ReadyPlanet.com
dot dot
bulletBUDDHISM to the NEW WORLD ERA
bullet1.Thai-ไทย
bullet2.English-อังกฤษ
bullet3.China-จีน
bullet4.Hindi-อินเดีย
bullet5.Russia-รัสเซีย
bullet6.Arab-อาหรับ
bullet7.Indonesia-อินโดนีเซีย
bullet8.Japan-ญี่ปุ่น
bullet9.Italy-อิตาลี
bullet10.France-ฝรั่งเศส
bullet11.Germany-เยอรมัน
bullet12.Africa-อาฟริกา
bullet13.Azerbaijan-อาเซอร์ไบจัน
bullet14.Bosnian-บอสเนีย
bullet15.Cambodia-เขมร
bullet16.Finland-ฟินแลนด์
bullet17.Greek-กรีก
bullet18.Hebrew-ฮีบรู
bullet19.Hungary-ฮังการี
bullet20.Iceland-ไอซ์แลนด์
bullet21.Ireland-ไอร์แลนด์
bullet22.Java-ชวา
bullet23.Korea-เกาหลี
bullet24.Latin-ละติน
bullet25.Loa-ลาว
bullet26.Luxemberg-ลักเซมเบิร์ก
bullet27.Malaysia-มาเลย์
bullet28.Mongolia-มองโกเลีย
bullet29.Nepal-เนปาล
bullet30.Norway-นอรเวย์
bullet31.persian-เปอร์เซีย
bullet32.โปแลนด์-Poland
bullet33.Portugal- โปตุเกตุ
bullet34.Romania-โรมาเนีย
bullet35.Serbian-เซอร์เบีย
bullet36.Spain-สเปน
bullet37.Srilanga-สิงหล,ศรีลังกา
bullet38.Sweden-สวีเดน
bullet39.Tamil-ทมิฬ
bullet40.Turkey-ตุรกี
bullet41.Ukrain-ยูเครน
bullet42.Uzbekistan-อุสเบกิสถาน
bullet43.Vietnam-เวียดนาม
bullet44.Mynma-พม่า
bullet45.Galicia กาลิเซียน
bullet46.Kazakh คาซัค
bullet47.Kurdish เคิร์ด
bullet48. Croatian โครเอเซีย
bullet49.Czech เช็ก
bullet50.Samoa ซามัว
bullet51.Nederlands ดัตช์
bullet52 Turkmen เติร์กเมน
bullet53.PunJabi ปัญจาบ
bullet54.Hmong ม้ง
bullet55.Macedonian มาซิโดเนีย
bullet56.Malagasy มาลากาซี
bullet57.Latvian ลัตเวีย
bullet58.Lithuanian ลิทัวเนีย
bullet59.Wales เวลล์
bullet60.Sloveniana สโลวัค
bullet61.Sindhi สินธี
bullet62.Estonia เอสโทเนีย
bullet63. Hawaiian ฮาวาย
bullet64.Philippines ฟิลิปปินส์
bullet65.Gongni-กงกนี
bullet66.Guarani-กวารานี
bullet67.Kanada-กันนาดา
bullet68.Gaelic Scots-เกลิกสกอต
bullet69.Crio-คริโอ
bullet70.Corsica-คอร์สิกา
bullet71.คาตาลัน
bullet72.Kinya Rwanda-คินยารวันดา
bullet73.Kirkish-คีร์กิช
bullet74.Gujarat-คุชราด
bullet75.Quesua-เคซัว
bullet76.Kurdish Kurmansi)-เคิร์ด(กุรมันซี)
bullet77.Kosa-โคซา
bullet78.Georgia-จอร์เจีย
bullet79.Chinese(Simplified)-จีน(ตัวย่อ)
bullet80.Chicheva-ชิเชวา
bullet81.Sona-โซนา
bullet82.Tsonga-ซองกา
bullet83.Cebuano-ซีบัวโน
bullet84.Shunda-ชุนดา
bullet85.Zulu-ซูลู
bullet85.Zulu-ซูลู
bullet86.Sesotho-เซโซโท
bullet87.NorthernSaizotho-ไซโซโทเหนือ
bullet88.Somali-โซมาลี
bullet89.History-ประวัติศาสตร์
bullet90.Divehi-ดิเวฮิ
bullet91.Denmark-เดนมาร์ก
bullet92.Dogry-โดกรี
bullet93.Telugu-เตลูกู
bullet94.bis-ทวิ
bullet95.Tajik-ทาจิก
bullet96.Tatar-ทาทาร์
bullet97.Tigrinya-ทีกรินยา
bullet98.check-เชค
bullet99.Mambara-มัมบารา
bullet100.Bulgaria-บัลแกเรีย
bullet101.Basque-บาสก์
bullet102.Bengal-เบงกอล
bullet103.Belarus-เบลารุส
bullet104.Pashto-พาชตู
bullet105.Fritian-ฟริเชียน
bullet106.Bhojpuri-โภชปุรี
bullet107.Manipur(Manifuri)-มณีปุระ(มณิฟูรี)
bullet108.Maltese-มัลทีส
bullet109.Marathi-มาราฐี
bullet110.Malayalum-มาลายาลัม
bullet111.Micho-มิโช
bullet112.Maori-เมารี
bullet113.Maithili-ไมถิลี
bullet114.Yidsdish-ยิดดิช
bullet115.Euroba-ยูโรบา
bullet116.Lingala-ลิงกาลา
bullet117.Lukanda-ลูกันดา
bullet118.Slovenia-สโลวีเนีย
bullet119.Swahili-สวาฮิลี
bullet120.Sanskrit-สันสกฤต
bullet121.history107-history107
bullet122.Amharic-อัมฮาริก
bullet123.Assam-อัสสัม
bullet124.Armenia-อาร์เมเนีย
bullet125.Igbo-อิกโบ
bullet126.History115-ประวัติ 115
bullet127.history117-ประวัติ117
bullet128.Ilogano-อีโลกาโน
bullet129.Eve-อีเว
bullet130.Uighur-อุยกูร์
bullet131.Uradu-อูรดู
bullet132.Esperanto-เอสเปอแรนโต
bullet133.Albania-แอลเบเนีย
bullet134.Odia(Oriya)-โอเดีย(โอริยา)
bullet135.Oromo-โอโรโม
bullet136.Omara-โอมารา
bullet137.Huasha-ฮัวซา
bullet138.Haitian Creole-เฮติครีโอล
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี
bulletMystery World Report รายงานการศึกษาโลกลี้ลับ
bulletสารบาญโหราศาสตร์
bulletหลักโหราศาสตร์ว่าด้วยดวงกำเนิดและดวงฤกษ์รวมคำตอบคลี่คลายปัญหาข้อข้องใจเกี่ยวกับการทำนายชะตาชีวิต
bulletทุกความคิดเห็นจากเวบนี้(เริ่ม ก.พ.55)
bulletประชาธิปไตยเท่านั้น1
bulletประชาธิปไตยเท่านั้น 11
bulletทุกความคิดเห็นจากหน้า1(ก่อน ก.พ.55)
bulletทุกความคิดเห็นจากเวบบอร์ด(ถึงก.พ.55)
bulletภาค 11
bulletภาค 12
bullet54.Hmong ม้ง
bullet133.แอลเบเนีย
bullet133.แอลเบเนีย
bulletหน้าที่เก็บไว้




วิวาทะ 88..อนัตตลักขณะสูตร The Stories of Anatta or On Insubstantiality or Non - Self:

 

 

 

 

 

Anattalakkhana Vatthu

ประเด็นปัญหา จาก

Alex Joy

ผู้ดูแล

  · 27 มิถุนายน เวลา 13:37 น.  ·

Anattalakkhana Vatthu

               The Path

         ( Maggavagga )

The Stories of Anatta or On Insubstantiality or Non - Self:

Five hundred bhikkhus, after receiving their subject of meditation from the Buddha, went into the forest to practise meditation, but they made little progress. So, they returned to the Buddha to ask for another subject of meditation which would suit them better. On reflection, the Buddha found that those bhikkhus had, during the time of Kassapa Buddha, meditated on impermanence. So, he said, "Bhikkhus, all conditioned phenomena are subject to change and decay and are therefore impermanent."

Here, the Buddha on reflection found that still another group of five hundred bhikkhus had meditated on insubstantiality or non-self (anatta). So, he said, "Bhikkhus, all khandha aggregates are insubstantial; they are not subject to one's control."

Then The Buddha Spoke in Verse as Follows:

Dhammapada Verse 279:

"All phenomena (dhammas) are without Self"; when one sees this with Insight- wisdom, one becomes weary of dukkha (i.e., the khandhas). This is the Path to Purity.

( English Translate )

"Sabbe sankhara anatta"

ti yada pannaya passati atha nibbindati dukkhe

esa maggo visuddhiya.

( Pali Translate )

At the end of the discourse all those five hundred bhikkhus attained arahatship.

Our Group Link: https://www.facebook.com/groups/goutama.buddha04/?ref=share

-----
-----

 

แปลโดย google ดังนี้

อนัตตลักขณา วัตธุ

               เส้นทาง

         ( มัคควัคก้า )

เรื่องของอนัตตาหรืออนิจจังหรืออนิจจัง:

ภิกษุ ๕๐๐ รูป เมื่อได้รับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ได้เสด็จเข้าไปในป่าเพื่อบำเพ็ญภาวนาแล้ว ก็มีความก้าวหน้าเพียงเล็กน้อย. จึงกลับเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อขอพระธรรมอีกเรื่องหนึ่งที่เหมาะสมกว่า ในการไตร่ตรอง พระพุทธเจ้าทรงพบว่าภิกษุเหล่านั้นในสมัยพระกัสสปะนั้น ได้นั่งสมาธิในเรื่องความไม่เที่ยง ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลาย อุปาทานทั้งหลายย่อมมีการเปลี่ยนแปลง เสื่อมได้ จึงไม่เที่ยง.

ในที่นี้พระพุทธเจ้าทรงไตร่ตรองพบว่ายังมีภิกษุอีกกลุ่มหนึ่ง ๕๐๐ รูปได้นั่งสมาธิในความไม่เที่ยงหรืออกุศลธรรม (อนัตตา) ดูกรภิกษุทั้งหลาย ขันธะทั้งหลายเป็นอนิจจัง ไม่อยู่ในการควบคุมของตน

พระพุทธเจ้าตรัสเป็นกลอนดังนี้ว่า

ธัมมปทา โองการ 279:

ธรรมทั้งหลาย (ธรรม) ล้วนไม่มีตัวตน”; เมื่อเห็นสิ่งนี้ด้วยปัญญาญาณแล้ว ย่อมเบื่อหน่ายทุกข์ (คือขันธ์). นี่คือหนทางสู่ความบริสุทธิ์

( แปล ภาษาอังกฤษ )

"สัพเพ สังขารา อนัตตา"

ติ ญาดา ปัณณยะ ปัสสะติ อาถ นิพพิณทติ ทุกเก

อีสา มักโก วิสุทธิยะ.

(แปลภาษาบาลี)

เมื่อสิ้นพระธรรมเทศนาแล้ว ภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านั้นได้บรรลุพระอรหัตแล้ว.

ลิงค์กลุ่มของเรา: https://www.facebook.com/groups/goutama.buddha04/?ref=share

-----

-----

ความคิดเห็น

 

Phayap Panyatharo

English-Thai

TO KNOW THREE THINGS  การได้รู้ 3 อย่างนี้

-----

To know three things : dukku[suffering of life], anitjang [impermanent of life ], anatta [no power to order ourself, our lifes all thing in the whole world, universe, from dying brokenning, and from new birth again in a circle of life for hundreds of years, not subject to one's control] result to weary of life (i.e., the khandhas). This is the Path to Purity orto be tired of life in the one's heart from to die to born again and again Yes this is the path to purity by driving all dirties, all lustful desires out of the insight mind, the cause to reach Niravana. This is the enlightenment of the holy truth not to born again to live a new holy life without a suferings eternally.

-----

การได้รู้ 3 อย่างนี้ คือ ทุกข์(ความยากลำบาก ความเดือดร้อนของชีวิต), อนิจจัง ความไม่มั่นคงถาวรของชีวิตเราทั้งหลาย, อนัตตา ความไม่มีอำนาจสั่งการบังคับบัญชาร่างกายของเราเอง ชีวิตของเราเอง, ชีวิตทั้งหลาย, สิ่งทั้งหลายในโลกทั้งโลก แม้ทั้งจักรวาล ไม่ให้แก่ ไม่ให้ตาย ไม่ให้แตกดับไปจากเรา ให้ตายแล้วสู่ความสุขไม่ให้มาเกิดใหม่ เป็นวงวัฎฎะสงสารนับร้อยล้านปี ใช่ของเรา ของตัวตนของเราและสรรพสิ่ง การรู้แจ้งนี้ส่งผลให้เกิดความเบื่อ ความหน่ายในทุกข์ของชีวิต ที่ต้องตายไปแล้วเกิดมาอีกครั้ง ไม่หยุดหย่อน นี่คือวิถีทางแห่งความสะอาดบริสุทธิ์ภาคภายในโดยการกวาดล้างความสกปรก ความปรารถนาลามกอนาจารในกิเลสทั้งหลายไปจากภาคภายในของตน นั่นแหละนำไปบรรลุโลกนิพพาน บรรลุความรู้แจ้งความจริงของชีวิตและสรรพสิ่ง มีปัญญาสว่างไสวรู้แจ้งสัจธรรมชีวิตอันสูงส่งพ้นทุกข์เป็นสุขนิรันดรไม่กลับมาเกิดอีก

-----

นี้คือเรื่องราวของชีวิตที่มนุษย์ทั้งหลายทั้งโลกเป็นเช่นนี้อยู่เป็นปกติ เพียงแต่มนุษย์หรือคนเรามารู้ความจริง 3 อย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนไว้ตั้งแต่เริ่มสอนบทแรกคือ ธัมมจักกัปปวัตนสูตร อนัตตลักขณสูตร และ อาทิตตปริยายสูตร เป็นผลให้เกิดพระรัตนตรัยมีพระอริยบุคคลประเสริฐขึ้นมาในโลกนี้ สืบคำสอนพระองค์มาถึงโลกยุคนี้ ยุคกึ่งพุทธกาลเข้าแล้ว แต่คนยุคนี้ เมื่อได้อ่านเรื่องราวแล้วมักจะพากันสับสน นับแต่คำว่า รูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, วิญญาณ ซึ่งโดยสรุปน่าเข้าใจเองอยู่แล้วว่า ขันธ์ 5 นี้แหละ ที่แปลว่ามนุษย์หรือเป็นองค์ประกอบของคนเราคนหนึ่ง ๆ เท่านั้นเอง เนื่องจากสมัยเก่านั้นวิทยาศาสตร์ยังไม่มี รู้จักเพียงว่า คนนั้นมีร่างกายคือ รูป, ภายนอกที่ตาเห็น ประกอบกันกับของภายในที่มองไม่เห็น, ซึ่งยุคนั้นเอาเพียง 4 อย่างคือ เวทนา, สัญญา, สังขาร, วิญญาณ, มาประกอบกันเป็น มนุษย์ เป็น ชีวิต ๆ หนึ่งขึ้น เมื่อทรงอธิบายว่า รูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, วิญญาณ, ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา นั้นเราเพียงเข้าใจขันธ์ 5 รวม ๆว่าชีวิต และชีวิตนั้นเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา เท่านี้ก็พอจะเข้าใจได้ ไม่ผิดเลย แล้วสิ่งที่เราจะไปหาความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อไป มีเพียงคำ 3 คำนี้ คือ คำว่า อนิจจา ทุกขา และ อนัตตา ชีวิตเป็นเช่นนี้อย่างไร? เท่านั้นเอง, ก็จะเข้าใจว่า ทำไมพระองค์จึงทรงสรรเสริญท่านอัญญาโกญทัญญะ ในตอนจบแสดงพระธัมมจักกัปปวัตนะสูตรว่า ท่านอัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ ว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมดับล่วงลับไปเป็นธรรมดา นั้นก็เพราะท่านอัญญาโกณฑัญญะรู้เรื่อง อนิจจัง นั้นเอง(แต่ท่านยังไม่รู้เรื่อง อนัตตา) ก็สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลระดับโสดาบันองค์แรกของศาสนาพุทธ และคนทั้งหลายที่รู้ตามมารู้สัจธรรมนี้ก็สำเร็จแบบดียวกัน ก็เนื่องมาจากรู้เรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี้เอง ถึงสำเร็จเป็นพระอริยบุคคลโสดาบัน สกทาคมี อนาคามี และอรหันต์ ไปตาม ๆ กันได้, ดังที่ต้นเรื่องนี้ได้เอาข้อมูลมาแสดงไว่แล้ว,

ฉะนั้นเริ่มต้นเข้าใจมาตั้งแต่คำว่า รูป, คือ ร่างกาย อวัยวะ32ประการนั้นแหละ, บวก เวทนา, ความรู้สึกเจ็บปวดดีร้าย รู้สึกดีรู้สึกร้าย(เช่นใครเอามีดแทงเรา ๆ ก็เจ็บปวด ใครเอาน้ำหอมมาให้เราดม ก็ดี ใครด่าเราๆก็โกรธ ใครชมเรา ยิ่งชมว่าเลิศ ประเสริฐยิ่งลำพองใจใหญ่ ยกตัวยกตนใหญ่) สัญญา, ความจดจำได้(นับแต่จำบิดามารดา ผู้มีพระคุณได้ จำสาวคนรักผู้จากไปไม่รู้ลืม หรือจำคนร้ายที่ทำร้ายบิดามารดาเรา) ไปถึงการจดจำหนังสือวิชาการต่างๆ สำเร็จด๊อกเตอร์ก็เพราะตัวนี้ , สังขาร การรู้จักคิดปรุงแต่งไปตามการได้ผัสสะเข้ามาจากภายนอกไปต่าง ๆ เช่น หู ตาเห็นอะไร ได้ยินอะไร เช่นเห็นอะไร ๆบนท้องฟ้า นึกว่ายานอวกาศมาจากต่างดาว วิจารณ์กันใหญ่, ได้ข่าวฆ่ากันตาย หรือตายเพราะโควิดทั่วโลก ก็คิดไปต่าง ๆ, หรือพวกใน-พวกนอกสภาผู้แทนราษฎร พากันอภิปรายทำสภาอลเวงไปหมดอย่างไร เป็นเรื่องที่เราคิดเอาปรุงแต่เอาไปทั้งสิ้น, วิญญาณ คือจิตใจภาคความนึกคิดอารมณ์ต่าง ๆ ใจดี ใจร้าย เมตตา กรุณา หรือ ใจบาปหยาบช้า, โดยเรื่องทั้ง 5 นี้ รวมกันเป็นองค์ประกอบ ของ 1 ชีวิตละ ขาดไปอย่างใดอย่างหนึ่งก็กลายเป็นคนพิการไป และมักพบที่เรียกรูปที่มองเห็นว่ารูป เรียกเวทนา+สัญญา+สังขาร+วิญญาณ ว่า นาม (เรียกไปอีกแบบนี้ก็ถูก แล้วแต่ใครจะคิดเรียกไปแต่เราต้องเข้าใจเท่านั้นเอง) และเข้าใจรวมกันไปว่า ชีวิต (ยิ่งสมัยใหม่นี้ องค์ประกอบที่ว่าขันธ์5นี้ พวกแพทย์เขายิ่งรู้มากไปกว่านี้อีก จนรู้ไปถึงระบบมันสมอง ในเรื่องสมองเองเขาก็ยิ่งรู้ไปอีกไม่รู้ร้อยพันขันธ์ ที่ทำงานอย่างเป็นปกติของมัน ที่มีผลต่อสุขภาพ ต่อชีวิตอย่างไร, รู้เรื่องลมหายใจยิ่งไปกว่าพระนักปฏิบัติตามป่าตามเขาไปอีก เพียงแต่เอา 5 ขันธ์นี้ก็พอเพียงนั่นแหละรวมเป็น 1 ชีวิตละ) ประเด็นสำคัญคือเรื่องที่เป็นสัจธรรมของชีวิตที่เราจะตามไปรู้ให้ได้ก็คือ อนิจจัง, ทุกขัง, อนัตตา, สามอย่างนี้ น่าเป็นสิ่งที่คนยุคนี้จะรู้ได้อย่างรวดเร็ว ไม่แพ้คนยุคเก่าก่อนโดยวิธีการมองแบบมองข่าวสารข้อมูล คิดด้วยมันสมองคิดด้วยเหตุ ด้วยผล แบบคนมีสมองธรรมดา ๆ หรือแบบวิชาการก็ยิ่งดี อย่างคนธรรมดา ๆ (ไม่คิดแบบคนวัดยุคก่อน ๆ หรือแม้ปัจจุบันก็เลยไม่รู้อะไรไป เรียกว่ารู้แบบเข้ารกเข้าพงไปเลย) ก็จะเข้าใจ ได้ พอๆ กับคนยุคพุทธองค์นู้นและย่อมรู้แจ้งแบบคนยุคนั้นได้ง่ายๆ (เพราะคนยุคนี้ฉลาดมีการศึกษามากกว่าคนนยุคนู้น ไกลกันมากเลยทีเดียวแล้วทำไมจะไม่รู้เรื่องเท่านี้)

-----
-----

 

To know three things : dukku[suffering of life], anitjang [impermanent of life ], anatta [no power to order ourself, our lifes all thing in the whole world, universe, from dying brokenning, and from new birth again in a circle of life for hundreds of years, not subject to one's control] result to weary of life (i.e., the khandhas). This is the Path to Purity orto be tired of life in the one's heart from to die to born again and again Yes this is the path to purity by driving all dirties, all lustful desires out of the insight mind, the cause to reach Niravana. This is the enlightenment of the holy truth not to born again to live a new holy life without a suferings eternally.

-----

Phayap Panyatharo

This is the story of the life that all human beings are normally like. Only human beings or people come to know 3 truths that the Lord Buddha taught since the beginning of teaching the first chapter. Dhammacakkappavattana Sutra Anattalakkhana Sutta and Atitapariya Sutta As a result, the Triple Gem was born in this world. traced his teachings to the world in this era The half-Buddha era has arrived, but people in this era, when they read the story, often get confused, starting with the words form, feeling, contract, body, and spirit, which, in summary, it is understandable that these five aggregates mean human beings or not. It is a component of one person only because in the old days, there was no science. just know that A person has a body, a form, outwardly visible to the eye. together with the invisible inner thing, which at that time took only 4 things namely feeling, covenant, sankhara, spirit, together to form a human being as a life when he explained that form, feeling, covenant, sankhara, spirit, impermanent, suffering and selfless. Then we only understand the five aggregates that life and life are impermanent, suffering and selfless. This is enough for us to understand. It's not wrong. And what we will continue to seek deeper understanding is only these 3 words: Alas, Dukkha and Anatta. How is life like this? That's it, you'll understand Why is he praising Anya Konthanya? At the end, the Dhammacakkappavattana Sutta is said: Anya Kondanya knows that anything happens naturally. That will naturally pass away. That is because Lord Anya Kondanya knew about Anacchan (but he did not know about Anatta) that he became the first Sotapana noble person of Buddhism and all those who knew and followed this truth succeeded in the same way. It is because of this knowledge of anicca, dukkha, and anatta that one has attained the knowledge of Sotapanna, Sakdakami, Anagami, and Arhat, as the foregoing in this story has been presented.

Phayap Panyatharo

Therefore, we begin to understand from the word form, that is, the body. Those 32 organs, plus feeling, feeling of pain, good and bad. Feeling good, feeling bad (for example, someone who stabs us with a knife is in pain. Whoever brings perfume to us to smell is good. Whoever curses us is angry. Whoever compliments us, the more they praise us. It's great. Prasert is very proud. exalted, large) contract, remembering (from the memory of parents benefactor Remember the girl who loved you, who passed away, will never forget. or remember the villain who attacked our parents) to remembering various academic books Success, Dr. because of this person, sankhara, knowing how to think and manipulate according to the touch from the outside, such as ears, eyes, what he sees, what he hears, such as seeing anything in the sky, thinking that a spaceship comes from an alien Big criticism, news of killing each other. Or die because of covids around the world, think differently, or those inside the House of Representatives. Let's discuss how the council is all messed up. It is a matter that we think about and add, but take it all, the soul is the mind, the mind, the thoughts, emotions, benevolence, benevolence, benevolence, benevolence, or sinners, by which these 5 matters are combined into the elements of one life, one of which is missing. become handicapped And often found that the image that can be seen is the image. Calling feeling + contract + body + spirit as Nam (it's correct to call it another way. Depends on who thinks to call it, but we have to understand that only) and understand together that life (the more modern this The elements that this five aggregates The doctors knew more than this. until you know the cerebral system In regards to his own brain, he knew more than a hundred thousand khan. that works its normal affecting health How to live, knowing more about breathing than monks who follow the forest after him, just take these 5 aggregates is enough for one life) The important point is that it is the truth of life that we will follow. Knowing it is: Animism, Duk Kham, Anatta, these three things should be something that people of this era will know quickly  not lose the old people by the way of looking at the information Think with a brain, think with a reason, with a result, like a normal person or an academic mind. like ordinary people (don't think like the temple people in the past, or even the present, so they don't know anything It is called knowing in a way that goes into the underworld) so that it can be understood as well as those of the Buddha era and can easily enlighten like those of that era (because people in this era are smarter and more educated than those in that era It's so far away, why don't you know this much?)

-----
-----


ความเข้าใจเริ่มแรก

 

 

Phayap Panyatharo

24 มิถุนายน เวลา 03:49 น.  ·

แชร์กับ สาธารณะ

Thai-English

รูปัง  ภิกขะเว  อะนัตตา ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปเป็นอนัตตา

(ถวายแด่ พระศพ พระครูวรธรรมคณารักษ์ เจ้าคณะอำเภอวังหิน จ.ศรีสะเกษ)

-----

1.

ก็เมื่อ สังขาร คือ ร่างกาย (รูป+เวทนา+สัญญา+สังขาร+วิญญาณ), เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง, และจึงเป็นเหตุของทุกข์, เช่นนี้ สังขาร (ร่างกาย) จึงบังคับไม่ได้ ตามใจเราไม่ได้, จะต้องตายในที่สุดทุกๆคน ทุกๆสังขาร ทุก ๆ ชีวิต, สังขารร่างกาย จึง ไม่ใช่ของเรา เราสั่งให้มันอยู่ไปร้อยปี พัน ปี ไม่ได้เลย, มันเป็น อนัตตา มันไม่ใช่ของเรา แม้มือ เท้า แขน ขาเรา ปอด หัวใจ มันสมองเรา ก็ไม่ใช่ของเราเป็นอนัตตาทั้งสิ้น,

ฉะนั้น พวกเราทั้งหลายที่ยังมีชีวิตอยู่ต่อไปก็ย่อมจะไปสู่จุดสุดท้าย เช่นเดียวกันนี้ทุกคน ๆ ทั้งโลกเลย, น่าเบื่อหน่ายในชีวิตจริง ๆ ที่มีปกติหมุนวนอยู่เช่นนี้ อยู่กับการเกิด การแก่ การเจ็บ และการตาย, ตายแล้วก็มาเกิดใหม่-ตายอีกรอบใหม่ หมุนวนไปใหม่เช่นนี้ ไม่พ้นไปจากวงเวียนนี้ นับโกฎิ ๆ ปีมาแล้ว และยังจะต่อไปเช่นนี้อีกนับโกฎิๆปีข้างหน้า ตราบที่ยังไม่พ้นไปจาก อนัตตา, เพราะไม่พันไปจาก อนัตตา,

ฉะนั้น  คนทั้งหลาย  ทั้งโลก  ไม่ว่าชาติใดเชื้อสายใดศาสนาใด  จงมุ่งไปสู่ทางพระนิพพานเถอะ ทางไปสู่ความพ้นทุกข์จริง ๆ พ้น อนัตตาจริง ๆ ด้วยการชำระล้างตัณหาสาม, กามตัณหา, ภะวะตัณหา, และวิภะวะตัณหาให้หมดจากใจเราให้ได้ให้เกลี้ยงเกลาจริง ๆ  นั่นคือหากเมื่อใด คนใดสามารถชำระดวงจิตให้สะอาดผ่องแผ้ว พ้นไปได้จาก กิเสทั้ง 3 ดังกล่าวเมื่อไร ก็จะบรรลุสู่มรรคผลนิพพานเมื่อนั้นโดยทันที  นั่นแหละโลกนิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระบรมครูของเราของโลกละ นั้นแหละได้พบความสุขอมตะนิรันดร ไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก  เอาละ ที่นี่และเดี๋ยวนี้ เลย หากยังช้าอยู่ก็ต้องรีบๆ เพราะเวลามีน้อย... พระครูพุทธิพงศานุวัตร ผจล.วัดมหาพุทธาราม พระอารามหลวง ศรีสะเกษ.16 มิ.ย.2564 07.24 น.

-----
-----

2.

รูปัง ภิกขะเว อะนัตตา ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปเป็นอนัตตา

รูปัง ภิกขะเว อะนัตตา ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปเป็นอนัตตา บาลีบทนี้มาจาก อนัตตลักขณะสูตร ที่พุทธองค์ทรงแสดงเป็นกัณฑ์ที่ 2 แด่ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5, ซึ่งพระอานนท์เถระได้จดจำมาถ่ายทอดถึงคนทุกวันนี้ซึ่งเชื่อได้ว่า ครบถ้วนสมบูรณ์ไม่ตกหล่นครบทุกคำตามที่พระองค์ทรงแสดงครั้งนั้น, และนั้นเอง, ทำให้ทรงความหมายอย่างสำคัญต่อการบรรลุมรรคผลนิพพานได้สำหรับคนยุคใหม่, หากแต่ การทำความเข้าใจมักจะมีคนระดับครูบาอาจารย์หรือนักการศึกษาทำความเข้าใจผิดไปจากความหมายในอนัตตลักขณสูตรเองในถ้อยคำสำคัญคำหนึ่ง ซี่งมีสัจธรรมเกี่ยวกับเรื่องสังขาร และเรื่อง ธรรม หรือ ธัมม ตามบทสรุปที่ว่า สัพเพสังขาราอนิจจา, สัพเพสังขาราทุกขา, สัพเพธัมมา อนัตตา,

คำว่าสัพเพธัมมาตามนัยยะของอนัตลักขณะสูตรนั้น คำว่าธัมมะ ไม่ใช่แปลว่า ธรรมะ หรือธัมมะ ในนัยยะของแก้วสามประการที่สองคือ พระธรรม หรือความหมายอื่นใดก็ตาม แต่หมายถึง สรรพสิ่งในโลก ในจักรวาลนี้ทั้งสิ้น หากเอาไปแปลว่า เป็นธรรมะ แล้วจะไม่เข้าความหมายของ อนัตลักษณะสูตรคือก็จะเข้าใจผิดไป ไม่นำไปสู่ความเข้าใจเรื่องมรรคผลนิพพาน อรหันต์นั่นเอง ก็แปลว่าเข้าใจผิด ที่ไม่อาจจะบรรลุพระอรหันต์ได้เลย

3.

โดยที่เราต้องเข้าใจให้สอดคล้องความหมายของอนัตตลักขณะสูตรตั้งแต่เริ่มต้นเข้าใจเรื่อง อนิจจัง ร่างกายชีวิตไม่เที่ยง ไม่คงที่แต่เปลี่ยนแปลงไปสู่ความเสื่อมสภาพลงไปเรื่อย ๆจนที่สุดสู่ความสูญสลาย สู่ความตายไปทุกคน ๆ  ภาพที่เห็นจริง ๆ อยู่ปกติก็คือ คนเราทุกคนนั้นไม่สามารถสั่งร่างกายของตน ไม่ให้มีการแก่ การเจ็บและการตายได้เลย นี่เองเป็นเหตุของ ทุกข์ เป็นเหตุให้มีคำว่า สัพเพสังขารา ทุกขา สังขารร่างกาย ชีวิตเป็นทุกข์   ซี่งอนิจจัง และทุกขัง นี้ทรงแสดงมาแต่ธัมมจักกัปปะวัตนะสูตรแล้ว เป็นเหตุให้โกณฑัญญะสำเร็จโสดาบัน จากความเข้าใจหลักอนิจจังว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมดับล่วงลับไปเป็นธรรมดา ครั้น7วันต่อมามาทรงแสดงอนัตตลักขณะสูตร ทรงพูดถึงสัจธรรมของร่างกายของชีวิตคนว่าไม่ใช่ของเรา ทรงถามปัญจวัคีย์ว่า รูป ร่างกายเป็นอัตตาหรือไม่ ตอบว่า ไม่ เพราะหากเป็นอัตตาแล้ว รูปก็จะไม่เป็นไปเปลี่ยนไปในทางที่เราไม่ชอบและหากเป็นอัตตา รูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, วิญญาณ, ก็จะสามารถสั่งการได้ตามใจเรา แต่เราสั่งการมันให้เป็นไปตามใจเราไม่ได้ เช่นจะไปสั่งให้รูปร่างกายของเราอย่าแก่ อย่าเจ็บ อย่าตาย ก็สั่งไม่ได้ บังคับมันไม่ได้ เช่นนี้แหละ จึงเรียกว่า มันเป็นอนัตตา แปลว่ามันไม่ใช่ของเรา เราบังคับร่างกายเราให้เป็นไปตามใจเราปารถนาไม่ได้ ซึ่งเมื่อขยายความเข้าใจออกไป จึงเป็นสัพเพธัมมาอนัตตา โดยเราต้องแปลคำว่า สัพเพธัมมา ให้ถูก โดยต้องแปลคำว่า ธรรมะ หรือ ธรรมา หรือ ธัมมะ นี้ว่าเป็นสัพพสิ่งในโลก ในจักรวาล ที่มีสภาวะอย่างเดียวกับสังขาร นั่นคือไม่ใช่ของเรา เราสั่งการให้มันเป็นไปตามใจเราไม่ได้

ฉะนั้น คำว่า ธรรมะ ตามนี้ จึงหมายถึง สรรพสิ่ง คือสิ่งทั้งหลายทุก ๆ สิ่งบนโลกและจักรวาลนี้ ล้วนเป็นอนัตตา ไม่ใช่ของเรา เราสั่งบังคับมันไม่ได้เลยนั้นเอง ธรรม หรือธัมมะ ตามพระสูตรนี้ ไม่ใช่หมายถึง พระรัตนตรัยที่คนพุทธบูชาว่า สวากขาโต ภะคะวะตาธัมโม ธัมมัง นมัสสามิ ไม่ใช่ หากแปลไปเข้าใจไปแบบนั้นแล้วก็ไม่อาจจะนำดวงจิตไปพิจารณาเห็นความน่าหน่ายน่าชังของทุกขลักษณะ อันเกิดมาจากความเป็นอนิจจังและอนัตตาได้ เพราะเมื่อทรงแสดงพระธรรมบทนี้จบลง ได้ทำให้ปัญจวัคคีย์ เกิดความเบื่อหน่ายในสังขาร ที่สั่งการบังคับไม่ได้ ที่เห็นแล้วว่า นั่นเป็นเพราะสังขาร ชีวิตไม่ใช่ของเรา เราคล้ายว่ายืมของคนอื่นมาใช้เท่านั้น ก็เกิดความเบื่อหน่ายขึ้นและความเบื่อหน่ายไปล้างกิเลสภายในดวงจิตหมดสิ้นไปในทันที ก็จึงบรรลุอรหันต์พร้อมกันทั้ง 5 องค์หลังทรงแสดงพระธรรมเสร็จลงทันที ฉะนั้น หากใครก็ตามไปแปลคำว่า สัพเพธัมมาอนัตตา เป็นอย่างอื่น ไม่สอดคล้อง อนัตตลักขณะสูตร จึงถือว่าแปลผิดและเข้าใจผิดไปหมดเลย นั้นย่อมนำคนผู้หลงผิดไปตาม ไปเข้าใจผิดในพระพุทธศาสนาต่อไปอีกด้วย และแน่นอนกลับปิดกั้นทางสู่มรรคผลนิพพานอย่างสนิทไปเลย เรียกว่าทำไปตามอวิชชาอย่างแท้จริง น่าละอายใจ

4.

คำว่าอัตตาหรือตัวตนนั้น ตามอนัตลักขณะสูตร ความมีตัวตนของเรา ร่างกายของเรา มือ  เท้า แขน ขา หัวใจ ตับ ปอด นั้น ไม่ใช่ของเราอยู่แล้ว แต่เป็นอนัตตา ดังที่ทรงถามปัญจวัคคีย์ว่า ร่างกายเป็นอัตตาหรือไม่ ? ปัญจวัคคีย์ตอบว่าไม่ ถามว่าทำไมล่ะ? ตอบว่า หากว่าร่างกาย มือ เท้าแขน ขา ปอด ตับ หัวใจ เป็นอัตตา เป็นเรา เป็นของเราเป็นตัวตนของเรา เราก็จะสั่งมันได้ บังคับบัญชามันได้ ว่า จงอย่าแก่ จงอย่าเจ็บ จงอย่าตาย จงมีอายุยืนไป ร้อยปี พันปี แต่เราสั่งได้ไหม? ไม่ได้!! มันจึงเป็นอนัตตา มันไม่มีอัตตาอยู่แล้ว มันเป็นอย่างนี้อยู่แล้วเพียงแต่เราไปสำคัญผิดว่ามันเป็นเรา มันเป็นของเราเท่านั้นเอง ....นี่แหละเป็นสัจธรรม ที่เมื่อรู้แล้ว จะทำให้เกิดความหน่ายในชีวิต ความเป็นอัตตา อนัตตา นี้ นำไปเกิดการขับไล่ตัณหาในดวงจิตออกไปเกลี้ยงเกลาและบรรลุอรหันต์ได้ ประเด็นก็เกิดขึ้นมาว่า แล้วทำไม ในเมื่อความจริงอัตตาไม่มีอยู่แล้ว, ก็เพราะในความจริง ไม่มีอัตตาอยู่แล้ว มีแต่อนัตตา มันไม่ใช่ของเราอยู่แล้ว นั้นก็บังเอิญเกิดรู้ขึ้นมาทำให้คนหลายคนเข้าใจผิดไปได้ โดยได้รู้ว่าตนเองไม่มีอัตตาแล้ว มีแต่อนัตตา ตนย่อมสำเร็จอรหันต์แล้ว นั้น นั่นแหละ!! ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าตนเองสำเร็จเป็นพระอรหันต์,ซึ่งนับเป็นความเข้าใจผิดไปอย่างมากมาย, ซึ่งทางที่ถูกก็คือคำว่าตัวตนหรืออัตตายังมีอีกความหมายหนึ่งต่างหาก ต่างไปจาก อนัตตลักขณะสูตร นั่นก็คือมีอีกความหมายใน ธัมมจักกัปปะวัตตนะสูตรที่ทรงแสดงมาก่อนนั้นเอง และนี้เป็นคนละความหมาย ไปจากอนัตตลักขณะสูตร หากเข้าใจได้รู้ตามอนัตตลักขณะสูตรแล้ว ไปเข้าใจเรื่อง สัพเพสังขาราอนิจจา สัพเพสังขาราทุกขา สัพเพธัมมาอนัตตาติ, จะยังไม่ใช่, ต้องไปศึกษาต่อในเรื่อง อริยสัจ 4 จึงจะรู้จักธรรมะว่าด้วยอัตตา อนัตตาที่เป็นตอนจบจริงๆ ในความหมายของคำว่าตัวตน ตัวกูของกู ตัวมึงของมึงหรือ เรื่อง อีโก้ ที่ฝรั่งเขาได้รู้ไปก่อนแล้ว, หากยังไม่ไปเข้าใจอริยสัจ 4 จากธัมมจักกัปปะวัตนะสูตร ที่ทรงเทศนามาก่อนแล้ว ก็จะไม่อาจสำเร็จอรหันต์ได้, นั้น ก็จะเป็นการเอาเรื่องที่ตนเข้าใจผิดไปสอนผิดๆ ต่อไปอีก โดยอาจถึงขั้นว่าเข้าใจว่าตนสำเร็จอรหันต์ไปก็ได้ นั้นแหละ เป็นเรื่องที่ทำลายสัจธรรมในพระพุทธศาสนาไปเลย คำว่าอัตตามันซ่อนความหมายซ่อนคำอยู่ในธัมมจักกัปปะวัตนะสูตร หาพบก็สำเร็จละ

5.

ก็ธัมมจักกัปปวัตตนะสูตร ทรงแสดงครั้งแรก เป็นบทปฐม ซึ่งการแสดงธรรมบทแรกนี้ ทรงแสดงความหมายไว้อย่างเป็นแบบฉบับ สำหรับการรู้แจ้งมรรคผลทั้งสิ้น นับจากโสดาบัน, สกทาคามี, อนาคามี, ถึง อรหันต์, หมายความว่า ธัมมจักกัปปวัตนะสูตรนี้ ถ้าเข้าใจรู้แจ้งหมดแล้ว ก็สามารถสำเร็จไปได้ถึงอรหันต์ แต่ท่านอัญญาโกณฑัญญะขณะนั้นสามารถรู้แค่เรื่อง อนิจจังคือรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา เมื่อมารู้แจ้งไปอีกจากอนัตตลักขณะสูตร เรื่อง เราบังคับสิ่งใดไม่ให้เป็นไป ให้เป็นไปตามใจเราไม่ได้เลย มีแต่ล่วงไป ๆ สู่จุดดับแบบไม่ฟังเราเลย ทั้งสิ้น นั้นแหละอนัตตา และ สัพเพธัมมา อนัตตา, ไม่ใช่หมายความถึง ธัมมะทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่อย่างนั้น แต่เป็นการขยายจากสัพเพสังขารา ไปเป็น สัพเพธัมมา ซึ่งให้ความหมายกว้างขวางขึ้น ธัมมะตรงนี้จึงหมายถึงสิ่งทั้งหลายทั้งปวงหรือของสรรพสิ่ง คือ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงล้วนเป็นไปเสื่อมไป ดับไปเองแบบที่เราสั่งการบังคับไม่ให้มันเป็นไปเสื่อมไปไม่ได้เลย มันเป็นเช่นนั้นเสมอๆ แก่ เจ็บ ตาย ไปเสมอ สั่งให้มันคงอยู่ เป็นอยู่ตลอดไปไม่ตายไม่หักไม่พังไม่ได้ เช่นจะไปสั่งดวงอาทิตย์ จงอย่าตกดินลงไปเลย สั่งดินฟ้าอากาศ อย่าหนาวเลย สั่งดาวหาง อย่ามาชนโลกนะ อะไรที่เป็นสัพพสิ่ง ทั้งสากลจักรวาล แม้โลกเรา สุริยะจักรวาล และจักรวาลอื่น ๆ มันเป็นอนัตตาทั้งสิ้น เข้าใจได้ เห็นจริงอย่างนี้แหละ นำไปสู่มรรคผลนิพพานอรหัตผลได้ แต่ถ้าไปเข้าใจคำว่าสัพเพธัมมา หมายถึง ธัมมะ ในความหมายของ พระธรรมที่ทรงสอนแล้ว และเข้าใจผิดไปหมดว่าพระธัมมเป็นอนัตตา นั้นก็เรียกว่าหลงทางไปเลย และคำว่าอัตตา คำว่าตัวตน ที่มองแบบตรงข้ามกับอนัตตา นั้น จะต้องไปศึกษาจากพระธัมมจักกัปปวัตนะสูตร ให้เข้าใจ และยังมีอีกพระสูตรหนึ่ง ที่ทรงแสดงแด่พวกนักบวชลัทธิเดิม 1003 รูป ถัดจากนั้นมา คือ อาทิตตปริยายสูตร สำเร็จอรหันต์พร้อมกันหมดเมื่อทรงแสดงจบลง(หมายความว่าฆ่าอัตตาตัวตนที่มีในตนหมดก็สำเร็จอรหันต์พร้อมกันได้) นั้นแหละค่อนข้างจะเป็นเรื่องที่ทำความเข้าใจเรื่อง อัตตา ตัวตน ได้อย่างชัดเจน น่าจะไปศึกษาจาก 3 พระคัมภีร์นี้ให้เจนจบจริง ๆ ก็ย่อมจะส่งผลแด่คนยุคนี้ได้เช่นเดียวกับคนยุคนั้น.

@แด่ พระศพ พระครูวรธรรมคณารักษ์ เจ้าคณะอำเภอวังหิน จ.ศรีสะเกษ 24 มิ.ย.2564 

-----
-----

 

 

Phayap Panyatharo

💛To know three things : dukku[suffering of life], anitjang [impermanent of life ], anatta [no power to order ourself, our lifes all thing in the whole world, universe, from dying brokenning, and from new birth again in a circle of life for hundreds of years, not subject to one's control] result to weary of life (i.e., the khandhas). This is the Path to Purity orto be tired of life in the one's heart from to die to born again and again Yes this is the path to purity by driving all dirties, all lustful desires out of the insight mind, the cause to reach Niravana. This is the enlightenment of the holy truth not to born again to live a new holy life without a suferings eternally.

-----

การได้รู้ 3 อย่างนี้ คือ ทุกข์(ความยากลำบาก ความเดือดร้อนของชีวิต), อนิจจัง ความไม่มั่นคงถาวรของชีวิตเราทั้งหลาย, อนัตตา ความไม่มีอำนาจสั่งการบังคับบัญชาร่างกายของเราเอง ชีวิตของเราเอง, ชีวิตทั้งหลาย, สิ่งทั้งหลายในโลกทั้งโลก แม้ทั้งจักรวาล ไม่ให้แก่ ไม่ให้ตาย ไม่ให้แตกดับไปจากเรา ให้ตายแล้วสู่ความสุขไม่ให้มาเกิดใหม่ เป็นวงวัฎฎะสงสารนับร้อยล้านปี ใช่ของเรา ของตัวตนของเราและสรรพสิ่ง การรู้แจ้งนี้ส่งผลให้เกิดความเบื่อ ความหน่ายในทุกข์ของชีวิต ที่ต้องตายไปแล้วเกิดมาอีกครั้ง ไม่หยุดหย่อน นี่คือวิถีทางแห่งความสะอาดบริสุทธิ์ภาคภายในโดยการกวาดล้างความสกปรก ความปรารถนาลามกอนาจารในกิเลสทั้งหลายไปจากภาคภายในของตน นั่นแหละนำไปบรรลุโลกนิพพาน บรรลุความรู้แจ้งความจริงของชีวิตและสรรพสิ่ง มีปัญญาสว่างไสวรู้แจ้งสัจธรรมชีวิตอันสูงส่งพ้นทุกข์เป็นสุขนิรันดรไม่กลับมาเกิดอีก 💛🌶️

-----
-----

 

Rupang Bhikkave Anatta Look, monks, image is soulless

(Dedicated to the funeral of Phrakhru Worathamkanarak Dean of Wang Hin District, Sisaket Province)

-----

1.

When sankhara is the body (form+feeling+concept+sankhara+spirit), it is impermanent and impermanent, and thus is the cause of suffering, thus the body cannot be forced. As we can't, we will die in the end. Everyone, every body, every life, therefore the body is not mine. We can't order it to live for a hundred years, a thousand years. It's anatta. It's not ours, even hands, feet, arms, legs. We, our lungs, our hearts, our brains are not ours.

Therefore, those of us who are still alive will surely go to the last point. Likewise everyone in the whole world, really boring in this normal spiraling life. Live with birth, old age, sickness and death, dying and being born again - dying again. spinning around like this It has not escaped from this circle, counted many years ago, and will continue like this for many years to come. As long as it is not freed from Anatta, because it is not entangled from Anatta,

Therefore, all people, the whole world, regardless of race, religion, Let's head towards Nirvana. The path to true liberation from suffering is truly selfless by purifying the three lusts, kama lust, bhava-tanha, and vibhava-tanha from our minds. When can a person purify his mind and purify himself from these three kise? will attain to the path of nirvana immediately That is the nirvana of the Lord Buddha. our teacher of the world That's where I found eternal happiness. Not coming back to swim and die again. Well, here and now. If you're still late, you have to hurry. Because there is little time... Phrakhru Putthipongsanuwat Chief of Police, Maha Phuttharam Temple, Phra Aram Luang, Sisaket, June 16, 2021, 07.24 a.m.

-----
-----

2.

Rupang Bhikkave Anatta Look, monks, image is soulless

Rupang Bhikkave Anatta Look, monks, image is soulless This chapter is from Anatta Lak moment formula which the Buddha performed as the 2nd khan to the 5 Panchavakkeys, which Ananda Thera remembered to convey to people today who believe that Complete and complete without omissions of every word as he showed at that time, and thereby, giving significant meaning to the attainment of the path of Nirvana for the new generation, but comprehension often has a level of mentorship or educator. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . The study misunderstands the meaning of the Anatta Lakana Sutra itself in one key word. which has the truth about sankhara and dharma or dhamma according to the conclusion that Sabbesangkhara anicca, Sabbesankhara Dukkha, Sabbedhamma anatta,

The word sabbe dhamma comes in the sense of anatta lak kana sutta. The word dhamma does not mean dharma or dhamma in the sense of the second three glass is dharma or any other meaning, but refers to everything in world in this whole universe If taken to translate as Dharma, then it will not understand the meaning of The nature of the formula is that it will be misunderstood. does not lead to an understanding of the path of nirvana That's the arahant. misunderstood that cannot attain arahatship at all

3.

Whereas we must understand in accordance with the meaning of the Anatta Lak Sutta from the beginning to understand the matter of vanity, the body of life is impermanent. not stable, but changing to deteriorate until the end to destruction To everyone's death, the picture that is actually seen is normal. All of us cannot command our bodies. not to get old injury and death. This is the cause of suffering, which is why there is the word sabbe-sankhara, every leg, body-sankhara. Life is miserable, vanity and dukkha, this has been demonstrated since the Dhammacakkappavattana Sutta. is the reason for the success of Kondanya From the understanding of the impertinent principle that Something happens normally That will naturally pass away. Then, 7 days later, His Highness expressed anattalak during the Sutra. He spoke of the truth of the body of a person's life as not ours. He asked Panchavakee whether the form or the body was an ego or not. Form will not change in a way that we don't like, and if it is ego, form, feeling, contract, body, spirit, it will be able to command as we please. But we can't command it as we please. For example, to order the form of our body not to grow old, not to hurt, not to die, it cannot be commanded, it cannot be controlled. This is how it is called anatta. means it's not ours We can't force our bodies to do what we want. which when expanding the understanding Therefore, it is Sabbedhamma Anatta. We must translate the word sabpethamma correctly by having to translate this word dharma or dharma or dhamma to be all things in the world in the universe that have the same condition as the body. that is not ours We can't order it to be what we want.

Therefore, the word Dharma according to this means everything, that is, everything in this world and the universe. All are the self, not ours, we cannot enforce it at all. Dharma or Dhamma according to this Sutra. not mean The Three Jewels that Buddhists worship as Swagkhato bhagavata dhammo dhammam namassami, no, if interpreted in such a way, then one cannot take the mind to consider its despicableness. of all characteristics caused by vanity and selflessness because when he finished preaching this chapter has made Panchawak Key boredom in the body that cannot be forced seen that That's because the body life is not ours We seem to borrow from other people only to use. Boredom arose and boredom immediately washed away the passion within the soul. So he attained all five Arahants at the same time after he finished preaching the Dharma immediately. Sabbedhamma Anatta otherwise, inconsistent, selfless, as in the formula. Therefore, it is considered a mistranslation and misunderstanding. that will lead the astray to misunderstand Buddhism as well and, of course, completely blocked the path leading to Nirvana. It is called true ignorance, shameful.

4.

The word ego or self according to the infinite form while the formula our existence Our bodies, hands, feet, arms, legs, heart, liver, lungs are not ours. but it is soulless As he asked Panchawakkee, Is the body an ego? Panchawakkey replied no. Ask why? Answer: If the body, hands, feet, arms, legs, lungs, liver, heart are the ego, it is us, it is ours, it is our self. We can order it. You can command it, don't get old, don't get hurt, don't die, live for a hundred years, a thousand years, but can we command it? No!! therefore it is soulless. It doesn't have an ego anymore. It is already like this, but we mistakenly assumed it was us. It's ours only. ....this is the truth that when I know will cause displeasure in life This self-existence leads to the expulsion of desires in the mind to be clean and to attain arahatship. The issue arises as to why when the truth does not exist, because in reality There is no ego, there is only Anatta, it is not ours anymore. That accidentally happened to know that many people have misunderstood. Knowing that he has no self, only anatta, he has attained an arahant, that's it!! This led to the misunderstanding that oneself was an Arahant, which was a huge misunderstanding, in which the correct way was that the word self or ego also had another meaning, different from the Anatalak Sutra. that is, there is another meaning in The Dhammacakkappavattana Sutta that He had shown before. and this is a different meaning Go from the Anatta Lak while the formula. If you can understand, you can know according to the mantra during the formula. to understand Alas Sangkhara on every leg Sabbedhamma anattati, not yet, must go to study the Four Noble Truths in order to know the Dharma of the Self. Anatta that is the real ending. In the meaning of self, my self, your self, or the ego that foreigners have already known, if they have not understood the 4 Noble Truths from the Dhammacakkappavattana Sutta who had preached before If one would not be able to attain arahatship, that would lead to the misunderstanding of the teachings further, possibly to the point of understanding that one could have attained arahatship. That's the thing that completely destroyed the truth in Buddhism. The word attaman hides its meaning in the Dhammacakkappavattana Sutta. Found it successfully.

5.

Dhammacakkappavattana Sutta His Highness gave his first appearance as the first chapter. He expressed the meaning in a typical way. for the enlightenment of all paths Counting from Sotaban, Sakthagami, Anagami, to Arhat, means this Dhammacakkappavattana Sutta. If you understand, know everything. It can be accomplished to an arahant. But Anya Kondanya at that time could only know about Vanity is knowing that something naturally arises, it naturally disappears. When we come to enlightenment from anattalak in the sutra and subject, we force things not to happen. not to be able to do as we wish, but to the point of extinction without listening to me at all. That is Anatta and Sabbadhamma Anatta, not referring to All dhammas are selfless. not like that but is an extension from sappesangkhara to sappedhamma, which gives a broader meaning Dhamma here therefore refers to all things or things, that is, all things are perishable. self-extinguishing like we ordered to force it not to be deteriorating at all. It is always like that, always getting old, sick, always dying, ordering it to last. Live forever, not dead, not broken, not broken. like going to order the sun Don't fall down. Order the weather, don't be cold, order comets, don't hit the earth. what is a thing The whole universe, even our planet, the solar universe and the rest of the universe, it is all selfless. leading to the path of nirvana and arahatship But if you understand the word sabbe dhamma means dhamma in the meaning of the dharma taught and completely misunderstood that Dhamma is selfless. It's called getting lost. And the word atta, the word self, which looks at the opposite of Anatta, must be studied from the Dhammacakkappavattana Sutta to understand it. And there is another sutra. that he showed to the 1003 priests of the same sect, next to that was the Aditata Pariya Sutta Attaining all Arahants at the same time when His Highness finished (meaning that killing all of the self-contained self can achieve Arahant at the same time), it is quite a matter of clearly understanding the self-self. Should go to study from these 3 scriptures until the end. It will really affect people in this era as well as people of that era.@To the funeral, Phra Kru Worathamakarak Dean of Wang Hin District, Sisaket Province, June 24, 2021, Asanha Bucha Day – Buddhist Lent Day 2021

-----
-----

Phayap Panyatharo

To know three things : dukku[suffering of life], anitjang [impermanent of life ], anatta [no power to order ourself, our lifes all thing in the whole world, universe, from dying brokenning, and from new birth again in a circle of life for hundreds of years, not subject to one's control] result to weary of life (i.e., the khandhas). This is the Path to Purity orto be tired of life in the one's heart from to die to born again and again Yes this is the path to purity by driving all dirties, all lustful desires out of the insight mind, the cause to reach Niravana. This is the enlightenment of the holy truth not to born again to live a new holy life without a suferings eternally.

-----

การได้รู้ 3 อย่างนี้ คือ ทุกข์(ความยากลำบาก ความเดือดร้อนของชีวิต), อนิจจัง ความไม่มั่นคงถาวรของชีวิตเราทั้งหลาย, อนัตตา ความไม่มีอำนาจสั่งการบังคับบัญชาร่างกายของเราเอง ชีวิตของเราเอง, ชีวิตทั้งหลาย, สิ่งทั้งหลายในโลกทั้งโลก แม้ทั้งจักรวาล ไม่ให้แก่ ไม่ให้ตาย ไม่ให้แตกดับไปจากเรา ให้ตายแล้วสู่ความสุขไม่ให้มาเกิดใหม่ เป็นวงวัฎฎะสงสารนับร้อยล้านปี ใช่ของเรา ของตัวตนของเราและสรรพสิ่ง การรู้แจ้งนี้ส่งผลให้เกิดความเบื่อ ความหน่ายในทุกข์ของชีวิต ที่ต้องตายไปแล้วเกิดมาอีกครั้ง ไม่หยุดหย่อน นี่คือวิถีทางแห่งความสะอาดบริสุทธิ์ภาคภายในโดยการกวาดล้างความสกปรก ความปรารถนาลามกอนาจารในกิเลสทั้งหลายไปจากภาคภายในของตน นั่นแหละนำไปบรรลุโลกนิพพาน บรรลุความรู้แจ้งความจริงของชีวิตและสรรพสิ่ง มีปัญญาสว่างไสวรู้แจ้งสัจธรรมชีวิตอันสูงส่งพ้นทุกข์เป็นสุขนิรันดรไม่กลับมาเกิดอีก 💛🌶️

 

-----
-----




2..NWE.2..วิวาทะธรรม การตอบโต้ปัญหาธรรมทุกระดับมรรคผลนิพพาน ทุกทิศ ทั่วโลก ผ่านทุกสื่อออนไลน์

วิวาทะ 1. ขยันทำงานการอาชีพเราจริง ๆ นั่นแหละการฝึกสมาธิชั้นยอด และความขี้เกียจคือกิเลสที่ชำระแล้วบรรลุมรรคผลนิพพานได้
วิวาทะ 2. เราต้องหาเงินมาด้วยการแลกเปลี่ยนเสมอไป ไม่มีของที่ได้มาเปล่า ๆ นั่นแหละเสรีชน การพนมมือไหว้ขอทานเขา นั่นแหละความเป็นทาส
วิวาทะ 3. ยากไม่ค่อยดีง่ายจึงดี อยู่ที่ครูบาอาจารย์ผู้รู้จริงจึงง่าย จนถึงสมองไม่จำเลยก็บรรลุอรหันต์ได้เมื่อพบพระพุทธเจ้า ตอบศิษย์อตุโล
วิวาทะ 4. อริยัสัจ 4 คืออะไร ต้องรู้ เข้าใจจะแจ้งในส่วนเหตุ และส่วนผลอยากได้ผลอันนั้น ก็ต้องทำเหตุของมันให้ตรงให้ได้เท่านั้นเอง แล้วสำเร็จโสดาบันถึงอรหันต์ได้ ตอบศิษย์ อตุโล
วิวาทะ 5. การเกิด การตาย ใช่เพียงเรื่องของชีวิตคนเรา แต่สรรพสิ่งเป็นเช่นนี้ หมั่นฝึกสมองปัญญาให้เห็นจริงด้วยตาตนเองให้ได้
วิวาทะ 6. บ้านของตนเองแต่ละหลังนั้นแหละเป็นวัดของเราแต่ละคนที่ประเสริฐสุดเพียงมรรคผลนิพพานได้จริง
วิวาทะ 7. สู้สงครามโควิด 19 ด้วยการปฏิบัติหน้าที่การงานอย่างเป็นการปฏิบัติธรรม มุ่งตรงสู่มรรคผลนิพพานได้สำหรับคนยุคใหม่
วิวาทะ 8.มุ่งทำความดีเพื่อเพื่อนมนุษย์ในสถานะมนุษยชนคนหนึ่งนั้นเอง ไม่ต้องไปบวชก็บรรลุมรรคผลนิพพานได้ พอสำเร็จก็จะรู้จัดการอะไรไปเอง
วิวาทะ 9. หาเงินโดยสุจริตเก่งจนร่ำรวยแล้วทำดีต่อไปโดยช่วยคนทั้งหลาย เช่นการสร้างโรงงานใหญ่ให้คนมีงานทำนั้นแหละบุญใหญ่ละ
วิวาทะ 10. To Alex Joy That's the way to Buddha ความอดทนที่ไม่มีวันสิ้นสุดลงนั่นแหละทางสู่พระพุทธเจ้า
วิวาทะ 11 GBB.ตอบ Barua GBB ต้นโพธิ์ และ ดอกบัว บอกความหมายของการเอาชนะกิเลส เร่ิมด้วยกามตัณหาให้หลุดไปก่อน
วิวาทะ 12. ปัญญามาก่อนสมาธิหรือสมาธิมาก่อนปัญญา พอ ๆกันแล้วแต่บุคคลเขาผ่านชีวิตมาอย่างไร ตอบ ศิษย์ อตุโล
วิวาทะ 13. วิมตติญาณทัศนะมีอยู่ในตน เพียงแต่ยังค้นไม่พบ ยังมองไม่เห็น ต้องเข้าใจมองอย่างกว้างด้วย อย่างแคบด้วย
วิวาทะ 14. สำหรับยุคใหม่นี้การปฏิบัติงานหาลาภความร่ำรวยโดยสุจริตโดยมานะพยายามอย่างสูงสุด คือการปฏิบัติธรรมที่บรรลุมรรคผลสูงสุดได้ สำหรับยุคใหม่นี้อย่าให้เหมือนลาวที่ไปนั่งกันเฉย ๆ ในวัด โจรมาก็ไม่รู้
วิวาทะ 15. การไปอยู่ป่าแสวงหาสัจธรรม อย่างน้อยต้องสำเร็จวิชาสามก่อนจึงไป ตอบ See Alone
วิวาทะ 16. โพธิสัตว์ควรสร้างบารมีช่วยชีวิต มีตัวอย่างสำหรับคนดียุคใหม่
วิวาทะ 17. ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต คำตอบ เทพอมตะ
วิวาทะ 18. ผู้ใฝ่โพธิภูมิต้องมีหิริโอตตัปปะ ธรรมะหลักประจำตัว อันหมายถึงเสรีชนนั้นเอง
วิวาทะ 19. จะทำลายตัณหาได้อย่างไร ต้องรู้เหตุที่มาแห่งตัณหา แล้วทำลายให้สิ้น ผลที่ตรงกับเหตุก็เกิดเอง ผู้รู้จริงคือพระอรหันต์จะช่วยชี้บอกเหตุบอกผลนี้ได้เยอะ คำตอบสำหรับ ดีต่อใจ ต้องทำดีให้ใจ
วิวาทะ 20 การบรรลุโลกเทพ พระเจ้าพราหมณ์ อิสลาม คริสต์ นั้นยังไม่ใช่จุดจบ เป็นเรื่องโลกียะอยู่
วิวาทะ 21. พระเจ้า(ต่อ) อิสลามมีจุดร้ายแรงในคำสอน ที่มุสลิมทั่วไปไม่มีสิทธิรู้ รู้อย่างเดียวคือฟังคำสั่งไปลงโทษศัตรูอย่างไม่บิดพริ้วและให้รู้จักว่ามุนาฟิกเป็นศัตรูตัวร้ายแรงอย่างไม่มีการอภัยได้ ทำให้ถูกมองว่าสุดโต่งไป
วิวาทะ 22. ดร.อัมเบดกา ผู้รู้จริงนำชาวอินเดียคืนพุทธ พุทธแท้ ที่ตัดขาดจากเทพเจ้าทั้งปวง นับแต่มหาเทพทั้งหลาย ไม่เหมือนพุทธไสยศาสตร์แบบไทยกลับไร้เหตุผลยิ่งขึ้น
วิวาทะ 23. เห็นด้วยเรื่องบริสุทธิ์ แต่คำว่าไม่อยาก ให้เข้าใจให้ถูก เอาปัญญาเป็นหลักคิดเสมอไป ตอบ ดูความเคลื่อนไหว เพิ่มความรับรู้
วิวาทะ 24. ช่องส่องผีหรือ ทำไมจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา สมาธิ3 สู่ฌาน4 ไปไม่รอดก็กลายเป็นคนทรงไป เป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่ไปสู่ทางตกต่ำทำลายตนเอง
วิวาทะ 25. อะไรที่เหนือกว่าจิตใจ คือความที่ไม่มีจิตใจ นั่นแหละ ความว่างเปล่า
วิวาทะ 26. ทำดีดี ทำชั่วชั่ว หมายถึงสำเร็จแล้ว ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วยังไม่สำเร็จต้องพยายามต่อไป
วิวาทะ 27. พระพุทธเจ้าทรงชนะสงครามรู้แจ้งโลกด้วยโพธิญาณ คือทรงบรรลุปัญญาสว่างไสวไปทั่วโลกทั้งหลาย ทรงมีพระเนตรที่มองโลกทั้งหลายทะลุปรุโปร่ง เห็นหมดแต่ทรงบอกศิษย์สาวกเพียงเรื่องที่ทำให้พ้นโลกพ้นทุกข์เท่านั้นพอ
วิวาทะ 28 ปุถุชนกับอริยบุคคลมีสถานะไม่เท่ากัน แม้มีอภินิหาริย์แต่ยังเป็นปุถุชนอยู่ก็ไม่ถึงมรรคผลนิพพาน ตอบภูมิธรรม ภูธร
วิวาทะ 29 ภวะตัณหา ความหยากใหญ่ อยากเป็นพระพุทธเจ้า ลักษณะของตัวตนที่มีอำนาจเหนือจิตใจปุถุชนอยู่ เหตุ1ใน 3 ของเหตุพ้นทุกข์ สู้ด้วยเหตุ ด้วยผล จึงจะไม่บาป
วิวาทะ 30 ถูกแล้วออกจากสมาธิก็ทุกข์อีก สมาธิจึงยังไม่ถึงจุดจบ และสมาธิเพียงเอาใช้เป็นเรือข้ามแม่น้ำใหญ่เท่านั้น พอถึงฝั่งแล้วก็ทิ้งไปได้
วิวาทะ 31 ดูเองก็ได้ก็เห็นชัดเจน ที่ชื่อว่าหนังสือธรรมะ-พิธีธรรมวันนี้ ล้วนหนังสือหาทรัพย์ เอาเผาทิ้งให้หมด เหลือไว้เฉพาะของท่านพุทธทาสภิกขุก็พอ
วิวาทะ 32 เป็นเรื่องสามัญ ๆ เท่านั้นเอง แค่ต้ื้น ๆ ยังไม่รู้แล้วอยากเป็นพระพุทธเจ้า เป็นความประมาทอีกชนิดหนึ่ง
วิวาทะ 33 ผู้ที่จะเข้ามาสู่เส้นทางแห่งความหลุดพ้น ต้องมาทางพุทธศาสนาเท่านั้น มีบุญบารมีกับพระพุทธองค์ จึงจะหลุดจากชั้นมหาเทพสู่มรรคผลนิพพานไปได้
วิวาทะ 34 มีทางสำเร็จแบบลัดของคนยุคนี้ เพียงแต่ต้องปลดปล่อยปมด้อยออกให้หมดเสียก่อน
วิวาทะ 35 จะรู้จักพระอริยบุคคลจริงๆได้อย่างไร? โจทก์สำคัญจริง ๆ สำหรับโลกยุคนี้ ใครเล่ารู้จักอริยบุคคล คำถามสุดยอดอริยปราชญ์ ตอบ ศิษย์ อตุโล
วิวาทะ 36 การปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง คือทำงานอาชีพของเรา อย่างขยันขันแข็งไม่ขี้เกียจ ไม่ทำผิดกฎหมาย ให้รวยให้ได้ รวยแล้วสำเร็จมรรคผลพร้อมกันเลย
วิวาทะ 37 เพ่งในหลักการที่ท่านเคยทำมาจะได้ผลจริง อย่าไปทำสิ่งที่ไม่เคยทำมา จะเสียเวลาเปล่า กสิณ2อย่าง ฌาน 1 อย่างก็พอ ตอบ ศิษย์ อตุโล
วิวาทะ 38 การเพ่ง(ฌาน) จะทำได้ดีได้นานขึ้นกับสมาธิ
วิวาทะ 39 มารคืออะไร มารคือความขี้เกียจ ให้ฆ่ามารเสียทำการปฏิบัติธรรมไปโดยทำงานอาชีพให้ร่ำรวยอย่างขยันอย่างสุจริต และฆ่ากิเลสคือความขี้เกียจให้ได้ นั่นแหละบรรลุมรรคผลได้เลย
วิวาทะ 40 รู้สัจธรรมอนิจจังแล้ว รู้เกิดแก่ เจ็บ ตายแล้ว รู้ค่าเวลาของชีวิตไปทำแต่ความดีเถิด ชำระจิตให้บริสุทธิให้ได้ นั่นแหละนิพพานละ
วิวาทะ 41 ปุถุชนโพธิสัตว์ อริยโพธิสัตว์ ต่างกันอย่างไร? ตอบ ภูมิธรรม ภูธร
วิวาทะ 42 เห็นเทวธรรมแล้ว เป็นพะยานแห่งเทวธรรม
วิวาทะ 43 ธุดงค์ของพระของฆราวาสก็ดล้ายกัน แต่ของฆราวาสคือเศรษฐกิจแบบพอเพียงของในหลวงนั่นเองสุดยอดธุดงค์จริง
วิวาทะ 44 นิมิตรนำไปสู่การระลึกชาติ เป็นผลของสมาธิระดับอุปจาระสมาธิแล้ว ไปสู่ปฏิภาคนิมิตรภาพเคลื่อนไหวได้
วิวาทะ 45 ดับไม่มีเหลือซึ่งอะไร? ตัณหา 3 อย่าง กามตัณหา ภะวะตัณหา วิภะวะตัณหา
วิวาทะ 46 ลักษณะของภะวะตัณหา ความอยากใหญ่ วิภะวะตัณหาความไม่อยากต่ำต้อย การยึดมั่นถือมั่น อันนำตนไปสู่ฐานะทาส
วิวาทะ 47 การอุทิศบุญแด่สัมภะเวสี สัจธรรมของการไปเกิดใหม่ ตายแล้วก็ต้องเกิด แต่ต้องรอเวร กรรมตอบอาทิตย์ภูมิอักโข
วิวาทะ 48 ไม่รู้ธรรมสักบทปฏิบัติได้ไหม? มาเข้าใจสัจธรรมคนยุคใหม่ให้ได้ ทำการงานหน้าที่อาชีพเรานั้นเองเป็นการปฏิบัติธรรม ทำให้รวย แบบขยันไล่ความขี้เกียจนั้นแหละกิเลสละชำระความขี้เกียจให้หายไปหมด นั้นแหละบรรลุธรรม พร้อมความร่ำรวยไปด้วย
วิวาทะ 49 คำในทางปฏิบัติ เพ่งหมายถึงฌาน ไม่เกี่ยวกับลมหายใจ อาณาปานสติสูตรสำหรับวิปัสนา ไปถึงระดับ วิชาปราณเป็นสุดยอดธรรมปฏิบัต ตอบ ศิษย์ อตุโล
วิวาทะ 50 สัจธรรมแห่งความหลุดพ้นนี้มีในศาสนาพุทธเท่านั้น จึงควรเผยแผ่ไปทั่วโลก สำหรับมนุษย์ทั้งโลกได้ประโยชน์ ตอบศิษย์ อตุโล
วิวาทะ 51 การที่จิตนิ่งไม่ใช่เร่ื่องหัวตอ แต่เป็นขั้นตอนที่สำคัญ ก่อนไปสู่ขั้นที่สูงไปกว่ารวมทั้งวิปัสนา ตอบ ศิษย์ อตุโล
วิวาทะ 52 การเดินจงกรมเป็นการฝึกสติชั้นสูงสุดมี 6 ชั้น นี่ชั้นประถม แต่ทางสู่อริยบุคคลไม่ต้องผ่านก็ได้เพราะมันยาก ตอบศิษย์ อตุโล
วิวาทะ 53 ไม่เข้าใจที่อ้างมา อยู่ยอดไม้มองลงมาเห็นหมดแต่อยู่ต่ำมองไม่เห็นที่สูง เรื่องสตินี่เอง
วิวาทะ 54 เมื่อเข้าใจสัมมาทิฏฐิ นั้นแหละมีเฉพาะพุทธศาสนา ที่ผู้รู้พึงเผยแผ่ไปให้คนทั้งโลกได้ทราบ
วิวาทะ 55 คำถามที่ไม่เคยถาม และไม่มีคำตอบสำหรับยุคใหม่
วิวาทะ 56 ไม่มีผู้ใดสอนนอกจากพระพุทธเจ้า เป็นผู้ปกครองต้องควบคุมผัสสะทั้งหกนั่นแหละนำไปสู่โลกนิพพาน
วิวาทะ 57 ยังมีคำว่า ตัวกู อยู่ นั่นคือมีตัวอธรรมครอบครองจิตใจอยู่ ไล่อธรรมออกไป ตัวกูของกูก็หมดไป
วิวาทะ 58 มุ่งทางมหาเทพจะสู่พุทธภูมิ ต้องผ่านสงครามสวรรค์ ตอบ ภูมิธรรมภูธร
วิวาทะ 59 สุจินต์ บริหารวนเขต กับ 5 ผู้รู้วิพากษ์ธรรมะ โลก-ธรรม ทีวีรัฐสภาช่อง 10
วิวาทะ 60 อย่าคิดว่าคนที่ไม่มีศาสนาเขาเป็นคนเลว ไม่รู้ดีรู้ชั่ว ไม่ใช่เลย เขาใช้เหตุผล แบบไอสไตน์ไง พุทธยุคใหม่ เป็นพุทธกาลามสูตร วิทยาศาสตร์
วิวาทะ 61 มนุษยธรรมเป็นหลักการของศาสนาพุทธ บารัว GBB--G ถูกแล้ว แต่โลกประชาธิปไตยยุโรปอเมริกาก็มาจากหลักพุทธศาสนานั้นเอง หากแต่คนไทยประเทศที่นับถือพุทธศาสนากลับไม่เข้าใจประชาธิปไตยเลยเพราะไม่รู้พุทธศาสนาโง่อะไรเช่นนี้?
วิวาทะ 62 Hong Nguyen The law of Cause and Effect สอนเหตุและผล นั้นแหละเหตุ 3 ประการ lust(กามตัณหา) self ego unself ego ภวะ อยากใหญ่อยากโต วิภวะ ไม่อยากต่ำต้อยด้อยอำนาจ
วิวาทะ 63 นิทานจากบารัวGBB-G เรื่องนายขมังธนูตัวเล็ก ชนะสงคราม มาเป็นพระพุทธเจ้า
วิวาทะ 64 Yes. it's friendship it's one's best life of all lives.มิตรภาพนั้นเองบอกถึงชีวิตที่มีความสุขBARUA
วิวาทะ 65 สภาวะจิตเสื่อมแท้จริงเป็นอย่างไรคะ? หลงลืมสติไปอย่างสุด ๆ ไม่รู้ดีรู้ชั่ว ขาดสัปปุริษธรรม7ไปหมด
วิวาทะ 66 ฺBarua tells of suffering and how to makeoneself heart clean and empty
วิวาทะ 67 องคุลีมาล บอกคนยุคใหม่สำเร็จธรรมะได้แน่ และได้ฉับพลันด้วยพลังแห่งปัญญาที่เปลี่ยนความคิดไปได้ทันที
วิวาทะ 68 ขอให้อธิบายเรื่อง จิตเสื่อม หลงลืมสติไปอย่างสุด ๆ ไม่รู้ดีรู้ชั่ว ขาดสัปปุริษธรรม 7 ไปหมดเลย
วิวาทะ 69 ตอบ Alex Joy GBB-G ให้เข้าใจคุณธรรมพระอรหันต์แบบง่าย ๆ ท่านคิดอย่างเดียว ให้คนที่ฟังท่านสำเร็จรู้อย่างที่ท่านรู้
วิวาทะ 70 BuDhan Barue ไปสู่ดวงใจที่ว่างเปล่า ระเบิดขึ้นซึ่งสติปัญญาแจ่มแจ้ง รู้โลกเห็นโลกแล้วเบื่อหน่ายโลกไปสุด ๆ เบื่อเกลียดกามวัตถุแห่งความใคร่(สตรี)ไปแบบขยะแขยงไม่อยากพบเห็นเลย
วิวาทะ 71 to rebirth find what or who bring the soul to rebirth that's the thieve Kill them to pass to NIRVANA การเกิดใหม่ อะไร? ใคร? เกิดใหม่? หาให้พบ แล้วฆ่าทิ้งเสีย จึงเปิดทางสู่นิพพานได้
วิวาทะ 72.Rebirth to Alex Koy to see not rebirth after death but in life การเกิดใหม่ ไม่ใช่หลังตายไปแล้ว แต่เกิด-ตายตอนเราเองมีชีวิตอยู่นี่เอง หาให้พบนั่นแหละการบรรลุอรหันต์ละ
วิวาทะ 73.Barue yes, the most truth of the Cause and Effect or Sciense ถูกแล้ว สัจธรรมที่สุดยอดคือ ทำเหตุ ให้ตรงกับผล ให้ได้ นั่นแหละแบบวิทยาศาสตร์ทางธรรมะละ นิพพาน
วิวาทะ 74.When you think of war war will come to you with death ในเมื่อท่านเฝ้าคิดถึงสงคราม สงครามก็จะมาสู่ท่าน พร้อมกับความตาย
วิวาทะ 75 สัจธรรมสมาธิ และสงครามโลกจิตวิญญาณ ไม่เคยมีเปิดเผยมาก่อนนี่แหละเรื่องสุดลับสำหรับโลกสู่นิพพาน แด่ ศิษย์ อตุโล
วิวาทะ 76 ทำไมหมอจึงไม่บรรลุธรรมทั้ง ๆ ที่เรียนเรื่องกายสังขารมามาก กลุ่มพุทธภูมิ ไม่หรอก หมอนี่แหละได้โอกาสดีกว่าคนอื่นหลายเท่าในเมื่อคุ้นเรื่องคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ และคนตายกว่าคนทั้งหลาย
วิวาทะ 77.ต้องมีพรหมวิหาร 4 จึงจะสำเร็จ ถูกต้องไหมคะ ไม่ใช่ ต้องฆ่ากามตัณหา ภะวะตัณหา และ วิภะวะตัณหา เหตุของทุกข์ ในธรรมจักกัปปะวัตนสูตร ให้มองที่เรื่องเหตุ และ ผล ให้ตรงกันชัดเจน แล้วทำลายเหตุแห่งผลลคืออริยมรรคเสีย นั่นเอง
วิวาทะ 78 ปลีกวิเวกในป่าช้าผีดิบ สุสานสุขาวดี วันอาสาฬหบูชา 2562 ...ฟังดนตรีแห่ศพของพวกป่าช้ามาบรรเลงต้อนรับสนั่นตลอดคืน
วิวาทะ 79 Full Moon innoccent heart to NIRVANA จันทร์เพ็ญเต็มดวง บอกใจที่ไร้มลทินไปทุกอย่าง นั้นแหละโลกนิพพานที่ บังเกิดขึ้นในดวงใจเรานี้เอง
วิวาทะ 80 to Barue Yes, what is a life? How a life live and walk? ถูกแล้ว ชีวิตคืออะไร?ชีวิตอยู่ไปอย่างไร? เดินไปอย่างไร? ปฏิบัติต่อชีวิตให้ถูกต้อง แล้วอาศัยชีวิตนั้นเองทำวิปัสสนารู้แจ้ง การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็บรรลุมรรคผลนิพพานได้
วิวาทะ 81.นิมิตเกิดจากเก่งสมาธิ หากไม่เก่งอย่าพูดเลย เพราะเท่ากับบอกทางผิดเขา และผู้รู้จะหัวเราะเยาะเอา ต้องเก่งถึงระดับอุปปจาระสมาธิ ไปถึง อัปนาสมาธิ เกิดนิมิตระลึกชาติได้ และถอดดวงจิตออกไปท่องเที่ยวได้ เนรมิตอะไรก็ได้
วิวาทะ 82. ฆราวาสสามารถบรรลุธรรมได้ นี่แหละโลกใหม่เลยละ และผู้บรรลุย่อมย่อมมั่นใจในเหตุในผล ที่ตนบรรลุนั้นเอง และแนวทางคือบรรลุด้วยพลังแห่งปัญญา ไม่เกี่ยวกับศีลสมาธิเลยก็ได้นี่แหละเรื่องใหม่เอี่ยมสำหรับโลกยุคใหม่ และที่ลัดสู่อรหันต์เลยทีเดียว
วิวาทะ 83 หมอเสนอ9เท็กนิคเพื่อดูแลสมองให้ชาญฉลาด พบเรื่องลมหายใจเข้าออกพบวิธีแบบเดียวกับการฝึกสมาธิและระบบปราณของพระกรรมฐาน-ธุดงค์ แต่ไม่สามารถบอกวิธีปฏิบัติสู่มรรคผลนิพพานต่อไปได้ นั่นแหละที่ขาดอยู่นิดเดียวก็บรรลุแล้ว
วิวาทะ 84..ผู้รู้แจ้งลึกซึ้งแล้วก็ย่อมออกมาจากป่ามาใช้เทกนิคโลกยุคใหม่ เผยแผ่พระธรรมมรรคผลช่วยคนทั้งโลก ด้วยการกดปุ่มธรรมะก็ไปได้ทั่วโลกทุกเนื้อที่ทุกตารางนิ้วแผ่นดินโลกเลย
วิวาทะ 85..ถามกลุ่มพุทธภูมิผู้ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า รู้ได้อย่างไรว่าท่านได้รับพยากรณ์มาว่าเป็นพระนิยตะโพธิสัตว์ แล้วมีแต่คำข่มขู่ ใครปรามาสบาปหนัก นี่แหละเลินเล่อจนกลายเป็นความไม่เอาไหน ทำให้ขาดความเชื่อไปเลย
วิวาทะ 86 สู่คำตอบสำคัญสำหรับเยาวชนคนในโลกยุคใหม่ สู่จุดจบที่แท้จริง ทางบรรลุมรรคผลนิพพานทันใด น่าชื่นใจจากเยาวชนอิตาลี ตามโพสต์ของ Gothami Huang Gothami HuangGautama Buddha and Buddhism GBB-G 1 มิถุนายน เวลา 02:56 น. ·
วิวาทะ 87..ลิซ่า Lisa Pranpriya Manobal เยาวชนไทยนักร้องก้องโลกยุคนี้เชี่ยวชาญใช้สมาธิสูงสุดในการปฏิบัติงานเต้นรำขับร้องอาชีพของตนอย่างสูงสุดๆฝึกฝนตนเป็นคนขยันฆ่ากิเลสความขี้เกียจไปหมดสิ้นจากใจนี่แหละการปฏิบัติธรรมในการปฏิบัติงานละ
วิวาทะ 89 ตัวอย่างพระผู้ปฏิบัติธรรมทั้งชีวิต ทำเตโชกสิณ เพ่งดวงอาทิตย์ตั้งแต่อายุ 1 ขวบ เอาป่าช้าเป็นสนามรบกามกิเลส ประวัติพระนักปฏิบัติ
วิวาทะ 90..มีผู้ตั้งตนเป็นพุทธะ อดีตสส.4สมัยมาถึงนางสุจินต์ บริหารวรรณเขต อดีตแม่ชีคริสต์ รวมปัญหาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ไทยเผชิญปัญหารอบด้าน
วิวาทะ 91..ประสพการณ์ทางธรรมปฏิบัติ แสงสีเขียวทำให้ตกใจ อยากรู้ว่าเป็นอะไรแน่ เป็นนิมิต เกิดจากสมาธิที่เก่งพอสมควรแก้ด้วยกสิณ ถึงเวลาฝึกชั้นสูงไปกว่า...ฝึกอากาสกสิณเพื่อนิพพานอันว่างเปล่า..
วิวาทะ92..อุทยานธรรมดงยาง จังหวัด ศรีสะเกษ 1 มกราคม 2019 · 31 ธันวา​ 61 สู่​ 1 มกรา 62 .... เค้าท์ดาว​ เค้าท์ธรรม​ ส่งท้ายปี ด้วยการทำดี​ เนสัชชิกปฏิบัติธรรม ณอุทธยานดงยางศรีสะเกษ
วิวาทะ 93 5 ปีผ่านไป ไวเหมือนโกหก เปรียบเทียบวันนี้ กับ 5 ปีที่แล้วค่ะ ปีนี้มีริ้วรอยใต้ดวงตามากขึ้น
วิวาทะ 94..มุสลิม ปัญหามุสลิมโลก Muslims, Muslim World Problems
วิวาทะ 95. ความรักที่ถูกบังคับ มีมาแต่ประวัติศาสตร์ดูนบีมุฮัมมัดเป็นตัวอย่าง
วิวาทะ 96. ทฤษฎีสมาธิฝ่ายแพทย์พบทฤษฎีสมาธิฝ่ายพระนักปฏิบัติ 9 เทคนิก
วิวาทะ 97 ปัญหาของคณะสงฆ์ไทย ปัญหาพระพุทธศาสนา ที่ชาวพุทธทั่วประเทศกำลังสนใจกันอยู่
วิวาทะ 98 ปัญหาคณะสงฆ์ไทยข ปัญหาพระพุทธศาสนาที่ชาวพุทธทั่วประเทศกำลังสนใจกันอยู่(ตอนที่ 2) ผิดพระวินัย สังฆาทิเสส ปู่แสง
วิวาทะ 99 พระอาจารย์สิริปันโน อดีตลูกชายอภิมหาเศรษฐีที่สละสิทธิมรดกมูลค่า2แสนกว่าล้านบาท สำนักสงฆ์เต่าดำ ทุ่งใหญ่นเรศวร จ.กาญจนบุรี
วิวาทะธรรมพิจารณ์ วาทะตอบโต้สัจธรรมรอบทิศ สู่สุดยอดมรรคผลอันสูงสุด ผ่านเฟสบุ๊คทั่วโลก



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
----- ***** ----- โปรดใช้บริการการแปลของ Google Translate นี่คือเวบไซต์คู่ www.newworldbelieve.com กับ www.newworldbelieve.net เราให้เป็นเวบไซต์ที่เสนอธรรมะหรือ ความจริง หรือ ความคิดเห็นในเรื่องราวของชีวิต ตั้งใจให้ธัมมะเป็นทาน ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แด่คนทั้งหลาย ทั้งโลก ให้ได้รู้ความจริงของศาสนาต่าง ๆในโลกวันนี้ และได้รู้ศาสนาที่ประเสริฐเพียงศาสนาเดียวสำหรับโลกยุคใหม่ จักรวาลใหม่ เราได้อุทิศเนื้อที่ทั้งหมดเป็นเนื้อที่สำหรับธรรมะทั้งหมด ไม่มีการโฆษณาสินค้า มาแต่ต้น นับถึงวันนี้ร่วม 14 ปีแล้ว มาวันนี้ เราได้สร้างได้ทำเวบไซต์คู่นี้จนได้กลายเป็นแดนโลกแห่งความสว่างไสว เบิกบานใจ ไร้พิษภัย เป็นแดนประตูวิเศษ เปิดเข้าไปแล้ว เจริญดวงตาปัญญาละเอียดอ่อน เห็นแต่สิ่งที่น่าสบายใจ ที่ผสานความคิดจิตใจคนทั้งหลายด้วยไมตรีจิตมิตรภาพล้วน ๆ ไปสู่ความเป็นมิตรกันและกันล้วน ๆ วันนี้เวบไซต์ สื่อของเราทั้งหมดนี้ ได้กลายเป็นแดนสนุกน่าท่องเที่ยวอีกโลกหนึ่ง ที่กว้างใหญ่ไพศาล เข้าไปแล้วได้พบแต่สิ่งที่สบายใจมีความสุข ให้ความคิดสติปัญญา และได้พบเรื่องราวหลายหลากมากมาย ที่อาจจะท่องเที่ยวไปได้ตลอดชีวิต หรือท่านอาจจะอยากอยู่ณโลกนี้ไปชั่วนิรันดร และซึ่งเป็นโลกหรือบ้านของท่านทั้งหลายได้เลยทีเดียว ซึ่งสำหรับคนต่างชาติ ต่างภาษาต่างศาสนา ได้โปรดใช้การแปลของ กูเกิล หรือ Google Translate แปลเป็นภาษาของท่านก่อน ที่เขาเพิ่งประสบความสำเร็จการแปลให้ได้แทบทุกภาษาในโลกมนุษย์นี้แล้ว ตั้งแต่ต้นปีนี้เอง นั้นแหละเท่ากับท่านจะเป็นที่ไหนของโลกก็ตาม ทั้งหมดโลกกว่า 8 พันล้านคนวันนี้ สามารถเข้ามาท่องเที่ยวในโลกของเราได้เลย เราไม่ได้นำท่านไปเที่ยวแบบธรรมดาๆ แต่การนำไปสู่ความจริง ความรู้เรื่องชีวิตใหม่ การอุบัติใหม่สู่ภาวะอริยบุคคล ไปสู่การเปลี่ยนแปลงไปพ้นจากทุกข์ ทั้งหลายไปสู่โลกแห่งความสุขแท้นิรันดร คือโลกนิพพานขององค์บรมศาสดาพุทธศาสนา พระบรมครูพุทธะ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงแต่ท่านโปรดใช้บริการการแปลของ Google Translate ท่านก็จะเข้าสู่โลกนี้ได้ทันทีพร้อมกับคน 8 พันล้านคนทั้งโลกนี้. ----- ***** ----- • หมายเหตุ เอาขึ้นเวบไซต์ แทนของเดิม ทั้ง 2 เวบ .net .com วันที่ 21 เม.ย. 2565 เวลา 07.00 น.