หน้าแรก | หน้ารวมกลุ่มเว็บบอร์ด | School of Horasatra | นิทานสนุก | ประวัติ 16 ตอนจากนสพ.ดี |
เค้าโครงการเศรษฐกิจ ดร.ปรีดี พนมยงค์ | |
เค้าโครงการเศรษฐกิจ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม(ปรีดี พนมยงค์)
ข้อที่ควรระลึกในการอ่านคำชี้แจงนี้
การคิดที่จะบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎร์นี้ ข้าพเจ้าได้เพ่งเล็งถึงสภาพอันแท้จริง ตลอดจนนิสสัยใจคอของราษฎรส่วนมากว่า การที่จะส่งเสริมให้ราษฎรได้มีความสุขสมบูรณ์นั้น ก็มีอยู่ทางเดียว ซึ่งรัฐบาลจะต้องเป็นผู้จัดการเศรษฐกิจเสียเอง โดยแบ่งการเศรษฐกิจนั้นออกเป็นสหกรณ์ต่าง ๆ ความคิดที่ข้าพเจ้าได้มีอยู่เช่นนี้ ไม่ใช่เป็นด้วยข้าพเจ้าได้มีอุปาทานผูกมั่นอยู่ในลัทธิใดๆ ข้าพเจ้าได้หยิบเอาส่วนที่ดีของลัทธิต่าง ๆ ที่เห็นว่าเหมาะสมแก่ประเทศสยามแล้ว จึงได้ปรับปรุงยกขึ้นเป็นเค้าโครงการ
แต่มีข้อควรระลึกว่า การจัดบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจนั้น ย่อมมีลัทธิอยู่มากมายหลายอย่าง แต่ผู้ที่นิยมนับถือในลัทธิต่าง ๆ ยังมิอาจที่จะทำความตกลงกันได้ ทั้งนี้ศาสตราจารย์เดสชองป์ส์แห่งมหาวิทยาลัยกรุงปารีสได้กล่าวไว้ว่ามีอยู่ ๓ ประการ
๑. เพราะบุคคลทุกคนยังไม่รู้ลัทธิต่าง ๆ การไม่รู้นี้เป็นโดยไม่ตั้งใจ เช่นผู้ที่ไม่ได้ศึกษาหรืออ่านตำราที่แท้จริงของลัทธิต่าง ๆ บุคคลผู้นั้นก็มิอาจที่จะทำความตกลงอย่างไรได้
๒. เพราะตั้งใจจะไม่รู้ เช่น บุคคลที่ได้ยินได้ฟังคำโพนทนาตลาดว่า ลัทธิหนึ่งนิยมให้ฆ่าฟันกัน ริบทรัพย์ของผู้มั่งมีเอามาแบ่งให้แก่คนจนเท่า ๆ กัน เอาผู้หญิงเป็นของกลางแล้วก็หลงเชื่อตามคำตลาดและมีอุปาทานยึดมั่นในคำชั่วร้ายและไม่ค้นคว้าและสืบต่อไปให้ทราบความว่า ลัทธินั้นได้ยุยงให้คนฆ่าฟันกันจริงหรือ ริบทรัพย์เอามาแบ่งให้เท่า ๆ กันจริงหรือ เอาผู้หญิงมาเป็นของกลางจริงหรือ
๓. เพราะเหตุประโยชน์ส่วนตน กล่าวคือบุคคลที่แม้จะรู้ลัทธิต่าง ๆ ว่ามีส่วนดีอย่างไรก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ ไม่ยอมที่จะดำเนินตาม เพราะเหตุที่ตนมีประโยชน์ส่วนตัวที่จะป้องกันไม่ให้ใช้ลัทธิต่าง ๆ นั้น เช่น ลัทธิโซเชียลลิสม์ ที่ประสงค์ให้รัฐบาลเป็นผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเสียเอง เพื่อประโยชน์ของราษฎรเสียทั้งหมดดั่งนี้ ผู้ที่ประกอบอุตสาหกรรมก็ต้องไม่นิยมลัทธิโซเซียลลิสม์เพราะเกรงไปว่าประโยชน์ตนที่มีอยู่ในอุตสาหกรรมนั้นจะต้องถูกริบ หรือบุคคลที่เกลียดชังรัฐบาลด้วยเหตุส่วนตัว แม้จะรู้ลัทธิต่าง ๆ และจะเห็นว่าลัทธินั้นดีก็ตาม แต่เมื่อรัฐบาลเป็นผู้ดำเนินตามลัทธินั้น ตนเองได้ตั้งใจเป็นปรปักษ์กับรัฐบาล ก็แสร้างทำเป็นถือลัทธิหนึ่ง บุคคลจำพวกนี้จัดเป็นพวกอุบาทว์กาลีโลก เพราะเหตุที่ตนมุ่งแต่ประโยชน์ส่วนตนเป็นใหญ่ หาได้มุ่งถึงประโยชน์ของราษฎรโดยทั่วไปไม่
สำหรับประเทศสยามที่ข้าพเจ้าเคยสังเกตมายังเห็นว่ามีอีกเหตุหนึ่ง คือทิฏฐิมานะ ข้าพเจ้าเคยอ่านคำบรรยายของท่านนักปราชญ์ในสยามบางท่านซึ่งอธิบายกล่าวภัยในลัทธิหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ถามท่านผู้นั้นว่าท่านได้อ่านหนังสือจากหนังสือปรปักษ์ของลัทธินั้นคือคำเล่าลือ ได้ความว่าท่านได้ยินคำเล่าลือ ข้าพเจ้าจึงแนะนำให้อ่านหนังสือของผู้ที่เป็นกลาง ท่านอ่านแล้วและเห็นจริงว่าที่ท่านได้บรรยายมาแล้วเป็นคำเท็จ แต่เพื่อที่จะสงวนชื่อเสียงส่วนตนของท่าน ท่านก็มีทิฏฐิมานะแสร้งบรรยายอยู่ตามเดิม ทั้ง ๆ รับกับข้าพเจ้าว่าท่านผิด แต่ท่านต้องทำโดยมานะ ท่านนักปราชญ์เหล่านี้เป็นพวกอุบาทว์กาลีโลกเช่นเดียวกับ พวกที่นึกถึงประโยชน์ส่วนตนเป็นใหญ่
ฉะนั้นผู้อ่านคำชี้แจงของข้าพเจ้า ขอได้โปรดตั้งใจเป็นกลาง หลีกเลี่ยงจากเหตุชั่วร้ายดังกล่าวข้างต้นนี้และวินิจฉัยว่า เค้าโครงการที่ข้าพเจ้าคิดอยู่นี้จะช่วยราษฎรได้ตามที่คณะราษฎรได้ประกาศไว้นั้นได้หรือไม่ เมื่อติดขัดสงสัยประการใดก็ขอได้โปรดถามมายังข้าพเจ้าและเมื่อได้ยินผู้ที่แย้งด้วยเหตุใดแล้ว ก็ขอได้โปรดถามผู้แย้งว่าเหตุผลนั้นเป็นของเขาเองหรือเป็นเหตุผลที่เขาได้ยินจากปากตลาดอย่างใด พร้อมทั้งสอบถามถึงเอกสารอันเป็นหลักฐานใด ๆ ซึ่งผู้แย้งได้อ่านหรือได้พบ แล้วโปรดแจ้งมายังข้าพเจ้าด้วย การอ่านคำชี้แจงนี้ ไม่ใช่ต้องการว่าผู้มีปริญญาจึงจะวินิจฉัยได้ แม้ผู้ไม่ได้ปริญญา ถ้าค้นคว้าสืบสวนจริง ไม่เชื่อแต่ข่าวเล่าลือก็วินิจฉันได้ดีกว่าผู้ที่ไม่ค้นคว้าสืบความจริง แหล่งข้อมูล สถาบันปรีดี พนมยงค์ | |
ผู้ตั้งกระทู้ กระจกเงา :: วันที่ลงประกาศ 2010-05-16 02:27:43 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (3193297) | |
จะเห็นว่าแนวความคิดของท่าน ดร.ปรีดี พนมยงค์ เกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นการมองประโยชน์สุขของผู้ใต้ปกครองอย่างประชาชนโดยส่วนรวมเป็นหลักใหญ่ มิได้คำนึงถึงประโยชน์ขององค์กรหรือกลุ่มคณะผู้ปกครอง ในปี พ.ศ. 2475 ความคิดเช่นนี้ของประชาชนยังไม่ตกผลึก เนื่องจากในยุคนั้นระบอบอำมาตยาธิปไตยยังครอบงำความคิดของประชาชน ประกอบกับการศึกษาของคนไทยยังจำกัดอยู่ในโลกที่คับแคบ แต่ปัจจุบัน พ.ศ. 2553 เป็นโลกไร้พรมแดน ประชาชนได้รับรู้ถึงเสรีภาพทางความคิดจากความเจริญรุ่งเรืองของการต่อสู้ทางความคิดสติปัญญาของประเทศที่เจริญแล้ว และในยุคที่พรรคไทยรักไทยได้เข้ามาบริหารประเทศ ประชาชนได้ลิ้มรสประชาธิปไตยกินได้ ได้เข้าถึงสวัสดิการมากมายที่รัฐจัดหามาให้ แม้เมื่อประสบกับภัยพิบัติต่างๆรัฐบาลก็แสดงถึงศักยภาพในการแก้ปัญหาและเยียวยาให้ เช่น ชดเชยรายได้ให้เกษตรกรจากการระบาดของไข้หวัดนก หาตลาดต่างประเทศให้เกษตรกร เยียวยาผู้ประสบภัยสึนามิ แม้เมื่อถูกยุบพรรคจาก รัฐธรรมนูญปี พ.ศ.2550 แต่อานิสงส์นี้ได้ส่งผลมาถึงพรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย เพราะดำเนินตามนโยบายของพรรคไทยรักไทย คงมีเพียงกลุ่มอำมาตย์ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พรรคประชาธิปัตย์ นักวิชาการอำมาตย์ และข้าราชการอำมาตย์เท่านั้นที่หลงยุค เข้าใจอะไรไขว้เขวไปหมด ประนามนโยบายที่ประชาชนนิยมว่าเป็นทุนสามาลย์ปล้นชาติปล้นแผ่นดิน ทั้งๆที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเขามีความสุขสบายกันถ้วนหน้า และขณะนี้ผลก็ได้พิสูจน์ออกมาแล้วว่ารัฐบาลอำมาตยาธิปไตยภายใต้การนำของพรรคประชาธิปัตย์ได้สร้างความทุกข์ทรมานแสนสาหัสให้กับประชาชน จนเขาต้องออกมาเรียกร้องให้ยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนได้เป็นผู้ตัดสินใจเลือกผู้แทนมาบริหารประเทศ แม้เมื่อรัฐบาลขัดขวางด้วยอำนาจอำมหิต ประชาชนก็ไม่ยอมลดละ ถึงขนาดยอมตากแดดตากฝน นอนกลางถนนที่เต็มไปด้วยภยันตราย แต่เขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมจำนน รัฐบาลรู้หรือไม่ว่าไม่เคยมีครั้งใดที่ประชาชนออกมาต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพแล้วเขาจะไม่ชนะ เพราะธรรมชาติของมนุษยชาติไม่มีใครหรอกที่จะยอมเป็นทาสเพราะจิตใจของเขาจะทุกข์ทรมาน ทุกคนปรารถนาความเป็นไทด้วยกันทั้งนั้น เพราะจิตวิญญาณประชาธิปไตยอยู่ในชีวิตจิตใจ ในเลือดในเนื้อ แม้เขาต้องพลีชีพแต่วีรกรรมอันกล้าหาญเช่นนี้จะยิ่งเพิ่มพลังให้เพื่อนพ้อง ญาติมิตร ลูกหลานของเขายิ่งแข็งแกร่งพร้อมที่จะเป็นนักสู้ด้วยสันติ อหิงสา ปราศจากอาวุธ แล้วรัฐบาลเผด็จการจะชนะหรือ เราขอเตือนยิ่งใช้ความรุนแรงมากเท่าใด คนไทยก็จะยิ่งมองเห็นความอยุติธรรมและเขาก็จะพร้อมใจกันออกมาต่อต้านรัฐบาลมากเพียงนั้น ปล่อยให้บ้านเมืองเดินไปตามครรลองของธรรมชาติจะดีกว่าเพื่อคลี่คลายปัญหาทั้งหมด คืนความสงบสุขสู่สังคมไทย ไม่มีใครชนะใคร นอกจากการเอาชนะใจตนเองเท่านั้นเพราะมันคือชัยชนะอย่างแท้ จริง | |
ผู้แสดงความคิดเห็น กระจกเงา วันที่ตอบ 2010-05-16 03:23:47 |
ความคิดเห็นที่ 2 (3208171) | |
เค้าโครงเศรษฐกิจ และ การเมือง ของท่านปรีดี พนมยงค์ ไม่บรรลุผลในประเทศไทย เพราะ ทหาร ทหารไทยโง่เกินไป.... โง่มาจนถึงทุกวันนี้ ทหาร เป็นอุปสรรคต่อประชาธิปไตยไทยมาทุกยุคทุกสมัย
ทุกวันนี้ มีข้อพิศูจน์ชัดเจนแล้วว่า รัฐบาลตลบแตลงอยู่ต่อไปได้ เพราะทหารพอใจที่ตนเองกลับมามีอำนาจอีกครั้งหนึ่ง นี่คือความจริง เอาไว้แค่นี้ก่อน วันหลังจะสาธยายขยายความให้ฟังต่อ
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ฮ. นกฮูก วันที่ตอบ 2010-06-20 18:52:07 |
ความคิดเห็นที่ 3 (3256468) | |
น่าสงสารประเทศไทย ประเทศที่เขาพัฒนาแล้วเขาให้ความสำคัญกับการได้รัฐบาลเก่งมีความรู้ความสามารถ สนใจปัญหาและความเป็นอยู่ของประชาชน มีแต่ประเทศไทยนี่แหละที่มีการปฏิวัติรัฐประหารเพื่อคอยยัดเยียดรัฐบาลเด็กอ่อนด้อยความสามารถไม่ทันโลกไม่ทันเศรษฐกิจ คนไทยจำนวนมากจึงมีความเป็นอยู่ที่ยากจนขาดโอกาส คอยรอความหวังจากลาภลอยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาลไปวันๆ แต่ตอนนี้ประชาชนที่ฉลาดก็มีมากแล้ว เขาคงไม่ยอมให้พวกล้าหลังมานำพาความยากจนต่อไปได้ ดูซิเหตุการณ์ตั้งแต่ ตุลาคม 2516 มาบัดนี้ 37 ปีแล้วเขายังสู้อยู่และมากขึ้นๆเรื่อยๆ มีทุกเพศ ทุกวัย ทุกอาชีพ แม้แต่เด็ก 5-6 ขวบยังเห็นไปเรียกร้องประชาธิปไตยกับพ่อแม่เย้วๆกับเขา บรรยากาศเช่นนี้ไม่เคยปรากฏมาก่อน คิดดูแล้วกันว่าผู้ใหญ่ที่หัวใจรักประชาธิปไตยมีจำนวนเท่าไร แล้วเมื่อรวมกับประชากรเด็กซึ่งจะเติบโตไปเรื่อยๆ ใครล่ะจะมาครอบงำจิตวิญญาณเขาได้ เด็กเหล่านี้แหละจะเปลี่ยแปลงประเทศไปสู่ยุคเสรีนิยม ระบอบไดโนเสาร์จะต้านทานไหวหรือ วิธีที่จะอยู่ได้ก็คือการปรับตัวให้เข้าใจโลกในยุคโลกาภิวัฒน์ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น กระจกเงา วันที่ตอบ 2010-10-23 20:44:22 |
[1] |
Copyright © 2010 All Rights Reserved. |
Visitors : 115482 |