางหลัง ทัพม้าของโรมันเคลื่อนได้เร็วมากจนคาเถจตั้งรับไม่ทัน เป็นยุทธศาสตร์ความเร็วโดยเฉพาะ ทหารเดินเท้าดาหน้าตรงไปยังกองทัพช้างคาเถจพร้อมหอกยาวในมือ และพลรบที่มีหน้าที่สร้างเสียงดังก็ตีเกราะเคาะไม้ทั้งฉาบเครื่องเสียงที่เตรียมมาอื้ออึงขึ้น ทหารเดินเท้าโรมันตัวเล็กกว่าช้างเป็นไหน ๆ ก็สามารถแทรกเข้าไประหว่างช้างต่อช้างได้สะบาย ก็เอาหอกแทงท้องช้างเลือดโทรมไปตาม ๆ กัน ช้างก็เจ็บปวด และทั้งมีเสียงอื้ออึงไปหมด ช้างไม่เคยได้ยินก็ตื่นตกใจ ถอยหน้าถอยหลัง ควานช้างก็เอาไม่อยู่ กองทัพช้างอันยิ่งใหญ่ของคาเถจก็แตกกระเจิง เสียขบวน ไม่อยู่ในวินัยการรบ พอดีทัพม้าเร็วของโรมัน ตีกระทบเข้ามาทางหลัง เข่นฆ่าทหารฝ่ายคาเถจลงปานใบไม้ร่วง .... คาเถจที่ยิ่งใหญ่จึงจบประวัติศาสตร์ลง ณ ทุ่งใหญ่นี้ ต่อจากนี้ก็เป็นยุคโรมเรืองอำนาจ ......ทางโรมจับฮันนิบาลได้ครับ เขาให้เกียรติ์นักรบด้วยกัน ไม่ฆ่า ปล่อยตัวไป.......คล้าย ๆ สงครามวอเตอร์ลู ..อังกฤษปล่อยนโปเลียนไปด้วยเหตุผลที่ว่าด้วยเกียรตินักรบเหมือนกัน แต่ฮันนิบาลไปกินยาพิษตายทีหลัง ไม่ขออยู่เสียเกียรติ์นักรบ (เมื่อเพื่อนนักรบตายไปหมด ตนก็ควรตาย) ....... นี่คือเรื่องยุทธศาสตร์ ที่เอาชนะด้วยยุทธวิธี
มีสงครามที่ประหลาดในศาสนาสงครามหนึ่ง เกิดขึ้นที่ทุ่งกุรุเกษตร ปรากฎในคัมภีร์ศรีมัทภควัทคีตา ของฮินดู อรชุนกษัตริย์เมืองใหญ่ ยกทัพออกมสู่สนามรบแล้ว ใจอ่อน ไม่กล้ารบ และทำท่าจะปล่อยให้ข้าศึกเข้ายึดเมืองเอาได้ง่าย ๆ ตามสำนวนของพระคัมภีร์บอกไปถึงอุปนิสัยใจคอของกษัตริย์ว่าเป็นผู้ทรงศีล ทรงธรรม ไม่นิยมการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อันเป็นการผิดศ๊ลธรรม จริยธรรมและศาสนา และบังเอิญข้าศึกที่ยกมานั้นก็ล้วนแต่เป็นญาติ ๆ ใกล้ชิดทั้งนั้น มีปาณฑพ โกรพ และหน่อเนื้อเชื้อสายโลหิตเดียวกันทั้งนั้น อรชุนไม่อาจออกคำสั่งสู้รบได้ จิตใจแตกสลาย... บังเอิญมีสารถีที่เป็นปราชญ์ ชาญฉลาดในเรื่องราวของเทพเจ้าและมนุษย์ คือกฤษณะ ได้เล็งเห็นว่า อรชุนกำลังจะเพลี่ยงพล้ำในสงครามเสียแล้ว บ้านเมืองจะต้องตกเป็นทาสของข้าศึก เพราะกำลังใจอ่อนลงไป จนไม่อาจจะทำหน้าที่นักรบได้ และทั้งมีผลต่อกำลังใจนักรบฝ่ายตนก็จะไม่มีกำลังใจ ขาดความฮึกเหิมในการศึก ก็จะแพ้สงคราม กฤษณะจึงเริ่มแสดงธรรมให้อรชุนฟัง มีเนื้อความสำคัญว่า การฆ่านั้น แท้จริงไม่ใช่ความบาป หรือ บุญ มันไม่ใช่ทั้งบาปหรือบุญทั้งสิ้น ไม่ว่าจะฆ่าคนกี่ร้อยกี่พันคน เพราะในการที่เราสอดอาวุธไปในร่างกายข้าศึกนั้น เพียงแต่สอดเข้าไปในช่องว่างของปรมาณู เมื่อเราสอดอาวุธเข้าไปในช่องว่าง จะเรียกว่าการฆ่าได้หรือ? ในเมื่อไม่มีการฆ่าจะมีบาปเกิดขึ้นได้อย่างไร กฤษณะพูดจนกระทั่งอรชุนเลื่อมใสและเชื่อว่ากฤษณะสารถีรถศึกของตนเป็นเทพเจ้า คือกฤษณะเทพ ที่สุดก้มพระเศียรลงกราบเท้ากฤษณะและออกพระวาจาว่า สุดแต่พระองค์จะทรงสั่งการเถิด บัดนี้ข้าพระองค์พร้อมที่จะรบแล้ว ........ จึงเกิดสงครามใหญ่แห่งทุ่งกุรุเกษตร และอรชุนชนะสงคราม ไม่เสียเมือง
ที่ประหลาดก็คือ กษัตริย์ที่โลเล ไม่กล้ารบ ทั้ง ๆ ที่เผชิญหน้าข้าศึกอยู่แล้ว โดยเหตุผลว่า การฆ่าคนเป็นบาปมหันต์ การทำศึกเป็นการบาปใหญ่ ก็ใจอ่อนและโลเลไม่กล้าตัดสินใจ ลืมหน้าที่ของตนไปสนิท ท่าทีนี้ก็ทำให้พลรบทั้งกองทัพเสียขวัญ พลอยใจฝ่อลงไป ใจก็ไม่ฮึกเหิมเป็นเชิงรุกของสงคราม เช่นนี้คือนัยะแห่งการแพ้สงครามตั้งแต่ต้นแล้ว .... แต่สารถีที่ฉลาดคนนั้นคือกฤษณะ(ซึ่งคัมภีร์ศรีมัทภควัทคีตาสรรเสริญว่าเป็นกฤษณะเทพ) ซึ่งมีความคิดแนววิทยาศาสตร์ เล็งเห็นว่า อรชุนเป็นกษัตริย์ที่กลับกลายไม่รู้หน้าที่ตนเอง(คือมีข้าศึกยกทัพมาปล้นชิงเมืองอยู่ต่อหน้า ก็ต้องทำหน้าที่ป้องกันเมือง จะต้องรบ ต้องทำสงครามให้ชนะและธรรมดาการสงครามก็ต้องมีการฆ่า นั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา ไม่บาป ไม่บุญ) แต่อรชุนทำท่าจะผละละหน้าที่ไป แน่ละนั่นจะส่งผลเสียหายแก่ประเทศอย่างยิ่งใหญ่ ....... ก็เลยปั้นเรื่องราวโกหกขึ้นมาหลอกลวงโน้มน้าวปลุกใจกษัตริย์ให้ฮึกเหิม หายหวาดกลัวไปจากความคิดผิด ...ในเรื่องบุญ เรื่องบาป ให้มาคิดถูกคือการทำหน้าที่ของตน ๆ มาทำหน้าที่ของตน และในสงครามหน้าที่ของทหารก็คือการรบ การฆ่าข้าศึกมีนัยยะของความเป็นธรรม เพราะหากเราไม่ฆ่าเขา เขาก็ฆ่าเรา อันเป็นสิทธิของนักรบเสมอกัน จึงรบไปจนกว่าจะชนะ ข้าศึกยอมแพ้ หรือตายหมดกองทัพ ... นั่นคือหน้าที่ การปฏิบัติหน้าที่ ไม่เกี่ยวกับบาป หรือบุญ มันเป็นกลางปกติเช่นนี้
ที่ว่ากฤษณะหาเรื่องโกหกมาเล่าปลุกใจ ตามคัมภีร์ศรีมัทภควัทคีตาของฮินดูนั้น ก็คือเรื่องที่ว่า การฆ่า เป็นเพียงการสอดอาวุธไปในช่องว่างของปรมาณู เมื่อเราสอดอาวุธไปในช่องว่าง ได้ชื่อว่าฆ่าหรือ เปล่าเลย และเมื่อเราไม่ได้ฆ่า นั่นก็ไม่มีผลบาปหรือบุญใดใด ........ คนยุควิทยาศาสตร์โปรดใช้สติปัญญา และความจริงก็คือ หน้าที่นั้เป็นเรื่องสำคัญยิ่งใหญ่ นักรบไม่ทำหน้าที่ย่อมส่งผลเสียหายอย่างยิ่งใหญ่ถึงเสียบ้านเสียเมืองตกเป็ฯเมืองขึ้นเขา เพราะความเชื่อผิด ๆ ในเรื่องบุญและบาป กฤษณะก็เลยต้องปั้นเรื่องหลอก เพื่อให้นักรบนั้นกลับมาทำหน้าที่ ....ก็เท่านั้นเอง
- บัวระย้า ชะบาบุญเสฏฐ์
17 ก.พ.2557/ 10.00.00
-
บทแทรกที่ 2
ระบบศีลธรรมในสังคมมนุษย์ แท้จริงก็คือ สิทธิ และ หน้าที่ ของมนุษย์นั่นเอง ในระบอบประชาธิปไตยจึงมีระบบศีลธรรมของตนไปอีกระบบหนึ่ง มี 2 ประการคือ (1.) สิทธิ และ (2.) หน้าที่ การพัฒนาวัฒนธรรมประชาธิปไตย จึงต้องพัฒนาไปตามระบบสิทธิ และ หน้าที่ นี้ ซึ่งมีการอธิบายในนัยะของระบบศีลธรรมในศาสนาได้ทำนองเดียวกัน กล่าวคือ ในเรื่องสิทธิ นั่นคือความหมายของความเป็นมนุษย์ ในเมื่อมนุษย์กับสิทธิ ย่อมเป็นของคู่กันเสมอ ในเมื่อเราบรรลุความเป็นเสรีชน นั่นหมายถึงการมีสิทธิกันทุก ๆ ชีวิต นั้นย่อมหมายถึงเกียรติ์ของความเป็นมนุษย์ ในที่นี้ มนุษย์ย่อมมีสิทธิต่าง ๆ แต่มนุษย์จะสามารถใช้สิทธิได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่นเท่านั้น หากเราละเมิดสิทธิของคนอื่น นั่นหมายถึงความเหยียดหยามต่อมนุษย์ วัฒนธรรมประชาธิปไตย จะพัฒนาไปโดยการละเมิดสิทธิ หรือการเหยียดหยามมนุษย์ไม่ได้ เพราะเสรีชนย่อมเคารพต่อความเป็นมนุษย์เสมอ โดยนัยยะนี้ การฆ่ามนุษย์ ก็ดี การลักทรัพย์สิ่งของของมนุษย์ก็ดี การละเมิดของหวงแหนของผู้อื่นก็ดี การหลอกลวงมนุษย์ด้วยคำพูดหรือวิธีการใดใดก็ดี และ การบ่อนทำลายทางสติปัญญาของมนุษย์ด้วยประการใดใด อันเป็นหลักศีลธรรมปกติของมนุษย์ จึงมีความหมายถึงการละเมิดสิทธิ ทั้งสิ้น มีนัยะที่ร้ายแรงคือการไม่เคารพในความเป็นมนุษย์ ฉะนั้น ศีลธรรมของระบอบใหม่นี้จึงสรุปลงในคำ ๆ เดียวคือ สิทธิ
ในประ เด็นของ หน้าที่ มนุษย์ย่อมถูกกำหนดหน้าที่ให้เองโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ทำให้มนุษย์ประพฤติหรือปฏิบัติไปตามกรอบแห่งหน้าที่โดยปกติ นับแต่มีความกำเนิดมาเป็นมนุษย์ เป็นต้นว่ามนุษย์มีหน้าที่ของความเป็นบิดา มารดา มีหน้าที่ทำมาหากิน มีหน้าที่ปกครอง มีหน้าที่ป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของตน มีหน้าที่ป้องกันที่อยู่อาศัย มีหน้าที่ขับไล่ผู้รุกราน มีหน้าที่ตามการได้รับมอบหมายโดยชอบธรรม หมายถึงพวกข้าราชการ ผู้ปกครอง รัฐบาล หรือ คณะรัฐมนตรี คณะตุลาการ ผู้พิพากษาศาล รัฐสภา หรือตำรวจ ทหาร ที่ได้รับมอบหมายจากประชาชน ซึ่งหมายความว่าหน้าที่กับความเป็นมนุษย์เป็นของคู่กันโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว ทุกคนจึงมีหน้าที่ และเมื่อมีหน้าที่แล้วก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ หากไม่ปฏิบัติหน้าที่ นั่นหมายถึงความขาดไปจากความเป็นมนุษย์ และเมื่อมนุษย์ต้องกระทำหน้าที่แล้ว ย่อมเป็นการชอบธรรมทั้งสิ้น ไม่อาจจะกล่าวได้ว่าการทำหน้าที่นั้นเป็นบาป หรือเป็นบุญ ตามหลักศาสนาโบราณได้เลย แต่กล่าวได้ว่าการปฏิบัติหน้าที่นั้นเป็นสิ่งปกติธรรมดา ๆ เป็นธรรมชาติของชีวิต ฉะนั้นเมื่อเราต้องปฏิบัติหน้าที่ของตน แม้ทหารต้องรบและเข่นฆ่า ประหัตประหารศัตรูผู้รุกราน จึงมีความชอบธรรมและปราศจากผลทางศาสนา(ที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์)ที่ว่าด้วย บุญ และ บาป บาป และ บุญ โดยสิ้นเชิง เพราะแท้จริงการทำหน้าที่นั้น ย่อมมีความชอบธรรมเสมอ ฉะนั้น ศีลธรรมอีกข้อหนึ่งของระบอบประชาธิปไตย จึงเป็นเรื่อง หน้าที่ รวมแล้วระบบศีลธรรมของการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน จึงอยู่ในระบบศีลธรรม 2 ประการนี้ คือ สิทธิ และ หน้าที่ และเมื่อสัจธรรมมีว่าศีลธรรมย่อมนำพาสังคมไปสู่อารยธรรมอันสูงส่ง และศีลธรรมของประชาธิปไตย คือสิทธิ และ หน้าที่ จึงเป็นศีลธรรมของยุคสมัย ยุคประชาธิปไตย ที่จะนำพาสังคมไปสู่อารยธรรมชั้นสูง คืออารยธรรมวิทยาศาสตร์ ที่เจริญก้าวหน้าสู่อนาคต โดยแท้
- บัวระย้า ชะบาบุญเศรษฐ์
18 ก.พ.2557/10.30.30 น.