เอเอสทีวี  ยังคงเอาข่าวมาอ่านอย่างละเอียด  ทุกเหตุการณ์ไม่คลาดสายตาของเอเอสทีวี ...   คนก็สนใจว่าเป็นข่าวที่สมบูรณ์  คนไม่ตกข่าว .....รู้ทันทุกเหตุการณ์...........เอเอสทีวีเอาใจใส่เป็นพิเศษ ในหัวข้อข่าวขนาดเล็ก ๆ ที่คนไม่ค่อยเอาใจใส่ (ในเมื่อเขาจะเอามาขยายให้กลายเป็นเรื่องเป็นราวต่อไปได้) .   นี่เป็นเทคนิกการต่อสู้เชิงข่าวของเขา    .........

แล้ว  คนที่อ่านข่าวนั้น   ก็บิดข่าวไปใส่ร้ายผู้อื่น  ผู้ที่เป็นเป้าหมายการโจมตีของเอเอสทีวี  ทีวีโฆษณาชวนเชื่อ   ...........   นี่แหละคือความไม่เป็นธรรม  และเป็นการสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในสังคมไทย มานานแล้ว ..........    คือ  ยุแยกให้แตกสามัคคีของคนในชาติ เป็นสิ่งที่โทรทัศน์ช่องนี้กระทำมาโดยตลอด อย่างมีเจตนา 

เช่นวันนี้  นักข่าวหญิง2คน.....อ่านข่าวเล็ก ๆ จาก นสพ.ฉบับหนึ่งที่พาดหัวว่า   คนกรุงมีความสุขลดน้อยลง    ข่าวว่าอย่างนี้     แกก็บิดไป.....(ทำได้อย่างชำนาญในการด่าอยู่แล้ว) โฆษณาชวนเชื่อว่าก่อนเลือกตั้งก็มีความสุขกันดี แต่พอหลังเลือกตั้งทำไมจึงมีความสุขลดน้อยลง (คนก็ไม่ทันสังเกตว่า นี่เป็นข้อความเท็จ....แกพูดเท็จ .....แกโกหกโดยสิ้นเชิง  หรืออย่างน้อยก็ไม่มีใครทราบว่า นี่เป็นความจริงหรือไม่  .....แท้จริง ก่อนการเลือกตั้ง คนเป็นทุกข์กันไปหมด  หลังเลือกตั้งอะไร ๆ ก็ดีขึ้น สภาพจิตใจคนดีขึ้น  ทูตต่างประเทศก็วิ่งเข้าวิ่งออกบ้านคุณยิ่งลักษณ์ แบบน้ำไม่เหือดกะไดบ้าน ด้วยความยินดีที่ไทยได้ประชาธิปไตยคืนมา  หุ้นก็ขึ้นไปถึงระดับ พันจุด จากร้อยจุด.....นี่เป็นคนละภาพกับที่เอเอสทีวีมองเห็น)  )  แล้วคนที่ไม่เข้าใจก็ไม่สนใจ มักไม่ทันสังเกตว่าแกเอามาพูดแบบไม่มีการอ้างอิงเลยว่าเป็นของใคร น่าเชื่อถือหรือไม่  เพียงแต่มุ่งไปให้ความหมายแด่ประเด็นสำคัญของแกเอง  ในที่นี้แกก็ใส่เหตุใส่ผลเอาเอง .....ไปถึงการใส่ความให้ร้ายคนอื่นเอาดื้อ ๆ  ว่า   การที่คนกรุงมีความสุขลดลงไปนั้นเป็นเพราะเบื่อการเมือง  การเมืองไม่นิ่ง  หลังเลือกตั้งมีแต่การแก่งแย่งตำแหน่งทางการเมืองกัน  มีรายงานเล็ดลอดออกมาจากพรรคใหญ่โดยตลอดว่ามีการแก่งแย่งตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงนั้น ๆ  ถึงปิดก็ไม่มิด  แท้ที่จริงวงในเขารู้กันว่า  เกิดการแตกแยก ร้าวรานขนาดใหญ่โต    ไม่นานหรอกพี่น้อง ก็จะต้องได้ทำงานหนักกันอีก......ฯลฯ.....(ซึ่งตรงนี้เป็นความเท็จ   แต่แอบอ้างใส่ความไปโดยเชื่อว่าจะไม่มีใครเฉลียวใจคิดว่า  เป็นการแอบอ้างโดยปราศจากข้อเท็จจริงเลยแม้แต่น้อย และที่สำคัญนั้นคือ  การส่อเจตนาของความคิดร้าย  คือคิดยุแยกให้คนเข้าใจผิดแตกสามัคคีกัน....นี่เป็นบทบาทอันชั่วร้ายของเอเอสทีวีมาแต่แรกแล้ว  จนขณะนี้)  

คนไทยจะต้องมองเอเอสทีวีและรู้ทันการโฆษณาของเอเอสทีวี  และลงมติกันเสียทีว่า  ทีวีเช่นนี้  เป็นอันตรายต่อความสามัคคีของคนในชาติ และไร้ลักษณะของความเป็นสื่อสาธารณะ 

เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีศาสตราจารย์ คนไทย ไปสอนในมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน อเมริกา  ที่ออกมาแสดงทัศนะต่อรัฐบาลใหม่ หลังการเลือกตั้ง  ว่าให้เป้นตัวของตัวเอง ไม่ควรฟังความเห็นจากภายนอก(ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร  ไม่ควรฟังความเห็นของ ทักษิณ  ชินวัตร แม้เป็นพี่ชายก็ตาม  ควรเป็นตัวของตัวเอง  แสดงให้เห็นว่าเป็นผู้มีความสามารถ....ซึ่งศาสตราจารย์นายนี้ก็คงหลง ๆ ลืม ๆ ซึ่งสติไปว่า ตนเสนออะไรที่มันขัดกันเอง......เมื่อเสนอแบบนี้  ก็หมายความว่าไม่ต้องไปฟังความเห็นหรือข้อเสนอแนะของศาสตราจารย์นายนี้ด้วย  นั่นเอง   ก็ดูจะเป็นศาสตราจารย์บ๊องสสส์ ๆ ไปอีกนายหนึ่ง)   และพูดถึงเรื่องสื่อในประเทศไทยเหมือนกัน ท่านเสนอในเชิงการปฏิรูปสื่อ  และติงรัฐบาลใหม่ให้ดูแลเรื่องสื่อด้วย    ท่านผู้นี้คงมองถึงสื่อเอเอสทีวีนี้ด้วย

จึงเน้นย้ำลงไปถึงความจำเป็นในการปฏิรูปสื่อ.........

และที่ยิ่งกว่าปฏิรูปก็คือ เอเอสทีวีนี่เอง   ที่ต้องมีการติดตามดูว่าได้กระทำการละเมิด  หมิ่นประมาทใส่ความคนอื่น  สถาบันอื่นอย่างไร   การกระทำผิดทางการโฆษณา  เช่นการบิดเบือนข่าวใส่ร้ายคนอื่น และสถาบันอื่นเป็นปกตินิสัยเช่นนี้ จะยังคงให้มีอยู่ กระทำต่อไปอยู่ได้อย่างไร .... จะให้มีระบบกฎหมาย2มาตรฐานอยู่ต่อไปได้อย่างไร