นิติศาสตร์เป็นศาสตร์ที่รับใช้
บทแทรกที่ 3 บทสรุป
มีข้อเท็จจริงจากวงการนิติศาสตร์ไทยขณะนี้ ที่ได้ปรากฏออกไปทั่วโลกว่าเป็นวงการที่มีวิสัยทัศน์อันคับแคบ แต่เต็มไปด้วยอัตตา ความยึดมั่นถือมั่นในทิฏฐิแห่งตน ๆ ทำให้ประเทศไทยมีปํญหาที่เกิดจากนิติศาสตร์ วงการที่คับแคบนั้น จึงมีลักษณะของปัญหาอุปมาเหมือนปัญหากบในกะลา เบ่งอวดความรู้กันและกันอยู่ในกะลาแคบ ๆ นั้น และเสมือนพวกไก่แม้เบียดเสียดกันอยู่ในสุ่มในกรงขังรอเขาเอาไปเชือดทำอาหาร แต่ก็ยังทะเลาะจิกตีกันอุตลุต นั่นคือปัญหาทิฏฐิ และอวิชชา
ในประเด็น นิติศาสตร์เป็นศาสตร์แห่งการรับใช้ แม้กระทั่งเป้าหมายแห่งนิติศาสตร์เอง คือ ความยุติธรรม นิติศาสตร์มีหน้าที่รับใช้ ความยุติธรรม นิติศาสตร์ไทยก็ยังไม่คำนึงถึง เห็นได้จากการสร้างกฎหมายเอาเอง กรณีมาตรา 68 ที่ตีความภาษาไทย ผิดไปจากความเข้าใจของคนไทยทั้งโลก ในเมื่อไปตีความคำว่า และ เป็น หรือก็ได้ เป็น และ ก็ได้ ตามอำเภอใจตนเอง ซึ่งแท้จริง เมื่อได้กระทำผิดไปแม้ครั้งหนึ่งครั้งเดียวแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญก็ควรจะได้รับการลงโทษและให้ยุติบทบาทลงเสียโดยทันที ไม่ให้มีโอกาสตัดสินความให้ประโยชน์แก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ต่อไปอีก อุปมาเหมือนภิกษุในพระพุทธศาสนา แม้กระทำผิดพระวินัยเป็นครุกาบัติครั้งเดียวครั้งแรกแล้วก็ต้องปาราชิก จะได้กระทำผิดต่อมาอีกกี่ครั้ง ๆ ก็ไร้ความหมาย เพราะความผิดสำเร็จลงตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว นี่ก็เป็นหลักการสากลของนิติศาสตร์
ในกรณีที่มีการยื่นศาลรัฐธรรมนูญ กรณีที่สภาผู้แทนราษฎรขอเสนอแก้รัฐธรรมนูญ ประเด็นวุฒิสมาชิก โดยแก้ที่มาของวุฒิสมาชิก จากหลักการเดิมที่มาจากการสรรหา เป็น มาจากการเลือกตั้ง ว่าเป็นการกระทำผิดต่อการล้มล้างระบอบประชาธิปไตย จำเลย คือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 312 คน ต้องได้รับโทษและต้องพ้นจากตำแหน่ง นั้น .... จะมีข้อกฎหมายใดอาจให้ลงโทษเช่นนั้นได้ ในเมื่อแม้ข้อกล่าวหา ก็ยังเห็นได้ว่า เขลา อวิชชาอย่างยิ่ง เพราะการเลือกตั้งย่อมเป็นหลักสากลเบื้องต้นของระบอบประชาธิปไตยอยู่แล้ว ท่านจะกล่าวหาว่า การเลือกตั้งสว.เป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตยได้อย่างไร ? โปรดมองดูที่ความเป็นธรรมและหลักวิชาที่มาที่ไปแห่งหลักการบ้าง ในขณะเดียวกัน หลักการสรรหานั้นเป็นหลักการเผด็จการ จะไม่เข้าใจเลยหรือว่าใช่หรือไม่ใช่? สำหรับประเทศไทยเรา กำลังจะปฏิรูปประเทศจากเผด็จการไปเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ จึงย่อมมีความชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว (ดูมาตรา 2 ) ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินลงโทษได้อย่างไร ? คุณจะอ้างเอาเหตุนี้ไปลงโทษ สส. สว. 312 คนนั้นได้อย่างไร ? และโดยเหตุผลทางสถานะบุคคล สส.เป็นตัวแทนประชาชน มีประชาชนทั่วประเทศนับล้าน ๆ สนับสนุนอยู่ ในฐานะคนของประชาชน(หมายความว่าคุณจะตัดสินคนของประชาชน โดยว่างเปล่าปราศจากประชาชนไม่ได้ เขา...คนนับล้าน ๆ คนมองดูคุณอยู่) แต่ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีสถานะเถื่อน ไม่ได้มาจากระบอบประชาธิปไตย ไม่ได้มาจากประชาชน แต่มาจากเผด็จการ ซึ่งไม่มีความชอบธรรมในตำแหน่งหน้าที่ตรงนี้อยู่แล้ว จะบังอาจกล้ามาปลดคนของประชาชนได้อย่างไร ? ประชาชนเขาจะยอมหรือ? (ประชาชนจะยอมให้เกิดความอยุติธรรมอย่างนี้ขึ้นได้อย่างไร?) ซึ่งกรณีเช่นนี้ ไม่เห็นต้องใช้หลักวิชานิติศาสตร์มาพิจารณาเลย เพียงเรามีสามัญสำนึกของความเป็นคน อันเป็นหลักพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น ก็ยังเห็นได้ว่า ไม่ใช่วิถีทางแห่งความเป็นธรรม หรือเป็น นิติธรรมอย่างไรเลย แต่ระวัง ทิฏฐิ และ อวิชชา(ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญต้องไปศึกษาจากหลักธรรมในพระพุทธศาสนาให้แตกฉานเสียก่อนจึงควรมานั่งในตำแหน่งนี้) จะเป็นตัวทำลายโลก
เช่นเดียวกับกรณี ถวิล เปลี่ยนศรี ในเมื่อหลักการ กฎกติกาการบริหารราชการ ย่อมให้อำนาจแก่ฝ่ายบริหารที่จะโยกย้ายข้าราชการ ทั้งฝ่ายการเมืองและประจำได้อยู่โดยปกติหลักการสากลของการบริหารราชการ หรือหลักรัฐประศาสนศาสตร์อยู่แล้ว ก็จำเป็นจะต้องไปฟ้องร้อง เป็นคดี เป็นความใหญ่กันขึ้นมา และจะต้องมีการตัดสินลงโทษอย่างฉกาจฉกรรจ์ ถึงต้องปลดนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ ได้อย่างไร ? จะมีการตัดสินให้เรื่องราวมันวุ่นวายไปขนาดนั้นไปทำไม ?
นี่คือปัญหาทิฏฐิ และอวิชชา เมื่อวิเคราะห์ตามหลักสัจธรรมแห่งพระพุทธศาสนา มันเป็นปัญหาอวิชชา ในแง่ที่ว่า เหมือนกับเด็กเล่นไม้ขีดไฟ ไปใกล้คลังน้ำมันเบนซิน จะทำการเผาบ้านเผาเมืองและเผาตัวเองไปด้วยโดยไร้เดียงสา ท่ามกลางสายตาชาวโลกที่มองอย่างระทึกตกอกตกใจอยู่ขณะนี้ มันเป็นปัญหาทิฏฐิ ในแง่ที่ว่าศาลรัฐธรรมนูญ ยึดมั่นว่าตนเป็นคนสำคัญเหนือองค์กรอื่น และมีนักวิชาการพยายามจะให้เกิดทิฏฐิเช่นนี้เพื่อประโยชน์ของพวกเขา(เช่น นายบวรศักดิ์ อุวรรโณ ยกว่าศาลรัฐธรรมนูญควรเป็นศาลที่มีอำนาจสูงสุดในการตัดสินชี้ขาดปัญหาการบริหารประเทศ)ซึ่งตามหลักประชาธิปไตยแล้ว มันจะต้องไม่ได้สำคัญเหนือองค์กรอื่น แต่ต้องเป็นแบบเสมอภาค เข้าไหม? (อำนาจทั้ง 3 คือ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ต่างเป็นใหญ่ในหน้าที่ของตน ๆ ตรงไหนเป็นหน้าที่ของใคร ใครมีความชำนาญการอย่างไร ด้านไหน ก็ให้เขาใหญ่ในตรงนั้น ทำหน้าที่ตรงนั้น เราอย่าไปก้าวก่าย ไปทำเกินหน้าที่ ไปแสดงความใหญ่เหนือเขา) ในเมื่อมีทิฏฐิอันผิดไปจากหลักการที่ถูกต้อง จึงย่อมเป็นการไม่ยุติธรรมต่อสังคม ทำสังคมวุ่นวายเสียหายอย่างสุดประมาณอยู่ขณะนี้
ฉะนั้น ไม่ต้องพิจารณาตามหลักนิติศาสตร์ที่ลึกซึ้งของนักนิติศาสตร์ไทยยุคนี้หรอก เพียงพิจารณาตามสามัญสำนึกของประชาชนผู้มีวิญญาณประชาธิปไตยเท่านั้น มันก็เห็นอะไรยุติธรรม อะไรไม่ยุติธรรมอยู่อย่างแจ่มแจ้งแล้ว
และ ความอยุติธรรมได้ปลุกกระแสต่อต้านอมาตย์ และขบวนการอำมาตย์ ซึ่งรวมถึงนิติศาสตร์ฝ่ายอำมาตย์ที่โง่เขลาอวิชชานี้ด้วย ...มาอย่างตลอดต่อเนื่อง จนกลายเป็นพลังอันชอบธรรมและทรงพลังขณะนี้แล้ว หากจะทำการตัดสินเรื่องราวอันไร้สาระให้กลายเป็นเด็กเล่นไม้ขีดไฟอยู่ต่อไปอีก ก็เท่ากับว่า เราไม่ได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติมมาเลย ปัญหาไม่ได้ถูกแก้ไขจากองค์ที่มีหน้าที่แก้ไขให้ความยุติธรรมได้ กลับสร้างปัญหาอันยิ่งใหญ่เสียเอง แล้ว มันก็ต้องเดือดร้อนถึงประชาชนทั่วประเทศผู้รักความยุติธรรม ที่ต้องลุกขึ้นมาต่อสู้กำจัดอธรรมเสียให้สิ้นไปทั้งโคตร นี่คือโอกาสของการปฏิรูปประเทศไทยครั้งสำคัญ ที่ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยจะไม่พลาดโอกาสอย่างแน่นอน
ยอดเยี่ยม ยิ่งยง
27 เม.ย.2557 08.30.20 น.
คลิกอ่านเรื่องที่เกี่ยวข้องกัน : -
บทแทรกที่ 1
บทแทรกที่ 2
ต้นเรื่อง :-
นิติศาสตร์เป็นศาสตร์ที่รับใช้
เวบบอร์ด เปรมตินสูลานนท์ ถูกบันทึกในช่องคนเลว