วันแจ้งความแห่งชาติ
1 เมษายน พุทธศักราช 2557
ขอเพียงแค่ความเป็นธรรม
ทำไม เพราะเหตุใดจึงมีวันนี้ วันที่มีความหมายใหญ่โตชนิดที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนในโลก. ก็เพราะเหตุผลเดียวคือ มีคนกลุ่มหนึ่งในระบอบดั้งเดิมท้าทายอำนาจของประชาชน ผู้รักประชาธิปไตยทั้งประเทศ พวกเขาได้กระทำสิ่งที่ชั่วร้ายมาตลอด นับตั้งแต่มีการเคลื่อนไหวของประชาชน เพื่อการสร้างระบอบการเมืองใหม่ ให้สำเร็จไปตามเป้าหมายและตามที่กฎหมายรัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับ ให้การรับรองเอาไว้ แม้ในรัฐธรรมนูญเถื่อน(รัฐธรรมนูญโจร) ของคณะ คมช.ที่ยึดอำนาจ ทำลายระบอบประชาธิปไตยลง เมื่อวันที่ 19 กันยายน พุทธศักราช 2549 ก็ได้รับรองเอาไว้ในมาตรา 2 ว่าดังนี้
<<<มาตรา ๒ ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข>>>
และรับรองอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยเอาไว้ในมาตรา 3 4 และ 5 ดังนี้
<<<มาตรา ๓ อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้
การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม>>>
<<<มาตรา ๔ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง>>>
<<<มาตรา ๕ ประชาชนชาวไทยไม่ว่าเหล่ากำเนิด เพศ หรือศาสนาใด ย่อมอยู่ในความคุ้มครองแห่งรัฐธรรมนูญนี้เสมอกัน>>>
คนกลุ่มนั้นมีชื่อตามกฎหมายว่า ศาลรัฐธรรมนูญ หน้าตาคนพวกนี้มีปรากฎตามสื่ออย่างมากมายแล้วในขณะนี้
ความผิดของคนพวกนี้ มีอะไรบ้าง ทำไมได้ก่อความสงสัยอย่างมากมายเหลือเกินว่า พวกเขาได้กระทำความผิดอันยิ่งใหญ่ขนาดใด ถึงกับคนทั้งแผ่นดินลุกขึ้นมาต่อต้าน และแจ้งความกันทั้งแผ่นดิน จนตั้งชื่อว่าวันแจ้งความแห่งชาติ
1. เป็นกลุ่มคนผู้ทำหน้าที่อย่างทุจริต ผิดกฎหมาย และ สร้างกฎหมายเอาเองตามอำเภอใจ พวกเขาได้สร้างมาตรฐานการวินิจฉัยที่ผิดเอาไว้ในระบบการยุติธรรมแห่งชาติ โดยทำการตีความกฎหมายเอาตามอำเภอใจเพื่อประโยชน์ของตนและพวกของตนเป็นหลัก เร่ิมด้วยการตีความมาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ซึ่งบัญญํติไว้ดังนี้
<<<มาตรา ๖๘ บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ มิได้
ในกรณีที่บุคคลหรือพรรคการเมืองใดกระทำการตามวรรคหนึ่ง ผู้ทราบการกระทำดังกล่าว ย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงและยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าว แต่ทั้งนี้ ไม่กระทบกระเทือนการดำเนินคดีอาญษต่อผู้กระทำการดังกล่าว
ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้พรรคการเมืองใดเลิกกระทำการตามวรรคสอง ศษลรัฐธรรมนูญอาจสั่งยุบพรรคการเมืองดังกล่าวได้
ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคการเมืองตามวรรคสาม ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคการเมืองที่ถูกยุบในขณะที่กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นระยะเวลาห้าปี นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งดังกล่าว >>>
ศาลรัฐธรรมนูญ หรือที่รู้จักกันในมวลชนว่า ตลก.รัฐธรรมนูญ ได้ละเมิดมาตรา 68 วรรค 2 ที่บัญญัติไว้ว่า <<<ในกรณีที่บุคคลหรือพรรคการเมืองใดกระทำการตามวรรคหนึ่ง ผู้ทราบการกระทำดังกล่าว ย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงและยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าว แต่ทั้งนี้ ไม่กระทบกระเทือนการดำเนินคดีอาญาต่อผู้กระทำการดังกล่าว>>>
โดยที่ในตัวบทกฎหมาย การรับเรื่องราวที่มีผู้เสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการนั้น จะต้องยื่นที่อัยการสูงสุด ไม่มีข้อความใดในบทบัญญัตินี้ ที่อนุญาตให้ยื่นโดยตรงต่อ ศาลรัฐธรรมนูญได้ ........ และ ไม่มีข้อความใดที่ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญจะอาจสามารถรับเรื่องราวได้เอง
ฉะนั้น เราจึงจะเห็นได้ว่า การบัญญัติไว้เช่นนี้ ย่อมเป็นการชอบธรรม ในแง่ที่ว่า อัยการสูงสุดก็จะเป็นผู้ทำการกลั่นกรองเรื่องราวเสียก่อน และกฎหมายให้อำนาจตรงนี้แด่อัยการสูงสุดก็เพื่อที่ระบบการยุติธรรมตรงนี้จะเป็นการกระทำการโดยความสุขุมรอบคอบ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแด่ทั้งฝ่ายจำเลยและฝ่ายโจทก์...และในสมัยนี้ ย่อมเป็นธรรมแด่ประชาชนพลเมืองด้วย ในเมื่อ ศาลรัฐธรรมนูญได้กระทำการโดยไม่มีอำนาจ หรือไม่มีบทบัญญัติให้อำนาจไว้ โดยรับเรื่องราวเสียเองโดยตรงเช่นนี้........ ก็มีนักกฎหมายให้ความวินิจฉัยไว้ทั่วไปเอิกเกริกอยู่แล้วว่า ท่านได้กระทำการเกินอำนาจหน้าที่ของท่าน ........
ในตรงนี้ อาจจะอธิบายตามหลักการของระบอบประชาธิปไตยได้ว่า กฎหมายได้กำหนดหน้าที่ไว้ต่างกัน ในมาตรานี้ได้กำหนดให้อัยการสูงสุดเป็นผู้รับเรื่อง และ กลั่นกรอง ซึ่งมีความเหมาะสมแก่สถานะของอัยการสูงสุด เหมาะสมแก่ความรู้ ความสามารถ และหน่วยงานที่อาจจะประสานในเรื่องข้อมูลได้อย่างดีกับฝ่ายอำนาจบริหาร หรือตำรวจ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายอื่น ๆ ของรัฐบาล ส่วนท่านเป็นศาล ท่านมีหน้าที่อย่างเดียวคือ ดำรงตนอย่างตรงไปตรงมา ท่านต้องทำตนเหมือนเป็นพระรูปหนึ่ง (มีธรรมะคือ อุเบกขา) นั่นคือ พิจารณณาคดีไปตามข้อมูล หรือข้อเท็จจริง แล้วเอาหลักกฎหมายที่มีอยู่มาตัดสิน หากไม่มีกฎหมาย ก็จะต้องยกประโยชน์ให้จำเลย จึงจะเป็นความยุติธรรม
เนื่องจากยุคนี้เป็นยุคที่ประชาชนเจริญ หมายถึงมีความรอบรู้กว้างขวาง มีอิสรภาพในการแสวงหาความรู้ มีเสรีภาพที่จะโต้แย้งเชิงวิชาการกับใคร ๆ ก็ได้และไปยุติที่การมีเหตุผล ยอมรับในเหตุผลของกันและกัน นี่คือลักษณะประชาชนในระบอบประชาธิปไตย ที่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังเผชิญอยู่
ข้อสำคัญก็คือคำว่า หน้าที่ ซึ่งหมายถึง อำนาจ และความเป็นใหญ่เฉพาะตนนั้น หมายถึงสิ่งที่ให้ความเป็นธรรมชาติของหลักการประชาธิปไตยข้อสำคัญคือหลักความเสมอภาค (EQUALITY) โดยเอาความชอบธรรมที่้จะเสมอกันจากหน้าที่ของคนแต่ละคนที่มีอยู่ว่ามีความสำคัญพอ ๆ กัน เสมอกันทั้งสิ้น บุคคลทุกคนต่างมีหน้าที่ทุกคน และทุกคนมีความเสมอกันที่หน้าที่อ อันเป็นหลักการสำคัญของระบอบประชาธิปไตย หากเราไม่เคารพในหน้าที่ของคนอื่น ไปก้าวก่ายเสีย ก็จะเป็นการกระเกินหน้าที่ การทำเกินหน้าที่ก็ไม่เป็นความเสมอภาค ไม่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งตรงนี้ตุลาการ ผู้พิพากษาทั้งหลายจะต้องฟังในหลวงทรงดำรัสไว้ เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2549 นี่เอง มีข้อความสำคัญว่า
<<<เดี๋ยวนี้ยุ่ง เพราะว่าถ้าไม่มีสภาผู้แทนราษฎรไม่มีทางจะปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย. มีของเรามีศาลหลายชนิด มากมาย แล้วมีสภาหลายแบบ และก็ทุกแบบนี่จะต้องเข้าใจกัน ปรองดองกัน และคิดทางที่จะแก้ไขได้. นี่พูดเรื่องนี้ค่อนข้างจะประหลาดหน่อย ที่ขอร้องอย่างนี้ แล้วก็ไม่อย่างนั้นเขาก็จะว่าต้องทำตามมาตรา 7 มาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญ. ซึ่งขอยืนยัน ยืนยันว่ามาตรา 7 นั้น ไม่ได้หมายถึงให้มอบให้ พระมหากษัตริย์มีอำนาจที่จะทำอะไรตามใจ ไม่ใช่. มาตรา 7 นั้นพูดถึงการปกครองแบบมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไม่ได้บอกว่าให้พระมหากษัตริย์ตัดสินใจทำอะไรได้ทุกอย่าง. ถ้าทำเขาจะต้องว่าพระมหากษัตริย์ทำเกินหน้าที่. ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยเกิน ไม่เคยทำเกินหน้าที่. ถ้าทำเกินหน้าที่ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย. >>>
ตามระราชดำรัสนี้ ทรงขอยืนยันอะไร?.............ทรงยืนยันว่า มาตรา 7 นั้นไม่ได้หมายถึงให้มอบให้พระมหากษัตริย์มีอำนาจที่จะทำอะไรตามใจ.........
ทรงตรัสชัดเจนว่า ถ้าทำเกินหน้าที่ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย...... เห็นไหม?
และทุกถ้อยคำพระราชดำรัส ล้วนมีความหมายต่อระบอบประชาธิปไตยทั้งสิ้น โปรดศึกษาให้เข้าใจ ...คำว่า ถ้าไม่มีสภาผู้แทนราษฎรก็ไม่มีทางจะปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย......... เข้าใจไหม เป้าหมายคืออะไร ?.......การเลือกตั้ง เท่านั้น
ในกรณีมาตรา 68 นี้ การที่ศาลรัฐธรรมนูญ ไปรับเรื่องเอาเอง โดยไม่ผ่านอัยการสูงสุด...ตามที่กฎหมายมาตรานี้บังคับเอาไว้ นั้น จึงเป็นการกระทำความผิด...และธรรมดาเมื่อบุคคลกระทำความผิดย่อมต้องมีโทษ ท่านก็ต้องได้รับโทษ ฐานทำเกินหน้าที่ ต้องตามพระราชดำรัสของในหลวงนี่เอง
และในระบอบประชาธิปไตย ถือว่าไม่เคารพสิทธิของอัยการสูงสุด...สิทธิที่จะทำหน้าที่ของเขา ท่านไปก้าวล่วงสิทธิของคนอื่น นั้นเป็นความรู้ขั้นต้นของระบอบประชาธิปไตย และเมื่อมีใครละเมิด ผู้นั้นก็ต้องได้รับโทษ เช่นเดียวกัน ....ตามหลักของพุทธศาสนาที่ว่าไว้ว่า กลฺยาณการี กลฺยานํ ปาปการี จ ปาปกํ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว (ไม่ละเว้น) ศาสนาอื่น ๆ ก็ไม่ละเว้นเช่นกัน จึงมีวันสิ้นโลกในศาสนาคริสต์ วันกิยามะ ในศาสนาอิสลาม ซึ่งเมื่อถึงวันสิ้นโลก คนทั้งปวงจะได้รับการพิพากษาชำระโทษอย่างไม่ละเว้น
อีกอย่างหนึ่ง มาตรา 68 นี้ ได้กล่าวถึงเรื่องราวที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งของระบอบประชาธิปไตย นั่นคือ เรื่องของอำนาจนิติบัญญัติ กับเรื่องของอำนาจบริหาร .... เพราะระบอบประชาธิปไตยจะจัดการให้อำนาจบริหาร นิติบัญญัติ มีทิศทางไปสู่การสร้างสรรค์อันยิ่งใหญ่ของประเทศ จึงต้องมีเส้นทางที่ทรงพลัง สง่างาม ภายใต้ความต้องการ ความปรารถนาของประชาชน อันไม่อาจจะมีองค์กรหนึ่งใดขัดขวางยับยั้งได้ นอกจาก ประชาชน เท่านั้น ซึ่งระบบเช่นนี้ เราชาวไทยยังต้องเรียนรู้อยู่อีกมาก
ในเมื่อศาลรัฐธรรมนูญ ทำเกินหน้าที่ ไปโดยไม่ตระหนักในความสำคัญของเรื่องราวที่ตนตัดสิน ทำการตัดสินไปอย่างลวก ๆ ไม่รอบคอบ ไม่รู้สาระที่แท้จริงของเรื่องราวที่ตนตัดสิน(เช่นกรณี ปปช.ตัดสินคดี 2 ล้าน ล.เพื่อพัฒนาระบบคมนามคม ของพรรคเพื่อไทย รัฐบาลยิ่งลักษณ์ นายสุพจน์ ไข่มุกด์ และนายวิชา มหาคุณ กก.ปปช กล่าวว่า ไม่เหมาะสม เพราะสิ้นเปลืองเงินทองจำนวนมหาศาล และมองว่าการเป็นหนี้เป็นสิ่งที่เลว และยังเสนอว่าควรสร้างถนนลูกรังให้ครบทุกตำบลหมู่บ้านในประเทศไทยเสียก่อน...ซึ่งบ่งบอกถึงความคิดที่ล้าหลัง ไม่เข้าใจสาระของนโยบายของพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย.....ไม่เข้าใจหลักการว่า นโยบายนั้นคือสิ่งที่ประชาชนเลือก ที่รัฐบาลต้องทำโดยปราศจากการขัดขวางของผู้หนึ่งผู้ใดโดยสิ้นเชิง ก็เพราะเจ้าของอำนาจอธิปไตยสูงสุดคือประชาชนเขาอนุมัติมาโดยตรงแล้ว ....หากมิฉะนั้น จะได้ทำอะไรเมื่อไรเล่า ? ประเทศจะเดินหน้าไปได้อย่างไร ? ฉะนั้น ถ้าได้คนอย่างตลก.รธน.นี้ปกครองประเทศไทย ก็คงไม่ทันความเจริญของโลกแน่ ๆ ประเทศไทยต้องเก็บตัวเองอยู่แต่ในกะลาเท่านั้น) และไม่มีข้อมูลทางการสืบสวนสอบสวนที่มีระบบประกันได้ว่าพร้อมพอที่จะอำนวยความยุติธรรม จึงเป็นการตัดสินไปอย่างชุ่ย ๆ สุกเอาเผากิน (วลีนี้เป็นสิ่งที่ได้รับการรับรองจากนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ผู้ซึ่งเคยเป็นอดีตประธาน ศาลรัฐธรรมนูญเอง นี่คือพยานของเรา ได้พูดวิจารณ์ศาลรัฐธรรมนูญเอาไว้ต่อสาธารณชน ที่อ้างอิงได้จริงว่า ชุ่ย สุกเอาเผากินจริง) ย่อมไปเพิ่มน้ำหนักโทษานุโทษแด่คณะกรรมการตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไปอีก ...
ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญทำการตัดสิน ให้นายสมัคร สุนทรเวช พ้นสถานะนายกรัฐมนตรี โดยไม่ได้อ้างอิงกฎหมายเลย(ไม่มีตัวบทกฎหมายให้อำนาจไว้ กระทำการเกินหน้าที่) กลับไปอ้างพจนานุกรม มาเป็นสาระสำคัญของการตัดสินความ จึงถือว่าเป็นการตัดสินที่อยุติธรรมอย่างยิ่ง และเป็นการตัดสินความที่ชุ่ย สุกเอาเผากินอย่างยิ่ง นอกจากนั้นยังบอกไปถึงพื้นฐานความรู้ความเข้าใจในหน้าที่และความรับผิดชอบของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่ตนมีหน้าที่อันยิ่งใหญ่ต้องดูแลบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและระบบกฎหมายของประเทศ แต่มันหมายความว่า ตุลาการคณะนี้ ยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าคำว่า กฎหมาย หมายความว่าอย่างไร พจนานุกรมเป็นกฎหมายหรือจึงอาจเอามาอ้างอิงได้? และไม่คำนึงสาระสำคัญของเรื่องราวที่ตนตัดสิน ว่าจะไปก่อความเสียหายอย่างไรต่อระบบการปกครองทั้งมวลของประเทศ และจะทำลายวิถีทางประชาธิปไตยไปอย่างไร ไม่คำนึง ฉะนั้นนี่จึงเป็นการกระทำผิดไปอีก เป็นเหตุให้เพิ่มโทษไปอีกอย่างที่อภัยให้ไม่ได้
และครั้นเมื่อมาตัดสินความใหญ่ คือ ยกให้การเลือกตั้ง 2 ก.พ.2557 เป็นโมฆะ เสีย นั้น มันบอกไปถึงการตัดสินความที่ตนเองตัดสินไปอย่างลวก ๆ ไม่รอบคอบ ไม่รู้สาระที่แท้จริงของเรื่องราวที่ตนตัดสิน เป็นการตัดสินความอย่างสุกเอาเผากินอย่างยิ่งอีกครั้งหนึ่ง โดยครั้งนี้ มันได้บอกไปอย่างชัดเจนเลยว่า คณะตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญ ไม่มีความรู้พื้นฐานพอที่จะเข้าใจคำว่า รัฐธรรมนูญด้วยซ้ำไป และไม่เข้าใจสาระสำคัญของเรื่องราวที่ตนตัดสินว่าเป็นอย่างไร มีผลกระทบไปอย่างกว้างขวางเพียงไร ไม่เข้าใจเชิงความหมายสำคัญของประชาธิปไตยเลยที่ว่า มันเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องไปถึงเรื่องสิทธิและหน้าที่ของปวงประชามหาชน เจ้าของอธิปไตยของประเทศ อย่างไร น้ำหนักแห่งปัญหาเป็นอย่างไร เบา หนัก อย่างไร ไม่เข้าใจทั้งนั้น จึงเป็นตัวการสร้างความเสียหายอย่างยิ่งใหญ่แก่ประเทศชาติ(เฉพาะเงินงบฯ 3,800 ล้านบาท ในการเลือกตั้งครั้งนี้ นั้นยังไม่ใช่ประเด็น เมื่อเทียบกับการเสียหายของทั้งระบบ)
ที่สำคัญ คณะตุลาการทั้ง 9 คนนี้ ไม่มีความรู้ความเข้าใจในหลักการปกครองประเทศ และวิถีทางที่จัดการปกครองประเทศที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ...ได้พิศูจน์ว่า เป็นคณะคนตาบอด ไม่รู้กฎหมาย ไม่รู้ความหมายของพระราชดำรัสที่เสมือนเป็นกฎหมายสำหรับ ศาลรัฐธรรมนูญเองโดยตรง จึงไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะปล่อยให้บุคคลเหล่านี้อยู่ในตำแหน่งที่มีความสำคัญต่อประเทศชาติเช่นนี้ อีกต่อไปแม้แต่วันเดียว .........เพราะเท่าที่ได้ทำลายประเทศชาติมาด้วยความเขลาอวิชชาของตนมาก็มากเกินพอแล้ว
นี่จึงเป็นที่ไปที่มาของวันที่ 1 เมษายน 2557 วันแจ้งความแห่งชาติ.....และเราขอเพิ่มเติมไปว่า เป็นวันแห่งเจตนารมณ์ร่วมกันของประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทั้งประเทศ จักดำรงปณิธานร่วมกันว่า ในวันหน้าถ้าประชาธิปไตยต้องเดินหน้าไปให้ได้แล้ว จะต้องชำระสะสางองค์กรที่ไร้ความเป็นธรรม ไร้ความสามารถและ ความรู้ในระบอบประชาธิปไตยนี้เสีย ที่เรียกว่าองค์กรอิสระทั้งหมดตามรัฐธรรมนูญเถื่อน รัฐธรรมนูญโจร 2550 นี้ จะต้องได้รับการชำระอย่างเรียบเกลี้ยงในอนาคตไม่ไกลนักนี้
ทำองค์กรเถื่อนเหล่านี้ให้เป็นองคกรที่ชอบธรรมตามระบอบประชาธิปไตย ทำรัฐธรรมนูญเถื่อน รัฐธรรมนูญโจร ให้ตกไป นำรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยกลับคืนมา นั่นคือระบบของประเทศนี้ทุกระบบต้องอยู่ใต้อธิปไตยของประชาชนพลเมืองไทยทั้งประเทศ .....โดยเด็ดขาด
ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆินทร์
3 เม.ย.2557 09:10:23