ReadyPlanet.com


ศอฉ.มีอำนาจจับพระสึกได้จริงหรือ ?


เรียนผู้รู้ ช่วยตอบให้คลายสงสัยด้วยเพราะมีภาพข่าวแพร่สะพัดว่า ศอฉ. จับพระสงฆ์ที่เข้าร่วมชุมนุมสึกและขังอยู่ในเรือนจำ พร้อมกันนี้ได้มีผู้สื่อข่าวไปสัมภาษณ์ ดร.อำนาจ  บัวศิริ ผอ.สำนักพุทธมณฑล และเลขาธิการมหาเถระสมาคม ...ให้สัมภาษณ์ว่ารัฐสามารถจับดำเนินการกับพระสงฆ์ได้ถ้าทำผิด พรก.ฉุกเฉิน ในฐานะที่ดิฉันเป็นชาวพุทธได้ศึกษาเกี่ยวกับพระธรรมวินัยมาพอสมควร พระสงฆ์ท่านไม่ได้ทำผิดพระวินัยร้ายแรง ทำไมมหาเถรสมาคมจึงไม่คุ้มครองสงฆ์ และใช้กระบวนการทางพระธรรมวินัยมาตัดสิน  แต่กลับปล่อยให้ฆราวาสมาจัดการพระดูไม่เหมาะสม ไม่แน่ใจว่าท่านทำผิดอะไร และเป็นการเสียหายต่อพระธรรมวินัย  ต่อสถาบันสงฆ์โดยรวม  เนื่องจากในหลักพระธรรมวินัยมีบทบัญญัติพิจารณาความผิดของสงฆ์ตั้งแต่เบาไปหาหนักและยึดหลักของเมตตาธรรม แต่ฆราวาสกลุ่มนี้ตัดสินโดยลุแก่อำนาจของโทสะ ที่สำคัญดิฉันได้อ่านข้อคิดเห็นที่คนจำนวนมากเข้าไปคุยในเว็ปบอร์ดในหลายเว็ปไซต์ พากันด่าบริภาษพระสงฆ์เสียๆหายๆ จนน่าใจหายว่าพระพุทธศาสนาจะดำรงอยู่ได้อย่างไร ดิฉันไม่อยากให้ท่านตอบเฉพาะในเว็ปบอร์ด แต่อยากให้ท่านผู้รู้ได้สื่อสารถึงคณะสงฆ์และมหาเถรสมาคมด้วย  ว่าท่านเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าต้องกล้าหาญที่จะปฏิบัติตามพระธรรมวินัย มิใช่ทำตามอำนาจรัฐที่มืดบอดไม่เห็นคุณของพระพุทธศาสนา  



ผู้ตั้งกระทู้ กระจกเงา :: วันที่ลงประกาศ 2010-06-07 00:14:47


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (3202050)

 

ไม่มีผู้รู้หรอกครับ  กระจกเงา    มีแต่กาฝาก   ถ้าให้สัมภาษณ์อย่างที่ว่า   ก็น่าจะปลดออกได้..............

คนในสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ  แห่งจังหวัดก็ดี    ไม่มีความรู้อะไรหรอก  .   ฉวยโอกาสมาทำมาหากินเท่านั้นเอง......  เชื่อสิ.....

และเป็นยอดประจบประแจงที่สุดในหมู่คน    ปกติก็ประจบประแจงพระผู้ใหญ่  .......  

บัดนี้  ดีชั่วไม่คำนึง      ประจบประแจง  ศอฉ.........   ก็เท่านั้น.......

ผู้แสดงความคิดเห็น ไพสิฏฐ์ คีตะวัน วันที่ตอบ 2010-06-07 23:01:41


ความคิดเห็นที่ 2 (3202055)

เลขาธิการมหาเถรสมาคมจะต้องมีความรู้อย่างยิ่งเกี่ยวกับหลักตัดสินตามพระธรรมวินัย รวมไปถึงพระผู้ใหญ่จะต้องมีความสามารถและกล้าหาญในการท้วงติงการกระทำที่ไม่ชอบของรัฐบาลต่อพระสงฆ์ อย่าลืมว่าฐานะของท่านและหน้าที่ที่สำคัญของท่านคือการต่อสู้ทางสติปัญญาที่จะนำพาการพระศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง ให้ชาวพุทธได้มีความเข้าใจในบทบาทของสงฆ์เมื่อทางฝ่ายโลกเขาขัดแย้งกัน และเมื่อรัฐบาลลุแก่อำนาจโดยมิชอบด้วยธรรม  ท่านต้องชี้แนะเตือนสติ ดูตัวอย่างฆราวาสบางท่าน บางองค์กรที่เขาทนเห็นความอยุติธรรมไม่ได้  ความไม่ชอบมาพากลของการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของประชาชน เขากล้าเขียน  กล้าวิจารณ์การทำงานของรัฐบาลอย่างตรงไปตรงมา เพราะเขามีจิตสำนึกว่าเขาเป็นนักคิดที่ต่อสู้ด้วยความบริสุทธิ์ใจบนอุดมการณ์ของความเป็นนักวิชาการที่ต้องนำเหตุผล นำความจริงมาตีแผ่  หากปล่อยให้ประชาชนถูกเอารัดเอาเปรียบถูกกลั่นแกล้งข่มเหงรังแก  ในที่สุดประเทศไทยจะสูญสิ้นความเป็นนิติธรรม นิติรัฐ และสุดท้ายจะเดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้า อย่าให้ชาวพุทธต้องผิดหวังจากสถาบันสงฆ์อีกเลย ลาภ ยศ สรรเสริญเป็นความว่างเปล่า มิได้มีค่าแต่ประการใด ความถูกต้องเป็นธรรมต่างหากที่ท่านต้องรักษาไว้  เพราะเป็นการสืบพระพุทธศาสนาให้มั่นคง

 

ผู้แสดงความคิดเห็น กระจกเงา วันที่ตอบ 2010-06-07 23:25:00


ความคิดเห็นที่ 3 (3202066)

 

ทำไมไม่มองให้กว้าง ๆ  ว่าพระสงฆ์นั้นย่อมมีบทบาทควบคู่ไปกับสังคม-การเมืองเสมอ ตามควรแก่กรณี  การมองตามหลักกฎหมาย หรือความอาญาแผ่นดิน  ตามหลักกฎหมายท่านก็ให้มองที่เจตนา  เสมอเหมือนกับหลักพระธรรมวินัยเช่นกัน  ที่ถือเจตนาเป็นหลักการตัดสินเบื้องต้น( ดังเช่นมีตัวอย่างมาแต่เดิมพระภิกษุหมอยา  ให้ยาคนป่วยเกินขนาดไป  คนป่วยเสียชีวิต  มิต้องอาบัติปาราชิก  เพราะ ภิกษุมิได้มีเจตนาฆ่าให้ตาย  แต่มีเจตนาช่วยชีวิต   เช่นนี้ก็เอาผิดท่านไม่ได้ ไม่ถือว่าผิด)    เช่นเดียวกันกับที่กล่าวหาท่านว่าผิดกฎหมาย  ไม่ว่ากฎหมายอาญา หรือ พรก.ฉุกเฉิน  ก็ต้องพิจารณาจากเจตนาของท่าน 

แต่สิ่งที่เป็นความชอบธรรมของพระสงฆ์ที่มายุ่งกับการเมืองก็เพราะ  การเมืองไร้ความเป็นธรรม   ท่านมิได้มีเจตนามาก่อกวนหรือกระทำผิดอาญาแต่อย่างใด

เร็ว ๆ นี้   ดูที่พม่า   พ.ศ. 2550  เมื่อมีพระสงฆ์เข้าร่วมเดินขบวนกับฆราวาสถึง 30,000 รูป รวมกันเป็น 1 แสนคน/รูป   ท่านก็มีเจตนาช่วยชาติบ้านเมือง ให้เป็นประชาธิปไตย  เหมือนพระไทยเราคราวนี้แหละ      ฉะนั้นพิจารณาความผิดของพระสงฆ์  ควรมองที่เจตนาของท่านก่อน   ...................................แม้วันนี้ยังเห็นไม่ชัดเจน  ก็จะเห็นในวันข้างหน้าเมื่อไทยเราเป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์แล้ว   

ดูที่เวียดนาม  ยุคโงดินเดียม ปกครอง    กดขี่ข่มเหงชาวพุทธ และปกครอง 2 มาตรฐาน  ชาวคริสต์มาตรฐานหนึ่ง  ชาวพุทธอีกมาตรฐานหนึ่ง   พระภิกษุก็ออกมาประท้วงร่วมกับชาวพุทธ   จนกระทั่ง พระภิกษุ  ตรี กวาง ดึ๊ก  เผาตัวเองประท้วง  เป็นข่าวไปทั่วโลก ยุคเดียวกับที่เมืองไทยมีความเรื่องเขาพระวิหาร   จนประเทศได้ความเป็นธรรมมา  ไม่มี 2 มาตรฐานระหว่างชาวคริสต์กับชาวพุทธอีกต่อไป   อย่างนี้ก็เห็นแล้วว่า  น้ำใจพระ  เป็นอย่างไร        ท่านไม่มีเจตนาร้ายหรอก   ท่านมีแต่เจตนาดี  

ดูที่ธิเบต   สงฆ์ท่านมาเกี่ยวข้องกับบ้านเมืองโดยตรง  ก็เพราะท่านมีเจตนาดีทั้งนั้น 

เพราะฉะนั้น   ทางฝ่ายบ้านเมือง   ระวังอย่าเอาข้อหาผิดอาญามาใส่ความพระสงฆ์เลย   ..........   เพราะท่านไม่มีเจตนา อย่างแน่นอน.....เพราะท่านเป็นพระ....... และด้วยเจตนาพระนี้    ตามหลักกฎหมายก็ย่อมจะเอาผิดไม่ไดอยู่แล้ว  พอ ๆ กับหลักพระธรรมวินัย ดังยกตัวอย่างมา  

และพระในที่นี้คือ  พระสงฆ์  ที่สังกัดมหาเถรสมาคม  ถูกต้องตามพระธรรมวินัยและกฎหมาย   เรียกว่าคณะสงฆ์ไทย     ........     และอยู่ในธรรมวินัยอันดีงาม      แต่คำว่าธรรมวินัยอันดีงามนี้    อย่าไปตีความว่า    ต้องเหมือนคณะนักบวชกินผักสันติอโศก หรือคณะสงฆ์เทียมนั่น   อย่างพวกนายจำลอง ศรีเมือง  ที่โฆษณาชวนเชื่อว่าพระต้องมีเมตตา ต้องละกินเนื้อสัตว์  กินแต่ผักเท่านั้น   พระที่กินเนื้อคือยักษ์คือมาร ไม่ใช่พระ  (เอาดีเข้าตัว เอาชั่วใส่คนอื่น   ............   เรื่องยาว)    ต้องมองกว้าง ๆ ไกล ๆ  เป็นสากล        

ประเด็นในที่นี้ก็คือ   พระท่านไม่มีเจตนาทำความผิดอาญา   เพราะท่านเป็นพระ.........  ด้วยหลักเจตนานี้  ทาง ศอฉ. จึงพึงรีบปลดปล่อยพระออกมาเสียจากเรือนจำ ที่คุมขัง  หรือที่ขังไว้โดยพลัน    บาปจะทุเลาลงไปได้  

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น บานไม่รู้โรย วันที่ตอบ 2010-06-08 00:32:06


ความคิดเห็นที่ 4 (3202067)

 

ก็บอกแล้วคุณกระจกเงา   คนที่หากินกับศาสนาล้วนคนขี้ขลาดทั้งนั้น        รักตัวกลัวตายเป็นที่หนึ่ง      ตระหนี่ถี่เหนียวก็ที่หนึ่ง   และโง่เป็นที่หนึ่งอีก   ไม่รู้หรอกว่า  กลฺยาณการี  กลฺยาณํ  ปาปการี จ ปาปกํ  บางคนไปอุตส่าห์เรียนจบด๊อกเตอร์สาขาพุทธศาสนา  แต่ศีล 5 มีอะไรบ้าง ยังอธิบายไม่ได้เลย    .... อนาถ....  อำนาจ  บัวศิริ  ไปพูดอย่างนั้นได้อย่างไร      ...........     พระท่านไม่มีเจตนา..............    ไม่เคยรู้ธรรมวินัยเลยหรืออย่างไร      ?????    เจตนา........เป็นหลักการเดียวกับหลักกฎหมายทางโลกเขาเปี๊ยบเลย.........  ต่อสู้พ้นผิดได้ด้วยเจตนา..........  เหมือนพระหมอยา  ให้ยาคนตาย  แต่ไม่ต้องปาราชิก   ก็เพราะหลักเจตนา   ไม่มีเจตนาฆ่า   แต่มีเจตนาช่วยชีวิต..........(ประเด็นนี้ออกข้อสอบมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว) 

แล้วคุณอำนาจ  บัวศิริ  เชื่อได้อย่างไรหรือว่าพระที่ท่านไปชุมนุมมีเจตนาจะทำผิดกฎหมายอาญาจริง ๆ     ........     ท่านคิดจะต่อสู้ด้วยวิธีการผู้ก่อการร้ายถืออาวุธ  อย่างนั้นหรือ ?? 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ไพสิฏฐ์ คีตะวัน วันที่ตอบ 2010-06-08 00:51:07


ความคิดเห็นที่ 5 (3203167)

 

ในประเด็น  เจตนา  นี้  สำหรับพระภิกษุสงฆ์  หรือแม้นักบวชพุทธ ทั่วไป  ชาวพุทธก็น่าจะเข้าใจดีโดยหลักการของพระพุทธศาสนา ไม่เหมือนหลักการอื่น  ตรงที่เป็นศาสนาแห่งสันติและอหิงสา     ปรากฎความจริงมาในประวัติศาสตร์ ที่ไม่เคยมีสงครามศาสนาในศาสนาพุทธ  หรือกับต่างศษสนาก็ไม่มี    การมีสงครามศาสนา มีแต่ในศาสนาอื่น      และการเป็นนักบวชในธรรมวินัยของศาสนาพุทธ  มีแต่การเจริญเมตตาไปตลอด  บุคคลได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ นับพรรษา 1 เป็นต้นไป   มีแต่การเจริญกรรมฐานแห่งเมตตา   คือความปรารถนาให้มนุษย์ สังคม มีความสุข  ไม่รบราฆ่าฟันกัน  มีแต่สันติธรรมและอหิงสา ...........เป็นวิถีทางบริสุทธิ์สถานเดียว  ................   เราหมายความว่า   ในวงการพระพุทธศาสนา  ไม่มีการเจริญกรรมฐานอื่นใด.......   นอกจาก  กรรมฐานแห่งเมตตา ..........ไปจนกว่าจะบรรลุเป้าหมายสูงสุดเฉพาะตน  คือ  ถึงความบริสุทธิ์พร้อมด้วยกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม   ถึงพระเมตตาธิคุณ คือความปรานีทั่วหน้าแด่สรรพสัตว์ไม่มีประมาณ  ไม่ลำเอียง  (เช่นที่พระเยซูคริสต์ตรัสว่า   จงรักศัตรู  ถ้าศัตรูตบแก้มซ้ายของท่าน  จงเอียงแก้มอีกข้างหนึ่งให้เขาตบด้วย)    และถึงพระปัญญาธิคุณ หรือสัพพัญญุตญาณ รู้แจ้งโลก อันเป็นคุณสมบัติสูงสุดของพระบรมศาสดาแห่งพระพุทธศาสนา       

 

การที่ ศอฉ. และทหารไทย ใต้บงการของ อนุพงษ์ เผ่าจินดา จับกุมพระภิกษุสงฆ์ไป   ท่านทราบหรือเปล่าว่า  มีสงฆ์มหาเถระ  เถระ  มุตตกะ  และ  นวกะ   แยกเป็นเท่าไร ๆ รูป ???????

 

เท่าที่เห็นปรากฎมาตามนิมนต์ของเสื้อแดง ในพิธีกรรมสำคัญ ๆ ทางศาสนา เช่นวันธัมม้สวนะ  นั้น   ล้วนแต่เถระ มหาเถระ ทั้งสิ้น   .....แทบไม่มีพระนวกะ หรือพระบวชใหม่เลย.....   ท่านเข้าใจความหมายนี้หรือไม่   ..........    ????

 

นี่คือการชี้ชัดลงไปจริงว่า    ท่านไม่มีเจตนาหรอก............  ท่านทรงกรรมฐานมานานจนเป็นถึงเถระมหาเถระ  พ้นมุตตกะวิสัยไปนานแล้ว นั้น   จะมีจิตคิดร้าย  และ    ความคิดอย่างโจร  อย่างผู้ก่อการร้าย  ไม่ได้เลย   ........................

 สิ่งที่จูงใจท่านก็คือ   การต่อสู้เพื่อประชาชน   เพื่อความเป้ฯธรรมในแผ่นดิน....

 

ตัวอย่างเช่น   การต่อสู้ของสงฆ์เวียดนาม  ยุคโงดินเดียม  โงดินนู........เพราะเหตุที่การปกครอง 2 มาตรฐาน   รัฐบาลปฏิบัติต่อชาวคริสต์ด้วยมาตรฐานหนึ่ง  แต่ปฏิบัติต่อชาวพุทธ ซึ่งเป็นชนส่วนใหญ่ของประเทศอีกมาตรฐานหนึ่ง.... เช่นนี้ไม่เกิดความเป็นธรรม     หมู่สงฆ์เวียดนามจึงออกมาสนับสนุนประชาชน เรียกร้องความเป็นธรรมกลับคืนมา   และกว่าจะสำเร็จ  พระภิกษุ  ตรี กวาง ดึ๊ก  กับอีกรูปหนึ่งเพื่อนของท่าน  รวมเป็น 2 รูป   ได้ทำการประท้วงด้วยการสละเชีพ เผาตัวเองกลางถนน กรุงไซ่ง่อน.........

กรณีเช่นนี้  ต้องมองไปที่ประวัติศาสตร์ ศรีลังกา   จะคล้ายคลึงกับเวียดนาม จนกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องเดียวกัน  นั่นคือเรื่องความเป็นธรรมในสังคม   และในเหตุการณ์นั้น มีหมู่สงฆ์ออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมด้วย   จำนวนมหาศาล  จนกระทั่งศรีลังกาสามารถปลดปล่อยตนเองออกจากการครอบงำของอิทธิพลศาสนาคริสต์  ค่อยคืนอิสรภาพแด่ประชาชนชาวพุทธ  จนเป็นพุทธอิสระมาตราบปัจจุบันนี้ ศรีลังกากลับเป็ฯเมืองพุทธอีกครั้งหนึ่ง (มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติโดยพฤตินัย)  

 

ทุกวันนี้ นายอภิสิทธิ์ พูดว่า  ปรองดอง    ........     พูดโดยไม่เข้าใจหรือเปล่า   ถ้าท่านเข้าใจ  ท่านต้องมองเรื่องนี้ก่อน...

เรื่อง  การจับกุมพระภิกษุสงฆ์  และบังคับลาสิกขา  เอาเข้าคุมขังในเรือนจำขณะนี้.....

ไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างไรเลย   แต่คอยดูรัฐบาลเด็กจะทำเรื่องง่าย ๆ เช่นนี้ได้หรือไม่ ??????   หรือจะปล่อยให้เรื่องไม่เป็นเรื่องกลายเป็นเรื่องใหญ่ต่อไปอีกเช่นเคย.......

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ธรรมาชีพ ธรรมาชน ปธร. วันที่ตอบ 2010-06-09 08:30:40


ความคิดเห็นที่ 6 (3204110)

 

ในกรณีที่มีข้อกล่าวหา  หลักฐานไม่เพียงพอ  ไม่สมบูรณ์  ทางกฎหมายก็มีหลักทั่ว ๆ ไปวางเอาไว้ว่า   ยกประโยชน์ให้จำเลย   คุณอำนาจ  บัวศิริ  ไม่คิดช่วยเหลือพระสงฆ์องค์เจ้าเลยหรือ อย่างไร ?????????   ไม่ทำหน้าที่เลยหรืออย่างไร ?????   ควรพิจารณาตัวเองได้แล้ว    โดยหลัก ธรรม....   หิริ      โอตตัปปะ.........   อยู่ในวงการนี้ไม่เข้าใจได้อย่างไร ??????

 

ไปเชื่อตามเขาได้อย่างไร  ว่าพระสงฆ์เป็นผู้ก่อการร้าย      ใครยิงประชาชนในเขตอภัยทาน   ...........   วัดปทุมวนาราม  ?     นานไปความจริงก็ยิ่งเปิดเผยออกมา     วันนี้  6 ศพที่ถูกยิงในวัดปทุม   ล้วนเป็น อาสาสมัครกู้ชีพทั้งนั้น   ทหารใจร้ายขนาดนั้นได้อย่างไร   ขนาดที่พระ  เจ้าอาวาส ท่านประกาศเป็นทางการไว้แล้วว่า  เป็นเขตอภัยทาน ขอให้ประชาชนหลบภัยมา  ขอต้อนรับ  มาสู่ร่มธรรมจะปลอดภัย..... แต่ยิ่งร้ายไปกว่าปกติอีก   เพราะฆ่าประชาชนมือเปล่า  แล้วเป็นประชาชนผู้ทำกุศล คอยเยียวยาผู้บาดเจ็บ และนำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล  ยังไปฆ่าเขาอีก   นี่เป็นบาปไปอีกหลายชั้น   พอ ๆ กับไปยัดข้อหาให้พระเถระว่า  เป็นผู้ก่อการร้าย  

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อำนาจ มังคลา วันที่ตอบ 2010-06-10 14:36:13


ความคิดเห็นที่ 7 (3204131)


การถือคติว่า กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย  การใช้กฎหมายต้องเฉียบขาด เคร่งครัด  นั้น น่าจะไม่ถูกต้องสมบูรณ์   จะต้องมองเลยไปอีกประโยคหนึ่งด้วยคือประโยคสำคัญว่า    การใช้กฎหมายต้องให้ถูกกฎหมาย      เพราะกฎหมายย่อมมีหนักมีเบา    และมีการอภัย    

 

มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องในกรณีจับสึกพระสงฆ์ครั้งนี้คือ

1.     พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505
2.     พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535

มาตรา 24,   มาตรา 27-28-29-30

นอกจากนี้มี  กฎมหาเถรสมาคม ออกตามความใน พรบ.คณะสงฆ์

1.     กฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ 11 (พ.ศ.2521) ว่าด้วยการลงนิคหกรรม
2.     กฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ 21 (พ.ศ.2538) ว่าด้วยการให้พระภิกษุสละสมณเพศ 

ซึ่งจะต้องทำความเข้าใจให้ดีจริง ๆ  ไม่ใช่บุ่มบ่ามเอาตามตัวหนังสือหรือลายลักษณ์อักษรในนั้น

 

โดยสรุปก็คือ  การให้ลาสิกขาตามกฎฯ 11 นั้นทำยากอย่างยิ่ง เพราะต้องผ่านกระบวนการศาลสงฆ์ถึง 3 ระดับ  ชั้นต้น  อุทธรณ์ และ ฎีกา  จึงจะสึกพระได้     ก็จะเห็นได้ว่า การจะจับสึกพระไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ อย่างที่ ศอฉ.คิด     กรณีตามกฎฯ11 ที่โด่งดังก็คือ  ยันตระ อมโร  ที่เมื่อโด่งดังร่ำรวยแล้วถูกกล่าวหาว่าเป็นปาราชิก เสพเมถุนกับสตรีหลายคน(เช่นกับนาง จันทิมา จนมีบุตรด้วยกัน เป็นต้น)   แต่ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว  ไม่ผิด  แล้วโจทก์ไม่มีการอุทธรณ์ต่อ  ก็เลยไม่ได้มีการให้ลาสิกขาแต่อย่างใด  

 

ส่วนกฎฯ21 มีกรณี "สงฆ์ประพฤติผิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณ" (หมายถึงลหุกาบัติ)  ก็ต้องมีขั้นตอน ไม่ใช่จะจับสึกได้เลย  ขั้นแรกก็ให้เจ้าอาวาสว่ากล่าวตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษร ว่าให้กลับตัวกลับใจ ให้เวลา ก่อน   ครั้นไม่ฟังต่อมาจึง ให้เจ้าคณะอำเภอสึกให้  

กรณีที่พระมักถูกจับสึกบ่อยโดยผู้ปกครองฝ่ายสงฆ์เอง ก็คือ  พระไม่มีสังกัด  "ไม่สังกัดอยู่ในวัดใดวัดหนึ่ง หรือไม่มีวัดเป็นที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ให้พระภิกษุผู้ดำรงตำแหน่งปกครองวัด หรือพระภิกษุผู้ดำรงตำแหน่งปกครองคณะสงฆ์ในเขตท้องที่ที่พบพระภิกษุนั้น มีอำนาจหน้าที่วินิจฉัยให้พระภิกษุผู้นั้นสละสมณเพศเสียได้"       แต่กรณีอย่างนี้ เป็นเรื่องของสงฆ์เอง  เจ้าหน้าที่บ้านเมืองไม่มีอำนาจสึกได้  และคำว่า "ไม่สังกัดอยู่วัดใดวัดหนึ่ง หรือไม่มีวัดเป็นที่อยู่เป็นหลักแหล่ง"   พอพระควักหนังสือสุทธิออกมาอ้าง   เรื่องก็จบลง   ง่าย ๆ

 

กฎฯ 21 นี้ แท้จริงก็ลอกเลียนมาจาก  พรบ.เอง  คือ มาตรา 27 มี 2 กรณีที่เกี่ยวกับการชุมนุมเสื้อแดง คือ   ไม่สังกัดอยู่ในวัดใดวัดหนึ่ง  และ  ไม่มีวัดเป็นที่อยู่เป็นหลักแหล่ง      แต่การสละสมณเพศนั้นก็ต้องเป็นไปตาม  "หลักเกณฑ์ และวิธีการที่กำหนดในกฎมหาเถรสมาคม"      ไม่ใช่ง่าย.....

ที่ตรงกับข้อหาของฝ่าย ศอฉ.  ก็น่าจะเป็นบทบัญญัติในมาตรา  29   ความว่า    "มาตรา 29 พระภิกษุรูปใดถูกจับโดยต้องหาว่ากระทำความผิดอาญา เมื่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการไม่เห็นสมควรให้ปล่อยชั่วคราว และเจ้าอาวาสแห่งวัดที่พระภิกษุรูปนั้นสังกัดไม่รับมอบตัวไว้ควบคุม  หรือพนักงานสอบสวนไม่เห็นสมควรให้เจ้าอาวาสรับตัวไปควบคุม หรือพระภิกษุรูปนั้นมิได้สังกัดวัดใดวัดหนึ่ง  ให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจจัดดำเนินการให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศเสียได้"  

กฎหมายลงท้ายว่า   "ให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจจัดดำเนินการให้พระสงฆ์รูปนั้นสละสมณเพศได้"   ข้อความวรรคท้ายนี้แหละ  ที่พนักงานสอบสวน อย่าเข้าใจผิดว่าจะจับพระสึกได้เลย   เพราะกฎหมายให้ท่านไป  "จัดดำเนินการ"    คำว่าจัดดำเนินการนั่นแหละ   ต้องไปดูพฤติกรรมของพระท่าน   ว่าท่านเป็นพระอะไร   มหาเถระ  เถระ  มุตตกะ  นวกะ    มีวัดอยู่จำพรรษาที่ใด  เร่ร่อนหรือไม่????   และถ้าท่านเป็นพระมีสมณศักดิ์ อย่าลืมว่าท่านต้องได้รับบรมราชานุญาตเสียก่อน   

และประเด็นสำคัญของความสำคัญทั้งหมด เพราะได้รับการรับรอง อ้างได้ทั้งทางกฎหมายทางโลกเอง และ ทางพระธรรมวินัยโดยตรง  ก็คือ  เจตนา     ท่านมีเจตนาอะไร   มีเถยจิตหรือไม่  ฯลฯ  

และอย่าลืมไปดูมาตรา  24 

มาตรา 24 พระภิกษุจะต้องรับนิคหกรรม ก็ต่อเมื่อกระทำการล่วงละเมิดพระธรรมวินัย   และนิคหกรรมที่จะลงแก่พระภิกษุ  ก็ต้องเป็นนิคหกรรมตามพระธรรมวินัย"

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อำนาจ มังคลา วันที่ตอบ 2010-06-10 14:53:56


ความคิดเห็นที่ 8 (3204305)

 

นั่นก็คือ  ปาราชิก 4

1   อนึ่งภิกษุใด ถึงพร้อมด้วยสิกขาสาชีพของภิกษุทั้งหลายแล้วไม่บอกคืนสิกขา ไม่ทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้ง  เสพเมถุนธรรม  โดยที่สุดแม้ในสัตว์เดรัจฉานตัวเมีย เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้"

ทางรูปธรรมก็คือ   พระสงฆ์นั้น  ได้กระทำผิดปฐมปาราชิกหรือไม่   ได้พบว่าท่านมาชุมนุมแล้วเสพเมถุนธรรมกับสตรี หรือ สัตว์ตัวเมียหรือไม่   หากมีความจริงเช่นนี้  ก็ย่อมบังคับให้ท่านลาผ้าเหลือง-กาสาวพัสตร์ไปได้เลยโดยไม่ต้องมีพิธีรีตรองอะไรเลยแม้แต่น้อย

 

2     อนึ่ง  ภิกษุใด  ถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้   ด้วยส่วนแห่งความเป็นโขมย  จากบ้านก็ดี  จากป่าก็ดี  พระราชาทั้งหลายจับโจรได้แล้ว  ประหารเสียบ้าง  จองจำไว้บ้าง  เนรเทศเสียบ้าง  ด้วยบริภาษว่า  เจ้าเป็นโจร  เจ้าเป็นคนพาล  เจ้าเป็นคนหลง  เจ้าเป็นโขมย  ดังนี้   ในเพราะถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้เห็นปานใด  ภิกษุถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้เห็นปานนั้น   แม้ภิกษุนี้  ก็เป็นปาราชิก  หาสังวาสมิได้"

ทางรูปธรรมก็คือ  พระสงฆ์นั้น  ได้ทำการลักโขมยหรือไม่ และเข้าของที่ถูกโขมยมีค่าเกิน 5 มาสกหรือไม่ ?  ในขณะเกิดการปิดล้อมสลายชุมนุม พระสงฆ์ท่านถือโอกาสหยิบฉวยเข้าของตามร้านสรรพสินค้าไปบ้างหรือไม่ ? เอารถขนเข้าของคนอื่นไปหรือไม่ ?   หากพบว่าท่านได้ประพฤติเช่นนั้น  ย่อมอาจจับกุมและบังคับให้ลาสิกขาได้

 

3.    อนึ่ง  ภิกษุใดจงใจพรากกายมนุษย์จากชีวิต  หรือแสวงหาศัสตราวุธอันจะปลิดชีวิตให้แก่กายมนุษย์นั้น  หรือพรรณนาคุณแห่งความตาย  หรือชักชวนเพื่ออันตายด้วยคำว่า  แน่ะนายผู้เป็นชาย  จะประโยชน์อะไรแก่ท่าน  ด้วยชีวิตอันแสนลำบากยากแค้นนี้  ท่านตายเสียดีกว่าเป็นอยู่อย่างนี้    เธอมีจิตอย่างนี้ มีใจอย่างนี้  มีความหมายหลายอย่าง อย่างนี้พรรณนาคุณในความตายก็ดี  ชักชวนเพื่ออันตายก็ดี  โดยหลายนัย  แม้ภิกษุนี้ก็เป็นปาราชิก  หาสังวาสมิได้"

ทางรูปธรรมของข้อนี้ มี

3.1     จงใจพรากกายมนุษย์จากชีวิต      พบพระสงฆ์ที่มาชุมนุมฆ่าคนใดคนหนึ่งบ้างหรือ?    เห็นท่านประทับปืนเล็งยิงทหารหรือเปล่า????     ถ้าพบ มีความจริงเช่นนั้นก็ให้สึกท่านได้เลย

3.2      แสวงหาศัสตราวุธอันจะปลิดชีวิตให้แก่กายมนุษย์นั้น     พบท่านสะสมอาวุธ  เตรียมซุ่มซ่อนคิดการใช้อาวุธหรือไม่?   เห็นขนส่งสพายปืน หรืออาวุธสงครามเพื่อส่งบำรุงแด่ผู้ก่อการร้ายหรือไม่          ถ้าพบความจริงนี้  ก็สามารถสึกท่านได้โดยพลัน  

3.3      กล่าวชักชวนให้ฆ่าตัวตาย  ด้วยการโน้มน่าวว่า  ด้วยชีวิตอันแสนลำบากยากแค้นนี้  อยู่ทำไมไม่มีความสุข ตายไปมีความสุขกว่า    ท่านได้พบมีพระสงฆ์รูปไหนชักชวนเช่นนี้ ให้เสื้อแดงตายเสียดีกว่าหยู่หรือไม่        ถ้ามีความจริงนี้ ก็สามารถจับสึกท่านได้พลัน  

    

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อำนาจ มังคลา วันที่ตอบ 2010-06-10 17:13:15


ความคิดเห็นที่ 9 (3204320)

 

4     อนึ่ง ภิกษุใดไม่รู้เฉพาะกล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรม อันเป็นความรู้ความเห็นอย่างประเสริฐ  อย่างสามารถ น้อมเข้ามาในตนว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้  ครั้นสมัยอื่นแต่นั้น   อันผู้ใดผู้หนึ่งถือเอาตามก็ตาม  ไม่ถือเอาตาม ก็ตาม  เป็นรอันต้องอาบัติแล้ว   มุ่งความหมดจด  จะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า  แน่ะท่าน  ข้าพเจ้าไม่รู้อย่างนั้น   ได้กล่าวว่ารู้  ไม่เห็นอย่างนั้น ได้กล่าวว่าเห็น   ได้พูดพล่อย ๆ เป็นเท็จเปล่า ๆ  เว้นไว้แต่สำคัญว่าได้บรรลุ   แม้ภิกษุนี้ ก็เป็นปาราชิก   หาสังวาสมิได้"

ทางรูปธรรมก็คือ   ในที่ชุมนุมของหมู่สงฆ์เอง  ของประชาชนเสื้อแดงก็ดี  ได้มีพระสงฆ์รูปใดกล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรมขึ้นหรือไม่   มีเจตนากล่าวอวดเพื่อปลุกใจเสื้อแดงให้ฮึกเหิม ที่จะกระทำการก่อการร้ายหรือไม่     หากได้พบความจริงเช่นนั้น เว้นแต่ภิกษุกล่าวด้วยความเข้าใจตนเองผิด  ก็สามารถจับสละผ้าเหลืองอันเป็นกาสาวพัสตร์ได้  

 

ข้อสรุปก็คือ  หากพระสงฆ์ท่านกระทำผิดพระธรรมวินัยข้อปาราชิกนี้ ข้อหนึ่งข้อใดก็ตาม   ก็จะพลอยไปผิดกฎหมายอาญา ตามมาตรา 29 ไปด้วย    แต่ความผิดตามมาตรา 29  ไม่ได้ให้น้ำหนักเอาไว้ว่า จำเป็นต้องถึงให้ลาสิกขา   มีหนัก เบา  ตามลักษณะการกระทำผิด    หากความผิดอาญานั้นร้ายแรงถึงขั้น  ใช้อาวุธปืนยิงเจ้าหน้าที่เสียชีวิต  เช่นนี้  ความผิดย่อมร้ายแรง ถึงปาราชิกตามข้อ 3  ตติยปาราชิก   นั่นหมายถึงขาดจากความเป็ฯภิกษุไปโดยอัตโนมัติ  และทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองก็ไม่จำเป็นต้องจัดดำเนินการให้สละสมณเพศแต่อย่างไร        แต่หากท่านมีความผิดนิดหน่อย  เช่นผิด พรบ.กฎจราจร   ก็ย่อมไม่ถึงขั้นต้องลาสิกขา   เป็นต้น    การที่จะบังคับให้พระสงฆ์ลาสิกขา  จึงกระทำไม่ได้เว้นแต่ต้องนิคหกรรมตามธรรมวินัยขั้นปาราชิก     เท่านั้น  

การที่ ศอฉ.จับกุมพระสงฆ์ไปทำการบังคับให้ลาสิกขา   จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบธรรม   จึงควรจะเร่งพิจารณาปลดปล่อยพระสงฆ์ที่ต้องจำคุก  กักขัง  หรือขังอยู่ในสถานที่ต่าง ๆ  โดยเร่งด่วน 

และมิฉะนั้น  ย่อมอาจมีผิดตามกฎหมายอาญาแผ่นดิน ข้อที่ว่าด้วยการกักขังหน่วงเหนี่ยวให้เสียเสรีภาพ  และยังมีความผิดตาม พรบ.คณะสงฆ์ มาตรา 44 ตรี  " ผู้ใดใส่ความคณะสงฆ์หรือคณะสงฆ์อื่นอันอาจก่อให้เกิดความเสื่อมเสียหรือความแตกแยก  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"

  

ผู้แสดงความคิดเห็น อำนาจ มังคลา วันที่ตอบ 2010-06-10 18:41:02


ความคิดเห็นที่ 10 (3205724)

ทำให้สนุกเถิด แก๊งค์ ศอฉ. นรก..รอกินหัวอยู่ ทุกตัวคนที่สุมหัวกันคิด..สั่งการ..และลงมือ...

ผู้แสดงความคิดเห็น ต.เต่าหลังตุง วันที่ตอบ 2010-06-14 23:53:10


ความคิดเห็นที่ 11 (3208159)

 

แล้วก็มีพระสงฆ์ชั้นทรงสมณศักดิ์  ระดับพระราชาคณะ เสียด้วย  คือ  พระศรีอริยวํโส   เจ้าสำนัก ธรรมสถานสวนศรีอาริยธรรม ต.วังเพิ่ม อ.สีชมพู จ.ขอนแก่น  1 ในพระ 4 รูปที่ถูกทหารจับกุม วันที่ 19 พ.ค. 2553  แล้วทำการอาจเอื้อมต่อสงฆ์อย่างหยาบคาย  นำตัวไปบังคับสึก  .........  กรณีนี้  ได้มีพระบรมราชานุญาตให้ลาสิกขาแล้วหรือยัง ????   และท่านไม่มีความผิดตามพระธรรมวินัยและกฎหมาย   ไปบังคับให้ลาสิกขา  และเข้าที่คุมขัง   ได้อย่างไร ????...........(ข่าวสด และไทยรัฐ วันที่ 15 มิ.ย.2553)

แน่ละ   ท่านมีสิทธิ์เต็มที่ที่จะกลับมานุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ได้เหมือนเดิม......

 

แล้วความฉิบหายย่อมมาสู่ ศอฉ.  และ  ทหารทั้งหมด ใต้การนำของ  อนุพงษ์  เผ่าจินดา     จะหลบซ่อนไปไหนไม่พ้นสายตายมทูตแห่งนรกหรอก

 

ผู้แสดงความคิดเห็น อำนาจ มังคลา วันที่ตอบ 2010-06-20 17:59:18


ความคิดเห็นที่ 12 (3208160)

 

และชาวพุทธทั่วโลกโปรดรับทราบเอาไว้    นี่แหละที่ว่า  สุเทพ เทือกสุบรรณ  ประธาน ศอฉ.  เป็นคนผิดยุค  คือย้อนไปสู่มนุษย์ยุค 1.8 ล้านปี  โน้น  อันเป็นลิงอยู่    มีมันสมองแค่  130-140 ซีซี เท่านั้นเอง(พอ ๆ กับสมองควาย)   ซึ่งเป็นยุคมนุษย์ลิง ที่ยังไม่มีศาสนา

 

แล้วจะทนดูเขาจัดการประเทศไทยทั้งประเทศไปอย่างโง่ ๆ เช่นนี้  ได้อย่างไร ????   จะรอให้บรรลัยไปทั้งประเทศก่อนหรืออย่างไร ????

ผู้แสดงความคิดเห็น อีสานมูล วันที่ตอบ 2010-06-20 18:07:04


ความคิดเห็นที่ 13 (3209955)

(ยกมาจากกระทู้อื่นเพื่อเสริมความเข้าใจ)

เหตุใดคณะสงฆ์จึงต้องมาเรียกร้องหาประชาธิปไตย  
 
รัฐบาลพยายามออกข่าวว่าห้ามพระสงฆ์มายุ่งเกี่ยวกับการเมือง หากฝ่าฝืนจะจี้ให้มหาเถรสมาคมปราม
 
วันนี้ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม พรรคประชาธิปัตย์ขัดขวางการบรรจุพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญ เพราะคนในพรรคนี้ไม่เคยรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับคำสอนในพระพุทธศาสนาเลย ไม่เคยรู้บทบาทหน้าที่ของสงฆ์ในการทรงไว้ซึ่งความเป็นธรรม ไม่รู้ว่าการปฏิบัติตามพระธรรมวินัยสำคัญอย่างไร และประชาธิปไตยกับคำสอนในพระพุทธศาสนาสัมพันธ์กันอย่างไร
 
พระธรรมวินัยบัญญัติไว้เพื่อลงโทษบุคคลผู้กระทำชั่ว กำราบคนหน้าด้านไร้ยางอายไม่ให้เหิมเกริมและคุ้มครองคนดีให้ได้รับความเป็นธรรม ตลอดจนชี้แนะผู้ปกครองให้บริหารโดยธรรม ยึดความถูกต้องชอบธรรมเป็นหลัก ยกย่องให้เกียรติความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน เคารพมติของมหาชน หากไม่เป็นเช่นนั้นสถาบันสงฆ์ต้องออกมาเตือนสติ ชี้ว่าอะไรถูก อะไรผิดตามที่เป็นจริง เพราะวิถีชีวิตปกติของสงฆ์ต้องมีเมตตาธรรมต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายโดยปราศจากอคติทั้ง 4 ผิด-ถูกว่ากันไปตามที่เป็นจริง มีพระธรรมวินัยเป็นเครื่องร้อยรัดให้สังคมสงฆ์มีระเบียบวินัย  และเป็นธรรมดาอยู่เองที่เมื่อมีบุคคลกลุ่มหนึ่ง คณะหนึ่งใช้อำนาจบาทใหญ่ลุแก่อำนาจของโลภะ โทสะ โมหะรังแกประชาชนด้วยการริดรอนเสรีภาพ เห็นประชาชนที่มาทวงหาความยุติธรรมเป็นศัตรู สงฆ์ย่อมไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ได้ ในเมื่อผู้ปกครองเป็นคนมืดบอดมองไม่เห็นความชั่วร้ายในจิตใจตนเอง สงฆ์จึงจำเป็นต้องเป็นแสงสว่างเพื่อเตือนสติ ดังที่พระพุทธองค์ได้เคยเตือนจอมโจรองคุลิมาลมาแล้วว่า " เราหยุดแล้วแต่ท่านยังไม่ยอมหยุด และด้วยพระพุทธพจน์ที่แหลมคมนี้มหาโจรผู้โหด***มได้ละบาปและอวิชชา เกิดใหม่ทางจิตวิญญาณด้วยความเป็นอาริยชาติ ผู้ปราศจากการทำบาป "
 
พระพุทธองค์ท่านประทานโอวาทแก่สงฆ์ว่าหน้าที่ของเธอทั้งหลายคือ " เธอจงเที่ยวจาริกไปเพื่อประโยชน์สุขของมหาชน ในเมื่อมหาประชาชนชาวไทยกำลังทุกข์ร้อนทั้งแผ่นดินจากรัฐบาลเผด็จการ แล้วเหตุไฉนสงฆ์ท่านจะไม่จาริกไปดับทุกข์เข็ญให้แผ่นดินเล่า เพราะนี่คือหน้าที่โดยตรงของผู้สืบเชื้อสายศาสนวงศ์
 
หยุดเถอะ คนไทยทั้งประเทศเขาตาสว่างแล้ว เมื่อไรรัฐบาลจะตาสว่างบ้าง อย่าก่อกรรมทำเข็ญอีกต่อไปเลย แค่นี้ก็บาปหนักอยู่แล้ว
 
·      ผู้ตั้งกระทู้ กระจกเงา :: วันที่ลงประกาศ 2010-03-08 18:48:38
 
 
 
ความเห็นที่ 1 (2024174)  
 
คือความเมตตา   เมตตาจิตมีมากในหมู่สงฆ์สมณะ   ............    เห็นคนดี คนสุจริต ถูกเบียดเบียน   ทนดูอยู่ไม่ได้ ...............   และการปกครองของรัฐบาลขณะนี้   เป็นการปกครองที่ไม่เป็นธรรม.......... เป็นเหตุให้คนดี คนสุจริตทั้งหลายเดือดร้อน   ได้รับทุกข์เป็นอันมากจากการปกครองที่ไม่เป็นธรรม    และครั้นเมื่อประชาชนเรียกร้องโดยสุจริต รัฐบาลก็ไม่ฟังเสียง   กลับรังแกข่มเหงประชาชนยิ่งขึ้นไปอีก .......... และรัฐบาลไม่เคารพกติกาการปกครองโดยประชาธิปไตย ทำผิดครรลองประชาธิปไตยไปหมด ลุแก่ความโลภ ความโกรธ และความหลง เพราะโดยหลักการประชาธิปไตย แล้ว มนุษย์คือเสรีชน เสมอกันหมด   ตามหลักการของพระพุทธศาสนาว่าด้วย เวไนยสัตว์ ผู้อาจบรรลุธรรมได้เสมอหน้ากัน ทุกคน   ไม่มีชั้นวรรณะมากำหนดการบรรลุนั้น    ไม่ได้มีการดลบันดาลจากผู้ใด ประชาชนพึ่งตนเอง ด้วยมือสองข้างและมันสมองของมนุษย์เอง   ขึ้นอยู่กับการกระทำของตน ตามหลัก กมฺมุนา วตฺตตี โลกโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ทำดีก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว   เป็นเรื่องของมนุษย์ .. แต่รัฐบาลไม่เคารพในประชาชน   ทำผิดต่อประชาชนครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วครั้นกระทำการบริหารบ้านเมืองผิดพลาด ทำการทุจริตโกงกินจากโครงการบริหารทุกโครงการ ปรากฎโดยเปิดเผย ทำความเสียหายแก่ประเทศ ชาติ และประชาชนมหาศาลเช่นนี้แล้ว ก็ยังไม่ยอมรำลึกถึงหิริโอตตัปปะธรรม คือความละอายใจตนเอง ไม่ออกไปจากอำนาจหน้าที่ เพื่อเปิดโอกาสให้คนอื่นเข้าทำงานแทน   เพื่อประเทศชาติและประชาชนในส่วนรวม จะได้ดีขึ้น พัฒนาขึ้น........ เมื่อรัฐบาลไม่เคารพในกฎประชาธิปไตย ประชาชนจึงมีสิทธิ์ประท้วง และเรียกร้องตามความต้องการของประชาชน ....เพราะโดยการปกครองของระบอบประชาธิปไตย ต้องยอมรับว่าประชาชนเป็นใหญ่ เป็นเจ้าของอำนาจการปกครองสูงสุด ที่จะกำหนดการการปกครองได้    ในที่นี้ ประชาชนเขาก็เพียงขอร้องว่า   เมื่อท่านทำงานไปไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติและประชาชน ท่านไร้ความสามารถขนาดนี้แล้ว   ท่านก็ควรลาออกไป   เปิดโอกาสให้คณะบุคคลอื่นเข้าบริหารแทน     แต่แทนที่จะฟังเสียงประชาชน รัฐบาลกลับดื้อด้าน อวดดี กล้าข่มเหงทำร้ายประชาชนรุนแรงไปกว่าเดิมอีก ............   และใช้เครื่องมือของรัฐ อันเป็นเครื่องมือที่ควรต้องรับใช้ความต้องการของประชาชน ตามระบอบประชาธิปไตย นับแต่สถาบันทหาร ตำรวจ รวมไปถึงสถาบันประชาชนเอง    มาทำร้ายประชาชน มาตักตวงผลประโยชน์ต่าง ๆ เข้าตน เอาเปรียบประชาชน.. ใช้อำนาจบาทใหญ่....... และตัดสินความอย่างไม่เป็นธรรมเพื่อเอาประโยชน์เข้าพวกเข้าหมู่ตน โดยไม่คำนึงความเป็นธรรม    เช่นนี้     แม้หมู่สงฆ์ก็ทนอยู่ไม่ได้   ย่อมเป็นสิทธิของหมู่สงฆ์ เช่นเดียวกันกับประชาชนผู้รักความเป็นธรรมทั้งแผ่นดิน .....การต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในแผ่นดิน(คือเพื่อดำรงธรรมะเอาไว้ให้ปรากฎในแผ่นดิน) ของหมู่สงฆ์ จึงเป็นทางแห่ง พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ   (คือสงฆ์มีหน้าที่จาริกไปโปรดมหาชนเพื่อให้เกิดประโยชน์ และความสุขเกิดแก่มหาชน)   ตามที่พุทธองค์สอน......ความเป็นธรรม   หมายถึง การที่แผ่นดินนี้ต้องมีธรรม   ธรรม คือ ธัมมะ คือ สวากฺขาโต ภควตาธมฺโม สันฺทิฏฐิโก อกาลิโก โอปนยิโก ปจฺจตฺตํเวทิตพฺโพ วิญฺญูหิติ   นั่นเอง   สมตามพระราชดำรัสพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงตรัสว่า   เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม   นั่นเอง   การรักษาความเป็ฯธรรม จึงย่อมเป็นหน้าที่ของพระสงฆ์โดยตรงอยู่แล้ว
 
 
 
·      ผู้แสดงความคิดเห็น อรุบุศป์ ละอองธรรม วันที่ตอบ 2010-03-09 17:14:31
ผู้แสดงความคิดเห็น Admin (newworldbelieve-at-hotmail-dot-com)ตอบโดยเว็บมาสเตอร์วันที่ตอบ 2010-06-24 10:01:32


ความคิดเห็นที่ 14 (3211186)

ตอนนี้ได้ประจักษ์ชัดแล้วว่า  ทำไมกลุ่มอำมาตย์ ตั้งแต่ น.ต.ประสงค์  สุ่นศิริ พรรคประชาธิปัตย์จึงคัดค้านการบรรจุพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ เพราะคนเหล่านี้รู้ดีว่าคำสอนในพระพุทธศาสนาสอนให้ชาวพุทธยืนอยู่ข้างความถูกต้อง ปกป้องคนดีไม่ให้ถูกข่มเหงรังแก ให้ความเป็นธรรมและเคารพศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์สอดคล้องกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย คนกลุ่มนี้ต้องการปกครองประเทศด้วยอำนาจเผด็จการ เพราะรู้ดีว่าไม่มีทางได้รับชัยชนะในระบอบประชาธิปไตยได้  ดังนั้นจึงกีดกันไม่ยอมให้ยกพระพุทธศาสนาขึ้นมาเป็นศาสนาประจำชาติเพราะหลักคำสอนที่ดีงามไปขัดขวางอำนาจรัฐเผด็จการนี่เอง คอยดูการต่อสู้ระหว่างฝ่ายธรรมมะ(ฝ่ายประชาธิปไตย) กับฝ่ายอธรรม(เผด็จการทหาร+อำมาตย์) 

ผู้แสดงความคิดเห็น วิญญูชน วันที่ตอบ 2010-06-26 22:57:23


ความคิดเห็นที่ 15 (3214452)

 

ธรรมมะย่อมชนะอธรรมครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น จาน ประครองจิต วันที่ตอบ 2010-07-04 21:45:26


ความคิดเห็นที่ 16 (3218558)

 

น.ต.ประสงค์  สุ่นศิริ  นี่แกเป็นพวกเอเอสทีวีนะคะ    เห็นออกเอเอสทีวีบ่อย ๆ ไป  คล้ายเป็นที่ปรึกษาทำนองนั้น  

ฉันมองว่าพวกเอเอสทีวีนี่ล้วนเป็นคนพวกขี้อิจฉาริษยาทั้งนั้น    เห็นใครได้ดีเกินตัวไปไม่ได้  คิดร้ายทันที    อย่างนายสนธิ ลิ้มทองกุล  ที่ฉันทราบมา ก็เพราะแกคิดอิจฉาริษยาจัด   จึงปากจัดตามไปด้วย     เอเอสทีวีนี่ทรามมาก เป็นพวกเสนียดจัญไรของแผ่นดินค่ะ  

ผู้แสดงความคิดเห็น หัทยา วันที่ตอบ 2010-07-14 08:41:18


ความคิดเห็นที่ 17 (3218564)

 

กลับมาสู่กระทู้ของ กระจกเงาอีกครั้ง   ที่ว่า :-

เรียนผู้รู้ ช่วยตอบให้คลายสงสัยด้วยเพราะมีภาพข่าวแพร่สะพัดว่า ศอฉ. จับพระสงฆ์ที่เข้าร่วมชุมนุมสึกและขังอยู่ในเรือนจำ พร้อมกันนี้ได้มีผู้สื่อข่าวไปสัมภาษณ์ ดร.อำนาจ  บัวศิริ ผอ.สำนักพุทธมณฑล และเลขาธิการมหาเถระสมาคม ...ให้สัมภาษณ์ว่ารัฐสามารถจับดำเนินการกับพระสงฆ์ได้ถ้าทำผิด พรก.ฉุกเฉิน ในฐานะที่ดิฉันเป็นชาวพุทธได้ศึกษาเกี่ยวกับพระธรรมวินัยมาพอสมควร พระสงฆ์ท่านไม่ได้ทำผิดพระวินัยร้ายแรง ทำไมมหาเถรสมาคมจึงไม่คุ้มครองสงฆ์ และใช้กระบวนการทางพระธรรมวินัยมาตัดสิน  แต่กลับปล่อยให้ฆราวาสมาจัดการพระดูไม่เหมาะสม ไม่แน่ใจว่าท่านทำผิดอะไร และเป็นการเสียหายต่อพระธรรมวินัย  ต่อสถาบันสงฆ์โดยรวม  เนื่องจากในหลักพระธรรมวินัยมีบทบัญญัติพิจารณาความผิดของสงฆ์ตั้งแต่เบาไป หาหนักและยึดหลักของเมตตาธรรม แต่ฆราวาสกลุ่มนี้ตัดสินโดยลุแก่อำนาจของโทสะ ที่สำคัญดิฉันได้อ่านข้อคิดเห็นที่คนจำนวนมากเข้าไปคุยในเว็ปบอร์ดในหลาย เว็ปไซต์ พากันด่าบริภาษพระสงฆ์เสียๆหายๆ จนน่าใจหายว่าพระพุทธศาสนาจะดำรงอยู่ได้อย่างไร ดิฉันไม่อยากให้ท่านตอบเฉพาะในเว็ปบอร์ด แต่อยากให้ท่านผู้รู้ได้สื่อสารถึงคณะสงฆ์และมหาเถรสมาคมด้วย  ว่าท่านเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าต้องกล้าหาญที่จะปฏิบัติตามพระธรรมวินัย มิใช่ทำตามอำนาจรัฐที่มืดบอดไม่เห็นคุณของพระพุทธศาสนา "

 

ประเด็นคือ     ผู้รู้อยู่ไหน  ?     ทำไมจนป่านนี้ จึงไม่มีผู้รู้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับพระสงฆ์ที่ถูกจับไปขัง  จนกระทั่งมีส่วนหนึ่งถูกปล่อยตัวออกมา เลย          ผู้รู้หายไปไหนหมด  ?

 

ผู้รู้นี่  มีในหมู่พระสงฆ์องค์เจ้าหรือไม่ ?      มีพระสงฆ์ที่รู้ธรรมรู้วินัย ในวงการสงฆ์ไทยอยู่หรือไม่    และ  ทำไมวงการปกครองสงฆ์เอง  จึงไม่มีปฏิกริยาอะไรเลย    ต่อการที่สงฆ์ส่วนหนึ่งถูกกระทำ      และแม้กระทั่งเหตุร้ายที่เกิดในวัดปทุมวนาราม    สงฆ์  และสถาบันสงฆ์ เช่น สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ  มหาเถรสมาคม เจ้าคณะพระสังฆาธิการ ว่าอย่างไร  ????  

 

ทำไมไม่ดำรงธรรมล่ะ ?

 

 

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ไพสิฏฐ์ คีตะวัน วันที่ตอบ 2010-07-14 09:07:54


ความคิดเห็นที่ 18 (3221327)

 

ทุกรูปทุกนาม ล้วนมีกิเลส   บวชเป็นสงฆ์แล้ว ก็ยังมีกิเลส  เยอะกว่าชาวบ้านอีกก็มี    เอาตัวรอดเป็นยอดดี  ไม่สนใจส่วนรวม  ในคราวนี้ก็เห็นมี มหาโชว์  ทัสนีโย  ท่านกล้าจริง   เก่งจริง  ขอชื่นชม

ผู้แสดงความคิดเห็น บ.บึงมะลู วันที่ตอบ 2010-07-20 15:25:58


ความคิดเห็นที่ 19 (3221329)

ที่แสดงความคิดเห็ฯมาข้างต้น ถือว่าสมบูรณ์ครับ  ทั้งในด้านพระธรรมวินัย  และกฎหมาย กฎมหาเถรสมาคม    เยี่ยมครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น เสกสรร วันที่ตอบ 2010-07-20 15:33:39


ความคิดเห็นที่ 20 (3221332)

ประเด็นตรงนี้  ถ้าเจาะไปที่ระบบการปกครองคณะสงฆ์ไทย ก็เรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง พอ ๆ กับทางฝ่ายบ้านเมืองเลยละ    ต้องค่อย ๆ ศึกษาไปพร้อมกันนะครับ   ประชาธิปไตยไทย  ต้องมีประชาธิปไตยสงฆ์ด้วย   อย่างแยกกันไม่ออก จึงจะสมบูรณ์ในความเป้ฯประชาธิปไตยที่แท้จริง 

ผู้แสดงความคิดเห็น เสกสรร อินทวรรณ วันที่ตอบ 2010-07-20 15:38:31


ความคิดเห็นที่ 21 (3221952)

พระธรรมวินัยเป็นสิ่งสูงสุดในพระพุทธศาสนา เพราะเป็นหลักประกันว่าพุทธบริษัทจะยังจรรโลงความถูกต้องชอบธรรมไว้คู่กับโลก

นับวันประเทศไทยซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเมืองพุทธ มีการประชุมผู้นำชาวพุทธทั่วโลกทุกปี แต่เหตุไฉนพระเถระจึงไม่แสดงท่าทีต่อรัฐบาลที่เข่นฆ่า กักขังผู้บริสุทธิ์โดยไม่เป็นธรรม เห็นแต่ฆราวาสเขาออกมาเรียกร้องหาความเป็นธรรมให้ประชาชนผู้ต้องการเสรีภาพทางความคิด คนเหล่านี้ เปิดเสวนาที่นั่น ที่นี่ ให้สังคมไทยพูดความจริง แม้บางคนจะถูกรัฐและ ศอฉ.เพ่งเล็ง แต่เขาก็ยังแสดงความกล้าหาญโดยไม่กลัวอำนาจมืด

เขาเหล่านั้นรู้ดีว่า  หากปล่อยให้ความเห็นผิดดำเนินต่อไป  ประชาชนจะไม่พบกับสันติสุข ขาดเสรีภาพ ฝ่ายอธรรมจะครอบงำและสังคมไทยทั้งหมดจะไปสู่ความมืด ความล่มจม ความทุกข์ยากของประชาชนทั้งประเทศ พระพุทธองค์และเหล่าพระสาวกท่านต่อสู้กับความเห็นผิดทำนองคลองธรรมเพื่อขจัดความมืดบอด ความทุกข์ยากของมนุษยชาติ  ต้องทนต่อการลอบทำร้าย ทนต่อคำใส่ร้ายป้ายสี เช่นนี้มาตลอดพระชนม์ชีพ ในฐานะที่ท่านเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าผู้ประกาศตัวแล้วว่าเลือกดำเนินชีวิตในทางสันติ ท่านจะไม่ทำหน้าที่เช่นนี้หรือ

ผู้แสดงความคิดเห็น ชาวพุทธ วันที่ตอบ 2010-07-21 17:45:34


ความคิดเห็นที่ 22 (3225771)

ยังสงสัยอยู่เลยว่า หลักสูตรพระพุทธศาสนาที่สอนกันอยู่ สอนอะไรบ้าง สอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือไม่ เพราะถ้าพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองจริง ป่านนี้ประเทศไทยคงเป็นต้นแบบของชาวพุทธผู้ละวางอัตตาตัวตน ที่พร้อมจะหยิบยื่นความรักความเมตตาให้แก่เพื่อนมนุษย์โดยไม่แบ่งแยกชนชั้น ชาติพันธ์ แต่ดูเหมือนว่าประเทศไทยขณะนี้เป็นต้นตำรับของประเทศที่มีชนชั้นวรรณะ มีความแตกแยก อยุติธรรมและ 2 มาตรฐานมากเหลือเกิน  จนนักข่าวฝรั่งของสำนักข่าวนิวยอร์คไทม์ นำไปตีพิมพ์วิจารณ์ว่าประเทศไทยเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน มีการเข่นฆ่าประชาชนโดยไม่ต้องมีผู้ออกมารับผิดชอบ คณะสงฆ์ท่านรู้หรือไม่ว่าท่านกำลังเพิกเฉยเหลือเกินต่อการปาณาติบาตในครั้งนี้ ทั้งๆที่จริงแล้วท่านควรจะออกมาเตือนสติ วิพากษ์วิจารณ์การกระทำบาปและห้ามปราม และทำการคว่ำบาตรความประพฤติเลวทรามเช่นนี้เสีย แต่ท่านกลับนิ่งเฉยทั้งๆที่โดยฐานะของท่านเป็นผู้สันโดษ มักน้อยไม่มีความอาลัยในลาภ ยศ สรรเสริญ แต่ดูเหมือนท่านจะหวงแหนสิ่งนี้ยิ่งกว่าฆราวาสเสียอีก ฆราวาสเขากล้าท้วงติง วิจารณ์ แสดงพลังต่อต้านความอยุติธรรม เพราะเขาทนเห็นอธรรมอยู่เหนือธรรมมะไม่ได้

ในสมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าท่านจะคว่ำบาตรกับบุคคลที่ประพฤติชั่วเป็นอาจิณ ท่านไม่รู้หรือ ?

ผู้แสดงความคิดเห็น แมงกุดจี่ วันที่ตอบ 2010-07-30 18:59:24


ความคิดเห็นที่ 23 (3230506)

ชาวพุทธปรารถนาจะเห็นมหาเถรสมาคมและคณะสงฆ์เผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง นำหลักพระพุทธธรรมมาประยุกต์ให้เข้ากับหลักวิทยาศาสตร์และวิทยาการสมัยใหม่ในยุคโลกาภิวัฒน์ ให้เข้าใจง่ายขึ้น เป็นการจรรโลงพระสัทธรรมไว้ให้มั่นคง โดยผ่านสื่อทีวียิ่งดีโดยเฉพาะเวลาที่คนดูมากๆ เช่น สื่อทางเลือกผ่านดาวเทียมหรือเคเบิล เพราะสื่อกระแสหลักให้ความสนใจธรรมมะน้อยมาก มักถ่ายทอดในเวลาที่คนยังไม่ตื่นนอน นี่แหละพระพุทธศาสนาจึงไม่รุ่งเรืองเสียที ยิ่งรัฐบาลไม่มีนโยบายและงบประมาณส่งเสริมยิ่งแย่ไปใหญ่

ผู้แสดงความคิดเห็น หิ่งห้อย วันที่ตอบ 2010-08-10 23:44:36


ความคิดเห็นที่ 24 (3255690)

ตอนนี้เห็นทีวีผ่านดาวเทียมช่อง dode ทีวีออกอากาศอยู่บอกว่าเป็นของมหาเถรสมาคม  อยากให้เผยแพร่พระพุทธรรมอย่างแท้จริง  อย่าเอาการพาณิชย์มานำหน้าศาสนาเหมือนช่องอื่น  และมีแต่เรื่องสร้างวัตถุมงคล การสร้างถาวรวัตถุมากพอแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการสร้างพระพุทธรูป โบสถ์ วิหารต่างๆมากจนเฝือ  แต่พระพุทธธรรมคือพระพุทธเจ้าองค์จริงชาวพุทธผู้มีปัญญา มีการศึกษาต้องการสัมผัสและเข้าถึงโปรดเผยแผ่ในสิ่งที่ทำให้คนตาสว่าง เพราะการเผยแพร่ให้คนมีดวงตามืดบอดแล้วนำศาสนามาอ้างมีเยอะแล้ว หากทำได้และจริงจังถือว่าเป็นการจรรงโลงพระสัทธรรมเป็นการตอบแทนคุณของพระพุทธศาสนาอย่างที่พระพุทธองค์ท่านต้องการให้มั่นคงอยู่ตลอดไป   

ผู้แสดงความคิดเห็น กระจกเงา วันที่ตอบ 2010-10-17 18:44:31


ความคิดเห็นที่ 25 (3370572)

 สัตว์โลก ย่อมเป็นไปตามกรรม  ทำดี ย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้รับผลชั่ว   ชาวพุทธต้องเชื่อกรรม คือการกระทำของตนเองที่จะส่งผลให้ตนไดัรับ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธมฺมกาโม (samana2500-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2013-07-14 09:02:34



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.