คือมีการเกิด อะไรก็ตามที่มีการเกิดขึ้นมา ซึ่งอะไรก็ตามนี้ก็คือทุกสิ่งทุกอย่างเลย นับแต่ของเล็ก ๆน้อย ไป ถึงของใหญ่โตมโหฬาร ที่ตาเรามองเห็น นับแต่ตัวของเราเอง สัตว์ หรือของใหญ่ ๆ เช่นดวงอาทิตย์ ดวงดาว ดวงเดือน หรือแม้กระทั่งสากลจักรวาลทั้งระบบสุริยะ และระบบอื่น ล้วนมีการเกิดขึ้นมาทั้งนั้น และสัจธรรมก็คือ เกิดมาแล้วก็ต้องตาย สลายลงไป ไม่อยู่เสมอตัวไปได้ ค่อยเปลี่ยนไป (คือ บาลีว่า อนิจจังนั่นเอง) เช่นนักวิทยาศาสตร์เขาได้พบว่า ดวงอาทิตย์ในสุริยะจักรวาลของเรา มีแสงมัว ไม่สว่างเท่าดวงอาทิตย์ในจักรวาลอื่น เป็นต้น ซึ่งเป็นเพราะจักรวาลเราเกิดมาก่อนนั้นเอง ...คำถามของท่านผู้นี้บอกว่าอยากทราบความหมายแบบเข้าใจง่าย ๆ ก็ตามตัวอักษรนั้นเลย คือ อะไร สิ่งใด ซึ่งหมายถึง ทุกสิ่งนั่นเอง มีการเกิดขึ้นนี้ เป็นเรื่องธรรมดา ๆ เป็นเรื่องปกติ มีอะไรเกิดขึ้นมาเรื่อย ๆ แบบเป็นเอง แม้มนุษย์เราก็เกิดขึ้นมาแบบเป็นเอง เป็นเรื่องธรรมดา ๆ(ไปสอนพวคริสต์ พวกอิสลาม..พวกเขาบอกว่า ไม่ใช่เกิดมาเองแบบธรรมดา แต่มีพระเจ้าสร้าง...ซึ่งนั่นไม่ใช่ความจริงไงล่ะ) แต่สิ่งที่เราจะต้องรู้พร้อมกันไปเลยก็คือ เมื่อมีการเกิด ก็มีการตาย เกิดมาเท่าไร ตายเท่านั้น ไม่ว่าอะไร(อย่างที่มีคำถามว่า คนในโลกมีเกิดมาและการตายใครมากกว่ากันซึ่งคำตอบคือเท่ากัน เกิดมาเท่าไรก็ตายหมดเท่านั้น) .... ให้หมั่นพิจารณาเรื่องเกิดและตายนี้ให้เห็นเป็นจริงจริง ๆ จนวันหนึ่งได้รู้ แบบมีดวงตามองเห็นจริง ๆ มีอารมณ์เกิดรู้ตามไปจริง ๆ หมั่นดูเราเองก่อน ดูปู่ย่าตายายของเรา ว่า เราเองวันหนึ่งก็จะต้องตาย เป็นธรรมดาเอง มองไปเห็นคนค่อยแก่ชราลงไปผิวพรรณค่อยซีด ค่อยเหี่ยวลงไป แม้พลังกายก็อ่อนล้าลงไปเรื่อย ๆ แล้วที่สุดก็รอลมหายใจสุดท้าย ตายดับล่วงลับไป เช่นนี้ทุกคน เช่นนี้ทุกสิ่งทุกอย่าง แม้สิ่งที่เป็นวัตถุ หรืออะไร ๆ ก็เป็นเช่นนี้ ในที่สุดของกาลเวลาก็ต้องตาย ดับ พินาศลงไปทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อมีอารมณ์เห็นแจ้ง แล้วจะวิตกถึงการตายของเราเอง ว่าเมื่อเราจะต้องตายเช่นนี้แล้ว พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าอย่างไร ... ก็ทรงสอนให้ เอาชนะความเกิด ตายไปแล้ว ขออย่าเกิดอีกเลย เพราะเกิดมาก็ต้องตายไปอีก อย่างเรานี้ เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด หมุนวนอยู่อย่างนี้เป็นปกติ ๆ ธรรมดา ๆ มาไม่รู้กี่โกฏล้านปี จึงเรียกว่า วัฏฏะสงสารไงล่ะ ก็จะกลัวการเกิด แต่ทำอย่างไรจึงจะไม่เกิดล่ะ ก็พระพุทธเจ้านี่แหละทรงสอนเรา ไม่มีศาสดาใดเท่าพระองค์ ทรงสอนทางประเสริฐได้ คือว่า หากไม่ต้องการเกิดนั้นก็ต้องดับกิเลสตัณหาให้หมดสิ้น การเกิดเนื่องมาจากตัณหามีอยู่เต็มไปหมดในใจของเรา หมดตัณหาเมื่อไรก็ไม่เกิด และ นั่นแหละสำเร็จธรรมเป็นอรหันต์ละ มีแต่ในคำสอนของพระพุทธเจ้า ฉะนั้น เมื่อรู้ดังนี้แล้ว ก็จะใฝ่ในการปฏิบัติธรรม ใฝ่ในเส้นทางอริยะ อรหันต์ ให้ชำระกิเลสให้สิ้น แล้วก็จะสำเร็จธรรมไม่เกิดอีก ไม่มีการตายอีก เข้าสู่โลกนิพพานโลกอรหันต์ของพระพุทธเจ้า