6.1. .ตัวอย่างแนวคิด17ข้อเพื่อปลุกใจให้กล้าคิดการบรรลุมรรคผลนิพพาน แล้วจะพบเคล็ดลับแบบวิทยาศาสตร์การวิจัยธรรมะนั่นคือการพิศูจน์จากการปฏิบัติเองจริง ๆ
3 ปีที่แล้ว
1. ท่าน ดร.เดชา ทองสุวรรณ ได้ไปถวายเพล เมื่อวันพระ ถวายเสร็จท่านก็กลับไป ..... อาตมภาพ เข้ามาดูไลน์เวลานี้วันนี้เอง จึง พบคำถามท่านถามว่า ที่ศรีสะเกษ เรียนวิธีนั่งสมาธิได้ที่วัดไหนครับ คนที่ตอบเป็นอาจารย์พัชรา ว่า วัดพระโตสิคะ ......คืออาตมภาพคิดว่า แนวความคิดของเรา ชาวพุทธในเรื่องธรรมปฏิบัติ ไม่ว่าในวัด ฝ่ายบ้าน ก็ตาม ฝ่ายป่าอรัญวาสี นั้น ก็ตาม เป็นแบบเดิม ๆ เกินไป ไม่มีการพัฒนาเทกนิค ทำให้ยาก(บรรลุยาก) ...และที่จะเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมของประชาชนไปด้วย ....คือการปฏิบัติแบบเดิม ๆ คนผู้ปฏิบัติธรรม อย่างที่ว่าจริง ๆ จัง ๆ หวังอุทิศตนจริง ๆ นั้น ต้องสละ......ต้องเข้าวัด เข้าป่า เลิกการทำมาหากินไปเลยนั้น(มีญาติโยมเข้าวัด อยู่วัดรับใช้ศาสนา นั่งสมาธิภาวนา นับร้อย-พันคน ทิ้งบ้านทิ้งเรือน 6-7วันไป แต่ก็ไม่ได้บรรลุอะไรเลย) นั่นแหละ แบบเก่า และอาตมภาพว่า จะสร้างปัญหา ทั้งทางธรรมะเอง และทางชีวิตความเป็นอยู่ รวมทั้งทางเศรษฐกิจ ที่จะเสียเปรียบญี่ปุ่นและประเทศวัตถุนิยมไปมากขึ้น ...
2. ในเมื่อ จริง ๆ แล้ว การปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุด คือระดับสำเร็จมรรคผล นิพพาน ลุถึงอรหันภาวะเลยก็ได้จากชีวิตฆราวาส ที่ปฏิบัติไป ๆ อย่างที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตวัน ๆ ๆ ๆ ๆ นี่เอง ได้ คือ ใครเป็นครู อาจารย์ มีหน้าที่อย่างครู อาจารย์ ก็ทำไป ใครทำอาชีพอะไร ทำมาหากินอะไร ก็ทำไป อย่างเต็มที่.......ไม่ต้องไปเสียเวลาออกไปนอกการทำมาหากิน นอกหน้าที่พ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ หรือ ทำกิจการค้าการขาย ฯลฯ เพียงแต่ มีการปฏิบัติธรรมไปพร้อมกันกับการปฏิบัติหน้าที่นั้น ทำด้วยตนเอง สามารถปฏิบัติธรรมไปพร้อม ทำการงานอาชีพนั้นไปได้ด้วย อย่างที่จะสามารถบรรลุมรรค ผล นิพพานได้ จริง และโดยไม่ต้องไปคิดถึงวัดวาอารามป่าเขาลำเนาไพรเท่าไรเลย เพียงแต่........ต้องรู้วิธีการ แล้วเอาไปทำเอง ที่บ้านตัวเอง ที่ทำงานตัวเองนั่นแหละ ไม่ต้องไปฝากตัวกับใครว่าเป็นศิษย์ หรือใครเป็นครูบาอาจารย์ แบบที่ทำกันมาแบบเดิม
3. ที่เราจะสามารถทำอย่างนี้ได้ ก็เพราะคนเรายุคนี้ เป็นคนยุคใหม่ นั่นเอง ไม่เหมือนคนยุคพระพุทธเจ้า ............แต่ที่พูดอย่างนี้ เราต้องเข้าใจนะว่า การปฏิบัตินั้นจะเป็นไปตามหลักการที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนั้นตรงเผงเลยละ เพียงแต่ เปลี่ยน ยุทธวิธีใหม่ เท่านั้นเอง .........อาตมภาพได้บอกไปแล้ว ที่อาจจะเรียกว่า ยุทธศาสตร์ ก็คือ หลักการ 3 ข้อ (ยุทธศาสตร์ 3 ข้อว่าด้วยการบรรลุมรรคผลนิพพาน) ที่ว่า 1. เรื่อง จิต หรือ คำสากลว่า mind หรือ spirit 2. เรื่อง ปัญญา (หรือ สติปัญญา) หรือ คำสากลว่า intelligence และ 3. 1+2...... นี่เป็นยุทธศาสตร์ ที่อย่างไร ๆ ก็จะอยู่ใน 3 ข้อนี้ ไม่เปลี่ยนแปลงไป ไม่คลาดเคลื่อนไป(หากคลาดเคลื่อนไป ก็จะไม่สำเร็จมรรคผล จะออกนอกทางมรรคผลไปเลย) และยุทธศาสตร์ 3 ข้อนี้เป็นสากล คือคนทั้งหลายในโลก คนต่างศาสนาโดยเฉพาะพี่น้องไทยมุสลิม คริสต์ ฮินดู ก็สามารถปฏิบัติบรรลุได้เช่นเดียวกัน
4. ส่วนที่มีหลายหลากก็คือยุทธวิธี มีหลายข้อ หลายสูตร ส่วนที่บอกไป สูตรแรก 6 ข้อก่อนนั้นก็เป็น ยุทธวิธี ที่ว่าไปก็ 1. ทำใจให้สงบลง 2. ให้ความร้อนในกายและใจสลายหายไป 3. นิ่งอยูในสภาวะของ 1 และ 2 ถ้าสมาธิเข้มแข็งจะเห็นกายในกาย 4. ให้เย็น 5. กายในกายจะหายไป 6. เข้าสู่โลกแห่งความเย็น (ถึงนิพพาน).......................ที่ว่าในข้อ 3 และข้อ 5 นั้นแหละ จะตรงกับที่ท่านพุทธทาสว่าไว้ เรื่องธรรมกำมือเดียว เรื่องตัวกู ของกู หรือ เรื่อง จิตว่าง และในความว่างนั้น มีแต่สติปัญญาเต็มไปหมด หรือที่ คุณสมศักดิ์ ท่านเอาคลิปท่านพุทธทาสมาให้ศึกษา.........
5. แต่เรื่องเหล่านี้ สำหรับคนสมัยใหม่อย่างพวกเรา นั้นน่าจะมีอีกทางหนึ่ง ที่น่าจะง่ายกว่านี้.........น่าจะเป็นแบบที่ สุภัทปริพาชก อรหันต์องค์สุดท้ายของพระพุทธองค์ ก่อนเสด็จสู่ปรินิพพาน ท่านได้เข้าใจ ได้ความรู้ .....พระสุภัททะ ที่ได้เฝ้าพระพุทธเจ้าขณะทรงพระอาพาธหนัก จวนเข้าปรินพพานอยู่นั้นเอง พุทธองค์ทรงโปรดให้อานนท์นำเข้าเฝ้า สุภัททะจึงมีโอกาสถามข้อสงสัยในใจตนมานาน ได้ถามพระพุทธเจ้า 3 ข้อ คือ 1. มีรอยเท้าบนท้องฟ้าหรือไม่? 2. ผู้ที่ไม่มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย มีหรือไม่? 3. ในศาสนาอื่นมีอริยบุคคล 4 คือ โสดาบัน สกิทาคมี อนาคามี และ อรหันต์ หรือไม่ ?....... พุทธองค์ทรงตอบ ข้อ 1 มีรอยเท้าบนท้องฟ้าหรือไม่ ทรงตอบ ไม่มี ข้อ 2 ผู้ที่ไม่มีการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย มีหรือไม่ ทรงตอบว่า ไม่มี และ ข้อ 3. ทรงตอบว่า ในศาสนาอื่นไม่มีอริยบุคคล 4 มีเฉพาะในศาสนาพุทธที่เดียว สุภัททะ ฟังแล้ว ก็บรรลุอรหันต์ และได้บวชเป็นพระอริยสาวก เป็นพระอรหันต์องค์สุดท้ายของพระองค์ ..... .........
6. ข้อ 1 สุภัททะสงสัยมาแต่เดิมว่ามีเทพเจ้า หรือพระเจ้า อิศวร นารายณ์ แบบความเชื่อสุด ๆ ของพวกพราหมณ์ ที่สามารถเหาะเหินเดินไปในอากาศ...ฝากรอยไว้ในอากาศ หรือไม่ .... เมื่อพุทธองค์ตอบ ไม่ ก็เป็นเหตุให้สุภัททะพ้นไปจากความสงสัยเรื่องเทพเจ้า เรื่องอิศวน นารายณ์ ก็เข้าใจขึ้นมาว่า เทพเจ้าเป็นเรื่องโกหกหลอกลวง .....ข้อ 2 สุภัททะก็คงสงสัยเรื่องเทพเจ้าอยู่นั่นแหละ ...คิดว่าเทพเจ้าอย่างอิศวร นารายณ์ พรหม เป็นอมตะ ไม่ตาย ... แต่พุทธองค์ตอบว่า ไม่มีอีก ก็เลยได้สติ ได้รู้ว่าเทพเจ้าเป็นเรื่องโกหกพกลม หลอกลวงมนุษย์ และครั้นถามข้อ 3 ที่เขาเองสงสัยเรื่องมรรคผล เรื่องพระอริยบุคคล 4 คือ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ไปถึง อรหันต์ เขาเองคิดว่า อริยบุคคลคือคนดี และคนดีๆ ก็มีในศาสนาอื่นทุก ๆ ศาสนา พอพุทธองค์ตอบว่า บุคคล 4 ไม่มีในศาสนาอื่น มีแต่ในศาสนาพุทธเท่านั้น เขาก็ตื่นเต้น แล้วเกิดสติปัญญารุ่งโรจน์ไปตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็สำเร็จอรหันต์
7. ประเด็นคือ สุภัททะได้เกิดความเข้าใจเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เรื่องเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ผู้สร้างโลก อย่างอิศวร นารายณ์ พรหมของพราหมณ์ นั้นเอง เกิดบรรลุรู้แจ้งขึ้นมาว่าเรื่องเทพเจ้าเป็นเรื่องหลอกลวง เรื่องของอวิชชา ...แล้วเข้าใจความเป็นมนุษย์ของตัวเอง สติปัญญาของตัวเองต่างหาก .... ตัวเองเป็นอิสระ และเมื่อได้พบความอิสระ เสรีภาพ พ้นจากความกลัว พ้นจากความเป็นทาส ปราศจากความยำเกรง ความหวาดกลัวในเทพเจ้าแล้ว ก็บรรลุอรหันต์ และ แบบที่ท่าน ดร.อัมเบดกา แห่งอินเดีย ที่ท่านรู้เรื่องราวที่โกหกหลอกลวง(เรื่องพระเจ้าสร้างโลก........รู้เรื่องราวที่ลัทธิอื่นสอนหลอกลวงให้เข้าใจผิด และเราเข้าใจได้ว่าเขาสอนผิดอย่างไร......เท่านั้นเองก็รู้แจ้งในเรื่องมรรคผลนิพพานตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทันที ......
8. อาตมภาพเองจึงพยายามที่จะให้เราเรียนรู้เรื่อง อิสลาม เรื่อง คริสต์ ...(โดยอยากให้รู้จริง ๆ ว่า มุฮำมัด หลอกลวงพวกมุสลิม และคนในโลกอย่างไร ..โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มุฮำมัด พอเริ่มเทศนา ตั้งตนเป็นศาสดาก็เริ่มด้วยการโจมตีศาสนาคริสต์ ไปดูหมิ่นดูแคลนพระเจ้าของศาสนาคริสต์เขาว่าพระยะโฮวาไม่ใช่พระเจ้า ไปบิดเบือนเรื่องประวัติของคริสต์ศาสดา คือพระเยซู ให้ดูต่ำต้อยไปตลอดทั้งคัมภีร์อัลกูรอาน ...พร้อมกับยกตนสูงเหนือลัทธิศาสนาอื่น ๆ จนเป็นเหตุให้ 2ศาสนานี้โกรธแค้นกันจนกลายเป็นสงครามขึ้นมา เป็รนสงครามศาสนา ครูเสด 300 ปี ที่รบกันชั่วลูกชั่วหลาน มาจนถึงวันนี้ ก็ยังคุกรุ่น อันเนื่องมาจากการเผยแผ่ศาสนาแบบไปหยามเหยียดศาสนาอื่นเขา และยกตนเหนือศาสดาองค์อื่นอย่างไร้เหตุผล
9. ในขณะเดียวกันยกคนมุสลิมว่าเป็นคนประเสริฐ คนนอกศาสนาอิสลามเป็นคนป่าเถื่อน หรือที่ใช้คำว่า กาฟิร ที่พระเจ้าไม่ให้อภัยเลย(พอฆ่าทิ้งก็ฆ่าทิ้งให้หมดโลกไปเลย...ตรงนี้มีคริสต์ กับอิสราเอล อีก2พวก ที่พระเจ้าอัลเลาะห์ผู้ประเสริฐไม่ให้อภัย ให้ฆ่าทิ้งหมดโลก) นั่นเอง ..ซึ่งคนในโลก ยังไม่รู้ มุสลิมทั้งโลกก็ไม่รู้ แต่ เมื่อรู้ก็จะบังเกิดความรู้จริงขึ้นมา เกลียดชังความเท็จ และย่อมจะหันมาสู่สัจธรรมแบบมีเหตุมีผล อย่างพุทธ และเข้าสู่มรรคผลนิพพาน ได้ง่าย ....อย่างท่านสุภัทปริพาชก อรหันต์องค์สุดท้ายของพระพุทธองค์นั่นแหละ....
10. และนั่นคืออิสลาม(+คริสต์+) ก็จะหายไปจากโลกยุคนี้ ...ฉะนั้น ก็มีโอกาสพอดี ที่ดูมีเหตุการณ์ ที่ทำให้ชาวพุทธเรา พากันมองดูอิสลามกันอย่างเคลือบแคลงสงสัย น่าระวังระแวง ไปจนถึงเริ่มเข้าใจความไม่ชอบมาพากลของศาสนานี้ นั่นแหละ ถูกต้องแล้ว ขอให้ศึกษาจากความเคลื่อนไหวของ อิสลามกันอย่างละเอียด แล้ว ก็จะเข้าสู่สัจธรรมพุทธ คือสู่ความอิสรภาพ สู่ความไร้ตัวตน(ไม่มีตัวกูของกู) ได้เองในที่สุด ซึ่งเมื่อเข้าถึงตรงนั้นได้ นั่นแหละความเป็นอมตะ คือ ได้พบว่า ความเป็นกับความตายนั้นมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และ ความที่ไร้กาลเวลาอีกต่อไป ผู้บรรลุมรรคผล หรือธรรมะของศาสนาพุทธอันสูงสุด จึงเป็นคนที่อยู่เหนือโลก (ไม่ว่าโลกเทพ โลกพรหม มหาพรหม ) เหนือความเป็น เหนือความตาย เหนือทุกข์ และสุข ชีวิตปราศจากความกลัวอะไรอีกต่อไป แม้กระทั่งความตายก็ไม่มี ไม่กลัวอีกแล้ว เพราะเป็นชีวิตที่ไร้ตัวตนอย่างสมบูรณ์(มีความเป็นอนัตตา ตามพระธรรมเทศนา อนัตตลักขณสูตร นั่นเอง)
11. เรื่องของ โกเล้ง ที่ท่านสมศักดิ์ เอามาบอกให้ฟัง เรื่องสุรา และนารี ก็ดูเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยาก สำหรับชาวพุทธแท้ ในประเด็นที่ว่า นั่นแหละ เป็นตัวเหตุที่ขัดขวางทางสู่มรรคผล เป็นสิ่งหลอกลวง ให้คนมองความร้ายของมันยาก คือมองไม่เห็นว่ามันร้ายอย่างไร มันเอาความสุข สนุกสนานมาหลอกเรา เราก็หลงไปกับความสุขสนุกสนานนั้น โดยตอนนั้นเราก็ไม่เห็นว่ามันร้าย มันทำร้ายเราอย่างไร มันให้ความสุขด้วยซ้ำ โกเล้งนี้ แหละ ก็คล้าย ๆ หรือประเภทเดียวกับกวีเลื่องชื่อโบราณ ทางฝ่ายกรีก-อาหรับคนหนึ่งที่คนไทย กวีไทยรู้ดี นั่นคือ โอมาคัยยาม ยังไง (อาตมภาพรู้จักเขาตั้งแต่เรียนปริญญามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพราะเคยเอาบทกวีเขามาลงหนังสือพิมพ์มหาวิทยาลัย ซึ่งขณะนั้นอาตมภาพเป็น หัวหน้ากองบรรณาธิการอยู่) เขาเขียนบทกวีที่ชื่นชมยินดีกับพวกเหล้า นารี แบบเดียวกับ โกเล้ง นี่แหละ มันก็นำไปสู่โลก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ต่อไปจนตายไป และแน่นอนตายไปโดยไม่รู้จักนิพพาน ไปไม่ถึงนิพพาน ...... . แต่สิ่งที่เราได้พบก็คือ ชีวิตพวกเขาแบบนั้น ก็ถือว่าเป็นชีวิตที่มีความสุข มีความน่าเอาอย่าง........ ได้เท่าเขา ได้อย่างเขา ก็น่าจะเพียงพอ ถมไปในโลกนี้ ในชีวิตหนึ่งนี้......และก็เป็นจริงอย่างนั้นด้วย พวกเราทั้งหลาย ให้ได้อย่าง โกเล้ง หรือ โอมาคัย ยาม นี่ก็ถือว่า ตอนตายก็คงตายไปอย่างพอสมควรแก่ชีวิต ในโลกแล้วละ............
12. อย่างคุณสมศักดิ์ นี่ หากท่านได้พบ สุรา นารี หรือ ดนตรี บทกวี อย่างโอมาคัยยาม ก็น่าจะถือว่า พอสมควรแก่ชีวิตมนุษย์คนหนึ่งแล้วเลยทีเดียว พอหลับตาตายไปได้อย่างมีความสุข.......... แต่ในทีนี้ มันก็มาเกี่ยวกับเรื่องของพระพุทธเจ้าของเรา....ท่านได้พบสิ่งที่เรียกว่า มรรคผล นิพพาน .......ท่านได้พบว่ามันเป็นสิ่งที่ดีกว่าสิ่งที่โกเล้ง หรือ โอมาคัยยาม ได้พบ หรือใคร ๆ ที่ว่าประเสริฐ ฉลาดมีปัญญามาก่อนได้พบ เป็นโลก ๆ หนึ่งที่ดีกว่าโลกทั้งหลายทั้งปวง ไม่ว่าโลกระดับ โลกสวรรค์ โลกเทพ มหาเทพ มหาพรหม .............. อย่างที่อาตมภาพเพิ่งบอกไปนี่แหละที่ว่า......... แล้ว ก็จะเข้าสู่สัจธรรมพุทธ คือสู่ความอิสรภาพ สู่ความไร้ตัวตน(ไม่มีตัวกูของกู) ได้เองในที่สุด ซึ่งเมื่อเข้าถึงตรงนั้นได้ นั่นแหละความเป็นอมตะ คือ ได้พบว่า ความเป็นกับความตายนั้นมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และ ความที่ไร้กาลเวลาอีกต่อไป ผู้บรรลุมรรคผล หรือธรรมะของศาสนาพุทธอันสูงสุด จึงเป็นคนที่อยู่เหนือโลก (ไม่ว่าโลกเทพ โลกพรหม มหาพรหม ) เหนือความเป็น เหนือความตาย เหนือทุกข์ และสุข ชีวิตปราศจากความกลัวอะไรอีกต่อไป แม้กระทั่งความตายก็ไม่มี ไม่กลัวอีกแล้ว เพราะเป็นชีวิตที่ไร้ตัวตนอย่างสมบูรณ์ (มีความเป็นอนัตตา ตามพระธรรมเทศนา อนัตตลักขณสูตร นั่นเอง) ..........
13. ทีนี้ สิ่งนี้ คนฉลาด ซึ่งคนฉลาดนี้ มักอยู่ที่โลกตะวันตก โลกอเมริกา ผู้ที่ได้สร้างสังคมเสรีภาพขึ้นมา เป็นสังคมวิทยาศาสตร์ สังคมวิชาการ(หมายถึง มีเหตุมีผลเป็นหลักการคิดหลักการตัดสินใจ) เป็นสังคมการเมืองประชาธิปไตยขึ้นมา ไม่เหมือนสังคมเรา ที่ถูกกดขี่ เป็นสังคมทาส มาเนิ่นนาน ขาดความคิดอิสรภาพของตน ขาดการวิจัย การศึกษาอย่างมีเหตุ มีผลคือมีการพิศูจน์ ทดลอง ขาดเสรีภาพของตน คอยฟังแต่เจ้านายจะสั่งอะไร คิดไปนอกความคิดเจ้านายก็ไม่ได้ (เพราะเจ้านาย หรือ เผด็จการเขาไม่ให้คิดไปต่างจากเขา ทั้ง ๆ ที่เขาเองโง่สุดโง่นั่นแหละ) อย่างนี้สังคมทาสเรา จึงยากที่จะเจริญทางวิทยาศาสตร์ และนั่นหมายถึงขาดความคิดแบบเสรี ให้รู้มรรค รู้ผลของพระพุทธเจ้า .... ฝรั่งเขาก็ค้นพบสิ่งที่ดีมีเหตุผลดีกว่าเรา.....แม้ในเรื่องศาสนา ......ก็ดูที่อาจารย์พัชรา เอามาให้ดูนะครับ นั่นแหละ เห็นแล้วก็รู้เลยว่าพวกฝรั่งนี่เขาไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ สมตามที่พุทธองค์ตรัสในกาลามสูตร ไม่ให้เชื่อ 10 อย่างจริง ๆ แต่นั่น คนพุทธไทย ๆ กลับไม่เข้าใจว่า เป็นหลักการวิทยาศาสตร์ ที่นักวิทยาศาสตร์เขาพอใจ และด้านธรรมะเองนั่นแหละ ทรงหมายถึง ต้องเอาคำสอนของพระองค์ไปวิจัยดูก่อนนั่นเอง ทรงตรัสธรรมะบทนี้ สำหรับคนยุคใหม่นี้โดยตรงเลยก็ว่าได้ จนมีนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งไปสนใจศาสนาพุทธ ได้พบพระสูตร(กาลามสูตรนี้) ก็ถึงกับอุทานว่า เออนะ! ศาสนาพุทธนี่ ไม่เหมือนศาสนาที่เราได้พบ ได้สัมผัส สอนแบบตรงข้ามอิสลาม คริสต์ไปเลย
14. คือ เป็นศาสนาอะไร ที่ไม่สอนให้คนเชื่อ กลับสอนไม่ให้คนเชื่อ ไม่บังคับให้เชื่อเหมือนคริสต์ อิสลาม ที่ทั้ง 2 ลัทธินี้ บังคับให้เชื่อแบบเดียวกันหมดเลย นับแต่ให้เชื่อเรื่องการสร้างโลก จนเอามาอ้างได้ว่าพระเจ้ามีบุญคุณอันมหาศาลต่อมนุษย์ทั้งเผ่าพันธุ์ทั้งโลก เพราะ พระเจ้าเป็นเจ้าของ เพราะพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลกให้มนุษย์อยู่ หากพระเจ้าไม่เมตตา มนุษย์เราก็ไม่มีที่อยู่ เขาจึงบังคับให้เชื่ออย่างนี้ได้ คนโบราณจึงจำต้องเชื่อ มนุษย์จึงต้องทดแทนพระคุณ แบบที่เขาบอก คือต้องทำตามคำสั่งพระเจ้าทุกถ้อยคำ (แบบที่มุฮำมัดสอน หลอกลวงคนมุสลิม ให้เชื่อทุกถ้อยคำทุกตัวอักษรในคัมภีร์อัลกูรอาน เพราะเป็นคำของพระเจ้าอัลเลาะห์ มุฮำมัดเป็นเพียงผู้รับคำสั่งมาเท่านั้น ฉะนั้น เขาจึงห้ามไม่ให้แก้ไขคัมภีร์อัลกุรอาน ใครไม่เชื่อพระคัมภีร์ ก็เท่ากับทรยศต่อพระเจ้า ต้องได้รับโทษหนักเท่า ผู้ทรยศต่อพระเจ้า คือถึงประหารชีวิตไปเลยทีเดียว นั่นเอง ผู้ที่ไม่นับถือศาสนาอิสลามเขาจึงบัญญัติเป็นกาฟิร ที่จะต้องลงโทษล้างผลาญไปจนหมดโลกให้เหลือแต่ มุอ์มิน คือผู้ประเสริฐ คือ มุสลิมนั่นเอง) และเมื่อต้องเชื่อฟังพระเจ้า อย่างบิดพลิ้วไม่ได้ อย่างที่ไม่ต้องมีคำถาม พระองค์ตรัสอะไร ให้ทำทันที ไม่ต้องถาม ไม่ให้มีความสงสัยใดใดเลย(เขาระบุในคัมภีร์เลย ห้ามสงสัย) อันเป็นหลักในลัทธิอิสลาม พอเขาสั่งให้ไปรบไปฆ่าผู้ทรยศต่อพระเจ้า ก็ต้องไปรบโดยไม่ต้องถาม จนเกิดสงครามศาสนาขึ้น และรบกันนานถึง 300ปี....โหดขนาดนั้นแล้วจะนับถือไปทำไม ไม่คิด )
15. ซึ่งตรงนี้แหละ แท้จริงคำสอนในอัลกูรอาน ล้วนเป็นคำที่เท็จ ไร้ข้อเท็จจริงไปทั้งหมด คัมภีร์ เป็นเพียงหลักสงคราม ยุทธศาสตร์การรบเพื่อเอาชนะสงครามของมุสลิมเท่านั้นเอง แต่พุทธศาสนา กลับสอนไม่ให้เชื่อ อันตรงกับหลักวิทยาศาสตร์ หรือ แท้จริงนักวิทยาศาสตร์ หรือคนฉลาดและมีอิสระในการคิดนั่นเองที่ได้พบคำสอนพระพุทธเจ้า ที่ทรงสอนเรื่องเหตุ และ ผล ไว้ตั้งแต่ปฐมกัณฑ์เทศน์ของพระองค์ คือ ธัมมจักกัปปวัตนสูตร (ที่พระอัสชิสรุปลงว่า เย ธมฺมา เหตุ ปพฺพวา เตสํ เหตุง ตถาคโต เต สญฺจ โย นิโรโธ จ เอวํ วาทีมหาสมโณ....คำแปล คิดว่าที่แปลเอาไว้ โดยนักบาลีไทยนั้น คิดว่ายังแปลไม่ตรงนัก ที่แปลว่า ..... ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตเจ้าทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะมีปกติทรงสั่งสอนอย่างนี้.......เพราะอ่านคำแปลไทยแล้วให้ความหมายยังไม่ชัด ไม่ตรงเหตุ ตรงผลนัก ทำให้คนไทยอ่านไม่เข้าใจแจ่มแจ้ง ตามหลักวิทยาศาสตร์..... จะนำมาให้ดูทีหลัง ) และ นั่นเอง ทำให้เชื่อได้ว่า แท้จริงนักวิทยาศาสตร์ ได้อ่านพบคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงมั่นใจในเรื่องเหตุ และ ผล กล้าคิดกล้าทดลอง สร้างวิทยาการใดใด ใหม่ ๆ ทันสมัยขึ้นมาได้ ด้วยหลักเหตุ และผลมาจนถึงทุกวันนี้ เทกโนโลยี่ จึงล้ำยุคไปอย่างเป็นหลัก เหตุและผลเต็มที่ และสำหรับด้านศาสนา ก็ปรากฎว่าฝรั่งเขาสนใจในเชิงเหตุและผลมากขึ้น จึงค่อย ๆ ถอนตัวห่างไปจากคริสต์ และ อิสลาม และมาสนใจพุทธมากขึ้น แต่สนใจแบบวิทยาศาสตร์ ........
16. อย่างเรื่องที่ อ.พัชรา เอามา เป็นคลิปที่ฝรั่งเขาไปพิศูจน์ ได้พบลักษณะ นามธรรม ซึ่งอ.พัชราอธิบายไปว่า......... ทางพุทธศาสนากล่าวไว้ว่าคนเราหากศีลเสมอกันถึงจะอยู่ด้วยกันและทำงานด้วยกันได้ดี...ฝรั่งสงสัยว่าเป็นจริงดังนั้นรึเปล่าจึงได้ทำการทดลอง..................และครั้นทดลองไปเห็นจริง เขาก็จึงเชื่อ และเมื่อเชื่อโดยเห็นจริงแบบนี้แหละเขาก็กลายเป็นคนจริงขึ้นมาจริง ๆ ไม่ใช่เพียงฟังใครแล้วเชื่อไปตามเฉย ๆ แบบสังคมทาส ..... ทีนี้ ประเด็นของอาตมภาพ ก็คือ สูตรที่ให้ไปนั้น(ยุทธศาสตร์ตายตัว 3 ข้อ ยุทธวิธีที่ 1, 6 ข้อ) ที่บอกว่าใช้ได้กับคนทุกคน ทุกศาสนา แม้พี่น้องมุสลิมเรา คริสต์เราก็ตาม สามารถจะศึกษาไปสู่โลกมรรคผล ของพระพุทธเจ้าได้ .......และ หมายความถึง คนอย่างโกเล้ง ที่ชอบสุรา ผสมกับนารี มีความสุขกับมันไปตลอดชีพ(?) หรือ กวีโอมาคัย ยาม ผู้เขียนบทกวีโลกสรรเสริญเหล้า สุรานารีไว้อย่างยิ่งใหญ่.......... มีคนอย่างนี้ในโลกปัจจุบันนี้หรือไม่ และคนอื่น ๆ ไม่ว่าเศรษฐี มหาเศรษฐี(เช่นท่านประธานาธิบดีจอห์น ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา เป็นต้น) หรือ กระยาจก ผู้สูงศักดิ์ หรือต้อยต่ำติดดิน ซึ่งแน่นอน ท่านเหล่านั้นมีความสุขอย่างเศรษฐี มหาเศรษฐี หาใครเท่าเทียมไม่ได้อยู่แล้ว แต่ ก็จะสามารถปฏิบัติ ทดลองเอาสูตรธรรม ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่อาตมภาพสรุปลงเป็นยุทธศาสตร และ ได้มา 1 ยุทธวิธี(ซึ่งจะมีมาอีกหลาย ๆ ยุทธวิธี) ไปทดลองดู ท่านจะพบโลกที่........ท่านจะตกตะลึง .......
17. ในความที่เป็นโลกที่ ไม่เหมือนโลกที่ท่านได้พบมาเลย ได้พบโลกที่เราผู้ได้พบก็จะเข้าสู่สัจธรรมพุทธ คือสู่ความอิสรภาพ สู่ความไร้ตัวตน(ไม่มีตัวกูของกู) ได้เองในที่สุด ซึ่งเมื่อเข้าถึงตรงนั้นได้ นั่นแหละความเป็นอมตะ คือ ได้พบว่า ความเป็นกับความตายนั้นมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และ ความที่ไร้กาลเวลาอีกต่อไป ผู้บรรลุมรรคผล หรือธรรมะของศาสนาพุทธอันสูงสุด จึงเป็นคนที่อยู่เหนือโลก (ไม่ว่าโลกเทพ โลกพรหม มหาพรหม ) เหนือความเป็น เหนือความตาย เหนือทุกข์ และสุข ชีวิตปราศจากความกลัวอะไรอีกต่อไป แม้กระทั่งความตายก็ไม่มี ไม่กลัวอีกแล้ว เพราะเป็นชีวิตที่ไร้ตัวตนอย่างสมบูรณ์(มีความเป็นอนัตตา ตามพระธรรมเทศนา อนัตตลักขณสูตร นั่นเอง) จะ ตายก่อนตาย (อย่างที่ท่านพุทธทาสภิกขุ ท่านพูดมาก่อนแล้ว) เป็นโลกที่เหนือ ทุกข์ และ ยังเหนือสุข (ซึ่งมันบอกไม่ได้ว่า มันดีกว่าสุขไปอีกอย่างไร) จึงจะต้องไปพบเอง.........ด้วยตนเอง ที่ซึ่งจะได้พบพระอรหันต์ และ พระพุทธเจ้าแน่นขนัดไปหมด เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เนื้อเดียวกันตลอด(แน่นขนัดแบบว่างไปหมด.......อย่างไร ต้องไปเจอเอง)
|
6. NWE 6..ตัวอย่างนักปฏิบัติข้อสังเกตุข้อคิดสำคัญที่นำไปสู่การบรรลุง่ายๆ ทันทีของคนยุคใหม่
|