การไม่มีศาสนาไม่ได้หมายความว่า ไม่มีที่ยึดเหนี่ยวนะครับที่ท่านทั้งหลายอ้างถึงเวรกรรม ชาตินี้ ชาติหน้า วัตถุประสงค์ก็เพื่อให้สังคมสงบสุข แต่ว่าแม้ไม่ต้องอ้างเรื่องดังกล่าว คนไม่มีศาสนาก็สามารถใช้ชีวิตเป็นปกติสุขได้ตราบใดที่เคารพกติกาของสังคม
คนไม่มีศาสนาเองก็มีหลายแบบ ดูถูกคนมีความเชื่อก็มี บางพวกแม้ไม่มีศาสนาก็เคารพในความเชื่อคนอื่น
การสวดมนต์ไหว้พระ ก็เป็นกริยาหรือรูปแบบที่โน้มใจให้เป็นกุศล แต่ก็มีวิธีการอย่างอื่นที่บรรลุวัตถุประสงค์นั้นได้เหมือนกัน
ผมว่า การที่คนเกิดมาแตกต่างกันนั้นเพราะเหตุไรก็ถกเถียงกันมายาวนานแล้ว ประเด็นนี้ก็สามารถมองได้หลาบปัจจัย เป็นต้นว่า ระบบของสังคมที่บีบคั้นมีการผูกขาด ทำให้คนที่จะร่ำรวยแทบไม่มีโอกาส หรือการเจ็บป่วยโรคต่างๆก็เกิดจากพันธุกรรมก็มี พฤติกรรมการใช้ชีวิตก็มี ส่วนโรคที่หาสาเหตุไม่ได้ก็อาจเป็นเพราะวิทยาการทางการแพทย์ยังไปไม่ถึง เหมือนมุมมองคนในอดีตที่เชื่อว่าโรคพิษสุนัขบ้าเกิดจากผีสางต้องไปรดน้ำมนต์ เป็นต้น
การที่เชื่อเรื่องอดีตกำหนดผลในปัจจุบันอย่างสุดโต่ง ก็อาจเกิดปัญหาได้ เช่น การเชื่อเช่นนี้เท่ากับเชื่อทำนองเดียวกับพรหมลิขิต ไม่ต้องขวนขวาย ทุกสิ่งกำหนดมาแล้ว หรือถ้าเกิดความไม่ยุติธรรมอย่างหนึ่งขึ้นในสังคม เช่น นายก. ไปฆ่านายข. เช่นนี้ก็อ้างว่าเป็นเวรกรรมของนายข.เอง อย่างนี้สังคมคงอยู่ไม่ได้
ดังนั้นในชั้นการดำเนินชีวิตขั้นต้นในสังคมก็ต้องเคารพกติกาของสังคม ส่วนเรื่องทางจิตใจก็เป็นเรื่องแต่ละบุคคลไป
คนไม่มีศาสนาถ้าเป็นคนรุ่นใหม่ส่วนมากจะเคารพในความเชื่อของคนอื่น ไม่ตัดสินแม้ว่าจะมีความเชื่อไม่เหมือนกัน
ความเห็นของผมสำหรับคนไม่มีศาสนาประเภทที่ได้รับการศึกษามา มีข้อดีคือเขาได้ใช้หลักกาลามสูตรของพุทธในการเชื่ออะไรซักอย่าง นับว่าเป็นข้อดี คนประเภทนี้หากจะเข้าใจคำสอนก็คงต้องรอบุญวาสนามาถึง