ReadyPlanet.com
dot dot
bulletBUDDHISM to the NEW WORLD ERA
bullet1.Thai-ไทย
bullet2.English-อังกฤษ
bullet3.China-จีน
bullet4.Hindi-อินเดีย
bullet5.Russia-รัสเซีย
bullet6.Arab-อาหรับ
bullet7.Indonesia-อินโดนีเซีย
bullet8.Japan-ญี่ปุ่น
bullet9.Italy-อิตาลี
bullet10.France-ฝรั่งเศส
bullet11.Germany-เยอรมัน
bullet12.Africa-อาฟริกา
bullet13.Azerbaijan-อาเซอร์ไบจัน
bullet14.Bosnian-บอสเนีย
bullet15.Cambodia-เขมร
bullet16.Finland-ฟินแลนด์
bullet17.Greek-กรีก
bullet18.Hebrew-ฮีบรู
bullet19.Hungary-ฮังการี
bullet20.Iceland-ไอซ์แลนด์
bullet21.Ireland-ไอร์แลนด์
bullet22.Java-ชวา
bullet23.Korea-เกาหลี
bullet24.Latin-ละติน
bullet25.Loa-ลาว
bullet26.Luxemberg-ลักเซมเบิร์ก
bullet27.Malaysia-มาเลย์
bullet28.Mongolia-มองโกเลีย
bullet29.Nepal-เนปาล
bullet30.Norway-นอรเวย์
bullet31.persian-เปอร์เซีย
bullet32.โปแลนด์-Poland
bullet33.Portugal- โปตุเกตุ
bullet34.Romania-โรมาเนีย
bullet35.Serbian-เซอร์เบีย
bullet36.Spain-สเปน
bullet37.Srilanga-สิงหล,ศรีลังกา
bullet38.Sweden-สวีเดน
bullet39.Tamil-ทมิฬ
bullet40.Turkey-ตุรกี
bullet41.Ukrain-ยูเครน
bullet42.Uzbekistan-อุสเบกิสถาน
bullet43.Vietnam-เวียดนาม
bullet44.Mynma-พม่า
bullet45.Galicia กาลิเซียน
bullet46.Kazakh คาซัค
bullet47.Kurdish เคิร์ด
bullet48. Croatian โครเอเซีย
bullet49.Czech เช็ก
bullet50.Samoa ซามัว
bullet51.Nederlands ดัตช์
bullet52 Turkmen เติร์กเมน
bullet53.PunJabi ปัญจาบ
bullet54.Hmong ม้ง
bullet55.Macedonian มาซิโดเนีย
bullet56.Malagasy มาลากาซี
bullet57.Latvian ลัตเวีย
bullet58.Lithuanian ลิทัวเนีย
bullet59.Wales เวลล์
bullet60.Sloveniana สโลวัค
bullet61.Sindhi สินธี
bullet62.Estonia เอสโทเนีย
bullet63. Hawaiian ฮาวาย
bullet64.Philippines ฟิลิปปินส์
bullet65.Gongni-กงกนี
bullet66.Guarani-กวารานี
bullet67.Kanada-กันนาดา
bullet68.Gaelic Scots-เกลิกสกอต
bullet69.Crio-คริโอ
bullet70.Corsica-คอร์สิกา
bullet71.คาตาลัน
bullet72.Kinya Rwanda-คินยารวันดา
bullet73.Kirkish-คีร์กิช
bullet74.Gujarat-คุชราด
bullet75.Quesua-เคซัว
bullet76.Kurdish Kurmansi)-เคิร์ด(กุรมันซี)
bullet77.Kosa-โคซา
bullet78.Georgia-จอร์เจีย
bullet79.Chinese(Simplified)-จีน(ตัวย่อ)
bullet80.Chicheva-ชิเชวา
bullet81.Sona-โซนา
bullet82.Tsonga-ซองกา
bullet83.Cebuano-ซีบัวโน
bullet84.Shunda-ชุนดา
bullet85.Zulu-ซูลู
bullet85.Zulu-ซูลู
bullet86.Sesotho-เซโซโท
bullet87.NorthernSaizotho-ไซโซโทเหนือ
bullet88.Somali-โซมาลี
bullet89.History-ประวัติศาสตร์
bullet90.Divehi-ดิเวฮิ
bullet91.Denmark-เดนมาร์ก
bullet92.Dogry-โดกรี
bullet93.Telugu-เตลูกู
bullet94.bis-ทวิ
bullet95.Tajik-ทาจิก
bullet96.Tatar-ทาทาร์
bullet97.Tigrinya-ทีกรินยา
bullet98.check-เชค
bullet99.Mambara-มัมบารา
bullet100.Bulgaria-บัลแกเรีย
bullet101.Basque-บาสก์
bullet102.Bengal-เบงกอล
bullet103.Belarus-เบลารุส
bullet104.Pashto-พาชตู
bullet105.Fritian-ฟริเชียน
bullet106.Bhojpuri-โภชปุรี
bullet107.Manipur(Manifuri)-มณีปุระ(มณิฟูรี)
bullet108.Maltese-มัลทีส
bullet109.Marathi-มาราฐี
bullet110.Malayalum-มาลายาลัม
bullet111.Micho-มิโช
bullet112.Maori-เมารี
bullet113.Maithili-ไมถิลี
bullet114.Yidsdish-ยิดดิช
bullet115.Euroba-ยูโรบา
bullet116.Lingala-ลิงกาลา
bullet117.Lukanda-ลูกันดา
bullet118.Slovenia-สโลวีเนีย
bullet119.Swahili-สวาฮิลี
bullet120.Sanskrit-สันสกฤต
bullet121.history107-history107
bullet122.Amharic-อัมฮาริก
bullet123.Assam-อัสสัม
bullet124.Armenia-อาร์เมเนีย
bullet125.Igbo-อิกโบ
bullet126.History115-ประวัติ 115
bullet127.history117-ประวัติ117
bullet128.Ilogano-อีโลกาโน
bullet129.Eve-อีเว
bullet130.Uighur-อุยกูร์
bullet131.Uradu-อูรดู
bullet132.Esperanto-เอสเปอแรนโต
bullet133.Albania-แอลเบเนีย
bullet134.Odia(Oriya)-โอเดีย(โอริยา)
bullet135.Oromo-โอโรโม
bullet136.Omara-โอมารา
bullet137.Huasha-ฮัวซา
bullet138.Haitian Creole-เฮติครีโอล
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี
bulletMystery World Report รายงานการศึกษาโลกลี้ลับ
bulletสารบาญโหราศาสตร์
bulletหลักโหราศาสตร์ว่าด้วยดวงกำเนิดและดวงฤกษ์รวมคำตอบคลี่คลายปัญหาข้อข้องใจเกี่ยวกับการทำนายชะตาชีวิต
bulletทุกความคิดเห็นจากเวบนี้(เริ่ม ก.พ.55)
bulletประชาธิปไตยเท่านั้น1
bulletประชาธิปไตยเท่านั้น 11
bulletทุกความคิดเห็นจากหน้า1(ก่อน ก.พ.55)
bulletทุกความคิดเห็นจากเวบบอร์ด(ถึงก.พ.55)
bulletภาค 11
bulletภาค 12
bullet54.Hmong ม้ง
bullet133.แอลเบเนีย
bullet133.แอลเบเนีย
bulletหน้าที่เก็บไว้




ประวัติ ร.อ.พยับ เติมใจ , พระพยับ ปัญญาธโร, พระครูพุทธิพงศานุวัตร, รวมบันทึกประวัตินักต่อสู้ทุกรูปแบบในโลกนี้จนที่สุดพบชัยชนะนิรันดร แปลเสียงไทย

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ประวัติ ร.อ.พยับ เติมใจ , พระพยับ ปัญญาธโร, พระครูพุทธิพงศานุวัตร,

รวมบันทึกประวัตินักต่อสู้ทุกรูปแบบในโลกนี้จนที่สุดพบชัยชนะนิรันดร

ด้วยการรบภาคภายในที่ต่อสู้กิเลส ตัณหา อุปาทาน จนเอาชนะได้, แม้ในบั้นปลายของชีวิต

เรานำมารวมเป็นประวัติตัวอย่าง เพื่อเป็นกำลังใจแด่นักต่อสู้รุ่นหลัง เป็นประวัติตัวอย่าง เพื่อนักต่อสู้รุ่นโลกใหม่แบบเดียวกันนี้ ได้ดูเป็นแบบอุดมการณ์ของชีวิตนักสู้เลยทีเดียว  เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการตามรอยพระพุทธเจ้าไปจนถึงที่สุด

เป็นบันทึกประวัติที่ยืดยาว ครบถ้วนทุกมุมชีวิต 

แต่การบันทึกประวัตินี้ สำหรับการแปลไปสู่การรับฟังทางโสตสัมผัสโดยเฉพาะ

จากการแปลเสียงไทย-อังกฤษของกูเกิลโดยเฉพาะ ไม่ต้องอ่านเลย ฟังไปใช้ความคิดไปด้วย นั้นแหละ

ก็ได้ดีไปเลย   

โปรดติดตามได้เลย

-----*****-----

-----

 

ตอนที่  1. เอามาจากประวัติผู้ตั้งวัด อินเทอเนต MY TEMPLE ใน    www.newworldbelieve.com   -   .net

 

บทที่ 1. เกี่ยวกับสถานะการทำงานปัจจุบัน ของ Phayap Panyatharo

เรื่องการงานอาชีพ

คำถามใน เฟสบุ๊ค

เกี่ยวกับสถานะการทำงานปัจจุบันของ Phayap Panyatharo

คำตอบ

Self Employed   ทำงานอิสระ

ตำแหน่งสามัญชน หน้าที่อย่างสามัญชน  อยู่ไม่รู้จักคำว่าเกียรติยศคืออะไร  สาวกของพระพุทธเจ้า   พุทธไทยเถรวาท บวชมาถึงวันนี้(7 มี.ค.2563  33 ปี 10 เดือน)

ผลตอบรับจากผู้อ่าน : มีคนถูกใจหัวข้อนี้

-  7 มี.ค. 2563        4,087,161  คน

-20 ก.ค. 2563        4,568,750  คน

-----

*****

*****

-----

บทที่ 2. สอบไล่ได้เกินคะแนนเต็ม อดีตนักเรียนห้องKing 226 ร.ร.เตรียมอุดมศึกษา

ประวัติพิเศษ สุดยอดคน

อดีตนักเรียนห้อง KING 226 ร.ร.เตรียมอุดมศึกษา [พญาไท กทม.]

จบม.6 สอบไล่ได้เกินคะแนนเต็ม

 ในปีสุดท้ายนั้น ผมสอบไล่ วิชาวรรณคดีอังกฤษษ [English literature] ได้เกินคะแนนเต็ม คือได้ 21 คะแนน จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน ซึ่งต้องนับว่ายอดเยี่ยมเหนือกว่ายอดคนเก่งใดใด เพราะ การสอบไล่ได้เกินคะแนนเต็มย่อมเป็นปรากฎการณ์ที่ประหลาดหาได้ยากยิ่งในโลก....

จากดีเล่ม 23

หมายเหตุ 

อธิบายเพิ่มเติมสักเล็กน้อย  อาจารย์ผู้สอนวิชา วรรณคดีอังกฤษ(English Literature)  คืออาจารย์สถิตย์ โพพิพัฒน์  เดิมท่านสอนอยู่โรงเรียน สวนกุหลาบวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร  ได้ย้ายกลับมาอยู่บ้านเกิด ที่ศรีสะเกษ จึงได้สอนที่ร.ร.ศรีสะเกษวิทยาลัย  ที่ท่านให้คะแนนเป็นพิเศษนั้น ใช่ว่ามีความสนิทใกล้ชิด หรืออะไรเลย  น่าจะเป็นการพิจารณามาทั้งปี ที่ท่านได้สอนวิชานี้มาทั้งปี และเห็นว่าลูกศิษย์คนนี้มีอารมณ์จิตใจ ความเข้าใจลึกซึ้ง ละเอียดอ่อน ในการศึกษาวิชาวรรณคดี  น่าให้รางวัลพิเศษ  ท่านก็เลย เขียนให้คะแนน 20+1  ซึ่งอาจารย์ประจำชั้น อาจารย์บุญชิต พรหมวาที   ได้นำมาประกาศให้นักเรียนทั้งห้องทราบพร้อม ๆ กัน เมื่อประกาศคะแนน นายพยับ เติมใจ  ท่านออกยิ้ม ๆ  และดูเหมือนว่าไม่เต็มเสียงนักว่า  พยับ  เขาได้คะแนนพิเศษนะ  ได้ 21คะแนน เกินคะแนนเต็ม อาจารย์สถิตกาที่หัวกระดาษข้อสอบให้ไว้ว่า   20+1 = 21 

-----

*****

*****

-----

 

บทที่ 3. เรื่องราวที่ได้ผ่านมานานแล้ว เหลืออยู่แต่ความทรงจำ

ของ พยับ เติมใจ

มีภาพนศ.มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  นิด้า   ภาพนายทหารเต็มยศ ฉลองยศในกระทรวงกลาโหม   ภาพดรัมเมเยอร์คนสวย กีฬาฟุตบอลประเพณี จุฬา-ธรรมศาสตร์  ภาพหมั้นอาจารย์สาวด้วยดอกไม้  ท่ามกลางเพื่อนๆ รอบล้อมปรบมือเฮกันสนั่น  ในภัตตาคาร

-----

*****

*****

-----   

             

บทที่ 4. พูดถึงตัวเอง[1] เชิงการแนะนำตรงไปตรงมาในเฟสบุ๊ค เมื่อ พ.ค.- มิ.ย. 2562

 ประวัติล่าสุดที่ท่านพูดถึงตัวเอง[1]

Phayap Panyatharo ได้เปลี่ยนเกี่ยวกับฉันของเขา

พระพยับ ปํญาธโร, เป็นพระภิกษุครับ เดิมชื่อ ร.อ.พยับ เติมใจ เคยศึกษาปริญญาตรี ธรรมศาสตร์

ปริญญาโท นิดา คลองกุ่ม เป็น ผจล.วัดมหาพุทธาราม อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ ก่อนบวชเป็นทหารยศ ร้อยเอก แห่งกองบัญชาการทหารสูงสุด สนามเสือป่า กทม.

ปฏิบัติธรรมมาตั้งแต่เกิดเป็นเด็กอ่อน พี่เลี้ยงเอาไปวางบนแป้นกี่ หันหน้าไปทางตะวันตกพอดีตะวันกำลังตกดิน ก็เพ่งดูจนตะวันตกดินร่วม 2 ชม. นี่คือปฏิบัติเตโชกสิณ มาแต่เป็นเด็กอ่อนอายุ 1 ขวบเศษ ๆ  แต่มาสำเร็จเตโชกสิณอาทิตย์นี้เมื่อออกบวชแล้วได้ 3-4 วัน ณ วัดบ้านถ้ำ อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ขณะออกบวชเป็นโสด เกรงการศึกษาฝ่ายธรรมะจะไม่สำเร็จจึงรีบออกบวชแต่ยังหนุ่ม ในหนังสือลาออกราชการบอกว่าลาออกเพื่อการบวช ขอไปศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าเพื่อให้รู้แจ้งเห็นจริง จริงๆ,  บวชมา 31 ปีแล้ว เดี๋ยวนี้ยังเป็นนักบวชอยู่ เพียงแต่ไม่ได้อยู่ป่าเดินป่าไปธิเบตเหมือนที่ตั้งใจแต่แรก,  เมื่อ 5 ธ.ค.2556 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ ที่พระครูพุทธิพงศานุวัตร ผจล.ชท. พระอารามหลวง วัดมหาพุทธาราม พระอารามหลวง อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ เวลา กว่า 31 ปี ตั้งใจศึกษาภาคปฏิบัติธรรมฝ่ายเดียว  ไม่เรียญเปรียญธรรม เพราะกลัวเสียเวลา หากเรียนแล้วก็ต้องไปตลอด ป.ธ.9 จึงจะหยุด กลัวเสียนิสัยเดิมที่มุ่งมรรคผลนิพพานสถานเดียว เลยตั้งใจศึกษาฝ่ายวิปัสนา สมาธิ ฝ่ายมรรคผลล้วน ๆ จน ได้ศึกษาวิชา 5 ประการสำเร็จสิ้นข้อสงสัย คือ สมาธิ, กสิณ, วิปัสนา, ฌาน และ ปราณ

สามารถนั่งทางในได้ ดูคนตายแล้วไปไหน ดูพระภูมิเจ้าที่ ดูภูติ ผี ปีศาจ ยักษ์ ฯลฯ ศึกษาไสยศาสตร์ ปราบผีปอบ ฯลฯ ได้ทำการบันทึกเอาไว้ในเรื่องศึกษาโลกลี้ลับ และ ประวัติของผม ในเวบไซต์ของตนเอง 2 เวบไซต์

เชี่ยวชาญโหราศาสตร์ ให้การพยากรณ์แม่นยำ พยากรณ์ดวงชะตาบุคคลทั่วโลก พยากรณ์ดวงชะตาเมือง ชะตาประเทศไทย นักการเมืองคนสำคัญ ๆ ทายได้ทุกประเด็นปัญหา แม่นยำ  ดูได้ในเวบฯ จากสารบาญโหราศาสตร์ และ เวบบอร์ด โหราศาสตร์ 1 -12 หรือคลิกกูเกิล โหราศาสตร์ ...ที่ทำนายไว้ก็ปรากฎในสารบาญโหราศาสตร์ ได้สืบต่อคำพยากรณ์ตามจักรทีปนีของพระอรหันต์อุตตารามมหาเถร ยุคพระพุทธเจ้า  แต่ไม่เคยโฆษณาเลย 

 รู้ เชี่ยวชาญศาสตร์สาขาต่าง ๆ โดยเฉพาะนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ ตั้งใจนำวิชาความรู้มาใช้ประโยชน์ต่อชาติบ้านเมืองและเพื่อสร้างรัฐประชาธิปไตยให้สมบูรณ์ ได้เขียนบทวิจารณ์ข่าวจากโทรทัศน์ในนาม เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว ติดต่อกันมานานกว่า 14 ปี โดยนำลงพิมพ์ใน นสพ.ดี ต่อมาเป็น ดี(อินเทอเนต) ปัจจุบันยังคงเขียนบทความวิเคราะห์ปัญหาวัฒนธรรมและการเมืองทุกด้าน ในเฟสบุคและเวบไซต์ โดยอุดมการณ์ว่า นำความคิดไปสู่ความดีงาม ช่วยนำความคิดของประชาชนและคนทั้งหลายไปสู่ความเป็นเสรีชน สู่ความเสมอภาค ภราดรภาพ และ อิสระภาพ ตามหลักการ liberty equality fraternity ชอบเสรีชน ติดต่อเสรีชนทั่วโลก และต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย  และโลกเมื่อเป็นประชาธิปไตย จะใกล้เคียงหลักเสรีภาพในพระพุทธศาสนา ประชาธิปไตยคือพระพุทธศาสนา มีเวบไซต์ตนเอง 2 เวบไซต์คือ http://www.newworldbelieve.net http://www.newworldbelieve.com มี ทั้ง 2 เวบฯวันนี้มี วิสิตเตอร์กว่า 30,000 คลิกแล้ว

มีหนังสือพิมพ์ของตนเอง(ในนามมูลนิธิฯ)คือ หนังสือพิมพ์ดี (อินเทอเนต) รายคาบ ล่าสุดเล่มที่ 46 ปีที่ 14 ประจำเดือน ก.ย.-ต.ค.-พ.ย.-ธ.ค.2553 - ม.ค.-ก.พ.- มี.ค.- เม.ย.-พ.ค.- มิ.ย.2554 มีประกาศบุคคลแห่งปี 2553 ในเล่มนี้ด้วย มีโหราศาสตร์ คำพยากรณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อไทย และดวงชะตาน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าจะได้เป็นนรม.หรือไม่ (ปรากฎผลออกมาว่าทำนายได้โดยถูกต้องทุกประเด็น) ติดตามทางเวบไซต์ก็ได้ครับ แล้วก็มีเครื่องมืออีกชิ้นหนึ่งที่วิเศษ ก็คือ เฟสบุคนี่แหละครับ ที่ผมขอบคุณมาก ๆ ๆ ๆ ยินดีเป็นมิตรและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางสร้างสรรค์กับเพื่อนเฟสบุคทุก ๆ คนครับ........

 

บันทึกสุดท้าย ในคืนวันที่ 10-11 เม.ย.2558 ได้ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิไปตลอดคืน ท่ามกลางสาธุชนผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ร่วม 2000 ชีวิต ในพระวิหารใหญ่ ณ วัดมหาพุทธาราม พระอารามหลวง ...พบว่า นั่นคือการเข้าสู่โลกนิพพาน โลกแห่งพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย ได้พบว่า นี่คือการจบสิ้นการศึกษาลงโดยสมบูรณ์แล้ว

-----

-----

คำคมที่ชอบ

ไม่มี หรืออาจจะแสร้งว่าไม่มีก็ได้ เพราะเกลียดคำว่าคำคม

ผมหมายถึงคำคมเก่า ๆ ในวรรณคดีชาวบ้าน ๆ ยุคศรีธนญชัย น่ะครับ อาจจะเป็นเพราะผมเกลียดศรีธนญชัยมาแต่เด็ก ๆ ทำให้สังคมเป็นสังคมที่ชอบพูดกันเล่น ๆ หัว ๆ พอจะทำอะไรจริง ๆ เข้า ก็พลอยทำไปอย่างเล่น ๆ หัว ๆ ต่อไป ไม่เป็นโล้เป็นพาย ผมมองสังคมเล่น ๆ หัว ๆ แบบนี้ว่ามาจากอิทธิพลของศรีธนญชัย(อีสานก็คือ เชียงเมี่ยง)

เมื่อผมเป็นเด็กพ่อกับแม่จะผลัดกันเล่านิทานก่อนนอนให้ผมฟัง พ่อเล่าเรื่องเชียงเมี่ยงให้ฟัง ว่า พระราชาสั่งให้เชียงเมี่ยงตื่นแต่เช้า ให้มาก่อนไก่โห่ บังเอิญเชียงเมี่ยงตื่นสาย ก็เอาไก่โต้งผูกเชือกจูงไปหาพระราชา พระราชาก็ต่อว่าทำไมมาสายฉันบอกให้มาก่อนไก่โห่ เชียงเมี่ยงก็ตอบว่า ก็พระองค์ให้ผมมาก่อนไก่ ผมก็มาก่อนไก่แล้วอย่างไร (คือเดินออกหน้าไก่มาหาพระราชา) พระราชาก็ถามขุนนาง ๆ ก็ว่าถูกต้องแล้วพะยะค่ะ พระราชาก็คิดปัญหาให้ใหม่ ให้หาไม้สามง่ามมา ศรีธนญชัยก็เอาคนปากแหว่งมา พระราชาก็แพ้เชียงเมี่ยงอีก คนชมว่าเชียงเมี่ยงมีปัญญาดี แต่ผมไม่คิดอย่างนั้น ผมว่าเป็นคนกะล่อนมากกว่า เหมือน ๆ ศรีปราชญ์นั่นแหละ(ผมก็ไม่ชอบศรีปราชญ์เหมือนกัน ผมมองว่าเป็นคนกะล่อน อีกคนหนึ่งและสมควรตายด้วยความกะล่อนของตนเอง...ไปเกี้ยวสนมของพระนารายณ์ ถูกเนรเทศไปนครศรีธรรมราช ก็ไปเกี้ยวเมียเจ้าเมืองเขาอีก เลยถูกประหารชีวิต ซึ่งผมมองว่าสมควร) ตอนที่ผมไม่ชอบมาก ๆ ก็คือ ญาติเขาให้เฝ้าบ้านดูแลเด็กอ่อน ว่าให้ทำความสะอาดอย่างดีอาบน้ำอาบท่าให้เด็กด้วย เชียงเมี่ยงก็เอาไปแหวะท้องออก ล้างข้างนอกข้างในทารกอย่างดี เขาก็ไปฟ้องพระราชาอีก หมอก็แก้ตัว อ้างคำสั่งว่าให้ทำความสะอาดเด็กอย่าดีทั้งข้างนอกข้างใน ก็ได้ทำให้สะอาดทั้งข้างนอกข้างในแล้วจะว่าอย่างไร พวกขุนนางก็ตัดสินให้ศรีธนญชัยชนะอีก เพราะได้ทำตามคำสั่งตรงไปตรงมาแล้ว ...ผมไม่ชอบในเหตุที่ว่า นายนี้กะล่อน สำแดงโวหารเอาตัวรอด ไม่รู้ชั่วรู้ดี และพวกขุนนาง พระราชาก็ดูเหมือนเป็นพวกบ้า ๆ บอ ๆ แทนที่จะเอาหมอนี่ไปปาดคอทิ้งเสีย ฐานไม่รู้ดีรู้ชั่ว สุภาษิต คำคมต่าง ๆ ในชนบทมักเป็นสุภาษิตที่แสดงความกะล่อนแบบเชียงเมี่ยงนี่แหละ ทำสังคมให้กะล่อนไปด้วย ซึ่งที่จริง เมื่อมาศึกษาสังคมต่อมา ก็ปรากฎว่าสังคมคนไทย มักนิยมวาทะกะล่อน ๆ แบบศรีธนญชัยนี่แหละ ในทัศนะของผม จึงเห็นว่า ศรีธนญชัยเป็นเรื่องราวที่ทำลายวัฒนธรรมอันดีของประชาชน ด้วยซ้ำไป ผมเลยไม่ชอบ แท้จริง เราต้องรักในเหตุผล และเป้ฯวิทยาศาสตร์มากกว่านี้ วัฒนธรรมประชาธิปไตยจึงจะเริ่มต้นและเจริญไปได้

-----

*****

*****

-----

บทที่ 5. พูดถึงตัวเอง[2] เชิงการแนะนำตรงไปตรงมาในเฟสบุ๊ค เมื่อ 4 มี.ค. 2563

ประวัติล่าสุดที่ท่านพูดถึงตัวเอง[2]

Phayap Panyatharo ได้อัพเดตสถานะของเขา

What I was looking for was not a certificate to certify because it was the ultimate truth.

แก้ไข

Phayap Panyatharo ได้อัพเดตสถานะของเขา

สิ่งที่ผมแสวงหามาได้นั้นไม่มีใบประกาศนียบัตรใดมารับรองเพราะมันเป็นสัจธรรมความรู้อันสูงสุด

แก้ไข

4 มีนาคม

Phayap Panyatharo ได้อัพเดตสถานะของเขา

My story is the one who seeks for something all his life and at last he wins. He can get what he want.

แก้ไข

Phayap Panyatharo ได้อัพเดตสถานะของเขา

ประวัติของผมเป็นเรื่องของคน ๆ หนึ่ง ผู้ที่แสวงหาสิ่งหนึ่ง ตลอดชีวิต และในที่สุด เขาได้ชัยชนะ ได้ในสิ่งที่เขาแสวงหา

 

แก้ไข

-----

*****

*****

-----  

                    

บทที่ 6. พูดถึงตัวเอง[3] การศึกษาในมธ.การศึกษาธรรมเพื่อมรรคผลนิพพาน

Phayap Panyatharo 

1.

ประวัติ  เริ่มจาก มธ. บันทึกประวัติในเฟสบุ๊คตอนการศึกษา คือคณะวารสารศาสตร์ ธรรมศาสตร์นั้นเอง ผมเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และวารสารยูงทอง ที่ตั้งชื่อตามที่ในหลวงเสด็จมาปลูกยูงทองหน้าหอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่น่าทบทวนก็คือยูงทองที่ผมเป็นบรรณาธิการนี้ ได้ภาพนางงามจักรวาล สาวไทยถึง 2 คนมาเป็นหน้าปก 2 เล่ม คราวนั้น คือ อาภัสรา หงส์สกุลกับ ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก  ที่ทำให้ไทยมีชื่อเสียงไปก้องโลก และ ร่วม 57 ปีแล้วไทยไม่เคยมีสาวใดได้เป็นนางงามจักรวาลอีกเลย ล่าสุดมีได้ 1 ใน 5  ต่อมาผมไปจับ นสพ.พิมพ์ไทย ตอนจบมธ.ทำงานเอกชน  สละงานราชการทำบุญ  ครั้นมาอยู่วงการทหาร แม้ขณะเป็นนอกราชการอยู่ เริ่มจากวังสวนกุหลาบ แล้วไปต่อสวนรื่นฤดี : กองบัญชาการป้องกันและปราบปรามคอมมิวนิสต์  ก็ออกวารสารเย็บเล่มประจำเดือนทุกเดือน เป็นเอกสารปกปิดเฉพาะชั้นผู้ใหญ่ คณะกรรมการปราบคอมมิวนิสต์ ที่มาประชุมกันรอบเดือน ชื่อว่า วิเคราะห์ข่าวการปฏิบัติการจิตวิทยาและการโฆษณาชวนเชื่อของคอมมิวนิสต์ ออกตลอด 4-5  ปีที่ผมทำงานอยู่นั้นก่อนจะย้ายออกไปเป็นทหาร อยู่กองบัญชาการทหารสูงสุด ที่สนามเสือป่า ติดกับวัดเบญจมบพิตร

2.

แล้วจากนั้นไม่นาน การได้พบแนวทางชีวิตใหม่ จึงลาราชการออกบวช โดยเหตุผลสั้น ๆ ว่าเพื่อไปศึกษาให้รู้แจ้งสัจธรรมของพระพุทธเจ้าให้ได้ ท่านก็อนุญาต ขณะอายุแค่ 40 ปี ที่จริงเคยคิดออกบวชมาก่อนแล้ว(เคยลาแม่ออกบวชแล้วก่อนนี้เมื่อ พ.ศ.2512 อายุแค่ 27 ปีเท่านั้น ตอนนั้นคิดว่าตนสำเร็จโสดาบันแล้ว อยู่โลกไม่ได้แล้ว  แต่สงสารแม่และเลี้ยงน้องอยู่ 1คน จึงไม่ได้ออกบวช จึงปฏิบัติธรรมแบบฆราวาสต่อมาถึง 14 ปี และได้ฝันเห็นพระพุทธเจ้าถึง5ครั้ง จนพร้อมทุกอย่างในปี2526 และตอนนั้นคิดว่าตนเองสำเร็จอริยธรรมระดับสูงกว่าโสดาบันไปอีก ระดับอนาคามีนู่น คือเข้าสมาธิได้ทั้งคืน แบบไม่ต้องนอนหลังนาบพื้นเหมือนคนธรรมดาเป็นผู้มีปกติอยู่ด้วยอิริยาบถสาม(ไม่มีการนอน)มาแล้วแต่เป็นฆราวาส   แต่แม้ตนเองก็สงสัยอยู่จึงคิดจะออกไปหาทางพิศูจน์  กะจะพิศูจน์ก่อนเลยเรื่องวิชาปราณ  จึงต้องขอลาบวช มีคนถามว่าน่าเกษียณก่อน แต่ตอนนั้นมองว่าธรรมะยากกว่าวิชาทางโลกอีก บวชตอนแก่แล้วกลัวจะศึกษาธรรมไม่สำเร็จในชีวิตนี้ 

3.

วางแผนบวชที่วัดบ้านถ้ำ อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรีเพราะอยู่ติดชายแดน  กะจะออกเดินป่าต่อไปเลยหลังบวช  จะไปพม่า-อินเดีย-ธิเบต...แต่แล้วแม่นั้นเองเป็นเสมือนกงกรรมป่วยลงโทรเลขว่า แม่ป่วยหนักกลับบ้านด่วน  เลยได้กลับบ้านศรีสะเกษ ได้ใกล้ชิดแม่ ดูแลแม่ต่อมา 2 ปีท่านก็เสียชีวิต  ก็ได้โอกาส และครั้นแผนรอบ2 แม่เสียแล้ว คิดจะทำตามแผนเดิม กำลังลงมาจากปฏิบัติการทดสอบวิชาปราณอดอาหาร อดน้ำ(ไม่ต้องกินน้ำได้ถึง7วันสบาย ๆ)  7วันได้สำเร็จอย่างพิสดารยอดเยี่ยมบนเพดาลโบสถ์ที่เพิ่งสร้างเสร็จลงใหม่  ก็พบคำสั่งท่านพ่อพระเทพวรมุนี เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ  สั่งให้ทิ้งวัดโนนน้อย เข้ามาอยู่วัดมหาพุทธารามเสีย ให้ลาออกจากเจ้าอาวาสวัดโนนน้อย ไปเป็น เลขานุการเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ เพราะคนเลขานุการรูปเดิมมรณภาพกะทันหันท้องแน่นอาหารตายไปปัจจุบันทันด่วนพอดี ให้เป็นแทน  เลยอยู่มาถึงทุกวันนี้  ไม่ได้ออกป่าไปไหนเลย,  เอาป่าช้าไทย ป่าช้าโพนเขวา, ป่าช้าจีน สุสานสุขาวดี, เป็นวัด  ซึ่งคราวไปอยู่ป่าช้ารอบแรก อยู่เดี่ยว15 วัน  ก็ได้รับการต้อนรับจากเหล่าผีปีศาจทั้งคืนโดยมาเล่นดนตรีป่าช้าให้ฟังทั้ง  2 ป่าช้า,  เอาหลายแห่งเป็นแดนปฏิบัติธรรมเช่นเกาะกลางน้ำเป็นที่ทำอากาสกสิณ,  สวนศรีนครินทราบรมราชินี ไปทำกสิณและฌาน,  เอาการเดินธุดงค์เป็นการทดสอบตัวตน,  อยู่วัดใหญ่กลางเมืองศรีสะเกษ ก็ทำหนังสือพิมพ์ต่อ โดยตั้งชื่อว่า วิเคราะห์ข่าวในวงการเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดภาคอีสาน แต่แจกจ่ายพระสงฆ์ระดับจังหวัดทั่วประเทศ เนื่องมาจากโครงการแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง, และ อีสาณเขียว ของพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ

4.

แล้วต่อมาก็เอาออกเป็น หนังสือพิมพ์ดีทำเป็นเอกสารแจกจ่าย แล้วต่อมา แปรเป็นรูปดีอินเทอเนต  ไม่เป็นเอกสารเหมือนเดิมแต่เป็นหนังสือพิมพ์ดี อินเทอเนต ออกมาถึงวันนี้ เป็นเวลา 24 ปีเข้าแล้วไม่เคยหยุดเลย  โปรดติดตามดูจาก www.newworldbelieve.net, .com,  สำหรับอินเทอเนต 2 อินเทอเนต .net,  .com, นั้นก็ออกมาโดยตลอด จนวันนี้ มียอดผู้เข้าชมระดับแสนขึ้นแล้ว และระยะหลังนี้ ได้ตั้งวัดอินเทอเนต ขึ้น ชื่อว่าวัดของเรา หรือ MY TEMPLE จากตรงนี้เองมาบรรจบด้านการศึกษาธรรมะประสบผลสำเร็จในคืนวันที่ 10-11 เม.ย. 2558 ณ พระวิหารใหญ่วัดมหาพุทธาราม ท่ามกลางพุทธบริษัทปฏิบัติธรรมแวดล้อมทั้งคืนร่วม 2,000 ชีวิต  นี่คือความปิติยินดีของตัวเอง ที่ว่าไว้ตอนลาราชการออกบวชว่า เพื่อไปศึกษาธรรมให้รู้แจ้งเห็นจริงซึ่งธรรมะอันสูงสุดของพระพุทธเจ้าให้ได้  ได้พบความสำเร็จลงตามความปรารถนาแล้ว  ณ อายุได้ 73ปี

5.                            

การแสวงหาสิ่งนี้จึงรวมเวลาแล้วใช้เวลาถึง 73 ปี ตั้งแต่เกิด มีใครทำได้เหมือนเช่นนี้   คืนนั้นเองนั่งสมาธิ นั่งไปทั้งคืน เข้าสู่โลกนิพพานทั้งคืน นี่เพียงแต่คิดว่าใช่  ต้องคอยคิดดูตรวจตราดูต่อไปอีก ถึง 2-3 ปี  จึงรู้แจ้งความจริงของ คืนวันนั้น  ว่าคืออะไรแน่? (แม้พุทธองค์เอง ตรัสรู้แล้ว ก็ยังทรงย้ายไปอยู่ใต้ต้นไม่ต้นอื่นอีกพิจารณราการตรัสรู้ของพระองค์ ถึง 49 วัน) และได้พบถี่ถ้วนซึ่งธรรมะทั้งหลายแห่งความหลุดพ้นทุกข์  และธรรมปฏิบัติอย่างไรไปสู่มรรคผลนิพพานได้สำหรับคนยุคใหม่ ? และนี่คือประเด็นที่ว่าเมื่อ รู้แล้ว เราพบว่าวิเศษอย่างไร ?   ก็รู้ว่าใครไม่รู้หรือรู้ผิด ๆ ไปอย่างไร พาคนออกไปนอกลู่นอกทางออกไป  ทำลายพุทธว่านั่นเองเป็นการสำเร็จการศึกษาด้วยความปลื้มปิติสุดพอใจในชีวิตแล้ว  รู้แจ้งว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร ?ศาสนาอย่างไร ?  ก็เลยคิดเผยแผ่ธรรมะที่ตนรู้ ออกไปทั่วโลก โดยที่ได้พบองค์ประกอบสำคัญที่ว่าวันนี้ ปีนี้เอง  กูเกิล สามารถแปลภาษาได้ทุกภาษาในโลก ได้แบบสมบูรณ์แทบไม่มีที่ติเลย(ก่อนนี้ยังแปลไม่ได้ดีแบบน่าเชื่อถือว่าไม่ผิดสาระสำคัญ มาแปลได้สมบูรณ์พอดีขณะนี้) และมาวาระที่เกิดไวรัสร้ายโควิด-19ขึ้นพอดี ที่ทำให้โลกประสบความทุกข์อันยิ่งใหญ่  ที่ไวรัสร้ายทำลายชีวิตชาวโลกไปมหาศาลแบบกลายพันธ์แข็งแรงแกร่งกล้าขึ้นไปอีก อย่างวันนี้ทั้งโลกมีติดเชื้อถึง 179 ล้านคนเข้าไปแล้ว  ตายไปกว่า 4 ล้านศพแล้ว  จึงเป็นวาระที่เราจะต้องช่วยโลก ช่วยปลอบใจโลกให้ลุกขึ้นต่อสู้ร่วมกัน   ได้อาศัยกูเกิลนี้ แปลไป 44 ภาษาที่ครอบโลกทั้งโลกแล้ว  เผยแผ่แนวทางแห่งสัจธรรมที่เกี่ยวข้องกับโควิดล้างโลกนี้  โดยออกเป็นวาทะบทความไปแล้ว ถึงร่วม ร้อยวาทะและอื่นๆ อีกที่ให้รู้สัจธรรมพุทธเพื่อแก้ปัญหาชีวิตโลกยุคนี้ 

6.

และแนวทางการเผยแผ่ธรรมะจะเป็นมุมมองใหม่สำหรับโลกยุคปัจจุบัน ยุคกึ่งพุทธกาล จะว่านำพุทธศาสนาไปสู่โลกยุคใหม่ ตามหัวข้อขึ้นไว้ว่า  Buddhism to the New world Era ก็ว่าได้เลย เพราะจะพาคนทั้งโลกเอาบ้านเป็นวัด วัดจะมีขึ้นทั่วโลก โดยปฏิบัติสมาธิจากการทำงานการอาชีพเรานี้เอง การทำอาชีพคือการปฏิบัติธรรม เอาบริษัท  โรงงาน โรงเรียน มหาวิทยาลัย  สถานราชการทุกแห่ง องค์การห้างร้าน เป็นวัด มุ่งไปสู่ความร่ำรวยเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐีตามอาชีพเรานั้นเอง   เพียงขยันทำจริง ๆ ไล่ความขี้เกียจซึ่งเป็นมารในดวงใจออกไป (ความขี้เกียจคือตัณหานั่นเอง ละตัณหาได้ก็บรรลุมรรคผลนิพพานได้ และมีตัวอย่างพอดีคือ  สาวไทย ลาลิสา แบ็กพิ้งค์ หรือลิซ่า ปรานปรีดามโนบาล นักเต้น นักร้องสาวไทยก้องโลกนั้นเอง)ทุกคนก็สำเร็จมรรคผลได้ ซึ่งผมจะคอยให้คำแนะนำไปเรื่อย ๆ  ไม่ใช่   ไปนั่งซือบืออยู่ในวัดไม่รู้อะไรเลย  แบบลาว ยุคเสียประเทศ เสียวงษ์กษัตริย์ แด่คอมมิวนิสต์นั้นเอง โง่จนไม่รู้ว่าอะไรคือภัยอันตรายต่อตัวเองและประเทศชาติศาสนา ฉะนั้นเรื่องการออกอินเทอเนต เฟส จะมาแทนเอกสาร ได้ และทำให้เผยแพร่ไปได้ทั่วโลกพร้อมกันในนาทีเดียวกัน นี่คืองานของผม โปรดติดตามไปใน www.newworldbelieve.com และ  www.newworldbelieve.net Face  Payap panyatharo

//// 25 ก.ค.2564 วันเข้าพรรษา 2564

-----

*****

*****

-----

บทที่ 7. พูดถึงตนเอง(4) ประวัติเล่าเองล่าสุด 2564 อภินิหาริย์ของชีวิตแต่ละขั้นตอน

ประวัติล่าสุดเล่าเองเอาลงเฟส

(ประวัติละเอียด 16 ตอน มีใน นสพ.ดี แต่มันเก่าไปเล่าใหม่ ๆ )

12 ต.ค. 2564

ชื่อเดิม ร.อ.พยับ เติมใจ กองบัญชาการทหารสูงสุด สนามเสือป่า กทม.

มีใจฝักใฝ่ในธรรมะของพระพุทธเจ้ามาตั้งแต่เกิด  มีความสงบ สันติ สำรวมกายวาจาใจมาตั้งแต่เด็กทารก

ชอบฟังนิทานให้แม่-พ่อเล่าให้ฟังทุกคืน พบปรากฎการณ์ระลึกชาติตั้งแต่เด็กแล้ว 

รู้จักทำกสิณไฟ ตั้งแต่เป็นเด็กอ่อนเดินไม่เป็น โดยนั่งมองดูดวงอาทิตย์บนยอดไม้ไปแบบที่สายตาไม่กรดุกระดิก จนดวงอาทิตย์ตกดินอยู่ นานเป็นเวลาตั้ง 2 ชั่วโมงเศษๆ คือตั้งแต่ดวงอาทิตย์อยู่ปลายไม้ แล้วแดดอ่อนลงไปจนเขาเอางัวควายมาเข้าคอก เรายังเดินไม่เป็น ก็ได้แต่นั่งมองดูไป   

พอโตขึ้นเดินได้ก็ได้รู้จักการทำกสิณน้ำ ทำเป็นเอง  ด้วยใจอยากมองดูเท่านั้นเอง ก็มองดูไม่ถอนสายตาไป  คราวพ่อพาไปห้วยลงปักเบ็ดหาปลา กุ้ง  จนเย็นไปหมดทั้งกาย 

เป็นเด็กที่ไม่พูด ไม่จากับใคร และไม่บ่น มาตั้งแต่ยังเป็นทารกและเด็ก ๆ  แม้เข้าเรียนหนังสือ อยู่ห้องคิง รร.เตรียมอุดมศึกษา พญาไทย กทม.  มีเพื่อนชาย 7 คน ไปด้วยกันทั้ง 7 คน เขาคุยหัวเราะกันเกรียวกราว มีแสงชัย สุนทรวัฒน์ ด้วย  เพื่อนชื่อกมลมักเตือนบ่อย ๆ ดังๆว่า พยับพูดหน่อยเถอะวะ แต่ก็ไม่พูดเลี่ยงไป เข้ามหาวิทยาลัย ค่อยพูดบ้างเพราะชอบผู้หญิงสวยๆ ทำให้อยากพูดขึ้นมา  

ใจฝักใฝ่ในเรื่องธัมมะพระพุทธศาสนาแบบที่ยังไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าพระพุทธศาสนาคืออะไร เรียนหนังสือเก่งมากสอบได้ที่1 ตลอด เป็นนักเรียนทุนหลวง คราวเรียนมัธยมศึกษา  แม้ปริญญาตรีก็ได้ทุนการศึกษาประจำปี  และตอนอยู่มัธยมศึกษา เคยสอบไล่ได้เกินร้อยคะแนนเต็ม  อาจารย์ให้ 21 คะแนนจากคะแนนเต็ม 20 วิชาวรรณคดีอังกฤษ   เข้าห้องคิง รร.เตรียมอุดมศึกษากทม.  แล้วเข้าธรรมศาสตร์  แล้วเข้าปริญญาโท นิด้า  ปฏิบัติธรรม ทานมาแต่เกิด ไม่หยุด

ตลอดชีวิตนักเรียนนักศึกษา ข้าราชการ มีแต่สอบแข่งขันสอบเข้าสอบโรงเรียน สอบเข้าทำงาน และไม่เคยแพ้ใคร สอบผ่านหมด  คราวจบปริญญาตรี ได้สอบเป็นข้าราชการ 2 แห่ง คือ กพ. และกปส. ก็สอบผ่านได้หมดทั้ง 2 แห่ง  หากแต่ขณะนั้นใจฝักใฝ่การทำบุญทำทานแบบทำสูงไปเรื่อยๆ กำลังฝังใจเรื่องการสร้างทานบารมีแบบพระเวสสันดร สมัครใจทานตำแหน่งที่ตนสอบได้ทั้ง 2 แห่งนั้นให้คนอื่นเขา คิดว่าทานแบบพิเศษ    คิดว่าทำบุญการทานอีกแบบหนึ่งและยังปฏิญญาณจะไม่ไปสอบแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่ง  ชิงอะไรกับเขาอีกเลย  อุทิศให้เป็นทานไปเลยตั้งแต่บัดนั้น  ชีวิตจึงเดินมาแบบนี้  ชีวิตฝักใฝ่การปฏิบัติศีล สมาธิ ตลอดเวลา

ทางปัญญาบารมี เริ่มมาจากการอ่าน  และได้อ่านระดับวรรณคดีสำคัญ ๆ ของชาติไทยมาตั้งแต่เรียนชั้นประถมศึกษา อ่านหนังสือวรรณคดีไทยแบบกวีนิพนธ์ระดับชาติ นับแต่ ขุนช้างขุนแผน รามเกียรต์ และ อิเหนาซึ่งสำหรับ  อิเหนา ตั้งแต่อ่านหนังสือออกชั้นประถม อ่านอิเหนาจบทั้งเล่มตอนเรียนป.4   อยากเป็นพระเอก แบบขุนแผน ฟังพ่อเล่าประวัติหลวงวิจิตรวาทการให้ฟัง  ชอบ แล้วพอเข้ามหาวิทยาลัยปี 1 พบหนังสือ4เล่มของหลวงวิจิตรวาทการคือ จิตตานุภาพ, มันสมอง, กำลังความคิด,และ มหัศจรรย์ทางจิต,ได้มา4เล่มนี้พร้อมกันเลย ชอบมาก และอยากมีอำนาจจิตแบบขุนแผน มีการสะกดจิตแบบขุนแผน คิดว่าอยากฝึกหัดการสะกดจิต  ก็ตั้งใจฝึกจริง ๆ  ต่อมาหลายปี  จนพอกล่าวได้ว่าเรานี้มีอาจารย์คนแรกก็คือหลวงวิจิตรวาทการนี่เอง (ท่านสอนเลยไปถึงพุทธศาสนาด้วย มีชุดศาสนาสากลแต่ไม่ได้อ่าน ไม่ได้คิดว่าสำคัญเท่า 4 เล่มนี้) ส่วนที่เป็นอภินิหาริย์ของพระพุทธเจ้า

บทฝึกหัดที่ได้ตั้งใจฝึกจริง ๆ ก็ ฝึกเดินจากบ้านถนนสาธรไปธรรมศาสตร์ เดินตามถนนเจริญกรุงไป ไม่ขี่รถ ขณะนั้นมีทั้งรถราง และรถเมล์ แต่เราเดินไป เดินกลับทุกวัน เดินตามแบบที่หลวงวิจิตรวาทการสอน คือ  เดินตรงไป ก้าวเท้าเสมอกัน และฝึกแผ่อำนาจจิตไปข้างหน้า สั่งการให้คนที่เดินสวนมาต้องหลบทางให้เราอย่างเด็ดขาด ตรงนี้หลวงวิจิตรวาทการสั่งว่า  หากเขาไม่หลบให้ชนเข้าไปเลย ก็ตั้งใจทำอย่างนั้นจริงๆ เดินได้ร่วมเดือนเศษ ๆ ทุกวันๆ  ป่วย ก็หยุด  ไปฝึกอย่างอื่น ...ยังมีอีกเยอะ  โดยเฉพาะให้ทำอะไรทำอย่างตั้งใจจริงๆ ทำด้วยใจร้อยเปอร์เซ็นต์ แม้จะหยิบเข็มบนถนนขึ้นมาหนึ่งเล่มก็ให้ตั้งใจเพียงดังว่าจะยกขอนไม้ใหญ่หนึ่งขอนขึ้นมา ซึ่งมาพบทีหลังว่าเป็นคำสอนที่ส่งผลการสร้างพลังอำนาจจิตมากทีเดียวและการฝึกมีมากกว่านั้น

ที่ฝึกมาตลอดจนกลายเป็นเรื่องปกตินิสัยก็คือต้องตื่นนนอน 4.30 น.แล้วต้องอาบน้ำทุกวัน ปีแรกที่บ้านดอนเมืองของพี่สาว เจอฤดูหนาวจนน้ำในตุ่ม ในสระเย็นแทบเป็นน้ำแข็ง ที่สุดหนาวแต่ต้องการฝึกตรงนี้ ฝึกวาทะอันเป็นสัจจะด้วย สัจจะต่อตัวเอง ต่อใจตัวเองต้องรักษาให้ได้  เลยต้องอาบน้ำซู่ๆตอนดึกจนคนบ้านข้าง ๆ กัน กม.16 ดอนเมืองขณะนั้น เขาถามว่ามีอะไรเกิดขึ้น แค่คนได้ฟังเสียงก็หนาวจะตายอยู่แล้ว แต่นั่นแหละการฝึกไม่ขาดเลย จนได้นิสัยมาจนบัดนี้ ทำให้จิตใจเข้มแข็งทรงอำนาจขึ้นมาได้จริง ๆ รู้สึกถึงพลังอำนาจทางจิตที่ยกระดับขึ้น และครั้นจบ มหาวิทยาลัย ไปทำงานอาชีพแล้ว  ก็ได้โอกาสไปทดลอง เป็นผลสำเร็จ สะกดเรียกหญิงสาวมาหาทุกคืน ๆ มานอนด้วยอยู่ตลอดเวลา 30 คืน   ก็ทำได้จริง (ขอโทษเล่าเพื่อบอกความจริงไม่ใช่โอ้อวด) กำลังจะฝึกสร้างวิชามารให้มีปาฏิหาริย์ยิ่งขึ้นไปอีก  แต่แล้ว คืนนั้นพลันได้ยินเสียงเรียก และคำถามว่า  จะเป็นพระ หรือจะเป็นมาร  หากจะเป็นพระให้หยุด ให้มาทางนี้ มาทางพระ  อย่าไปทางมารเลย แกจะเป็นพระหรือจะเป็นมาร ก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่าเราผิดไปเสียแล้ว ก็เลยหยุดการพัฒนาวิชามารสายนี้ลง 

ต่อมาก็มีสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้นมาแทน  มีการอุบัติของเทพธิดาผู้สวยงามขึ้นในดวงจิตดวงใจ อยู่ในดวงใจ  และสามารถกระโดดออกมานั่งคุยกันนอกจิตใจได้เธอจะไต่ไปตามมือ ตามแขนที่เหยียดออกอย่างแช่มช้าสมความเป็ฯเทพธิดา  เธอบอกว่าเธอมีชีวิตอยู่ได้เพราะความเมตตา และเพราะการสร้างดวงใจให้อยู่อย่างสะอาด  ดวงใจของเธอจะแคบหรือกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งว่าแดนจักรพรรดิ์ ก็เพราะความเมตตาของเธอ นี่คือความสุขล้ำเลิศไปอีกแบบหนึ่งเลยทีเดียว  แต่ไม่เกี่ยวกับกามเลย   สิ่งที่สนทนาเป็นเรื่องธรรมะทั้งสิ้น พูดถึงเรื่องการระลึกชาติ  ที่พูดคุยด้วยแต่คุยเรื่องธรรมะ  ไม่คุยเรื่องอื่น เลย  เท่ากับมีวิญญาณมาควบคุมให้ทำแต่ความดีนั้นเอง

ตลอดเวลาเป็นนักศึกษา มีเรื่องความรัก มากมาย แต่พยายามข้ามไป เสมือนมีความรู้สึกคอยขัดไว้ว่าวันหนึ่งจะต้องจากไกลสตรีคนรักไป   ชีวิตหนุ่ม จบมหาวิทยาลัยแล้ว อุทิศงานราชการให้คนอื่น ตนได้ทำงานทั่วไป จนได้เป็นนายทหาร ที่กองบัญชาการทหารสูงสุด เป็นร้อยเอกก็ออกบวช

 ปี 2512 อายุ 27 ปี  ได้สำเร็จวิปัสนาญาณระดับต้น ๆ  คือโสดาปัน ขณะนั่งพิจารณาธรรมอยู่ ได้พบเหตุการณ์เกิด แก่เจ็บ ตาย เห็นคนเดินไปตามถนนศรีอยุธยา หน้าบ้าน เดินตามกันไปธรรมดา ๆ แล้วค่อยแก่ลง เดินหลังโค้งลง  และเหลือแต่โครงกระดูก เดินช้าลงไปทุกคนๆ ทั้งแถวทั้งหมู่ที่เห็นเดินกันไปบนถนนศรีอยุธยานั้น  แล้วล้มนาบลงกับดิน  เปื่อย  เป็นฝุ่นผง  หายไปกับดิน ตกใจมากที่ได้เห็น  แล้วพอมองไปทิศตะวันออก  ก็พบว่าดวงตะวันกำลังล้าเหลืองซีดลงไป ๆ เหมือนจะดับลงเหมือนกัน เห็นทุกสิ่งทุกอย่างเงียบงันไปหมดเหมือนจะสลายมลายไปทั้งโลก ถอนตนมาจากความรู้สึกนั้นแล้วพบว่าแต่นั่นเป็นเพียงความรู้สึก  แต่ก็ได้ทราบความจริงว่าวันหนึ่งโลกก็จะเป็นอย่างที่เห็นนั้นแหละ ...จากนั้น เข้าห้องไปนั่งคิดดูเหตุการณ์ที่ได้พบได้รู้สึก ทันใดก็ได้ยินเสียงพระพุทธเจ้าตรัสให้ฟังว่า  ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต

 เราได้เห็นธรรมเบื้องต้นแล้วคือ  ไตรลักษณ์ นั้นเอง รู้สึกเบื่อโลก อยากจะศึกษาสิ่งที่เห็นที่รู้มาใหม่นี้ต่อไปอย่างจริงจังอย่างละเอียด  ก็ขอแม่บวชแต่นั้น แม่รีบมาหา เห็นแม่สะทกสะท้อนใจอย่างใหญ่หลวงเมื่อถามว่าบวชนานไหม คำตอบว่า ตลอดชีวิตแม่นิ่งไปเลย  ท่านนึกรู้อยู่แต่เดิมแล้วว่าวันหนึ่งจะเป็นเช่นนี้แหละ  สงสารแม่จับใจ  เลยบอกเลิกการบวชไว้ก่อนยังไม่บวชก็ได้แม่  เอาน้องชายมาอยู่ด้วย เลี้ยงน้องชายจนจบปริญญาได้งานทำเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ได้แต่งงานกับอาจารย์ในมหาวิทยาลัย   ตลอด 12 ปีต่อมา  เลือกบ้าน บ้านเช่ากลางสวน บางขุนเทียน  อยู่กลางสวนสงบ  ปฏิบัติธรรม เก็บตัวตลอด  บ้านไม่มีหนังสือสักเล่มเดียว  เผาหนังสือ ตำราที่เคยเรียน  แม้กระทั่งหนังสือปริญญาที่เคยเรียนมาเผาทิ้งหมด นั่งเผาไปจนตลอดคืน  จนหมดหนังสือทุกเล่มจนบ้านทั้งหลังไม่มีหนังสือไม่มีแผ่นกระดาษเลย เป็นการอยู่กับบ้านว่างที่ไม่มีหนังสือเลย นี่แหละ  พิเศษบุคคลจริงๆ จะอ่านหนังสือ ต้องเป็นเวลาออกจากบ้านไป ที่ทำงาน  ห้องสมุด เท่านั้น ในบ้านพักไม่ให้มีกระดาษ หนังสือแม้หนังสือธรรมะเลย ...เป็นเวลา 12 ปี ที่อยู่ในบ้านที่ว่างเปล่า 

ตั้งแต่นั้นไป 12 ปีจึงได้ออกบวช ระหว่างนี้แหละ  พบอภินิหาริ์ย์ เทพธิดาประจำใจ แล้วที่สุด  ได้สำเร็จวิชาปราณ, กสิณ, สมาธิ,  ชั้นสูงสุด  (ปราณนี้สำเร็จแบบเป็นเอง และพบว่าเป็นวิชาที่เถรวาทและในไทยไม่มีสอนและตนเองต้องการพิศูจน์ให้เห็นจริง พอออกบวชจึงมีเวลาพิศูจน์ และ จึงได้พิศูจน์ด้วยการอดข้าว-อดน้ำอยู่7วันภายหลังมาอยู่บ้านแล้ว ได้พบว่าเหตุผลอย่างไร  จึงอดน้ำได้เกิน 3 วัน  ไปถึง 7 วันได้ ไม่ตายตามทฤษฎีแพทย์ศาสตร์  ก็วิชาปราณนี้เอง และพิศูจน์ไปถึงเรื่องฤษีนั่งสมาธิไปจนปลวกมาสร้างรังปลวกรอบตนไปนับเดือนนับปี แต่ไม่ตาย ก็เพราะเหตุผลทางวิชาปราณนี้เอง) จึงขอแม่บวช และออกบวช โดยตั้งใจว่าจะออกเดินทางเข้าป่าไปเลย จึงเลือกบวชที่วัดบ้านถ้ำ อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ที่อยู่ติดชายแดน เพื่อจะเข้าป่าต่อไปทันทีนั่นเองแผนการบวช  มีท่านพระมหาปราโมช ปโมทิโต เจ้าอาวาสวัดบ้านถ้ำ ช่วยจัดการบวชให้

 ภาพในอดีต ...หมั้นอาจารย์มหาวิทยาลัยขอนแก่นคนสวยด้วยดอกไม้ เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เราทำบาปกับสตรี เพราะไม่ได้คิดอย่างนั้นจริงหากตามใจเพื่อนฝูงเท่านั้นเอง (บาปนี้แหละที่ทดตามมาอยู่ถึงวันนี้)

ในขณะนั้น ตนเองเกลียดมนุษย์จนรู้สึกว่ามนุษย์ไม่ใช่สิ่งที่อยากจะพบแล้วและไม่จดจำชื่อมนุษย์คนใดไว้เปลืองสมอง(ส่วนมนุษย์ผู้หญิงนั้นที่พบแล้วเหมือนพบขยะของสกปรกฯลฯ รังเกียจผู้หญิงโดยเฉพาะคนสวย ๆ  ใจรังเกียจแบบเป็นธรรมชาติไปเลย  แต่เวลาพบเราทำปกติเพื่อรักษามารยาทมนุษย์เท่านั้นเอง เป็นผลจากวิปัสนาญาณชั้นบัวบานเหนือน้ำ และ อศุภกสิณ...นี่แหละที่จะสอนคนทั้งหลายให้ละกามกิเลสได้เลยแบบที่ทำมาได้ผลจริง ๆ นี้แล้ว...และแน่ละ  ทางเบื้องต้นเข้าสู่มรรคผลนิพพานเลยทีเดียว) ตามแผนการบวช จะหนีจากมนุษย์เข้าป่าตลอดไปจนกว่าจะสำเร็จ  จึงคิดเดินทางไปพม่า อินเดีย และธิเบต กะว่าจบลงทั้งชีวิตระหว่างการเดินธุดงค์นี้ ตัวเองคิดเพียงให้ได้รู้จริง ๆ ว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร  อะไรคือพระอรหันต์  อะไรคือพระพุทธเจ้า ให้ได้รู้ให้ได้  พ้นไปจากความสงสัยเรื่องพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ให้ได้ทุกประการ  เท่านี้ก็พอใจแล้วในชีวิตนี้...นั่นเป็นความคิดในเชิงนักวิจัยเต็มๆ เลย) 

ในขณะนั้น ก็ไม่คิดจะเป็นลูกศิษย์ท่านใดไปเรียนวิปัสสนา สมาธิอะไรกับท่านผู้ใด ก็เพราะตนเองก็ได้มองมาตลลอด ตรวจดูการคณะสงฆ์มาตลอดว่ามีใครเก่งที่ไหนบ้าง  ทั้งการศาสนาสากลคริสต์  อิสลาม  ฮินดู ด้วย ตรวจดูแล้วไม่เห็นมีใครเก่งจริง ๆ เลย และที่ว่าเก่งเป้ฯครูอาจารย์  เราก็รู้หมดว่าเก่งอย่างไร ทำอะไรได้  และแท้จริงยังต่ำยังตื้นแท้ๆ จะสอนอะไรให้เราได้ คิดว่าตนไปชั้นสูงสุดแล้ว  กะออกป่าพิศูจน์วิชาปราณและกสิณ ฌาน  ให้หายสงสัย  แต่ครั้นบวชแล้วไม่ได้ไปตามแผนเลย (บวชที่วัดบ้านถ้ำ อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี เพราะใกล้ชายแดนพม่า จะเข้าพม่าก่อน (วันเดินทางไปบวชเป็นช่วงแผ่นดินไหวที่กาญจนบุรีพอดี มรว.เสนีย์ ปราโมช ท่านนั่งถือกาแฟมือสั่นอยู่ในร้าน ตามภาพข่าว) 

คืนที่ทำพิธีบวช พระอาจารย์เจ้าอาวาสให้ไปร่วมพิธีบวชกับเขา  มีโยมจะบวชพอดี 4 นาค  และคืนนั้นจะทำพิธีสวดพระพุทธมนต์ฉลองการบวช เขาเข้ามารับไปร่วมพิธีด้วย  พอขึ้นบ้านเขาไปนั่งรออยู่ ต่อหน้าพระภิกษุ 9 รูป ทำพิธี   ก็พลันเกิดเหตุ บ้านซีกหนึ่งพังลงสนั่นโครมคราม ตกใจกันหมด  ปรากฎว่าเป็นห้องแต่งตัวของนาคทั้ง4นั่นเอง ยังแต่งตัวไม่เสร็จ  ห้องและบ้านซีกนั้นพังลงเสียก่อน คนตกใจแตกตื่นกันหมดปรากฎว่า พวกนาค 4 ตนตกลงไปกลิ้งกลางดินกันหมด อลเวงกันอยู่ตั้งนานจึงเข้าสภาวะปกติ ได้ทำพิธีสวดมนต์ต่อไป บวชวันที่ 26 พ.ค. 2526...ผมอายุ 40 ปีพอดี  กลางคืน 2-3 คืนมีแมงสีดำมาเต็มวัดมากลางคืน บินมาเป็นฝูงเหมือนตาข่าย คลุมวัด เสียงตกลงอย่างกะฝนตกซ่าไปหมด แล้วกองสะสมกันเต็มพื้นห้องนอนไปหมด หนาเป็นฝ่ามือเลย  พระนอนไม่ได้  อพยพกันใหญ่ คนลือกันว่าเขามาขอส่วนบุญ ...มาสามสี่วันก็หายไป

กำลังฝึกกสิณเปิดถ้ำ ทดสอบวิขาเปิดถ้ำสำเร็จ  คือถ้ำมืด ๆ  นั้น ใช้สมาธิเพ่งเปิดถ้ำ  ถ้ำก็สว่างขึ้นมองเห็นหมด แต่ที่ยากคือทำให้ถ้ำมืดลงเหมือนเดิม แต่ก็ทำจนสำเร็จ     แล้วหลายวันต่อมาได้พบนางยักษ์ขิณีตัวใหญ่ ตามประวัติวัดแห่งนี้ที่ได้ศึกษาก่อนเลือกมาบวชแล้วคิดจะพิศูจน์ให้ได้พบยักขีณีตนนี้   ก็ได้พบแล้ว   ยื่นมือใหญ่มาด้านหลังจะผลักลงเหว.แต่เนื่องจากไหวตัวสัมผัสกระแสลมกระพัดมาทางหลังพุ่งแทงมา จึงหันกลับไปดู พบมือใหญ่มหิมาขนดำปกปุยของยักขิณีนั้น ยื่นมาจะผลักหลังเราที่ยืนอยู่ฝั่งเหว ลงไปเหว แต่พอหันไปมันก็กลัวสายตาเราถกมือหนี แล้วไม่รอช้าเหาะหนีไปเกาะอยู่หัวเสาหินใหญ่ฝั่งถ้ำตรงข้าม เคี้ยวปากแดงไปหมด  แต่ไม่นานก็หายตัวไป   เป็นเหตุให้ไปฝึกกสิณไฟต่อสามวันต่อมา  ที่ฝั่งแม่น้ำหน้าวัด ..เป็นการฝึกเตโชกสิณต่อจากตอนเป็นเด็กทารก และตอนอยู่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตามทฤษฎีหลวงวิจิตรวาทการ  เอาดวงอาทิตย์เป็นเป้าหมาย(ตอนนั้นเพ่งอาทิตย์จริง ๆแต่กลัวว่าจะต้องเสียสายตาแน่ เลยหยุด)  โดยเพ่งมองเงาดวงอาทิตย์ในลำน้ำนั้นตอนเช้า9โมงพอดี  วันที่ 3 ปรากฏว่าเงาดวงตะวันในลำน้ำนั้นเปล่งแสงพวยพุ่งขึ้นเป็นไฟกองมหิมา แล้วลามไปในลำน้ำทั้งสาย ดุจลำน้ำเป็นเชื้อเพลิงน้ำมันให้เพลิงไหม้ทั้งลำน้ำ จนแม่น้ำหน้าวัดเป็นไฟลุกท่วมแม่น้ำไปทั้งสายถือว่า สำเร็จเตโชกสิณ) และนี่แหละอาวุธปราบมารยักษ์ในป่าหลังเข้าป่าไปแล้วอันสำเร็จตามแผนแล้วพร้อมในการเข้าป่าไปอีก

17 วันหลังบวช  เพราะต้องกลับบ้านเกิดบ้านแม่ที่ศรีสะเกษ เขาโทรเลขมาตาม บอกว่าแม่ป่วยหนักกลับบ้านด่วน เลยไม่ได้ไปเดินป่าตามแผน  เพราะแม่ป่วย  ดูแลแม่อยู่ 2 ปี จนแม่เสียชีวิต  วันเดินทางกลับออกจากวัดบ้านถ้ำราว สิบโมงเช้า ดวงอาทิตย์ทอแสงทรงกลดขนาดใหญ่มโหฬารยิ่งเหนือศีรษะ ไปวัดเจ้าคณะอำเภอต่อหนังสือสุทธิ แล้วเดินทางโดยรถบัสใหญ่   ดวงอาทิตย์ยังทอทรงกลด ตลอดการเดินทางไปจนเข้าถึงสถานีหัวลำโพง คิดว่าดวงอาทิตย์ทรงกลดส่งกลับบ้าน ...

ก็คิดจะเข้าป่าอีกครั้งหนึ่งหลังแม่ตาย และเพิ่งพิศูจน์วิชาปราณอดข้าวอดน้ำ 7วัน 7 คืนสำเร็จลงพอดี ลงมาจากเพดานอุโบสถ พบคำสั่งพระผู้ใหญ่ซึ่งเป็นญาติ ที่ได้รับการขอร้องจากแม่  ให้ดูแลพระลูกชายด้วย คือ พระเทพวรมุนี  เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ ได้ให้ไปอยู่ด้วยที่วัดมหาพุทธาราม เพราะ บังเอิญเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ(พระครูศรีวรปรีชา) ท่านมรณะภาพลงกะทันหันพอดีเลย ท่านกับเพื่อนหลายคนไปปิคนิกฝั่งสระน้ำกินอาหารบ้าน ๆ และปลาช่อนตัวใหญ่ กินบักส้มมอ บักแงว บักไฟเยอะไป กลับมาถึงวัดตอน 1 ทุ่มแล้วปวดท้อง เจ็บท้องตาย   ท่านให้ไปเป็นเลขาฯแทนที่สำนักเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษในปี 2531 ตั้งแต่นั้นมาไม่ได้ไปไหนอีกเลย...(ไปป่าช้า 2 แห่ง ป่าช้าไทย  ป่าช้าจีนสุสานสุขาวดี  ฟังเสียงปีศาจแห่ศพกล่อมทั้งคืน) 

ตามท่านไปทั่วอิสาน ทั่วตะวันออก  และทั้งกทม.ถึงสุพรรณบุรี  เพราะท่านเป็นพระนักเทศน์ที่โด่งดังแบบกล้าดุกล้าด่า มีการเทศน์แบบโต้วาทะธรรมกัน ถึงขนาดคู่เทศน์ท่านกระโดดลงจากธรรมาสน์ หนีไปเลย ก็มีอยู่ครั้งหนึ่ง

ตอนไปอยู่กับท่านเวลานั้นท่านมีสุขภาพที่แย่มากแล้ว  ต้องคอยดูแลท่านอย่างใกล้ชิด  ความจริงผมได้ทำบุญใหญ่ก็คราวนี้แหละ  บุญดูแลคนแก่คือท่านพระเทพวรมุนีของผมนี่เองอยู่ตลอดเวลาจนท่านมรณภาพลง 4 ปีต่อมา ... ทำให้ได้ข้อมูลสงฆ์ไปเยอะแยะและรู้เรื่องวงการพระสงฆ์ไปหมด   เอาการศึกษาในโลกด้วย(คือเป็นข้าราชการสงฆ์ที่ต้องประสานงานกับคนทั้งหลาย ปฏิบัติธรรมด้วย  ที่ทำให้การปฏิบัติธรรมยากลำบากกว่าการไปอยู่ป่าหลายร้อยเท่าเจอมารต่อสู้กับมารหลายชนิดกว่า ต้องแบ่งเวลา ได้ศึกษาจากป่าช้า เอาสุสานสุขาวดีศรีสะเกษเป็นวัด  เอาสวนศรีนครินทราบรมราชินีเป็นวัด  และ  เอาทะเลสาปศรีสะเกษขณะที่ยังเป็นบึงอยู่เป็นวัดที่ทำกสิณอากาศ 3 แห่งนี้เดินไปเดินมา ไม่ขี่รถ  แล้วเลยกลายเป็นนิสัยชอบเอาป่าช้าเป็นวัด  แม้ไปถึงภูเก็ตก็เข้าป่าช้าภูเกตนอนแทนวัด  ไปอุบล เอาป่าช้าฮ่วยเชยแทนวัด

ที่พิเศษก็มีวันที่ 2-21 พฤษภาคม 2549 ได้เข้ารับการฝึกอบรมพระวิปัสสนาจารย์คณะสงฆ์ภาค 10 รุ่นที่ 1 สำเร็จลงและคิดว่าท่านอาจารย์หัวหน้าฝึกท่านเป็นพระอาจารย์ที่มีส่วนให้รู้ธรรมะชั้นสูงสุดอยู่  ....แล้วช่วงนี้เองที่ได้เขียนหนังสือ  รายงานการฝึกอบรมพระวิปัสสนาจารย์คณะสงฆ์ภาค 10 ประจำปี 2549 ศึกษาโลกลี้ลับ โดย พระอาจารย์พยับ ปญฺญาธโร .....ซึ่งเป็นหนังสือที่มีอิทธิพลต่อคนหลายคนมากเลยทีเดียว ...ระหว่างนี้ผมเป็นเกจิอาจารย์ด้วย  และมีความรู้พิเศษทางโหราศาสตร์ชั้นสูง ที่เอาความรู้สูงสุดจากท่านอรหันต์ท่านอุตมรามมหาเถรยุคพระพุทธเจ้าคือจักรทีปนี  ที่วิชานี้เก่งไปตามวิปัสสนาญาณที่เราสำเร็จ คือมีวิปัสนาชั้นสูงก็ทำให้ปัญญาการพยากรณ์ละเอียดแม่นยำในโหราศาสตร์ตามไป  นี่แหละความดีของวิปัสนาญาณ ..

มาถึงระยะนี้  อายุผมเข้า 70 ปีเข้าแล้ว แก่แล้ว  สิ่งที่ผมพอใจคือ  เสียงทิพย์ประจำตัวผม  คือ ดนตรีเทพเจ้า ที่ผมจะฟังเมื่อไรก็ได้ เป็นเสียงบรรเลงแบบดนตรีเทพเจ้า ที่ดนตรีทางโลกไม่อาจจะเทียบได้เลย  แต่ผมเองก็รู้ตัวดีว่ายังไม่สำเร็จธรรมที่ปรารถนาเลย แม้จะรู้อะไรไปหมดแล้วก็ตาม   จึงยังไม่โอ้อวดอะไรออกไป  ยังเก็บเอาไว้เกรงว่าหากพูดอะไรออกไปจะผิดพลาดโดยความโง่ของเรา  จึงเก็บไว้อยู่ ยังไม่ได้พูดเรื่องสูงสุด.....

จนปี พ.ศ.2558 คืนวันที่ 10-11 เมษายน 2558 ระหว่างงานสวดมนต์ทำสมาธิปฏิบัติธรรมข้ามคืนที่วัดของผมเอง โดยท่านเจ้าคุณพระราชธรรมสารสุธี เจ้าอาวาสและรองเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ ได้จัดงานนี้ขึ้นฉลองประจำปี  ซึ่งปีนี้ ผมไม่คิดว่าจะเข้าร่วมสมาธิอีก เพราะคิดว่าล้าเกินไปแล้วเพราะอายุเราเข้า 73 แล้ว  ยอมละๆ ๆ ๆ  คิดอยู่อย่างนี้   แต่แล้ว พอถึง เกือบ ๆ 2 ทุ่มที่เริ่มพิธีปฏิบัติสวดมนต์ นั่งสมาธิกัน  มันมีพื้นฐานจิตที่มันยอมแพ้ไม่ได้(ผมมีพื้นฐานจิตนี้มาตั้งแต่เด็กคราวถือปืนแก๊ปแล่นไล่ตามนกกระยางขาวไปถึงสองฟากทุ่งนาตะวันออกตะวันตก มันมาช่วยปลุกดวงใจให้แพ้ไม่ได้ของผมขึ้นมาก่อนที่มันจะบินสูงจากผมไป)  ก็เลยคิดฮึดสู้ขึ้นมา ว่าเอาละขอให้นั่งสมาธิได้ข้ามคืนให้ได้  ขอให้ข้ามคืนให้ได้เหมือนเดิมก็พอ  ก็เริ่มเลย ได้เข้าสมาธิ เตรียมวิชาทุกอย่างมาช่วย เริ่มด้วยปราณ กสิณ ฌาน  และเตรียมเสียงทิพย์มาย้อมชูกำลังใจ

ปรากฏว่า เข้าอัปนาสมาธิแล้ว  เหมือนทุกคราว  แต่กลับเกิดเรื่องแปลกประหลาด สมาธินั้นหายไป วิปัสสนาญาณคือความคิดหายไป ไม่มีการคิดพิจารณาธรรมะอะไร  กสิณฌาน อะไร ๆ หายไปหมด  รูปธรรมที่ปรากฏคือ นั่งในท่าเดียวไปได้ทั้งคืนแบบไม่กระดุกระดิกเลย(ดูภาพได้) ได้พบคำถามว่า นี่คืออะไรก็คำตอบเบื้องต้นคือ เป็นการทะลุผ่านแดนโลกเข้าสู่โลกนิพพานอยู่กับพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลายตลอดคืน....ยัง  ยังไม่ใช่คำตอบ...

มันคืออะไร? ถามตนเองต่อมาถึงเกือบ 2 ปี  จึงได้พบคำตอบ  และพอใจในชีวิตได้พบสิ่งที่ต้องการ สำเร็จการศึกษาวิชาพระพุทธเจ้าทั้งหมดลง  ก็ถือว่าไม่เสียดายชีวิตแล้ว  มันพิศูจน์กับเราเองว่า มันเป็นความรู้  อวิชาหายไป  มีแต่วิชา รู้อะไรไปหมด ทั้งทางโลกและทางธรรม .มันปรากฏถึงปัญญาที่แตกฉานไปทุกวิชาการทั้งทางโลกและทางธรรม ....แบบนี่แหละคำว่า  ผู้รู้ ละ ...จึงถึงเวลาที่จะอยู่เปล่าดายไปไม่ดีเลย  จะต้องมีการเผยแผ่สัจธรรมออกไปทั่วโลกตามพุทธประสงค์แล้ว  ตามที่เคยมีความฝันก่อนบวชมาแล้ว   ทำหน้าที่งานของพระพุทธเจ้า พุทธไทยเถรวาท บวชมาถึงวันนี้(12 ต.ค.2564) 78 ปี  5 เดือน

@พระพยับ ปัญญาธโร(พระครูพุทธิพงศานุวัตร ผจล.วัดมหาพุทธาราม ศรีสะเกษ 12 ต.ค.2564

-----

*****

*****

-----

 

ตอนที่ 2  ประวัติล่าสุดใหม่สุดเล่าเองเอาลงเฟสบุ๊ค www.facebook.com phayap panyatharo

12 ต.ค. 2564

 

 

บทที่  1. ชื่อเดิม ร.อ.พยับ เติมใจ กองบัญชาการทหารสูงสุด สนามเสือป่า กทม. โสดาบัน ถึง อนาคามี อริยบุคคลก่อนบวช

ทำกสิณไฟมาแต่เด็กทารก

มีใจฝักใฝ่ในธรรมะของพระพุทธเจ้ามาตั้งแต่เกิด  มีความสงบ สันติ สำรวมกายวาจาใจมาตั้งแต่เด็กทารก

ชอบฟังนิทานให้แม่-พ่อเล่าให้ฟังทุกคืน พบปรากฎการณ์ระลึกชาติตั้งแต่เด็กแล้ว 

รู้จักทำกสิณไฟ ตั้งแต่เป็นเด็กอ่อนเดินไม่เป็น โดยพี่เลี้ยงเอาไปวางไว้ที่แป้นกี่ หันไปทางตะวันตกพอดี นั่งมองดูดวงอาทิตย์บนยอดไม้ไปแบบที่สายตาไม่กระดุกระดิก จนดวงอาทิตย์ตกดินอยู่ นานเป็นเวลาตั้ง 2 ชั่วโมงเศษๆ คือตั้งแต่ดวงอาทิตย์อยู่ปลายไม้ แล้วแดดอ่อนลงไปจนเขาเอางัวควายมาเข้าคอก เรายังเดินไม่เป็น ก็ได้แต่นั่งมองดูไป   

พอโตขึ้นเดินได้ก็ได้รู้จักการทำกสิณน้ำ ทำเป็นเอง  ด้วยใจอยากมองดูเท่านั้นเอง ก็มองดูไม่ถอนสายตาไป  คราวพ่อพาไปห้วยลงปักเบ็ดหาปลา กุ้ง  จนเย็นไปหมดทั้งกาย 

เป็นเด็กเบื้อใบ้ไม่ยอมพูดกับใครเลย

เป็นเด็กที่ไม่พูด ไม่จากับใคร และไม่บ่น มาตั้งแต่ยังเป็นทารกและเด็ก ๆ  แม้เข้าเรียนหนังสือ อยู่ห้องคิง รร.เตรียมอุดมศึกษา พญาไทย กทม.  มีเพื่อนชาย 7 คน ไปด้วยกันทั้ง 7 คน เขาคุยหัวเราะกันเกรียวกราว มีแสงชัย สุนทรวัฒน์ ด้วย  เพื่อนชื่อกมลมักเตือนบ่อย ๆ ดังๆว่า พยับพูดหน่อยเถอะวะ แต่ก็ไม่พูดเลี่ยงไป  เข้ามหาวิทยาลัย ค่อยพูดบ้างเพราะชอบผู้หญิงสวยๆ ทำให้อยากพูดขึ้นมา  

ใจฝักใฝ่ในเรื่องธัมมะพระพุทธศาสนาแบบที่ยังไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าพระพุทธศาสนาคืออะไร เรียนหนังสือเก่งมากสอบได้ที่1 ตลอด เป็นนักเรียนทุนหลวง คราวเรียนมัธยมศึกษา  แม้ปริญญาตรีก็ได้ทุนการศึกษาประจำปี  และตอนอยู่มัธยมศึกษา เคยสอบไล่ได้เกินร้อยคะแนนเต็ม  อาจารย์ให้ 21 คะแนนจากคะแนนเต็ม 20 วิชาวรรณคดีอังกฤษ   สอบผ่านเข้าห้องคิง ร.ร.เตรียมอุดมศึกษากทม.  แล้วเข้าธรรมศาสตร์  แล้วเข้าปริญญาโท นิด้า  ปฏิบัติธรรม ทานมาแต่เกิด ไม่หยุด สุดท้ายทานตำแหน่งงานราชการ ไม่สอบแย่งใครเลย

ตลอดชีวิตนักเรียนนักศึกษา ข้าราชการ มีแต่สอบแข่งขันสอบเข้าสอบโรงเรียน สอบเข้าทำงาน และไม่เคยแพ้ใคร สอบผ่านหมด  คราวสอบเป็นข้าราชการ  สอบ 2 แห่ง   สอบที่ กพ. และกปส. ได้หมด   แต่กำลังฝังใจเรื่องการสร้างทานบารมีแบบพระเวสสันดร สมัครใจทานตำแหน่งที่สอบได้ทั้ง 2 แห่งให้คนอื่นเขา คิดว่าทานแบบพิเศษ    คิดว่าทำบุญ  ชีวิตฝักใฝ่การปฏิบัติทาน ศีล สมาธิ ตลอดเวลา

ครูคนแรก หลวงวิจิตรวาทการ สอนพลังจิตตานุภาพ

ทางปัญญาบารมี เริ่มมาจากการอ่าน  และได้อ่านระดับวรรณคดีสำคัญ ๆ ของชาติไทยมาตั้งแต่เรียนชั้นประถมศึกษา อ่านหนังสือวรรณคดีไทย ขุนช้างขุนแผน รามเกียรต์ และ อิเหนามาแต่เรียนชั้นประถม อ่านอิเหนาจบทั้งเล่มตอนเรียนป.4   อยากเป็นพระเอก แบบขุนแผน ฟังพ่อเล่าประวัติหลวงวิจิตรวาทการให้ฟัง  ชอบ แล้วพอเข้ามหาวิทยาลัยปี 1 พบหนังสือ4เล่มของหลวงวิจิตรวาทการคือ จิตตานุภาพ, มันสมอง, กำลังความคิด,และ มหัศจรรย์ทางจิต,ได้มา4เล่มนี้พร้อมกันเลย ชอบมาก และอยากมีอำนาจจิตแบบขุนแผน มีการสะกดจิตแบบขุนแผน คิดว่าอยากฝึกหัดการสะกดจิต  ก็ตั้งใจฝึกจริง ๆ  ต่อมาหลายปี  จนพอกล่าวได้ว่าเรานี้มีอาจารย์คนแรกก็คือหลวงวิจิตรวาทการนี่เอง (ท่านสอนเลยไปถึงพุทธศาสนาด้วย มีชุดศาสนาสากลแต่ไม่ได้อ่าน ไม่ได้คิดว่าสำคัญเท่า 4 เล่มนี้) ส่วนที่เป็นอภินิหาริย์ของพระพุทธเจ้า

บทฝึกหัดที่ได้ตั้งใจฝึกจริง ๆ ก็ ฝึกเดินจากบ้านถนนสาธรไปธรรมศาสตร์ เดินตามถนนเจริญกรุงไป ไม่ขี่รถ เดินตามแบบที่หลวงวิจิตรวาทการสอน คือ  เดินตรงไป ก้าวเท้าเสมอกัน และฝึกแผ่อำนาจจิตไปข้างหน้า สั่งการให้คนที่เดินสวนมาต้องหลบทางให้เราอย่างเด็ดขาด ตรงนี้หลวงวิจิตรวาทการสั่งว่า  หากเขาไม่หลบให้ชนเข้าไปเลย ก็ตั้งใจทำอย่างนั้นจริงๆ เดินได้ร่วมเดือนเศษ ๆ ทุกวันๆ ทั้งขาไปและกลับ  ไม่ขี่รถ เลยป่วย ก็หยุด  ไปฝึกอย่างอื่น ...ยังมีอีกเยอะ  โดยเฉพาะให้ทำอะไรทำอย่างตั้งใจจริงๆ ทำด้วยใจร้อยเปอร์เซ็นต์ แม้จะหยิบเข็มบนถนนขึ้นมาหนึ่งเล่มก็ให้ตั้งใจเพียงดังว่าจะยกขอนไม้ใหญ่หนึ่งขอนขึ้นมา ซึ่งมาพบทีหลังว่าเป็นคำสอนที่ส่งผลการสร้างพลังอำนาจจิตมากทีเดียวและการฝึกมีมากกว่านั้น

ที่ฝึกมาตลอดจนกลายเป็นเรื่องปกตินิสัยก็คือต้องตื่นนนอน 4.30 น.แล้วต้องอาบน้ำทุกวัน ปีแรกเจอฤดูหนาวจนน้ำในตุ่มเย็นแทบเป็นน้ำแข็ง ที่สุดหนาวแต่ต้องการฝึกตรงนี้ ฝึกวาทะอันเป็นสัจจะด้วย เลยต้องอาบน้ำซู่ๆตอนดึกจนคนบ้านข้าง ๆ กัน กม.16 ดอนเมืองขณะนั้น เขาถามว่ามีอะไรเกิดขึ้น แค่คนได้ฟังเสียงก็หนาวจะตายอยู่แล้ว แต่นั่นแหละการฝึกอย่างทรหดถึงตาย ไม่เสียสัจจะกับตนเอง  ไม่ขาดเลย จนได้นิสัยมาจนบัดนี้ ทำให้จิตใจเข้มแข็งทรงอำนาจขึ้นมาได้จริง ๆ รู้สึกถึงพลังอำนาจทางจิตที่ยกระดับขึ้น และครั้นจบ มหาวิทยาลัย ไปทำงานอาชีพแล้ว  ก็ได้โอกาสไปทดลองพลังจิตตานุภาพ   เป็นผลสำเร็จ สะกดเรียกหญิงสาวมาหามานอนด้วยอยู่ตลอดเวลา 30 คืน   ก็ทำได้จริง(ตรงนี้เพื่อให้รู้ความจริง ไม่ได้โอ้อวดอะไร เป็นการพิศูจน์พลังจิตตานุภาพโดยตรง)  จนมีเสียงวิเศษเรียกว่าพอ  อย่าไปทางนู้น มาทางนี้  ให้มาทางนี้ มาทางพระ  อย่าไปทางมารเลย แกจะเป็นพระหรือจะเป็นมาร ก็เลยหยุดการพัฒนาวิชามารสายนี้ลง 

เทพธิดามาสถิตในดวงใจ

ต่อมาก็มีสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้นมาแทน  มีการอุบัติของเทพธิดาผู้สวยงามขึ้นในดวงจิตดวงใจ อยู่ในดวงใจ  และสามารถกระโดดออกมานั่งคุยกันนอกจิตใจได้ เธอบอกว่าเธอมีชีวิตอยู่ได้เพราะความเมตตา และเพราะการสร้างดวงใจให้อยู่อย่างสะอาด สิ่งที่สนทนาเป็นเรื่องธรรมะทั้งสิ้น  พูดถึงเรื่องการระลึกชาติ  ที่พูดคุยด้วยแต่คุยเรื่องธรรมะ  ไม่คุยเรื่องอื่น เลย  เท่ากับมีวิญญาณมาควบคุมให้ทำแต่ความดีนั้นเอง

ตลอดเวลาเป็นนักศึกษา มีเรื่องความรัก มากมาย แต่พยายามข้ามไป เสมือนมีความรู้สึกคอยขัดไว้ว่าวันหนึ่งจะต้องจากไกลสตรีคนรักไป   ชีวิตหนุ่ม จบมหาวิทยาลัยแล้ว อุทิศงานราชการให้คนอื่น ตนได้ทำงานทั่วไป จนได้เป็นนายทหาร ที่กองบัญชาการทหารสูงสุด เป็นร้อยเอกก็ออกบวช

สำเร็จโสดาบันปี  2512 ขอแม่บวชแต่อายุ 27 ปี            

 ปี 2512 อายุ 27 ปี  ได้สำเร็จวิปัสนาญาณระดับต้น ๆ  คือโสดาปัน ขณะนั่งพิจารณาธรรมอยู่ ได้พบเหตุการณ์เกิด แก่เจ็บ ตาย เห็นคนเดินไปตามถนนใหญ่(ตอนนั้นอยู่หอพักจรัสวัฒน์ ถนนศรีอยุธยา)  ค่อยแก่ลง เดินหลังโค้งลง  และเหลือแต่โครงกระดูก เดินช้าลงไปทุกคนๆ ทั้งแถวทั้งหมู่ที่เห็นเดินกันไปบนถนนศรีอยุธยานั้น  แล้วล้มนาบลงกับดิน  เปื่อย  เป็นฝุ่นผง  หายไปกับดิน ตกใจมากที่ได้เห็น  แล้วพอมองไปทิศตะวันออก  ก็พบว่าดวงตะวันกำลังล้าเหลืองซีดลงไป ๆ เหมือนจะดับลงเหมือนกัน เห็นทุกสิ่งทุกอย่างเงียบงันไปหมดเหมือนจะสลายมลายไปทั้งโลก ถอนตนมาจากความรู้สึกนั้นแล้วพบว่าแต่นั่นเป็นเพียงความรู้สึก  แต่ก็ได้ทราบว่าวันหนึ่งโลกก็จะเป็นอย่างที่เห็นนั้นแหละ ...จากนั้น เข้าห้องไปนั่งคิดดูเหตุการณ์ที่ได้พบได้รู้สึกกับความไม่เที่ยงของชีวิต  ทันใดก็ได้ยินเสียงพระพุทธเจ้าตรัสให้ฟังว่า  ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต

เราได้เห็นธรรมเบื้องต้นแล้วคือ  ไตรลักษณ์ นั้นเอง อยากจะศึกษาต่อไปอย่างจริงจังอย่างละเอียด  ก็ขอแม่บวชแต่นั้น แม่รีบมาหา เห็นแม่สทกสะท้อนใจอย่างใหญ่หลวงเมื่อถามว่าบวชนานไหม คำตอบว่า ตลอดชีวิต สงสารแม่จับใจ  เลยบอกเลิกการบวชไว้ก่อน เอาน้องชายมาอยู่ด้วย เลี้ยงน้องชายจนจบปริญญาได้งานทำเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ได้แต่งงานกับอาจารย์ในมหาวิทยาลัย   ตลอด 12 ปีต่อมา  เลือกบ้านอยู่กลางสวนสงบ  ปฏิบัติธรรม เก็บตัวตลอด  บ้านไม่มีหนังสือสักเล่มเดียว  เผาหนังสือ ตำราที่เคยเรียน  แม้กระทั่งหนังสือปริญญาที่เคยเรียนมาเผาทิ้งหมด นั่งเผาไปจนตลอดคืน  จนหมดหนังสือทุกเล่มจนบ้านทั้งหลังไม่มีหนังสือไม่มีแผ่นกระดาษเลย เป็นการอยู่กับบ้านว่างที่ไม่มีหนังสือเลย  จะอ่านหนังสือเฉพาะอยู่นอกบ้าน  อยู่ที่ทำงานเท่านั้น

สำเร็จปราณ กสิณ  สมาธิ ขณะเป็นฆราวาส

ตั้งแต่นั้นไป 12 ปีจึงได้ออกบวช ระหว่างนี้แหละ  พบอภินิหาริ์ย์ เทพธิดาประจำใจ แล้วที่สุด  ได้สำเร็จวิชาปราณ กสิณ สมาธิ  ชั้นสูงสุด  (ปราณนี้สำเร็จแบบเป็นเอง และพบว่าเป็นวิชาที่เถรวาทและในไทยไม่มีสอนและตนเองต้องการพิศูจน์ให้เห็นจริง พอออกบวชจึงมีเวลาพิศูจน์ และ จึงได้พิศูจน์ด้วยการอดข้าว-อดน้ำอยู่7วันภายหลังมาอยู่บ้านแล้ว ได้พบว่าเหตุผลอย่างไร  จึงอดน้ำได้เกิน 3 วัน  ไปถึง 7 วันได้ ไม่ตายตามทฤษฎีแพทย์ศาสตร์  ก็วิชาปราณนี้เอง และพิศูจน์ไปถึงเรื่องฤษีนั่งสมาธิไปจนปลวกมาสร้างรังปลวกรอบตนไปนับเดือนนับปี แต่ไม่ตาย ก็เพราะเหตุผลทางวิชาปราณนี้เอง) จึงขอแม่บวช และออกบวช โดยตั้งใจว่าจะออกเดินทางเข้าป่าไปเลย จึงเลือกบวชที่วัดบ้านถ้ำ กาญจนบุรี ที่อยู่ติดชายแดน เพื่อจะเข้าป่าต่อไปทันทีนั่นเองแผนการบวช  

 ภาพในอดีต ...หมั้นอาจารย์คนสวยด้วยดอกไม้

แผนเดินป่าเข้าพม่า อินเดีย ธิเบตตลอดชีวิต            

ในขณะนั้น ตนเองเกลียดและเบื่อชีวิตแบบมนุษย์จนรู้สึกว่ามนุษย์ไม่ใช่สิ่งที่อยากจะพบแล้วและไม่จดจำชื่อมนุษย์คนใดไว้ให้เปลืองสมอง(ส่วนมนุษย์ผู้หญิงนั้นที่พบแล้วเหมือนพบขยะของสกปรกฯลฯ รังเกียจผู้หญิงโดยเฉพาะคนสวย ๆ  ใจรังเกียจแบบเป็นธรรมชาติไปเลย  แต่เวลาพบเราทำปกติเพื่อรักษามารยาทมนุษย์เท่านั้นเอง เป็นผลจากวิปัสนาญาณชั้นบัวบานเหนือน้ำ และ อศุภกสิณ...นี่แหละที่จะสอนคนทั้งหลายให้ละกามกิเลสกามตัณหาได้เลยแบบวิทยาศาสตร์มีเหตุมีผล ได้เลยแบบที่ทำมาได้ผลจริง ๆ นี้แล้ว...และแน่ละ  ทางเบื้องต้นเข้าสู่มรรคผลนิพพานเลยทีเดียว) ตามแผนการบวช จะหนีจากมนุษย์เข้าป่าตลอดไปจนกว่าจะสำเร็จ  จึงคิดเดินทางไปพม่า อินเดีย และธิเบต กะว่าให้จบลงทั้งชีวิตระหว่างการเดินธุดงค์นี้ ตัวเองคิดเพียงให้ได้รู้จริง ๆ ว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้คืออะไร  อะไรคือพระอรหันต์  อะไรคือพระพุทธเจ้า ให้ได้รู้ให้ได้  พ้นไปจากความสงสัยเรื่องพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ให้ได้ทุกประการ  เท่านี้ก็พอใจแล้วในชีวิตนี้...ซึ่งนั้นแหละเป็นความคิดในเชิงนักวิจัยเต็มๆ เลย และการเป็นนักวิจัยจึงนำไปสู่ความสำเร็จแท้จริง ) 

ไม่คิดเป็นศิษย์สำนักใดสายธรรมสายใด

ในขณะนั้น ไม่คิดจะเป็นลูกศิษย์ท่านใดเลย   ผู้ใด เพราะ ตอนหลังมาได้ตรวจดูการคณะสงฆ์มาตลอด  ทั้งการศาสนาสากลคริสต์  อิสลาม  ฮินดู ด้วย ตรวจดูแล้วไม่เห็นมีใครเก่งจริง ๆ เลย เก่งก็จริง มีอยู่ แต่ไม่ทันสมัยเลย  จะสอนอะไรให้เราได้ คิดว่าตนไปชั้นสูงสุดแล้ว  กะออกป่าพิศูจน์วิชาปราณและกสิณ ฌาน  ให้หายสงสัย มีสมมติฐานพร้อมทุกอย่าง คล้ายมีมรรคแล้ว รอพิศูจน์เอาผล  แต่ครั้นบวชแล้วไม่ได้ไปตามแผนเลย (บวชที่วัดบ้านถ้ำ อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี เพราะใกล้ชายแดนพม่า จะเข้าพม่าก่อน (วันเดินทางไปบวชเป็นช่วงแผ่นดินไหวที่กาญจนบุรีพอดี เห็นมรว.เสนีย์ ปราโมช ท่านนั่งถือกาแฟมือสั่นอยู่ในร้าน ตามภาพข่าว) 

คืนที่ทำพิธีบวช พระอาจารย์เจ้าอาวาส ท่านมหาปราโมทย์ ปโมทิโต ให้ไปร่วมพิธีสู่ขวัญนาคกับเขา  มีโยมจะบวชพอดี 4 คน  และคืนนั้นจะทำพิธีสวดพระพุทธมนต์ฉลองการบวช โยมเขาเข้ามารับไปร่วมพิธีด้วย  พอขึ้นบ้านเขาไปนั่งรออยู่ ต่อหน้าพระภิกษุ 9 รูป ทำพิธี   บ้านเขาห้องที่นาคทั้ง 4 คนแต่งตัวกันอยู่เกิดพังลง พังโครมลง คนในห้องนั้นรวมทั้งนาคทั้ง 4 ตกลงไปยังพื้นดิน คนตกใจแตกตื่นกันหมด ปรากฎว่า พวกนาค 4 ตนตกลงไปกลิ้งกลางดินกันหมด อลเวงกันอยู่ตั้งนานจึงเข้าสภาวะปกติ ได้ทำพิธีสวดมนต์ต่อไป บวชวันที่ 26 พ.ค. 2526...ผมอายุ 40 ปีพอดี  กลางคืน 2-3 คืนมีแมงสีดำมาเต็มวัด บินมาเหมือนตาข่าย คลุมวัด เสียงลงอย่างกะฝนตกซ่าไปหมด แล้วกองสะสมกันเต็มพื้นห้องนอนไปหมด  พระนอนไม่ได้  อพยพกันใหญ่ คนลือกันว่าเขามาขอส่วนบุญ ...มาดูกันใหญ่เพราะมันมามากมายเต็มพื้นห้องไปหมด

กำลังฝึกกสิณเปิดถ้ำ ทดสอบวิขาเปิดถ้ำสำเร็จ  คือถ้ำมืด ๆ  นั้น ใช้สมาธิเพ่งเปิดถ้ำ  ถ้ำก็สว่างขึ้นมองเห็นหมด     แล้วหลายวันต่อมาได้พบนางยักษ์ขิณีตัวใหญ่ ตามประวัติวัดแห่งนี้ที่ได้ศึกษาก่อนเลือกมาบวชแล้วคิดจะพิศูจน์ให้ได้พบยักขีณีตนนี้   ก็ได้พบแล้ว   ยื่นมือใหญ่มาด้านหลังจะผลักลงเหว.แต่สัมผัสกระแสลมกระพัดมาทางหลังหันกลับไปดู พบมือใหญ่มหิมานั้น ยื่นมาจะผลักหลังลงไป พอหันไปมันก็กลัวสายตาเราถกมือหนี แล้วไม่รอช้าเหาะหนีไปเกาะอยู่เสาหินใหญ่ฝั่งถ้ำฝั่งโน้น  เคี้ยวปากแดงไปหมด  แต่ไม่นานก็หายตัวไป   เป็นเหตุให้ไปฝึกกสิณไฟต่อสามวันต่อมา  ที่ฝั่งแม่น้ำหน้าวัด ..เป็นการฝึกเตโชกสิณต่อจากตอนเป็นเด็กทารก และตอนอยู่มหาวิทยาลัย เอาดวงอาทิตย์เป็นเป้าหมาย โดยเพ่งมองเงาดวงอาทิตย์ในลำน้ำนั้นตอนเช้า9โมงพอดี  วันที่ 3 ปรากฏว่าเงาดวงตะวันในลำน้ำนั้นเปล่งแสงพวยพุ่งขึ้นแล้วลามไปในลำน้ำทั้งสาย ดุจเป็นเชื้อเพลิงน้ำมันให้เพลิงไหม้ทั้งลำน้ำ จนแม่น้ำหน้าวัดเป็นไฟลุกท่วมแม่น้ำไปทั้งสายถือว่า สำเร็จเตโชกสิณ) และนี่แหละอาวุธปราบมารยักษ์ในป่าหลังเข้าป่าไปแล้วอันสำเร็จตามแผนแล้วพร้อมในการเข้าป่าไปอีก

โทรเลขมาบอก แม่ป่วยหนักกลับบ้านด่วน

17 วันหลังบวช  เพราะต้องกลับบ้านเกิดบ้านแม่ที่ศรีสะเกษ เขาโทรเลขมาตาม บอกว่าแม่ป่วยหนักกลับบ้านด่วน เลยไม่ได้ไปเดินป่าตามแผน  เพราะแม่ป่วยกลับไปดูแลแม่เป็นการทดแทนพระคุณท่าน  ดูแลแม่อยู่ 2 ปี จนแม่เสียชีวิต 

อาทิตย์ทรงกลดส่งกลับศรีสะเกษ

วันเดินทางกลับออกจากวัดบ้านถ้ำราว สิบโมงเช้า ดวงอาทิตย์ทอแสงทรงกลดขนาดใหญ่มโหฬารยิ่งเหนือศีรษะ ไปวัดเจ้าคณะอำเภอ ให้ท่านลงนามหนังสือสุทธิ แล้วเดินทางโดยรถบัสใหญ่จากกาญจนบุรี    ดวงอาทิตย์ยังทอทรงกลด ตลอดการเดินทางไปจนเข้าถึงสถานีหัวลำโพง คิดว่าดวงอาทิตย์ทรงกลดส่งกลับบ้าน ...

พิศูจน์วิชาปราณ อดข้าวอดน้ำ 7วันบนเพดาลอุโบสถใหม่

ก็คิดจะเข้าป่าอีกครั้งหนึ่งหลังแม่ตาย และเพิ่งพิศูจน์วิชาปราณอดข้าวอดน้ำ 7วัน 7 คืนสำเร็จลงพอดี ลงมาจากเพดานอุโบสถ พบคำสั่งพระผู้ใหญ่ซึ่งเป็นญาติ ที่ได้รับการขอร้องจากแม่  ให้ดูแลพระลูกชายด้วย คือ พระเทพวรมุนี  เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ ได้ให้ไปอยู่ด้วยที่วัดมหาพุทธาราม เพราะ บังเอิญเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ(พระครูศรีวรปรีชา) ท่านมรณภาพลงกะทันหันพอดีเลยทั้ง ๆ ที่ยังหน่มอยู่  ท่านกับเพื่อนหลายคนไปปิคนิกฝั่งสระน้ำกินอาหารบ้าน ๆ และปลาช่อนตัวใหญ่ กินบักส้มมอ บักแงว บักไฟเยอะไป กลับมาถึงวัดตอน 1 ทุ่มแล้วปวดท้อง เจ็บท้องตาย   ท่านให้ไปเป็นเลขาฯแทนที่สำนักเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษในปี 2531 ท่านกำชับให้ลาออกจากวัดโนนน้อย ตั้งแต่นั้นมาไม่ได้ไปไหนอีกเลย...(ไปป่าช้า 2 แห่ง ป่าช้าไทย  ป่าช้าจีนสุสานสุขาวดี  ฟังเสียงปีศาจแห่ศพกล่อมทั้งคืน) 

ตามท่านไปทั่วอิสาน ทั่วตะวันออก  และทั้งกทม.ถึงสุพรรณบุรี  เพราะท่านเป็นพระนักเทศน์ที่โด่งดังแบบกล้าดุกล้าด่า มีการเทศน์แบบโต้วาทะธรรมกัน ถึงขนาดคู่เทศน์ท่านกระโดดลงจากธรรมาสน์ หนีไปเลย ก็มีอยู่ครั้งหนึ่ง

คล้ายมาบำเพ็ญบารมีทดแทนพระคุณพ่อ-แม่

ตอนไปอยู่กับท่านเวลานั้นท่านมีสุขภาพที่แย่มากแล้ว  ต้องคอยดูแลท่านอย่างใกล้ชิด  ความจริงผมได้ทำบุญใหญ่ก็คราวนี้แหละ  บุญดูแลคนแก่คือท่านพ่อ พระเทพวรมุนีของผมนี่เองอยู่ตลอดเวลาจนท่านมรณภาพลง 4 ปีต่อมา ... ทำให้ได้ข้อมูลสงฆ์ไปเยอะแยะและรู้เรื่องวงการพระสงฆ์ไปหมด   เอาการศึกษาในโลกด้วย(คือเป็นข้าราชการสงฆ์ที่ต้องประสานงานกับคนทั้งหลาย ปฏิบัติธรรมด้วย  ที่ทำให้การปฏิบัติธรรมยากลำบากกว่าการไปอยู่ป่าหลายร้อยเท่าเจอมารต่อสู้กับมารหลายชนิดกว่า ต้องแบ่งเวลา ได้ศึกษาจากป่าช้า เอาสุสานสุขาวดีศรีสะเกษเป็นวัด  เอาสวนศรีนครินทราบรมราชินีเป็นวัด  และ  เอาทะเลสาปศรีสะเกษขณะที่ยังเป็นบึงอยู่เป็นวัดที่ฝึกทำกสิณอากาศ 3 แห่งนี้  เดินไปเดินมา ไม่ขี่รถ  แล้วเลยกลายเป็นนิสัยชอบเอาป่าช้าเป็นวัด  แม้ไปถึงภูเก็ตก็เข้าป่าช้าจีนภูเกตที่ดูมโหฬารโอ่อ่า นอนแทนวัด  ไปอุบล เอาป่าช้าฮ่วยเชยแทนวัด

อบรมหลักสูตรพระวิปัสสนาจารย์ ภาค 10 20วัน

ที่พิเศษก็มีวันที่ 2-21 พฤษภาคม 2549 ได้เข้ารับการฝึกอบรมพระวิปัสสนาจารย์คณะสงฆ์ภาค 10 รุ่นที่ 1 สำเร็จลงและคิดว่าท่านอาจารย์หัวหน้าฝึกท่านเป็นพระอาจารย์ที่มีส่วนให้รู้ธรรมะชั้นสูงสุดอยู่  ....แล้วช่วงนี้เองที่ได้เขียนหนังสือ  รายงานการฝึกอบรมพระวิปัสสนาจารย์คณะสงฆ์ภาค 10 ประจำปี 2549 ศึกษาโลกลี้ลับ โดย พระอาจารย์พยับ ปญฺญาธโร .....ซึ่งเป็นหนังสือที่มีอิทธิพลต่อคนหลายคนมากเลยทีเดียว(มีคนอ่านถึง 7 เที่ยว  มีคนอ่านจำได้หมดทุกถ้อยคำ  ฯลฯ) ...ระหว่างนี้ผมเป็นเกจิอาจารย์ด้วย  และมีความรู้พิเศษทางโหราศาสตร์ชั้นสูง ที่เอาความรู้สูงสุดจากท่านอรหันต์ท่านอุตมรามมหาเถรยุคพระพุทธเจ้าคือจักรทีปนี  ที่วิชานี้เก่งไปตามวิปัสสนาญาณที่เราสำเร็จ คือมีวิปัสนาชั้นสูงก็ทำให้ปัญญาการพยากรณ์ละเอียดแม่นยำในโหราศาสตร์ตามไป  นี่แหละความดีของวิปัสนาญาณ ..

มีเสียงทิพย์ หรือดนตรีเทพเจ้าประจำตัว

มาถึงระยะนี้  อายุผมเข้า 70 ปีเข้าแล้ว แก่แล้ว  สิ่งที่ผมพอใจคือ  เสียงทิพย์ประจำตัวผม  คือ ดนตรีเทพเจ้า ที่ผมจะฟังเมื่อไรก็ได้ เป็นเสียงบรรเลงแบบดนตรีเทพเจ้า ที่ดนตรีทางโลกไม่อาจจะเทียบได้เลย ผมเป็นเกจิอาจารย์ นั่งทางในดูเจ้าพ่อ เจ้าแม่ ดูพระภูมิเจ้าที่ ในที่ในทาง ในบ้านในแผ่นดิน   เป็นอาจารย์ตั้งศาลพระภูมิ  แก้ไขไสยศาสตร์  แต่ผมเองก็รู้ตัวดีว่ายังไม่สำเร็จธรรมที่ปรารถนาเลย แม้จะรู้อะไรไปหมดแล้วก็ตาม   จึงยังไม่โอ้อวดอะไรออกไป  ยังเก็บเอาไว้เกรงว่าหากพูดอะไรออกไปจะผิดพลาดโดยความโง่ของเรา  การทำบาปแม้เพียงเล็กน้อยจะทำให้ไม่สำเร็จในสิ่งที่ใฝ่หา คือ  อริยมรรค ผล สูงสุด   จึงเก็บไว้อยู่ ยังไม่ได้พูดเรื่องสูงสุด.....

จนปี พ.ศ.2558 คืนวันที่ 10-11 เมษายน 2558 ระหว่างงานสวดมนต์ทำสมาธิปฏิบัติธรรมข้ามคืนที่วัดของผมเอง โดยท่านเจ้าคุณพระราชธรรมสารสุธี เจ้าอาวาสและรองเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ ได้จัดงานนี้ขึ้นฉลองประจำปี  ซึ่งปีนี้ ผมไม่คิดว่าจะเข้าร่วมสมาธิอีก เพราะคิดว่าล้าเกินไปแล้วเพราะอายุเราเข้า 73 แล้ว  ยอมละๆ ๆ ๆ  คิดอยู่อย่างนี้   แต่แล้ว พอถึง เกือบ ๆ 2 ทุ่มที่เริ่มพิธีปฏิบัติสวดมนต์ นั่งสมาธิกัน  มันมีพื้นฐานจิตที่มันยอมแพ้ไม่ได้(ผมมีพื้นฐานจิตนี้มาตั้งแต่เด็กคราวถือปืนแก๊ปแล่นไล่ตามนกกระยางขาวไปถึงสองฟากทุ่งนาตะวันออกตะวันตก มันมาช่วยปลุกดวงใจให้แพ้ไม่ได้ของผมขึ้นมาก่อนที่มันจะบินสูงจากผมไป)  ก็เลยคิดฮึดสู้ขึ้นมา ว่าเอาละขอให้นั่งสมาธิได้ข้ามคืนให้ได้  ขอให้ข้ามคืนให้ได้เหมือนเดิมก็พอ  ก็เริ่มเลย ได้เข้าสมาธิ เตรียมวิชาทุกอย่างมาช่วย เริ่มด้วยปราณ กสิณ ฌาน  และเตรียมเสียงทิพย์มาย้อมชูกำลังใจ (สิ่งที่ผมพูดนี้ พระเจ้าขุนมูลนายจะไม่รู้เรื่องเลย  เป็นถึงชั้นเทพ ชั้นธรรม  จจ.  จภ.  จห. .....ก็แทบไม่รู้เรื่อง จึงมักมองผิดจากผมไปเสมอถึงว่าอวดอุตริมนุสธรรมก็มีแล้วนั่นแหละอันตรายต่อพระพุทธศาสนาแท้ ๆ)

สู่โลกนิพพาน พบพระพุทธเจ้าอรหันต์ทั้งหลาย

แต่ที่เล่านี้เพื่อประโยชน์แด่นักปฏิบินักสู้เท่านั้นปรากฏว่า เข้าอัปนาสมาธิแล้ว  เหมือนทุกคราว  แต่กลับเกิดเรื่องแปลกประหลาด สมาธินั้นหายไป วิปัสสนาญาณคือความคิดหายไป ไม่มีการคิดพิจารณาธรรมะอะไร  กสิณ ฌาน อะไร ๆ หายไปหมด  รูปธรรมที่ปรากฏคือ นั่งในท่าเดียวไปได้ทั้งคืนแบบไม่กระดุกระดิกเลย(ดูภาพได้) ได้พบคำถามว่า นี่คืออะไรก็คำตอบเบื้องต้นคือ เป็นการทะลุผ่านแดนโลกเข้าสู่โลกนิพพานอยู่กับพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลายตลอดคืน....ยัง  ยังไม่ใช่คำตอบ...

มันคืออะไร? ถามตนเองต่อมาตลอดว่าคืออะไร ?  ถึงเกือบ 2-3  ปี  จึงได้พบคำตอบ  และพอใจในชีวิตได้พบสิ่งที่ต้องการ สำเร็จการศึกษาวิชาพระพุทธเจ้าทั้งหมดลง  ก็ถือว่าไม่เสียดายชีวิตแล้ว  มันพิศูจน์กับเราเองว่า มันเป็นความรู้  อวิชาหายไป  มีแต่วิชา รู้อะไรไปหมด ทั้งทางโลกและทางธรรม .มันปรากฏถึงปัญญาที่แตกฉานไปทุกวิชาการทั้งทางโลกและทางธรรม ....แบบนี่แหละคำว่า  ผู้รู้ ละ ...จึงถึงเวลาที่จะอยู่เปล่าดายไปไม่ดีเลย  จะต้องมีการเผยแผ่สัจธรรมออกไปทั่วโลกตามพุทธประสงค์แล้ว  ตามที่เคยมีความฝันก่อนบวชมาแล้ว   ทำหน้าที่งานของพระพุทธเจ้า พุทธไทยเถรวาท บวชมาถึงวันนี้(12 ต.ค.2564) 78 ปี  5 เดือน

@พระพยับ ปัญญาธโร(พระครูพุทธิพงศานุวัตร ผจล.วัดมหาพุทธาราม ศรีสะเกษ 12 ต.ค.2564

-----

*****

*****

-----

ตอนที่ 3  ประวัติในบทประพันธ์เรื่องสั้นถวายเพื่อนเลขานุการเจ้าคณะจังหวัด 

ประวัติเล่าถวายเพื่อนเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดยุคอีสานเขียว
ในบทประพันธ์นวนิยายเรื่องสั้น อาลัยบาปถึงธารมโนเพชร

เล่าถวายสหธรรมมิก

     นวนิยายรวมเรื่องสั้นชุด อาลัยบาปถึงธารมโนเพชรเล่มนี้ เป็นฉบับโรเนียว พิมพ์ครั้งที่ 2 สำหรับเป็นบรรณาการแด่สหธรรมิกโดยเฉพาะ ได้แก่ สหธรรมิกที่อยู่ในตำแหน่งงานคณะสงฆ์ เป็น เลขานุการเจ้าคณะจังหวัด เช่นเดียวกับผู้เขียน

    เรื่องสั้นชุดนี้ เป็นเรื่องสั้นชุดแรกในการประพันธ์ของผู้เขียน และที่สำเร็จผลออกมาจากป่าช้า ในขณะที่ไปอยู่ธุดงค์ในปี พ.ศ. 2533 ทั้งหมดมี 9 เรื่อง แต่ละเรื่องใช้เวลาอ่านประมาณ 30-50 นาที อาจจัดเป็นชุดๆ เพื่อทำความเข้าใจได้ 3 ชุด คือ ชุดแรกมี 6 เรื่อง ได้แก่ อาลัยบาป, คนไม่เคย, ภาระสี่เหล่าจักรพรรดิธรรม, คนเมืองหิว, นักเลงปีนแก๊ป กับ อนุสรณ์ป่าช้าอนุสาวรีย์ลูกรัก เป็นชุดที่เขียนขึ้นในป่าช้าบ้านโพนเขวา ตำบลโพนเขวา อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ คราวที่ไปธุดงค์ อยู่สันโดษแต่เพียงรูปเดียว ระหว่าง วันที่ 7-22 มกราคม พ.ศ. 2533 ป่าช้าแห่งนี้ เป็นป่าช้าเก่าแก่ดึกดำบรรพ์มาก มีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 50 ไร่ ซึ่งนับว่ายังแคบ เมื่อเทียบกับหมู่บ้านและประชากรที่อยู่รายล้อม ใช้ป่าช้าแห่งนี้ร่วมกับนับได้ 5 หมู่บ้าน

    ส่วนชุดที่ 2 มีเรื่องสั้น ตำนานรักหนุ่มบ้านกาจสาวบ้านมโนรมย์ กับ สงครามครั้งสุดท้าย 2 เรื่องนี้ ประพันธ์ขึ้นในป่าช้าจีน คราวที่ผู้เขียนไปสืบต่องานธุดงค์วัตรจากคราวแรก ระหว่างวันที่ 13 พฤษภาคม ถึง 2 มิถุนายน พ.ศ. 2533 ป่าช้าแห่งนี้เป็นป่าช้าจีนในจังหวัดศรีสะเกษ เป็นป้าช้าที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลมาก กล่าวคือมีอาณาเขตถึง 500 ไร่ อยู่บริเวณลุ่มฝั่งห้วยสำราญ ซึ่งไหลตลอดไปถึงแม่น้ำมูล บริเวณที่แวดล้อมป่าช้านี้มีอาณาเขตถึงประมาณหมื่นไร่ ยังมีสภาพเป็นป่า เป็นสถานที่สงบสงัดและอากาศบริสุทธิ์มาก ป่าช้าแห่งนี้ ก็คือสุสานสุขาวดี ในอำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ นั่นเอง

 ในการอยู่ธุดงค์ครั้งที่ 2 ในสุสานสุขาวดีนี้ ผู้เขียนอยู่นานถึง 20 คืน โดยมีระเบียบการพิเศษเฉพาะตนอยู่ 4-5 ข้อ ที่สำคัญคือ อยู่รูปเดียว ไม่รับบิณฑบาต ไม่ต้องประสงค์ผู้หนึ่งผู้ใดเข้าไปพบปะเยี่ยมเยียน ทั้งนี้เพราะประสงค์สันโดษอย่างต่อเนื่องไปถึง 21 วัน 20 คืน รวดเดียวเลย เรื่องสั้นที่เขียนขี้นคราวนี้ มีลักษณะที่พัฒนาฝีมือไปอีกขั้นหนึ่ง ทั้งในส่วนเนื้อเรื่องที่ว่าด้วยโลกและที่ว่าด้วยธรรม ที่ว่าพัฒนาฝีมือก็หมายถึงว่าเขียนโดยพล็อตเรื่องที่กะทัดรัดขึ้น

    การอยู่ป่าช้าเป็นวันนั้น เป็นธุดงค์ข้อที่ 12 ในธุดงค์ 13 ข้อ ที่มีจุดมุ่งหมายในการชำละล้าง ขัดเกลากิเลสโดยตรง ผู้ประพันธ์นอกจากมีความประสงค์อย่างนี้แล้ว ยังมีความมุ่งหมายพิเศษอีกอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ คือต้องการฝึกฝนทางด้านวิชาภายในบางอย่าง ซึ่งคงจะมีโอกาสเล่าให้เพื่อนสหธรรมิกได้สดับในภายหลัง

 หากเพื่อนสหธรรมิก จะได้ให้ความสังเกต จากการอ่านนวนิยาย 2-3 เรื่องก่อน คือ เรื่อง อาลัยบาป คนไม่เคย กับตำนานรักฯแล้ว จะเห็นว่า ผมได้เขียนเรื่องนี้ ในเดือน มกราคม 2533 แล้วหลังจากนั้นไม่นาน ในกลางปี พ.ศ.  2533 นั่นเอง ก็มีเรื่องคาวฉาวโฉ่เป็นข่าวทางหนังสือพิมพ์ ปรากฏขึ้นหลายกรณี โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ยืดเยื้อมาจนถึงบัดนี้ คือ ขณะที่ผมเขียนเรื่องนี้อยู่เมื่อ 6 กุมภาพันธ์ 2534 ซึ่งก็คือ เรื่องราวของคุณนิกร กับสีกาอรปวีณา ที่เพื่อนสหธรรมิกทุกท่านคงจะได้ติดตามข่าวมาโดยตลอดแล้ว

                          สถานการณ์เช่นนี้แหละ ที่ผมผู้เขียนบทประพันธ์ ประสงค์จะสะท้อนออกมาให้เห็น ให้ได้ข้อสังเกต จากนวนิยายว่า ลักษณะงานบางอย่างที่พระสงฆ์แสดงบทบาทอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งบางอย่างที่ว่านั้น เพื่อนสหธรรมิกก็คงจะรู้ เข้าใจดีอยู่ว่า น่าจะเป็นอันตราย หรือมัวหมองต่อพรหมจรรย์ อย่างเช่นกับเหตุการณ์ทางข่าวปรากฏสมอ้างสมเรื่องในนวนิยายของผมเลยทีเดียวนั้น

                          ส่วนนวนิยายเรื่อง สงครามครั้งสุดท้าย ซึ่งของผมหมายถึง สงครามภายใน มหาอาณาจักรใจที่เพื่อนผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ต่างก็มีส่วนในการรบสนามใครสนามมันอยู่แล้ว อันเป็นสงครามที่ไร้ขอบเขต ที่ยิ่งใหญ่กว่าสงครามใดในโลก แม้สงครามอ่าวเปอร์เซียที่ยังคงถล่มทะลวงกันอยู่อย่างไม่มีท่าทีจะยุติลงได้โดยง่ายในขณะนี้

                          สงครามอ่าวเปอร์เซีย ซึ่งสหรัฐอเมริกา เป็นหัวโจกฝ่ายหนึ่ง กับ อิรักเป็นหัวโจกอีกฝ่ายหนึ่ง ที่ได้ระเบิดขึ้นในเช้าวันที่ 17 มกราคม 2534 เวลาประมาณ 07.00 – 09.00 น. ตามเวลาประเทศไทยเรา ด้วยการเปิดเกมส์รุกทางน่านฟ้าของสหรัฐอเมริกาและพันธมิตร แล้วตามด้วยการดวนกลางอากาศระหว่าง ขีปนาวุธชั้นยอด สกั๊ด ของอิรัก กับ เพเทรียต ของสหรัฐอเมริกา อันเป็นเรื่องราวการต่อสู้ระดับโลกที่น่าตื่นตะลึง ซึ่งก็เป็นเหตุการณ์ที่ดูจะสะท้อนตอบต่อนวนิยายเรื่อง สงคามครั้งสุดท้าย ของผม แต่ของผมนั้นยุติลงด้วยสำนึกอันสงส่งแห่งความเมตตากรุณา คือสำนึกแห่ง ผู้สร้างและผู้เลี้ยงแต่สงครามอ่าวฯ ตั้งอยู่บนสำนึกอะไร อย่างไร ? ต่างกันอยู่ตรงนี้ อันเป็นจุดที่แบ่งแยกระหว่าง ธรรม กับ อธรรม หรือ โลก กับ โลกุตตระ ซึ่งก็คือ อำนาจ กับ ธรรม นั่นเอง

 การแสวงหาอะไร ที่มุ่งหมายต่ออำนาจต่อความใหญ่ นั่นแหละ โลก
 แต่อะไรเป็นธรรม แม้ความยุติธรรม นั่นและเป็น โลกุตตระ

                         ผม ผู้เขียนได้ตั้งความมุ่งหมายไว้อย่างไรในการประพันธ์ ได้บอกไว้ใน คำนำขอผู้ประพันธ์ในการพิมพ์โรเนียว เย็บเล่ม รวมนวนิยายเรื่องสั้นชุด อาลัยบาปถึงธารมโนเพชร นี้เพื่อส่งเข้าประกวด ตามประกาศ เรื่องบำรุงส่งเสริมวรรณกรรมเช่นนี้มาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ซึ่งในครั้งนั้น ผมได้จัดพิมพ์ออกเพียง 20 เล่มเท่านั้นเอง  ต้นฉบับที่เหลือก็ได้แจกจ่ายหรือมอบเป็นของกำนันแด่ท่านผู้สนใจบางคนบางท่านเท่านั้น สำหรับวงการเลขานุการ   ในโอกาสที่ฉลองสมณศักดิ์ รจล. ชท. ของท่าน เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2533 เท่านั้น ซึ่งคราวนั้นเองที่ท่านพระครูปลัดวิโรจน์ จิตตฺวีโร เลขานุการเจ้าคณะจังหวัดยโสธร ได้ท้วงขึ้นว่า น่าจะได้ถวายเพื่อนๆ เลขานุการเจ้าคณะจังหวัดได้อ่านกันโดยทั่วถึงบ้าง และก็ตรงกับความคิดผมอยู่ ฉะนั้น พอปีใหม่มา ผมจึงได้วางแผนจัดพิมพ์ฉบับโรเนียวอีกครั้งหนึ่งโดยใช้ไขเดิมซึ่งยังอยู่ในสภาพดี เพราะเพิ่งผ่านงานมาเพียง 20 ก็อปปี้เท่านั้น คราวนี้ นอกจากความมุ่งหมายเพื่อแจกจ่ายเพื่อนสหธรรมิกด้วยกันเองแล้ว ผมยังเตรียมเป็นต้นฉบับส่งโรงพิมพ์ เพื่อเผยแผ่สู่ตลาดผู้อ่านทั่วไปอีกด้วย     

                         ฉะนั้น เพื่อสหธรรมิกทั้งหลายจะเห็นว่า หนังสือฉบับโรเนียวเล่มนี้ จะมีข้อความบอกจุดประสงค์ในการจัดพิมพ์ว่า เพื่อส่งเข้าประกวดวรรณกรรมไทยบัวหลวงอยู่ ทั้งนี้ก็เพราะได้ใช้กระดาษไขชุดเดียวกันนั่นเอง

                         ต่อไปนี้ ผมจะขอเล่าเรื่องส่วนตัว ที่เพื่อนเลขานุการเจ้าคณะจังหวัด รวมไปทั้งสหธรรมิกอื่นที่รู้จัก และมีความสงสัยใคร่รู้ความเป็นมา เป็นไปเกี่ยวกับตัวผม ซึ่งอยู่ในฐานะ เพระเลขานุการด้วยกัน

                         ก่อนอื่น การที่ผมมักใช้ชื่อ ฉายาว่า พระ ร.อ. พยับ ปญญาธโร นั้น ก็ด้วยเหตุ พระอุปัชณาจารย์ ท่านระบุไว้อย่างนั้น และเมื่อมาเป็นผู้รับสนองงานจังหวัดคณะสงฆ์ หลวงพ่อ พระเทพวรมุนี ท่านก็ได้สั่งให้คงยศเดิม ยศนายทหารชั้นผู้บังคับกองนี้ไว้ เวลาลงนามเรียกขานก็ต้องให้เต็มลงไปว่า พระร้อยเอกพยับ ปญญาธโรซึ่งเป็นธรรมเนียมฝ่ายพระซึ่งมารู้ภายหลัง ส่วนทางฝ่ายฆราวาสนั้นไม่มีข้อสงสัย เพราะยศนายทหารเป็นยศที่ พระราชทาน ถึงจักออกจากตำแหน่งราชการทหารไปสู่ตำแหน่งอื่นใด หรือ แม้ไม่มีตำแหน่งใดอีกเลย ยศพระราชทานี้ก็จะคงติดตัวไปตลอดสิ้นชีพ นอกจากนั้น เมื่อมรณภาพ ก็มีสิทธิ์ขอเพลิงพระราชทานได้อีก ไม่ต่างจากพระผู้ทรงสมณศักดิ์ชั้น พระครูสัญญาบัตรเลย

                         แต่ดูเหมือน ชื่อ ที่มีคำว่า ร.อ.หรือ พระ ร.อ.นี่แหละที่สังเกตจากสหธรรมิก แม้ตั้งแต่แรกที่ผมได้ไปร่วมในการประชุม พระเปรียญและบัณฑิตอาสาพัฒนาร่วมกับ เลขานุการเจ้าคณะจังหวัดทั่วประเทศ ณ          วัดคีรีวงษ์ จังหวัดนครสวรรค์ ระหว่างวันที่ 19-21 กันยายาน 2531 ซึ่งในการประชุมครั้งนั้น ผมพร้อมด้วย           พระเปรียญและพระบัณฑิตอาสาพัฒนา จังหวัดศรีสะเกษ รวม 3 รูป ได้เดินทางไปร่วมประชุม แต่ในคราวนั้น เป็นช่วงเวลาที่ใหม่ที่สุดของผมจริงๆ ในวงการพระนักบริหารระดับจังหวัด เพราะผมเพิ่งเดินทางมาจากบ้านนอก และยังไม่ได้รับแต่งตังเป็นเลขานุการเจ้าคณะจังหวัด แต่ไปในนาม เลขานุการเจ้าคณะจังหวัด

                         ในปี พ.ศ. 2532 ระหว่างวันที่ 3-7 กรกฎาคม 2532 การประชุมพระจริยานิเทศ ร่วมกับเพระเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดทั่วประเทศ ณ วัดโยธานิมิต อำเภอเมือง จังหวัดตราด ผมพร้อมพระจริยานิเทศจังหวัดของผม ได้ไปร่วมประชุมด้วย ผมไปคราวนี้อยู่ในฐานะเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดเต็มตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมมีความภาคภูมิใจในตำแหน่งนี้อยู่มิใช่น้อย ในปี พ.ศ. 2533 มีการประชุมระดับจังหวัดทั่วประเทศ 2 ครั้ง

                         ครั้งที่ 1  มีการประชุมพระจิยานิเทศ ร่วมกับเลขานุการเจ้าคณะจังหวัด ณ วัดป่าเลไลยก์ อำเมือง  จังหวัดสุพรรณบุรี ในระหว่างวันที่ 4-8 มิถุนายน พ.ศ. 2533

                         ครั้งที่ 2  มีการประชุมพระเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดทั่วประเทศ ณ ห อประชุมพุทธมณฑล บริเวณพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ในระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม ถึง วันที่ 3 สิงหาคม 2533 เป็นเหตุให้มีความคุ้นเคยกันยิ่งขึ้น

                         สำหรับเลขนุการเจ้าคณะจังหวัดภาคอีสานโดยเฉพาะนั้น ได้มีการพบปะ ประชุมกันบ่อยครั้งเป็นพิเศษ อันเนื่องมาจากโครงการพัฒนาตามพระราชดำริ หรืออีสานเขียว นั้นด้วยเหตุหนึ่ง ซึ่งนับเป็นกรณีพิเศษนอกเหนือไปจากเรื่องปกติธรรมดา ดังที่ทราบกันดีอยู่แล้ว เช่น ในขณะที่ผมเขียนคำนำเล่าประวัติตัวเองอยู่นี้ เลขานุการเจ้าคณะจังหวัดภาคคอสานก็เพิ่งเสร็จการประชุม ณ วัดบูรพาภิราม จังหวัดร้อยเอ็ดไปหยกๆ จากนัดประชุมวันที่ 25 มกราคม 2534

                         นี้เป็นประวัติส่วนที่ผมผู้ประพันธ์นวนิยายเรื่องสั้นชุดนี้ ได้เข้ามาสู่วงการ เลขานุการเจ้าคณะจังหวัด ซึ่งก็สรูปลงได้ว่า ผมก็เพิ่งเข้ามาสู่ตำแหน่งนี้ เพียง 2 ปีเศษๆ เท่านั้นเอง กระนั้นก็มีความรู้สึกว่า ได้รับความสนิทสนม ได้การต้อนรับเป็นกันเองจากเพื่อนสหธรรมิกเป็นอย่างดี เห็นได้จาก สหธรรมิกมักให้ความไว้วางใจ มอบหมายงานพิเศษของหมู่กลุ่มให้ เป็นต้น

พบงานราชการสงฆ์แท้จริงสงฆ์คือข้าราชการประเภทหนึ่งเท่านั้นเองไม่ใช่สงฆ์สาวก
และยากที่จะเอาชนะตัณหา อวิชชาเป็นอริยบุคคลได้ ตายเปล่าไปตลอดชีวิต
เพราะระบบเป็นโลกียะใฝ่ในโลกวิสัยอย่างแท้จริง

                         ในช่วงที่ผมได้เข้ามาสู่จังหวัด เพื่อปฏิบัติหน้าที่ของพระ เลขานุการเจ้าคณะจังหวัดนั้น ผมได้พบว่างานในภาระหน้าที่เลขานุการเจ้าคณะจังหวัดของผมนั้น ช่างมากมายมหาศาลเสียจริงๆ อาจกล่าวได้ว่า งานมีให้ทำตลอด 24 ชั่วโมงก็ว่าได้ ผมได้พบว่านอกจากงานสารบรรณ งานราชการสงฆ์ มีการศึกษา สาธารณูปการ เผยแผ่ และการปกครอง แล้วยังมีงานต้อนรับปฏิสันถารและบริการทุกชนิด ที่พิเศษในขณะนั้นก็คือ งานปรนนิบัติหลวงพ่อซึ่งขณะนั้นท่านมีสุขภาพทรุดโทรมลงไปเป็นอันมาก ผมต้องต้องคอยติดตาม ติดตัวไปกิจต่างๆ ไม่ว่าส่วนตัวหรือราชการสงฆ์ ไม่ได้เว้นตราบจนท่านค่อยดีขึ้นบ้างแล้ว

                         ผมได้ความรู้รวมๆ จาการวิเคราะห์วิจัยปัญหาที่ได้พบได้เผชิญในขณะนั้นว่า คณะสงฆ์กำลังเผชิญปัญหาด้านการปกครองและการบริหารอย่างมากมาย โดยเฉพาะระบอบการปกครองของคณะสงฆ์ซึ่งยังคงเป็นระบอบดั้งเดิมสุดกู่อยู่จริงๆ ในขณะที่สิ่งแวดล้อมเป็นเสรีประชาธิปไตยจนเลยเถิดไปหลายขั้นแล้ว แต่อย่าเพิ่งให้ผมพูดถึงเรื่องนี้เลย ขอพูดเฉพาะเรื่องงานในหน้าที่เลขานุการคณะสงฆ์สักหน่อยว่า แท้จริงเป็นงานแบบราชการบ้านเมือง ที่ผมผ่านมาอย่างชอกชอนแทบทุกด้านทุกทางมาแล้วนั่นเองเป็นงานเท่ากับหน้าที่ของข้าราชการคนหนึ่งแท้ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าประหลาดสำหรับผม แต่นี้แหละที่เป็นเหตุให้ พรหมจรรย์ถูกระราน

                         มีงานในหลายลักษณะในภาระหน้าที่ของสงฆ์สมัยใหม่ ที่จิตสำหนึกผมบอกว่า น่าจะเป็นอันตราย เช่นงานติดต่อประสานงานกับตัวบุคคล หรือร่วมงานกับฝ่ายบ้านเมือง หรือ ฝ่ายโลกฯ ที่ทำให้สูญเสยสภาวะ สันโดษ วิเวก การไม่คลุกคลี และ พรหมจรรย์ มักถูกรบกวนระรานจากผู้ที่เกี่ยวข้องบางประเภท โดยเฉพาะ สตรีซึ่งโดยภาระหน้าที่งานพระเลขานุการนั้น มักจะหลีกเลี่ยงได้โดยยาก

                         ด้วยเหตุนี้ ผมจึงมีมติภายในใจอยู่เงียบๆ ในการที่จะต้องรักษาตัวให้สะอาดบริสุทธิ์ และในทางที่จะต้องพัฒนาตัวเองในด้านวิชาการ อันเป็นธรรมะ ล้วนๆต่อไป ผมหมายถึงฝ่ายจิต จิตล้วนอันเป็นวิโมกข์ธรรม รวมไปทั้งด้านการพัฒนาสาขาวิชาต่างๆ อันพระพุทธธรรม หรือ นอกพระพุทธธรรมที่เกี่ยวข้องด้วย ก็เลยเป็นเหตุให้ผมระรึงถึง ป่าช้า ซึ่งหลวงพ่อของผมเห็นว่าเป็นความคิดที่น่าสนับสนุน และอนุญาตให้ผมดำเนินการได้ ฉะนั้น         ในปี พ.ศ. 2533 ผมจึงได้เข้าไปอยู่ป่าช้าถึง 2 ครั้ง ครั้งแรก อยู่ระหว่างวันที่ 7-22 มกราคาม 2533  ป่าช้าไทย 15 คืน ครั้งที่ 2 อยู่ระหว่างวันที่ 13 พฤษภาคม ถึง 2 มิถุนายน 2533 ป่าช้าจีน 20 คืน

                         และในระหว่างนั้นแหละ ที่ผมได้เขียนนวนิยายชุดนี้ขึ้นมา เป็นของแถมจากผลประโยชน์โดยตรง คือผลประโยชน์ใจ อันเป็นประมัตถประโยชน์ เพราะป่าช้านั้นเป็นสถานที่สำหรับปลงกัมมัฏฐานอย่างไร เป็นธุดงค์อย่างไร เพื่อนสหธรรมิกก็คงจะเข้าใจ และคงจักได้เคยไปอยู่ปฏิบัติทุกๆท่านอยู่บ้านแล้วไม่มากก็น้อย ซึ่งสำหรับผมนั้น ป่าช้า เป็นสถานที่ผมได้พบความสงบสงัด วิเวก อันเป็นความสุขสบายใจเป็นอันมาก ในเวลากลางคืน ดึกสงัด ผมชอบที่จะออกจากกลด ท่องเที่ยวไปในบริเวณโดยรอบ ในท่ามกลางความมืดสลัวราง ที่ไม่มืดสนิท เพราะ มีแสงดาว เป็นตัวผม เหมือนมีเสียงกระซิบที่ยินดีต้อนรับ ของดวงวิญญาณ ผู้ล่วงลับนับร้อยนับพันดวงก็ไม่ปาน ถ้าเพื่อนสหธรรมิก ยังไม่เคยไปปักกลดธุดงค์ในป่าช้าละก็ ผมขอเสนอแนะว่า ขออย่าได้ละโอกาสในขณะที่อยู่ในเพศบรรพชิตนี้เลยนะครับ แต่ขอให้ไปอยู่อย่างสันโดษจริงๆ ไม่ควรไปเป็นกลุ่ม ควรไปเพียงรูปเดียวโดดๆ และควรเลือกป่าช้าที่เงียบสงัด หรือผีดุจริงๆ คนจะได้ไม่พลุกพล่านเพราะช่วงเวลาแห่งการธุดงค์ป่าช้านั้น ควรเป็นวาระของการสะสางจิตใจให้ไร้กังวลโดยแท้จริง แล้วจักได้พบกับสิ่งที่เป็นอมฤตล้ำค่า ที่ไม่มีอะไรในโลกจะเปรียบปานได้  เพราะเรื่องการธุดงค์นั้นสหธรรมิกทั้งหลายก็คงจะเข้าใจดีในทางความหมายทฤษฎีและปฏิบัติ ตามพระธรรมวินัยที่แท้ ซึ่งผมเองนั้นได้เห็นคุณประโยชน์ ได้มีประสบการณ์ ส่วนที่เป็นความนึกคิดจริงๆของผมนั้น ผมคิดว่าผมเป็นพระผู้อยู่กับธุดงค์ ผมรู้คุณค่าของธุดงค์ และขอชักชวนมาสู่ธุดงค์ และขอให้ปฏิบัติอย่างเป็นวัตร เช่นเดียวกับการปฏิบัติกับมัฏฐานอย่างอื่น เพราะหามมิเช่นนั้นแล้ว เมื่อเกิดปัญหาเกิดขึ้น จะแก้ไขได้อย่างไร ?

 

 

ทำเตโชกสิณ อาโปกสิณ แต่เป็นเด็ก ๆ

                         เรื่องประวัติของผมก่อนบวชนั้น ถ้าจะให้เล่าโดยละเอียดแล้ว ก็สามารถจะแบ่งแยกเป็นระยะๆ ได้หลายระยะ แต่ละระยะ ล้วนเป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลง นับตั้งแต่ระยะแรกเริ่มของชีวิตวัยเด็ก ที่ผมเป็นทารกในครอบครัวครู เป็นบุตรคนที่ 2 เป็นบุตรชายหัวปี

                         เรื่องที่ประทับใจผมมาจนถึงบัดนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่วัยทารกก็ว่าได้ ขณะนั้นกำลังตั้งไข่ เริ่มเดินได้ต้วมเตี้ยมๆ ยังไม่ทันรู้จักสวมใส่เสื้อผ้า   ก็ได้สัมผัสกับอารมณ์แห่งความสิ้นสุดหรือารมณ์แห่งการจากพรากแล้ว เมื่อ ผมมักชอบมองดวงตะวันที่ค่อยคล้อยตกดิน ในขณะที่มันแดงโร่ดุจจะแตะที่พื้นโลกด้วยตะวันตก พอเดินแข็งขึ้น ได้ตามพ่อไปทุ่งนาเวลาเช้าตรู่ หน้าฤดูหนาววันหนึ่งผมก็ได้สัมผัสอารมณ์เย็นอันลุ่มลึก ยามเมื่อยืนมองดอกบัวที่บานไสวในสระน้ำอันเยือกเย็นใสสะอาดแห่งหนึ่ง ซึ่งความประทับใจ อันเป็นนามธรรมที่ล้ำลึกส่วนตัวเช่นนี้แหละได้เสริมความเชื่อในเรื่อง บุญนำกรรมแต่งของผม ครั้งเติบโตมาให้มั่นใจยิ่งขึ้น

                         ในเวลาต่อมาอีกเล็กน้อย ที่ผมเติบโตมาอีกสักหน่อย ได้มีอุบัติเหตุอย่างหนึ่งเกิดขึ้นกับผม เป็นเวลาเช้าแม่ผมเป็นครูจะไปโรงเรียน ผมร้องไห้ตามไป ขณะนั้นแม่ลงกะไดไปแล้ว ผมเดินเตาะแตะๆมาที่กะได แล้วก็วูบหวิวหมดความรู้สึกไม่รู้ตัวว่าได้เกิดอะไรขึ้น ครั้นโตแล้วจึงได้ฟังเขาเล่าว่า ผมตกลงจากเรือนชั้นบน แล้วพอดีน้าชายของผมฉวยได้หวดนึ่งข้าวเหนียวที่วางอยู่แถวๆนั้นรับไว้ได้ทัน ผมตกลงไปที่ก้นหวดพอดิบพอดี จึงไม่คอหักตายเสียแต่คราวนั้น จึงได้เติบโตต่อมา

มีนิสัยไม่พูดชีวิตมีแต่การตรองการตรึกอยู่ตลอดเวลาอะไร ๆก็เก็บไว้ในดวงใจหมด
อดทนข่มกลั้นไว้ไม่ปล่อยออกมา
นี่แหละส่งผลแด่วิชาปราณโดยตรง

                         ผมจำได้ดีว่า ผมเป็นเด็กที่ไม่ชอบพูด และไม่ชอบสุงสิง เล่นหัวกับใคร วันหนึ่งๆไม่ค่อยได้เอ่ยอะไรออกมาเลย มีอะไรหรือไม่มีอะไรก็ไม่แสดงออกอยู่ในใจหมด แต่ผมก็ไม่ใช่คนซีเรียสอะไร จิตใจใบหน้ามักแสดงความปีติ ยิ้มง่าย รื่นเริง เป็นคนว่านอนสอนง่าย ยำเกรงระเบียนแบบแผน เคารพในประเพณี ยำเกรงผู้ใหญ่ คนแก่เฒ่ามีความกลัวพระสงฆ์ ไม่กล้าเข้าไปใกล้ๆ มีความไวในความสะเทือนต่อความสุขความทุกข์ของผู้อื่น จึงชอบช่วยเหลือผู้อื่น โดยเฉพาะคนยากจน มาแต่เป็นเด็ก เป็นผู้บำเพ็ญทาน การให้มาแต่ต้นแล้ว จนคนเรียกกันว่าพระเวสพยับ

                         เมื่อผมเรียนจบการศึกษาชั้นประถมปีที่ 4 ปีสุดท้าย ผมได้ทุนหลวงไปเรียนต่อชั้นมัธยมในตอนนั้น ผมได้ชื่อว่าเป็นนักเรียนทุนหลวงที่เป็นเกียรติยศพอสมควร ของโรงเรียน ศรีสะเกษวิทยาลัยซึ่งเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดศรีสะเกษ ขณะนั้นตลอด 6 ปีที่ใช้ชีวิตอยู่ในเขตเมืองศรีสะเกษช่วงนี้ ผมก็ได้มีมิตรสหายมากมาย ที่ต่อมาจนถึงขณะนี้เป็นเพื่อนร่วมรุ่นคราวนั้นต่างเป็นครูใหญ่ อาจารย์ใหญ่ เป็นครูกันเป็นส่วนมาก ในขณะที่เพื่อนร่วมรุ่นชั้นประถมศึกษาของผมส่วนมากเป็นชาวไร่ชาวนา เป็นกรรมกรกัน มีสุขมีทุกข์แตกต่างกันไปตามสถานะ

ทำทานจนเป็นสิสัย สุด ๆ ทำทานตำแหน่งราชการ
ตัวเองไม่เอาราชการ ให้คนอื่นไป

                         ทางดำเนินชีวิตของผมตั้งแต่วัยเยาว์มาแล้ว จะต้องผ่านการสอบแข่งขัน การช่วงชิงทางวิชาความรู้มาโดยตลอด นับแต่ผ่านการศึกษาระดับประถมซึ่งขณะนั้นสูงสุดแค่ประถมปีที่ 4 เป็นต้นมาแล้วก็เริ่มต้น การแข่งขันช่วงชิง กันไปไม่มีหยุดหย่อน แม้กระทั่งที่ผมได้เป็นนักเรียนทุนหลวงนั้น ก็ได้ด้วยการสอบแข่งขันช่วงชิงที่ว่านี้ แล้วไปสอบแข่งขันเข้าเรียนต่อมัธยมศึกษา แล้วไปสอบแข่งขันในระดับ เตรียมอุดมศึกษา หรือซึ่งขณะนั้นยังเรียกว่ากันชั้นมัธยม 7-8 อยู่ ในความหมายที่เข้าใจกัน แล้วก็ถึงระดับอุดมศึกษาที่เรียกว่า สอบเอนทรานซ์ (ENTRANCE) นั้นแหละ ผมก็เอ็นทั้งระดับปริญญาตรี และระดับปริญญาโท เรียกว่าสำหรับผมแล้ว สิ่งที่ได้มาเปล่า ย่อมไร้เหตุผลคตินี้ ผมได้พบจาก การ์ตูนนิยายเรื่อง พระถังซัมจั๋ง เป็นดำรัสของ พระเซ็กเกียมองนิฮุดโจ๊ว พระพุทธเจ้า ขณะนั้นเรียนอยู่มหาวิทยาลัยแล้ว มีความประทับใจมาก จริงซิ สิ่งที่ได้มาเปล่าๆ ย่อมไปชอบด้วยเหตุและผลโดยแท้ ต้องได้ด้วยความสามารถ ด้วยความมานะพยายามด้วยสติปัญญา ความรู้ นั่นแหละ นำผมไปสู่สนามแข่งขันด้านวิชาความรู้มาโดยตลอด แล้วก็มาถึงการแข่งกันนอกรั้วมหาวิทยาลัย คือ การสอบแข่งขันเข้ารับราชการ แล้วผมก็ยุติชีวิตการสอบแข่งขันลงนะจุดนี้ ปฏิญาณไว้ ณ จุดนี้ ว่าจะไม่ไปสอบแข่งขันกับใครที่ไหนต่อไปอีกเลยชั่วชีวิต ทั้งนี้ ไม่ใช่ผมผิดหวังในการสอบแข่งขัน ก็หาไม่ หากแต่ผมไม่ได้เคยผิดหวังในการสอบแข่งขันเลย จนแม้กระทั้งการสอบเข้ารับราชการ ครั้งสุดท้ายดังกล่าว ผมก็คงดำรงความชนะอยู่นั่นเอง หากแต่ตอนนั้นผมได้เกิดความรู้สึกขึ้นมาในขณะที่นั่งอยู่สนามสอบ ว่าทำไมคนอย่างผม จะต้องมาแกร่งแย่งอะไรๆกับเขาด้วย คราวนั้น ผมสอบเข้าราชการได้ถึง 2 แห่งพร้อมๆกัน แต่ด้วยความคิดนี้ ผมจึงสละหมด พร้อมปฏิญาณดังกล่าว คือจะไม่ไปแข่งขัน เพื่อการแกร่งแย่งใครต่อไปอีกแล้ว

                         เรียนจนชั้นมัธยมปีที่ 6 ซึ่งเป็นระดับการศึกษาที่สูงสุดในจังหวัดศรีสะเกษ ขณะนั้นในเดือนเมษายน ผมได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพราะอันเป็นแดนสวรรค์ที่ร่ำลือกันสมัยนั้น โดยเฉพาะได้ชนบท ผมได้เข้าไปเตรียมสอบการแข่งขันเข้าโรงเรียนเตรียม และตั้งแต่นั้น ผมก็ได้อยู่กรุงเทพฯ เป็นชาวกรุงเทพตลอดมา นับเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯก็ได้ถึง 25 ปี นับถึงเวลาที่ผมได้สละทุกสิ่งทุกอย่างในเพศฆราวาสออกบวช ในปี พ.ศ. 2526 ที่จังหวัดกาญจนบุรี แล้วได้หวนกลับมาสู่มาตุภูมิและอยู่มาจนถึงวันนี้ แม้ว่า แท้จริงไม่ได้มีความตั้งใจเช่นนี้เลยแม้แต่น้อย

 

 เพื่อนร่วมรุ่นของผมขณะเป็นชาวกรุงเทพฯมีมากมายหลายรุ่นหลายแผนกจริงๆ
 นับแต่รุ่นที่มีความภาคภูมิใจสูงสุด คือ รุ่นเตรียมอักษรศาสตร์ ห้องพระราชา 226    ( KING’S ROOM 226 ) แผนกอักษรศาสตร์ของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพญาไท ที่สมัยนั้นได้เรียกกันติดปากว่า เตรียมจุฬาฯ ซึ่งผมได้เล่าเรียนต่อมาเป็นเวลา 2 ปี

                         จากนั้นก็ เพื่อนๆในระดับมหาวิทยาลัย อันเป็นช่วงชีวิตที่ผมได้ร่ำเรียน และมีประสบการณ์มากมายและต่อเนื่อง

                         ผมได้ศึกษาต่อในสาขาวิชา วารสารศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นวิชาที่เกี่ยวกับการสื่อสารมวลชน ที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างสูงสุดในขณะนี้นั่นเอง เพื่อนร่วมรุ่นของผมมีมาก โดยเฉพาะในการร่วมกิจกรรมในและนอกหลักสูตรในระหว่างการศึกษา ศึกษาผมเองก็ได้ผ่านกิจกรรมมาตลอดชีวิตนักศึกษา นับตั้งแต่เป็นหัวหน้ากองบรรณาธิการ น.ส.พ. มหาวิทยาลัย ในขณะนั้น ที่การปฏิบัติการ ดูเป็นเรื่องที่น่าสนุกสนาน เป็นเกมส์ที่มีชีวิตชีวาไปเสียหมด และที่ผมภาคภูมิใจมาก ก็คราวเป็นบรรณาธิการนิตยสารยูงทอง ของแผนกวิชาการวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในขณะนั้น เพราะได้ปฏิบัติงานกับเพื่อนๆร่วมอุดมการณ์กันอย่างใกล้ชิด ในระหว่างเพื่อนผู้รักและหอมกลิ่นหมึกพิมพ์ด้วยกันแท้ และหนังสือของผม ก็เป็นหนังสือที่ได้รับความนิยมมาก โดยเฉพาะฉบับที่ออกในเทศการณ์ ฟุตบอลประเพณี จุฬา - ธรรมศาสตร์ ยูงทองฉบับนั้นที่มีคุณ อาภัสรา หงส์สกุล        ( อดีตนางงามจักรวาล) เขี่ยบอล เป็นภาพปกในปกที่ออกชมพู ฉบับนั้น เป็นหนังสือสำหรับ นิสิต นักศึกษาทุกคนก็ว่าได้ ที่ขนออกเท่าไรๆก็หมดเกลี้ยงโรงพิมพ์ ตามท้องถนนที่ดารดาษด้วยสีชมพูกับเหลืองแดงวันนั้น ทุกมือจะถือยูงทองของผม โบกโบยปฏิสันถารกันไปมาเห็นพลิวไปหมด ดุจเป็นสัญญาลักษณ์อย่างหนึ่ง โดยเฉพาะของงานบอลประเพณีปีนั้น แล้วพวกเราผู้ร่วมทีมทำหนังสือก็มานั่งจับกลุ่มกันเงียบๆ ส่วนผม ได้ระลึกเต๋าบทหนึ่งว่า ลาภยศ สรรเสริญเหมือนเมฆที่ลอยผ่านในความรู้สึกของข้าพเจ้า

                         นั่นเป็นภาพแห่งความสำเร็จและภาคภูมิใจอันยิ่งใหญ่มากสำหรับผมและคณะร่วมทีมบรรณาธิการ ครั้งนั้น กิจกรรมดังกล่าวนี้ มีส่วนให้ผมได้รับการพิจารณาให้ได้รับทุนการศึกษาของมูลนิธิวิชาการหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยด้วยคนหนึ่งในปีนั้น

                         จบการศึกษาชั้นปริญญาตรี ด้วยความรู้เชิงทฤษฎีและปฏิบัติพอสมควรแล้ว ผมก็มุ่งเข้าจับงานหนังสือพิมพ์อาชีพต่อมาเป็นเวลา 1 ปี ซึ่งผมก็ได้คบหาสมาคม มีเพื่อนที่เป็นนักหนังสือพิมพ์อีกมากมายหลายคน ร่วมมีชื่อเสียงเป็นปลายปากกาอันฉกาจคมกริบอยู่ในขณะนี้ก็มีหลายคน แต่หลังจากนั้น ผมได้ออกจากงานหนังสือพิมพ์ เพราะด้วยอุดมการณ์อันบริสุทธิ์เกินไปของผม ทำให้หน่าย แล้วมาสอบเข้าแข่งขันเรียนต่อ             คณะรัฐประศาสนศาสตร์ หรือ วิชาการบริหารชั้นปริญญาโทสถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์ ได้ศึกษาไปจนจบหลักสูตรข้อเขียน คณะรัฐประศาสนสาตร์แล้ว ก็ยุติชีวิตการศึกษาลง ในขณะนั้น ผมได้ทำงานสำนักวิจัย ในสถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์นั่นเอง ทำหน้าที่เป็นนักวิจัย ซึ่งผมได้ปฏิบัติทุกขั้นตอนงานการวิจัยตามโครงการ ของสำนักขนาดนั้น งานการเก็บข้อมูลสนามในต่างจังหวัด ที่ภาคอีสาน ที่มีเวลาปฏิบัตินานถึง 1 เดือนเต็ม ให้ได้ประสบการณ์พิเศษๆหลายอย่างแก่ผมในช่วงชีวิตขนาดนั้น วัยนั้นอย่างมากมาย

อยู่วังสวนกุหลาบ

มาต่อสวนรื่นฤดี กองอำนวยการป้องกันและปราบปรามคอมมิวนิสต์

แล้ว สนามเสือป่า

                         ผมมาอยู่ในวังสวนกุหลาบและปักหลักอยู่ที่นี่ตลอดมา ก็ตอนที่ไปๆมาๆ ขณะที่เรียนชั้นปริญญาโทอยู่  นิด้า นั่นเองและในช่วงนี้แหละ ที่ผมเริ่มจะรู้สึกว่า ผมนั้นมีสายเลือดอีสานเพราะเริ่มรู้สึกว่า จิตสำนึกอันเร้นลึก ได้พะวงอยู่กับรสส้มตำมะละกอ ชนิดเผ็ดๆแบบอีสาน นานๆได้ระยะ ก็อดเที่ยวไปนั่งแถวๆปั๊มน้ำมันไม่ได้ ในระหว่างนี้แหละที่ผมเริ่มได้เข้ามามีบทบาทด้านงานสังคม และมวลชน ตั้งแต่เริ่มจัดตั้งญาติพี่น้องในตำบลบ้านเกิดเดียวกันขึ้นจนเป็นหลักฐานด้วยผลงานทอดผ้าป่ามาทุกปีๆ แต่สมัยนั้นทอดช่วยโรงเรียน พวกผมสามารถทำได้จนครบทุกโรงเรียนในตำบลอี่หล่ำ บ้านเกิดขณะนั้น แล้วผมก็ได้เข้าไปร่วมงานเพื่อนหนุ่มรุ่นเดียวกันในกรุงเทพมหานคร บุกเบิกงานจับรวมกลุ่มพี่น้องชาวศรีสะเกษในกรุงเทพมหานคร ที่สืบเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้คือ ศรีสะเกษรำลึกแล้วเริ่มงานก่อตั้งสมาคมชาวศรีสะเกษกรุงเทพฯ ต่อมาจนได้มีการจดทะเบียนก่อตั้งสมาคมเสร็จสิ้นลงโดยรีบร้อย งานสังคมในระยะดังกล่าวนี้แหละเป็นงานที่ผมได้ปฏิบัติอย่างเสียสละชนิดที่สิ้นเนื้อประดาตัว แต่คนภายนอกไม่รู้ซึ้งไปอย่างนั้น นั่นแหละเป็นลักษณะของผม ที่มักได้เริ่มรับงานบุกเบิก งานใหม่ งานใหญ่ และงานอุดมการณ์ และครั้งงานสำเร็จเสร็จสิ้นลงแล้ว ผมก็มักไม่อยู่เสวยผล ด้วยถืออุดมการณ์ว่าทำเพื่อประโยชน์ผู้อื่น แต่สมาคมชาว        ศรีสะเกษกรุงเทพฯทุกวันนี้ ก็คงมีอยู่บ้างที่จำผมได้ โดยเฉพาะ ท่านนายกสมาคมชาวศรีสะเกษเอง

                         กลับมากล่าว วังสวนกุหลาบขนาดนั้น เป็นที่ตั้ง สำนักงานปฏิบัติการจิตวิทยาแห่งชาติเป็นงานส่วนอำนวยการด้านนโยบาย สังคมจิตวิทยา โดยคติว่า เป็นพลังอำนาจแห่งชาติ อีกพลังหนึ่งที่ระดับชาติจะต้องวางนโยบายให้สอดคล้องกับนโยบายหลักในด้านอื่นและในระดับที่เป็นที่สนใจอยู่มากในขณะนั้นคือ ไซอ๊อพท์           (PSYOPT : Psychological Operations) ที่สนับสนุกการปฏิบัติงานด้านการปราบปรามคอมมิวนิสต์ ในเวลานั้นนั่นเอง ซึ่งต่อมา เมื่ออาคาร  6 ชั้น ในสวนรื่นฤดีในได้สร้างเสร็จลงแล้ว สำนักงานปฏิบัติการจิตวิทยาแห่งชาติ ได้ย้ายเข้าไปตั้งในสวนรื่นฤดี ร่วมกับ กองอำนวยการป้องกันและปราบปรามคอมมิวนิสต์ (กอ.ปค.) ซึ่งมี ฯพณ ฯ จอมพลประภาส จารุเสถียร เป็น ผอ. ปค. อันเป็นช่วงเวลาของงานเร่งเอาจริงกับการปราบปรามคอมมิวนิสต์

                         เหตุผลที่ผมชอบงานในลักษณะนี้นั้นมีมากโดยเฉพาะในด้านอุดมการณ์กายใน และอีกอย่างหนึ่งก็คือเพราะได้มีโอกาสที่จะศึกษาทางด้านปฏิบัติการจิตวิทยาในแบบทางทหารที่สนับสนุนการปฏิบัติการรบ หรือ สงครามจิตวิทยา (Psychological Warfare)  ได้โอกาสที่จะศึกษาลัทธิคอมมิวนิสต์ในฐานะศาสนาอีกศาสนาหนึ่ง นอกไปจาก คริสต์, อิสลาม, ฮินดู, รวมไปถึงทั้ง เต๋า, ซิกส์ หรือสาสนาบาไฮ ที่ผมได้มีความสนอย่างลึกซึ้ง และศึกษามาบ้างแล้วในขณะนั้น   

ศึกษาศาสนาทุกศาสนา  คริสต์ อิสลาม  บาไฮ  อย่างเป็นหน้าที่ราชการ

                         ความสนใจศึกษาในลักษณะเช่นนี้แหละที่น้อยคนนักจักได้รู้ถึงความมุ่งมั่นมานะของผมเพราะเป็นการปลีกตัวออกไปศึกษาอย่างเงียบเชียบ สำหรับคริสต์ ผมได้ศึกษาทางไปรษณีย์ ทั้งภาคภาษาไทยและภาษาอังกฤษ แล้วยังศึกษาซ้ำอีกเลย ด้วยความซึ้ง จนได้ประกาศนียบัตรภาษาอังกฤษถึง 2 แผ่น สำหรับบทศึกษา ไบเบิล : The Gospel According To John ส่วนศาสนาใหม่ บาไฮ ตอนนั้นเขามีการโฆษณามาก ผมก็ได้รับความสะดวกหลายประการในการศึกษา ไม่ว่าจะต้องการตำรับตำรา เขาก็จัดส่งมาให้ทั้งนั่น ช่วงนั้น ผมได้แอบไปซอยหลังสวนอยู่หลายครั้งไป เข้าร่วมประชุมสมาชิก ตามจดหมายที่เขาส่งนัดหมายไป ซึ่งไปทีไรก็ได้รับต้อนรับอย่างเสียวๆจากเจ้าหมาตัวใหญ่ สูงถึงบั้นเอว ของ มิสส์ ชิริน ฟอสดาร์ ทุกคราวไป เรื่องการศึกษาศาสนานี้ ต่อมาผมได้มีโอกาสดี ได้ศึกษาศาสนาคริสต์อย่างระเอียดระออมากอยู่เป็นเวลาร่วม 6 เดือน จึงได้จบเสร็จลง โดยรู้สึกว่า ได้ข้อสรุปแล้ว สำหรับศาสนาที่มีพระเจ้าทั้งหมด ขณะนั้น ก็มีเหลือ ที่ผมคิดว่าเหลืออยู่ เพราะยังไปไม่ถึงที่สุด ก็คือ พุทธศาสนา ซึ่งผมได้มุ่งมั่นต่อไปที่จะ พิสูจน์สัจธรรม ที่ พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ ให้สิ้นสงสัย ฉะนั้น จะเห็นว่า การศึกษาของผมเป็นไปในลักษณะที่ต้องการพิสูจน์ เป็นหลัก ไม่ใช่ว่าต้องการที่จะอยาก เป็นนั่นเป็นนี่ หรืออยากพ้นนั่นพ้นนี่ก็หาไม่

                         ในช่วงเวลานั้น ผมได้ทุ่มเทชีวิตให้กับสิ่งที่เรียกว่า อุดมการณ์ไปทั้งหมดแล้วก็ว่าได้ เพราะด้วยอุปนิสัยน้อมมาแต่เด็กๆ และได้เข้มข้นจริงๆ มาตั้งแต่ได้เข้าศึกษาในปีต้นๆ ของมหาวิทยาลัยแล้วด้วยซ้ำ ประกอบกับสถานะทางครอบครัวผม ได้เปิดโอกาสให้ความอิสระแด่ความคิดและการกระทำ แก่ผมเป็นอย่างมาก ฉะนั้น ในความนึกคิดของผม จึงไม่ค่อยเห็นว่าเรื่อง ลาภ ยศ สรรเสริญ และ สุข อย่างโลกๆจะมีความหมายมาก และในช่วงเวลานั้นแหล่ะที่ผมได้สละตำแหน่งทางราชการที่ผมสอบแข่งขันได้ ทั้งที่ ก.พ. และ ก.ป.ส. รวม 2 แห่งเสียอย่างง่ายๆ ไม่อาลัย แค่เพียงคิดว่าสละให้อื่น ผู้ซึ่งจักได้ความปราบปลื้มยินดี ที่ได้งานโดยไม่คาดฝัน ได้เป็นหลักเป็นฐานแห่งหน้าที่และชีวิตครอบครัว ได้ประกอบอาชีพที่ก้าวหน้า และมีเกียรติ อันเป็นการ ทำทานอีกวิธีหนึ่ง ในขณะที่ตัวเอง ก็ไม่เห็นจะประหลาดใจอะไร ที่จะดำรงตำแหน่ง ลูกจ้างชั่วคราวในสวนรื่นฤดีต่อไปถึง 7 ปี

                         ที่ผมสละตำแหน่งทางราชการนั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับนามธรรมภายในจิตใจที่กว้างใหญ่ลึกซึ้งมากสำหรับผม และไม่แต่เพียงเท่านั้น ต่อมาผมยังได้ตั้งปณิธานไว้อีกว่า จะไม่ไปสอบแข่งขันที่ไหนอีก ถึงแม้จะไม่ได้เป็นข้าราชการตลอดชีวิตก็ไม่เป็นไร เพราะขณะนั้น ได้เกิดละอายใจกับการที่ต้องไปแย่งชิงกับเขา แต่ราวกับบุรพกรรมกำหนดมา ในปีที่ 8 มานั่นเอง รัฐบาลได้ยกฐานะสำนักงานของผมขึ้นเป็นหน่วยงานทหาร สังกัดกองบัญชาการทหารสูงสุด มีสำนักงานที่มั่นคง ณ อาคาร 604 บริเวณสนามเสือป่า ผมจึงได้เป็นข้าราชการ       กลาโหมพลเรือน ไปฝึกทหารและเป็นทหารประจำการ โดยไม่ต้องไปสอบแข่งขัน หรือวิ่งเต้นในอาการที่แก่งแย่งกับใคร และผมได้เป็นทหารอยู่ที่นี่เป็นเวลานานถึง 6 ปี จึงได้ลาออกจากราชการเพื่ออยู่ในเพศนักบวช อยู่ในธรรมตลอดชีวิตและตลอดไปชั่วฟ้าดินสลาย และเพราะเหตุนี้แหละ ยศทางทหารชั้นผู้บังคับกอง ร้อยเอกจึงติดตัวผมมา ทำให้เป็นที่สังเกตพิเศษของสหธรรมิกแต่แรกเริ่มรู้จักกันเลยทีเดียวขณะที่ผมสละตำแหน่งออกบวชนั้น ผมมีอายุ     40 ปีพอดี

ใบลาออกบอกสั้น ๆว่า เพื่อศึกษาพระพุทธศาสนาให้สำเร็จรู้แจ้งอริยสัจธรรมให้ได้

                         ชีวประวัติของผม ยังมีรายละเอียดหลายแง่หลายมุมที่น่าสนใจยิ่งกว่านี้ โดยเฉพาะในด้านนามธรรม สำหรับช่วงที่ลาราชการออกบวชนี้ ขอชี้แจงเพิ่มเติมไปสักเล็กน้อยว่า ก่อนการยื่นใบลาออกเป็นลายลักษณ์อักษร ได้เคยปรารถนาด้วยวาจากับผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงานที่สนิทเพื่อที่จักเข้าใจเหตุและผลที่ขอลาออกว่า เพื่อสนองความประสงค์แห่งนามธรรมภายในจิตใจโดยแท้จริง หาได้มีความรังเกียจหรือผิดหวังในสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ว่าในด้านการงาน การสมาคม หรือแม้ในด้านชีวิตความรักความใคร่ ก็หามิได้ ซึ่งผู้บังคับบัญชาก็หาเชื่อในคำพูดในทันทีไม่หากได้ปราม ระงับยับยั้งไว้ เพื่อดูจิตใจอยู่เป็นเวลา 1 ปีล่วงไปแล้ว จึงยินยอมอนุมัติให้ยื่นใบลาออกเป็นลายลักษณ์อักษร ทำให้เป็นที่พอใจกันทั้ง 2 ฝ่าย โดยเฉพาะผมเองพอใจที่มิได้หักหาญ เพราะการบวชของผมนั้น เป็นของจำเป็น ใครจัดขัดขวางไรก็จักมิอาจขัดขวางได้ คล้ายดั่งผลไม้ที่สุกจนงอมแล้ว ใครจักห้ามมิให้หล่น ซึ่งกรณีของผู้บังคับบัญชานี้ก็คล้ายคลึงกับกรณีของโยมแม่ หากแต่กรณีของโยมแม่ให้เวลาไว้นานกว่านั้น ให้เวลาไว้ถึง 2 ระยะ คืออย่างยาวให้เวลาไว้ตั้งแต่ปีพุทธศักราช  2512 ซึ่งเป็นปีที่ผมขอบวชจากโยมแม่ครั้งแรกแต่ไม่ได้สมใจปรารถนา ต่อมาปี พ.ศ. 2523 เมื่อเวลาล่วงมาอีก 11 ปี ผมจึงขอบวชอีกครั้งเป็นครั้งที่ 2 และได้รับอนุญาตอย่างมีเงื่อนไขใน     ปี 2525 เมื่อเงื่อนไขนั้นสิ้นไปแล้ว น้องชายคนสุดท้องของผมได้รับราชการและแต่งงานเป็นครอบเป็นครัวแล้ว เป็นหลักฐานเช่นกับพี่ๆ เขาทุกๆคนแล้ว ผมก็ได้บวช เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม พุทธศักราช 2526 ณ วัดบ้านถ้ำ           ตำบลเขาน้อย อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี วัดที่ผมเลือกเอง จากหนังสือรวมรายชื่อวัดทั่วประเทศ

ในอีกแง่หนึ่งที่เพื่อนๆ สหธรรมมิกมักถามก็คือเรื่องครอบครัว

                         ผมเป็นโสดมาตลอดชีวิต แต่ใช่ว่าผมจะไม่รู้รสชาติของชีวิต และใช่ว่าโลกจักไม่พิสมัยหรือผมพิสมัยในโลกก็หาไม่ ตรงกันข้าม ผู้ได้ศึกษาโลก รู้โลก และเจนโลกในแทบทุกแง่ทุกมุม เพื่อนๆอาจไม่นึกเฉลียวว่า คนอย่างผมจะเคยเป็นมือปืน (Gun’s Man) ประจำตัวบุคคลสำคัญระดับที่มีชื่อเสียงทั่วโลกท่านหนึ่งมาแล้ว ซึ่งโดยภาระนี้ที่ได้เปิดโอกาสที่พิเศษไปอีก ให้ผมได้ศึกษาโลกในมุมต่างๆทุกๆมุม  แม้มุมที่มืดที่สุด มุมที่ราคีคาวที่สุด ผมจึงได้ชื่อสมญาว่า คนโตตัวเล็กในขณะนั้น หากแต่ว่าอุดมการณ์ภายในของผมกร้าวแกร่งแข็งแรงมาก แม้จะอยู่ในโลกล่องลอยไปตามโลก แต่หาได้ตกเป็นทาสของโลกไม่ มีการสังคมกับโลกแต่หาได้นิยมโลกเอาอย่างโลกไม่ ในขณะเดียวกัน ธรรมได้เข้าครองภายภาคจิตใจ เป็นสิ่งชักจูงสู่อุดมการณ์ ผู้ทำหน้าที่ยึดยื้อมาโดยตลอด จนกระทั่งมารคือ สตรีไม่อาจผูกมัดผมไว้ได้ เพราะพระธรรมได้ห้ามและปิดกั้นเสีย จนกระทั่งในที่สุดสายระหว่างผมกับโลกได้ขาดสะบั้นลง

                         การที่ผมได้ออกบวชมา จนผ่านไป 8 พรรษาแล้วบัดนี้ จึงมิใช่การบังเอิญ หากแต่เป็นการตั้งเจตน์จำนง โดยแน่แท้มาก่อน มิใช่เริ่มด้วยสมัครเล่นแล้วเป็นจริงหรือเสแสร้ง แต่เป็นความจริงใจตั้งแต่นานปีก่อนการบวชเสียด้วยซ้ำ ส่วนเรื่องที่ผมมิได้ตั้งใจ ก็คือ การที่ได้กลับมาสู่ปิตุภูมิ บ้านเกิดเมืองนอนศรีสะเกษอีสานใต้นี้ และการที่ได้มาเป็นพระนักพัฒนา พระการเมือง อะไรก็แล้วแต่ที่ปฏิบัติอยู่ในขณะนี้ อันมีลักษณะเป็นสามัญชนเหลือเกินนี้ ยิ่งเป็นพระนักบริหารระดับเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยคาดคิดเสียเลยด้วยซ้ำ           

                         เพราะในช่วงเวลาที่ผลออกบวช วันที่  23 พฤษภาคม พุทธศักราช 2526 ณ วัดบ้านถ้ำ ตำบลเขาน้อย อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรีนั้น ผมแทบไม่มีความรู้เกี่ยวกับแบบแผนประเพณีทางพระเลย ซึ่งอาจเป็นเพราะชีวิตผมตั้งแต่ต้นมามิได้มีโอกาสคลุกคลีหรือสนิทชิดใกล้เพศบรรพชิตมาก่อน ไม่ได้คุ้นเคยกับวัดหรือประเพณีท้องถิ่นในชนบท เนื่องจากมาอยู่เสียในเมืองและเป็นคนเมืองไปแต่เด็กๆ โดยเฉพาะครั้นถึงวัยการเรียนการศึกษาระดับสูงขึ้นไปอีกซึ่งการศึกษาระหว่างนั้น ก็ไม่ได้มีวิชาการใดที่ช่วยให้เกิดความรู้ความเข้าใจ ส่วนที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับวัดวาอาราม ตามสภาพที่เป็นส่วนหนึ่งแห่งสังคมปัจจุบันเลย ฉะนั้นเมื่อมองศาสนาจึงเป็นการมองแต่ในด้านที่เป็นหลักธรรมอันบริสุทธิ์เท่านั้น มิได้เข้าไปมองสภาพทางสังคมระบอบหรือระบบอันเกี่ยวกับการเมือง การปกครอง การเศรษฐกิจ สังคม ตลอดจนระเบียนแบบแผนหรือประเพณีต่างๆ ทางสงฆ์ อันเป็นเรื่องธรรมดาโลกๆในวงการศาสนาเลย เรามองวงการศาสนาเป็นโลกุตตระ ไปทั้งหมดทั้งสิ้น ซึ่งความจริงเปล่า ยังมีส่วนของโลกีย์ในวงการศาสนา ที่เราน่าจะได้นำมาเรียนรู้ ทำความเข้าใจด้วยในฐานะวิชาสังคมศาสตร์แขนงหนึ่ง

                         ฉะนั้น เพราะเหตุที่มองแต่หลักธรรมอันบริสุทธิ์เพียงด้านเดียวเช่นนี้ การบวชของผม ผมก็คิดเอาเองว่า อย่างนี้แหละดี แล้วหนีไปบวชแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีญาติ มิตร สหาย แม้สักหนึ่งคนไปร่วมรู้เห็นด้วย ถือว่าอะไรอื่นไม่สำคัญๆ ว่าผมขอได้เข้าสู่ความเป็นผู้ครองกาสาวพัสตร์เท่านั้นก่อน ซึ่งแท้ที่จริงเป็นเพราะผมไม่เคยเข้าใจประเพณีการบวช เมื่อผมมารู้ทีหลังในเรื่องที่ผมไม่ได้จัดเตรียมของสักการะ คือ จตุปัจจัยไทยทาน(เงิน) สำหรับ                 พระอุปัชณาย์อาจารย์ พระผู้ร่วมอุโบสถกรรมเลย ผมจึงมาแก้ตัวภายหลัง ด้วยการที่คราวใดได้รับนิมนต์ เขาถวายซองปัจจัยต่างๆมา ผมจะไม่เอาไว้ แต่จะมอบถวายท่านเจ้าอาวาส ผู้เป็นอาจารย์เพื่อสมทบสร้างอุโบสถ ทุกคราวไปตลอดเวลาที่จำวัตรอยู่ที่วัดบ้านถ้ำ

                         ในช่วงนั้น ผมก็ยังไม่รู้จักคำว่า เข้าพรรษาด้วยซ้ำมีพระนายตำรวจเก่ารูปหนึ่งได้ให้ความรู้ในเรื่องเบื้องต้นๆเช่นนี้แก่ผม เป็นวิธีที่ผมได้ความรู้มาทีละเล็กละน้อย ความที่ไม่รู้ประเพณีนี้ในขณะนั้นผมก็รู้ตัวอยู่ว่าผมไม่รู้ แต่ผมคิดว่า ความตั้งใจบวชสละชีวิตเพื่อพระศาสนานั้นมีความสำคัญกว่า ฉะนั้น การที่ผมออกบวชจึงดูเป็นเรื่องที่น่าประหลาดผิดแบบแผนประเพณีไปหมด

กลับบ้านมาพบโครงการแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง

                         พอผมบวชที่กาญจนบุรีได้ไม่ถึง 20 วัน ผมก็ได้รับโทรเลขแจ้งว่า แม่ผมป่วยหนัก ผมจึงต้องเดินทางกลับมาศรีสะเกษ ความตั้งใจมุ่งหมายแต่แรกของผมซึ่งก็คือ การจาริกธุดงค์ไปในระหว่างหุบเขาตะนาวศรี ตามแนวเขตชายแดนระหว่างไทยกับพม่า สิ่งที่ต้องการในขณะนั้นมีอยู่อย่างเดียวแต่ว่า ต้องพิสูจน์พระพุทธธรรมที่ได้ตั้งเป็นข้อสมมติไว้หลายๆข้อหลายๆประการก่อนบวช ให้ลุล่วงไปโดยเร็วพลัน แล้วต้องการเสพความสงบสงัดชนิดที่ตัดโลก ตัดมนุษย์ท่องเที่ยวไปในโลกอีกโลกหนึ่งต่างหากจนพอแก่ใจแล้วเท่านั้นก่อน ส่วนจะทำอะไรค่อยคิดอีกทีหลัง แต่ความตั้งใจที่มุ่งหมายแต่แรกดังกล่าวนั้นพลันล้มเหลวลง เพราะพอผมกลับมาสู่หมู่บ้านอันเป็นภูมิลำเนาเดิม ที่บ้านโคกกลาง ตำบลอี่หล่ำ อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ ได้ไม่กี่วัน ทางอำเภอโดยผู้ช่วยศึกษาธิการอำเภอนั้นวางนโยบายออกมาพอดี อันเป็นนโยบายแบบสามประสานคือ บวรที่ขึ้นชื่อนั่นแหละ ผมก็เลยไม่ได้กลับไปสืบต่อความมุ่งหมายเดิมอีก งานของผมในฐานะ บุคคลผู้ครองผ้าเหลืองจึงเกี่ยวกับงานพัฒนานอกวัดวาอารามมาตลอด แต่ผมอยากจะกล่าวว่าช่วงนี้แหละที่แถวท้องถิ่นตำบลผม ได้พัฒนาไปอีกระดับหนึ่ง จากถนนดินเป็นถนนลูกรัง ไฟตะเกียงเป็นไฟฟ้า ห้วยน้อยเป็นห้วยใหญ่ มีการเมืองในหมู่บ้าน คือการจัดตั้งเป็นกลุ่มอาชีพต่างๆ ชมรมต่างๆอย่างมากมาย มีกองทุนประจำหมู่บ้าน มีการณรงค์ในการที่พัฒนาอะไรๆมีโครงการอบรมคุณภาพชีวิตหรือที่ขึ้นใจว่าโครงการแผ่นดินธรรมแผ่นดินทองนั้นแหละ แล้วก็เป็น พระธรรมทูตอะไรต่างๆ เหล่านี้ซึ่งไม่ได้อยู่ในหัวของผมเลย

พอพรรษาที่ 2 ผมตัดใจไปอยู่วัดป่าร้างใกล้ๆกันนั้น อยู่รูปเดียวไปตลอดพรรษา

                         พอพรรษาที่ 3 ผมก็ได้รับอาราธนาไปเป็น ประธานกรรมการสร้างอุโบสถ ของวัดในหมู่บ้านใหญ่ และเป็นสมภารคือที่เจ้าอาวาสด้วย อันเนื่องมาจากรูปเดิมลาสิกขา ซึ่งตกที่นั่งหนักเพราะนี่ก็ใช่ว่าผมสนับสนุนให้สร้าง แต่จำต้องอนุโลมตามความประสงค์ของชาวบ้าน เพื่อขวัญและกำลังใจที่ยึดเหนี่ยว แล้วในปี พ.ศ. 2531 ปีที่โบสถ์หลังนั้นเสร็จลง ในขณะที่ผมขั้นไปจำศีลอยู่ในเพดาลอุโบสถใหม่ และเริ่มวางแผนที่จะจาริกธุดงค์เข้าหุบเขา    ตะนาวศรีตามความตั้งใจดั้งเดิมอีกครั้งหนึ่งนั้น ท่านพระครูศรีวรปรีชา เลขานุการเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษได้ปรนะสบเคราะห์กรรมมรณภาพลงปัจจุบันทันด่วน หลวงพ่อเทพวรมุนีให้ผมเข้าไปเป็นแทน  พร้อมกับอธิบายให้ผมทราบว่า ตำแหน่งนี้เป็นระดับพระชั้นปกครองที่มีความสำคัญอย่างไรในราชการคณะสงฆ์ แล้วท่านก็มอบหมายในทันทีให้ผมพาพระเปรียญและพระบัณฑิตอาสาพัฒนา จำนวน 22 รูป ของศรีสะเกษไปร่วมประชุมในการประชุม พระเลขนานุการเจ้าคณะจังหวัด กับ พระเปรียญและพระบัณฑิตอาสาพัฒนาทั่วประเทศที่ วัดคีรีวงษ์   จังหวัดนครสวรรค์ ระหว่างวันที่ 19-21 กันยายน 2531 ดังกล่าวมาแต่ต้นแล้ว ต่อมาวันที่ 26 พฤศจิกายน 2531 ผมก็ได้รับแต่งตั้งเป็น เลขานุการเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ ชนิดที่มีคน(พระ) วิเคราะห์วิจารณ์ว่าเป็น ผู้มากับดวงแน่ะครับ

                         นี้แหละความเป็นมาโดยย่อๆของผม และตอนที่ผมได้มาอยู่ในตำแหน่งที่นี่แหละ ซึ่งเป็นเวลาที่ผมบวชมาแล้วเป็นเวลา 8 พรรษา ได้เป็นเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดมาเป็นเวลา 2 ปี 1 เดือน กับ 10 วันผมได้เสนอหนังสือเล่มนี้ เป็นชุดที่ผมเขียนออกมาจากป่าช้า ในขณะที่ไปอยู่ธุดงค์โดดเดี่ยวคนเดียว แต่ละแห่งเป็นเวลาใช่น้อย เพราะอยู่ถึง 15-20 คืน ในท่ามกลางขุมผีดุ โดยที่ผมเชื่อว่าแต่ละเรื่องนิยายสั้นๆนั้น จะกลั่นเอาประสบการณ์แต่ละเสี้ยวแต่ละตอนของชีวิตผมที่เป็นส่วนสำคัญยิ่งออกมาเสนอ นวนิยายแต่ละเรื่องนั้น หลวงพ่อของผม คือ พระเทพวรมุนีได้อ่านแล้ว ท่านยกย่องผมมากมายเลยทีเดียว ท่านว่าเหมือนเรื่องในนิทานธรรมบทของท่านพุทธโฆษาจารย์ นั้น แต่ต่อไป ผมจะเริ่มเพิ่มการเขียนบท กวีนิพนธ์ด้วย เพื่อนๆคงจะเห็นบทกวีของผมอยู่บ้างแล้ว ในหนังสือพิมพ์ฉบับจิ๋วแต่แจ๋ว ข่าวสารเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดคณะสงฆ์ภาคพื้นอีสานนั้น

ท่านธรรมทาสสวนโมกข์ขอให้ตอบปัญหา10ข้อของนายเหตุผล
ตอบไปแล้ว มาวันนี้จึงรู้ว่าตอบผิดยุค ถูกยุคเก่าแต่ไม่ถูกยุคใหม่
แต่ท่านชมว่าเป็นแม่ทัพธรรมยอดนักรบ
         

                         ประวัติของผม ที่เกี่ยวกับงานด้านการประพันธ์ก็มีอยู่ ที่สำคัญก็คือ ในช่วงเวลาก่อนที่ผมออกบวชเล็กน้อยนั้น ผมได้เขียนบทความวิจารณ์ ลงในนิตยสาร และได้จัดพิมพ์หนังสือที่ผมเองเป็นผู้เขียนไว้หลายเล่ม ในนามแฝงว่า ธรรมสามีกับ อนาคาริกทั้งสาม

                         บทความวิจารณ์ธรรมเรื่องหนึ่งของผม ท่านบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ พุทธสาสนาท่านธรรมทาส พานิช แห่งคณะสวนโมกขพลาราม ได้นำลงพิมพ์ไว้ในหนังสือพิมพ์พุทธศาสนา 2 เล่ม คือ ปีที่ 50 เล่ม 4 ประจำเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2525 กับปีที่ 51 เล่ม 1 ประจำเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2526 มีชื่อบทวิจารณ์ว่า ธรรมสามีตอบปัญหานายเหตุผล ปีพุทธศักราช 2477”

                         หนังสือที่ผมจัดทำออกมาในช่วงเวลานั้น ฉบับโรเนียวก็มี ธรรมสามี” , “หย่อมหญ้า”, “สวามิภูติ”, “ข่าวอนาคาริกที่ 2/2522 ธรรมสามีวิจารณ์ : วิมุตติรัตนมาลี สวามิภูตินิทาน : สงครามสวรรค์ครั้งล่าสุดกับ เทพธิดาประจำใจ

                         ฉบับพิมพ์แท่นก็มี ข่าวอนาคาริก ที่ 1/2524 ธรรมสามี : ธรรมธรรมะสงครามสวามิภูตินิทาน: จักรพรรดิในเหล่าช้างกับ สากลจักรวาล-สากลศาสนา กับ กวีนิพนธ์ เถลิงรัฐรัตนโกสินทร์ศก 200         พุทธศักราช 2525”

                         ผมได้ตั้งใจเขียนหนังสือเหล่านั้น อย่างมีจุดประสงค์ให้เป็น การบันทึกเหตุการณ์สำคัญในชีวิตเท่านั้น เป็นเจตนาที่บันทึกเพื่อทิ้งเอาไว้ แล้วตัวเองก็เข้าป่าหายไป (บวช ตามเจตนาดั้งเดิม) บัดนี้ ตลอดเวลา 8 พรรษาผ่านไปแล้ว ผมจึงได้เริ่มงานจับปากกาเขียนอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งก็คือเล่มนี้ ในรูป นวนิยาย

เริ่มด้วย อาลัยบาปถึงธารมโนเพชรเล่มนี้

                         และต่อๆ ไปก็คงจะมีรูปแบบการเขียนหลายหลากไปอีก เช่น บทวิจารณ์หนังสือ เช่นที่ลงพิมพ์ในหนังสือ นิตยสารสมาธิ ฉบับปีใหม่ พ.ศ. 2534 (ปีที่ 5 ฉบับที่ 55 2534)  เชิญเพื่อนสหธรรมิกทุกท่านอ่านดูนะครับ

                         นี้แหละเรื่องราวของผม ผู้ที่ได้ประพันธ์นวนิยายเรื่องสั้นชุด อาลัยบาปถึงธาร มนโนเพชร เล่มนี้ และที่ผมมีความเต็มใจยินดีที่จะมอบให้เป็นของขวัญของกำนัน ประจำปีใหม่ พ.ศ. 2534 แด่ทุกๆท่าน สวัสดีครับ

(เลขานุการเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ)

6 กุมภาพันธ์ 2534                  

-----

*****

*****

-----

 

ตอนที่ 4 ประวัติในเรื่องเล่าจากพระครูพุทธิพงศานุวัตร

 

บทที่ 1..เรื่องที่ 1..ผู้อุทิศชีวิตสันโดษ ลุงศักดิ์หนีครอบครัวมาอยู่วัดมีหมู่หมาวัดเป็นเพื่อนกินนอนด้วยกัน อุทิศตนทำความสะอาดวัดรักความสะอาดกวาดวัดสะอาดตลอดเวลา แสวงสันโดษเยี่ยงนักบวชผู้แสวงหาสัจธรรม .

 เรื่องเล่า จากพระครูพุทธิพงศานุวัตร

-----

ส.ค.ส. 2563

กุมารทอง : ลุงศักดิ์ แกอยู่กับพ่อนานถึง4 ปี ตายไป  ทราบว่าแกเคยไปอยู่ทะเลมาก่อนนี้พ่อ  พอเห็นได้ว่าแกเป็นคนรักสันโดษ ใช้ชีวิตมาอย่างโดดเดี่ยว เดียวดาย  อนาถา ไร้ญาติขาดมิตรแต่ดูชีวิตแกแล้ว ไม่เห็นว่าแกมีทุกข์ ไม่สบายใจอะไร  ชีวิตแกมีแต่ความสุขสบาย

พ่อ: แกเป็นฆราวาสที่เข้าถึงธรรมะ  แกทำงานเวลากลางวัน เมื่อเสร็จงาน เสร็จหน้าที่ลง  ก็ปลีกตัวไปเสพสันโดษธรรม ประจำอย่างนี้เป็นปกติวิสัย ในเวลากลางคืน ไม่มีใครเลยที่เสพสันโดษอย่างสงบวิเวกจิตเท่าแก เพราะวัดมีที่ว่างเปล่าสงบสงัดไร้ความอึงคะนึง ผู้ที่จิตถึงความสงบแล้ว นั้นแหละแดนนิพพานละ

กุมารทอง: แกเคยอยู่กับพ่อมาแบบกระยาจก อนาถา เอาหมาทั้งวัดเป็นเพื่อน นอน กินกับเพื่อนหมา  กินก็ป้อนหมาไปด้วย  เวลาป่วย หรือแค่นอนพักผ่อน ไม่ค่อยสบาย หมาก็มานอนเป็นเพื่อน  มีหมาพยาบาล เอาลิ้นแลบเลีย หน้าตา  ทั้งแขนขา ทั้งตัวแล้วนอนไปด้วยทั้งคืน

พ่อ:  แกทำตัวแบบนักบวชผู้แสวงหาสัจธรรม   จีวร คือผ้านุ่งผ้าห่ม ก็มีอยู่ใช้อยู่เพียงชุดเดียว ๆ สกปรกๆ นั้น  ใครให้มาใหม่ตัวงาม ๆ แกก็ไม่ใส่  บิณฑบาต อาหาร แกก็กินข้าวก้นบาตร ข้าวเดนพระ หรือของที่เหลือจากพระฉันแล้ว  มีอย่างไรได้อย่างไรก็กินอย่างนั้น  และแบ่งกันกินกับมิตรสหายของแก คือหมู่หมาวัด รวมทั้งนกพิราบ ทุกมื้อ ๆ   เสนาสนะ ที่หลับ ที่นอนที่พักผ่อน แกก็นอนกลางดิน ยึดเอาที่ข้างกำแพงวัด เอาเตียงไม้ไผ่เก่า ๆ ที่เขาเอาทิ้งไปแล้ว มาซ่อมสร้างพอได้หลับได้นอน เวลากลางคืน  เวลากลางวันคนมามากก็หลบหนีไปท้ายวัดที่เก็บของเก่า  มีสวนป่า มีต้นไม้เก่าแก่สูงใหญ่  ใช้เป็นร่มเงาเย็นสบาย    ยารักษาโรค แกก็เอาตามได้ตามมี   ก็ดูไม่เคยป่วยเป็นอะไรร้ายแรงถึงต้องนำส่งโรงพยาบาล สักครั้ง  แข็งแรงดีตลอด 4 ปีที่อยู่มา  วัดก็สะอาดอสะอ้านทั้งวัดตลอดเวลา

กุมารทอง :  พ่อเล่าว่าแกเป็นคนต่อต้านความสกปรก   แกจะทนไม่ได้ที่เห็นขยะ ใบไม้ แห้ง  เศษกระดาษ อะไร ๆ ก็ตามที่ทำที่ทำทางสกปรก แกจะตรงไปกำจัดมันไปให้หมดในทันทีที่เห็น

พ่อ : นั่นแหละคือการปฏิบัติธรรมของลุงศักดิ์เขา  คือรักความสะอาด  และจิตใจที่รักความสะอาด มีความสุขกับความสะอาดทั้งรูปธรรม นามธรรม แกจึงอยู่วัดได้  ถูกนิสัยกับวัดกว่าอยู่แบบชาวบ้านปุถุชนที่บ้าน

กุมารทอง :  ก็เคยมีพลทหารในค่ายลอบมาติดต่อเอาตัวไปรับใช้นายทหารใหญ่ในบ้านสวน  แต่แกก็หลบมาอยู่กับพ่อเหมือนเดิม  บอกว่าถึงจะให้เงินเดือน เงินรางวัล ก็ไม่เอา มาอยู่วัดกับหลวงพ่อดีกว่า

พ่อ : เพราะเขาชอบที่พ่อเข้าใจเขา ยกย่องธรรมะของเขา  เขามองว่าพ่อมีธรรมะสมกับเป็นพุทธสาวกที่เขาจะพึ่งพาอาศัยสบายใจได้ไปตลอดชีวิต

กุมารทอง : ผมไม่เคยเห็นพ่อดุด่าเขาเลย ทั้ง ๆ ที่พ่อเป็นพระผู้ใหญ่ในวัด พ่อไม่เคยออกคำสั่งให้เขาทำนั่นทำนี่  พ่อมีแต่ให้เขามาเอานั่นเอานี่  มาเอาข้าวปลาอาหาร มารับรางวัล  เรียกเขามานอนในกุฎีเวลาฝนตก  บอกเขา ทักทายเขาทุกคราวที่พบว่า ทำอะไรก็ทำไปตามสบายนะ  ทำอะไรได้ก็ทำสิ่งนั้น  อะไรทำไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ ช่วยตัวเอง

พ่อ : พ่อรู้ว่าเขาทำอะไรเป็น  ทำอะไรได้  ทำอะไรไม่เป็น  ทำอะไรไม่ได้   เราบอกให้เขาทำสิ่งที่เขาทำเป็น  สิ่งที่เขาทำได้  เขาก็ทำได้ เขาก็ทำเป็น  ทำเสร็จเขาก็สบายใจ มีความสุข    รักเรา  อยากอยู่กับเรา  ถ้าเราบอกออกคำสั่งให้เขาทำสิ่งที่เขาทำไม่เป็น สิ่งที่เขาทำไม่ได้  เขาก็จะอึดอัดใจ และไม่สบายใจ  เขาก็ไม่อยากอยู่กับเรา    เมื่อเรารักในคุณธรรมของเขา และเขาก็รักในคุณธรรมของเรา เราก็อยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุข

กุมารทอง :  โอ  ผมเข้าใจแล้ว ว่าทำไมลุงศักดิ์จึงอยู่กับพ่อมาได้อย่างมีความสุขสบายแบบคนอนาถา ไร้ญาติขาดมิตร จนสิ้นชีพลงต่อหน้าพ่อ

พ่อ : การปฏิบัติธรรมคือการปฏิบัติตรงตามสิทธิของเรา แหละหน้าที่ของเรา  ไม่ว่าเราจะเป็นใครนักบวชหรือฆราวาส  เรามี 2 อย่างนี้ ที่ต้องปฏิบัติให้ดี ให้ตรง  และ นั่นแหละการปฏิบัติธรรม

กุมารทอง : ลุงศักดิ์แกก็ถือว่ามีสิทธิของความเป็นคน  ใครใช้ทำสิ่งที่แกทำไม่ได้แกก็จึงดื้อไม่ทำให้  ก็มีประจำเลย คน ๆ นั้น ก็พาลโกรธแก  ดูหมิ่นว่าคนอนาถามาอาศัยวัดอยู่  กินข้าวก้นบาตร อย่างขอทาน  ทำไมไม่ฟังคำสั่งของตน    อะไรประมาณนั้น  ไม่นึกว่าคนขนาดพ่อยังไม่เคยสั่งอะไรเขาเลย

พ่อ : ความเป็นคนดี คนทรงธรรมนั้น ไม่ได้ดูที่ความยาก ดี มี จน แต่ดูที่กรรม  ที่แสดงออกในสิทธิ และหน้าที่ ของเขา  อย่างลุงนี้แกมาอยู่กับพ่อด้วยมีความรักในความสะอาด และเกลียดชังความสกปรก  แกจึงถือว่าหน้าที่ของแกคือทำความสะอาด และนี่แหละกลายเป็นความชำนาญเฉพาะตัว เป็นหน้าที่   ส่วนอย่างอื่นแกทำไม่เป็นจึงไม่ใช่หน้าที่ของแก  เมื่อใครใช้ไปซื้อของแกจึงไม่ไป บังคับให้ไป แกก็ไม่รู้ราคาของ ไม่มีเงินทอนกลับมา   ก็โกรธแก   หาว่าแกโกง

กุมารทอง : ลุงศักดิ์แกโง่จริง ๆ ในบางเรื่องนะพ่อนะ  มีคราวหนึ่งหลวงพี่ใหญ่ใช้แกไปซื้อของ  ให้แบ๊งค์ร้อยไป  แล้วกลับมาแกก็ไม่มีเงินทอนให้ ก็โกรธ  หาว่าแกขี้โกง  แล้วพาลหาเรื่องแกตลอดมาในระยะสุดท้ายนี้  แต่พ่อเข้าใจเขาดี  พ่อบอกว่า พ่อรู้ว่าเขาทำอะไรเป็น  ทำอะไรไม่เป็น  อะไรหนัก อะไรเบาสำหรับเขา  พ่อก็ใช้เขาทำแต่สิ่งที่เขาทำได้ สิ่งที่เขาทำเป็น  เขาจึงเคารพ รักพ่อ อยู่สบายมีความสุขกับพ่อ  ไม่คิดหนีไปไหน  ถึงถูกบังคับไปไหน ก็หลบกลับมา   จนพ่อเองก็ตั้งปรารถนาอุปการะเขาเยี่ยงเพื่อนผู้ปฏิบัติธรรมคนหนึ่ง ไม่เคยมองว่าเขาเป็นขี้ข้า อนาถา ขอทานเหมือนคนทั่วไปมองแบบนั้น

พ่อ : นั่นแหละคำสอนของพระพุทธเจ้า ดูคนดูที่กรรมของคน ไม่ใช่ดูที่หน้าตา  ความเป็นคนดีคนทรงธรรมนั้น ไม่ได้ดูที่ความยาก ดี มี จน  แต่ดูที่สิทธิ และหน้าที่ของเขา  ดูความตรงต่อสิทธิของเขาดูความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ของเขา  การปฏิบัติธรรม นั้นมุ่งหมายไปสู่มรรค ผล นิพพาน  ก็ด้วยการปฏิบัติถูกต้องสมบูรณ์ตามสิทธิ และหน้าที่ของตน ๆ นั้นเอง  ไม่เกี่ยวกับฐานะหรือเสื้อผ้าเครื่องนุ่งเครื่องห่ม แดง ๆ  เหลือง ๆ นั้นเลย   หรือจะพูดอีกอย่างตามที่ท่านผู้รู้ท่านเคยพูดเอาไว้แล้วว่า  การปฏิบัติงานคือการปฏิบัติธรรม  อย่างที่ลุงศักดาได้ประพฤติปฏิบัติมาเป็นตัวอย่างแล้วนั้นเอง

กุมารทอง :  ครับ พ่อ ! ขอให้บทธรรมะของพ่อ เป็น  ส.ค.ส. 2563 แด่ประชาชนด้วยเถิด .

หมายเหตุ  นายศักดิ์ ผู้นี้ เมื่อตายลง ตำรวจจึงไปติดตามหาญาติพี่น้อง ได้พบว่าแท้ที่จริงเขามีญาติพี่น้องมีครอบครัวที่มีฐานะดี ไม่เดือดร้อนเลย ผิดกับที่เห็นจากตัวเขาที่ปลีกตัวมาเป็นคนอนาถา ยากไร้ สันโดษ เสมือนคนยากคนจนขอทานเขากิน ตัดขาดจากญาติพี่น้องไปเลย มาอยู่วัดเช่นนี้ นั่นแหละบอกถึงการสละโลกมาสู่ธรรมะของเขา  ได้รับผลธรรม มีความสุข จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตเขา อย่างนักปฏิบัติธรรมคนจริงที่เป็นตัวอย่างนักปฏิบัติเลยทีเดียว...พ่อเน้นว่าเรื่องนี้เป็นตัวอย่างของผู้ที่ไดชื่อว่า  นักปฏิบัติธรรม เพื่อมรรคผลนิพพาน แม้เป็นฆราวาสก็ยิ่งกว่านักบวชเสียอีก ....กุมารทอง/29 ธ.ค.2562

-----

*****

*****

-----

บทที่ 2..เรื่องที่ 2..กุมารทอง:พ่อ โจรคนนั้นมาขโมยของพ่ออีกแล้ว

27 ธันวาคม 2018 

กุมารทอง:    พ่อ   โจรคนนั้นมาขโมยของพ่ออีกแล้ว

พ่อ:               เหรอะ ! โจรคนไ/หนล่ะ?

กุมารทอง:    คนเดียวกันนั้นแหละพ่อ ที่มันขโมยมือถือของพ่อ  ขโมยแทบเลตของพ่อ  และโกงเงินพ่อให้ไปจ่ายค่าโทรศัพท์นั่นแหละ

พ่อ:              นั่นมันนานเป็นปี ๆ มาแล้ว

กุมารทอง:   คนเดิมนั้นแหละพ่อ คนที่มาขอข้าวสารพ่อ  ขอข้าว ปลา อาหาร ตอนเพลนั้นแหละ  ขออะไรพ่อก็ให้หมด  แม้กระทั่งวิทยุ  พัดลม  หม้อน้ำแข็ง  น้ำปลา  กะปี พ่อก็ให้

พ่อ:             เขายากจน และยังหนุ่ม  เขาขอของที่ใช้ในห้องครัวบ้านเขา  เรามีก็พอให้เขา ประทังชีวิตไป  พ่อก็บอกเขาสอนเขาไปให้รู้จักหางานทำ  เขาก็ไปหาปลา หาหอยมาขายให้พ่อ  ไปขับสามล้อ  ไปสมัครเป็นคนงานก่อสร้างที่โรงพยาบาลได้วันละ200 บาท

กุมารทอง:   มันคงไม่มีงานทำอีกแล้วแหละ  คราวนี้มันมาโขมยของพ่อตลอดเลย วันละอันสองอัน   มันมาตอนพ่อหลับอยู่ในห้องทุกที  เหมือนมันมาบ้านของมันเอง อยากได้อะไรมันก็เอา

พ่อ:              แล้ววันนี้มันขโมยอะไรไปล่ะ?

กุมารทอง:   มันขโมยถ้วย จานไปตั้งสิบกว่าใบ

พ่อ:             มันก็ดีขึ้นนี่

กุมารทอง:   รึ !  ดีอย่างไร?

พ่อ:             ก็มันเอาแต่ถ้วยจานสังกะสี พลัสติกเก่า ๆ ที่พ่อไม่ได้ใช้แล้ว  มันไม่เอาจาน ถ้วยกระเบื้องสวย ๆ ราคาแพงไปด้วยสักใบ

กุมารทอง:   แล้วยังไง?

พ่อ:             อีกหน่อยมันก็จะรู้จักคิดได้ และคิดดี แล้วเลิกขโมยไปเอง

กุมารทอง:  !!!?????

เรื่องเล่าจากพระครูพุทธิพงศานุวัตร

             26 ธ.ค.2561

-----

*****

*****

-----

บทที่ 3..เรื่องที่ 3..สัจจธรรมคนยากไร้ แต่รู้ทุกข์ เอาความทุกข์เป็นสิ่งล้ำค่า เอาชีวิตทุกข์เป็นการปฏิบัติธรรม ความทุกข์กลายเป็นเป็นครูสอนให้รู้แจ้งสัจธรรมแห่งชีวิต เป็นคนดีที่โลกไม่ต้องการ

 เรื่องเล่า จาก พระครูพุทธิพงศานุวัตร คนดีที่โลกไม่ต้องการ

-----

กุมารทอง:   ภาพที่พ่อเอาลงนั้น  พ่อเคยกล่าวว่าเขาเป็นนักปราชญ์ ผู้รู้ธรรม

พ่อ:   ถูกแล้ว ภาพนี้เอง ที่ถ่ายเขาเอาไว้ แม้ภาพก็บอกถึงความรู้แจ้งเห็นจริงของเขา

กุมารทอง:  ในเรื่องใดครับ

พ่อ:  ในเรื่องทุกขอริยสัจ  ชีวิตของเขา  การได้พบแต่ความทุกข์มาตลอดนั้นเอง  ทำให้รู้แจ้งทุกข์ของชีวิตและสรรพสิ่ง ทุกข์ของเราเป็นบทเรียนเป็นคำสอนที่ล้ำค่ามากเลย

กุมารทอง:  เขาจากไปนานแล้ว  ครั้งสุดท้ายที่เขามาหาพ่อ  เขาบอกพ่อว่า เขากำหนดวันตายของเขาไว้สามเดือนข้างหน้า  จากวันนั้น  เขาไม่ได้มาหาพ่ออีกเลย

พ่อ:   เขาคงได้จากไปแล้วจริง

กุมารทอง:   ถ้าเขาเป็นนักปราชญ์ หรือ อริยบุคคล ดังที่พ่อว่าทำไมชีวิตจึงทุกข์ยากลำบาก  มองสภาพจริงแล้ว เหมือนคนขอทานนี่ครับ  มาทีไรพ่อก็ให้ข้าวของกินและเงินใช้ทุกครั้ง

พ่อ:  เขาทำตนเป็ฯ  อนาคาริก  ไม่ยอมพักที่ไหนเป็นประจำ  และแม้ยากจน ก็ท่องเที่ยวไปเรื่อย  นั้นแหละ  เป็นการธุดงค์ของฆราวาสเลยละ      และเขาก็สนใจธรรมะ ได้ศึกษา  ได้พบ   ได้เห็นวัด วาอาราม  ได้เข้าไปร่วมปฏิบัติธรรมแทบทุกแห่งในประเทศไทย  เขาจึงได้เอาเรื่องต่าง ๆ มาเล่าให้พ่อฟังตลอด

กุมารทอง:  ครับ  ที่ผมได้ฟัง ก็เรื่องพระป่าวัดนั้น  พาคนทั้งหลายปฏิบัติธรรมจนโด่งดังไปทั่วประเทศ  แต่พระวัดเจ้านายอิจฉาริษยา หาเรื่อง  ให้หยุดการเรียนการสอนปฏิบัติธรรมเสีย

พ่อ:  มีเรื่องขณะนั้น  เป็นเรื่องใหญ่  แต่เรื่องราวสลับซับซ้อน   จนแยกไม่ถูกว่าอะไรเป็นอะไร  ดี  หรือ  ไม่ดี  ซึ่งเป็นสภาวะสถานะที่ได้พบอยู่เอง แม้ในเวลานี้  โดยสรุปก็คือหาคนรู้จริงในพุทธธรรมยาก  เวลาสอนก็สอนไปผิดบ้างถูกบ้าง  ฝ่ายผู้ปกครองสงฆ์นั้นมักไม่รู้ทางปฏิบัติ เป็ฯเพียงพวกเจ้าขุนมูลนายสงฆ์  ก็คอยแต่ดู  ไม่มีความรู้ที่จะบอกจะเตือน จนเกิดเรื่องขึ้นมา  ซึ่งเสียหายไปทุกฝ่าย

กุมารทอง:  ก็คน ๆนี้  ถ้ายังมีชีวิตก็น่าจะเป็นผู้รู้เรื่องราวต่างๆ ในวัดวาอารามดีมาก

พ่อ:   เขามาพร้อมกับลูกสาวของเขาและหลานคนหนึ่ง  ขณะเข้ามาหาพ่อ เขามาคนเดียว ทิ้งลูกสาวกับหลานไว้สถานีรถไฟ  ถ้าเขาไม่มีครอบครัว  หรือถือสันโดษจริงๆ พ่อก็จะชวนเขาอยู่วัดด้วย แบบลุงกวาดวัดกับหมู่หมาคนนั้นแหละ

กุมารทอง:  เขามาหาพ่อหลายครั้ง ราวๆเดือนสองเดือนก็แวะมา และเล่าเรื่องที่ไปวัดนั้น วัดนี้สู่พ่อฟังเป็นประจำ  คล้ายว่ามาเสนอปัญหาไว้ให้พ่อได้คิดและเอาไปแก้ไข

พ่อ:  เขาคงจากเราไปแล้ว  นับแต่ได้บอกไว้ว่าจะอำลาโลกในสามเดือนนี้แหละ  จึงพอพูดถึงเรื่องสัจธรรมว่าด้วยทุกข์ ก็เลยคิดถึงเขา และได้ภาพเขามา  ดูสิ  ภาพของบุคคลผู้ได้รู้แจ้งสัจธรรมว่าด้วยทุกข์

กุมารทอง:   จริงครับ  สมจริงทีเดียว  ดูลึกซึ้งจริง ๆ  คล้ายว่า  เขาตั้งใจฝากภาพเอาไว้ พร้อมความรู้สึกนึกคิดจิตใจที่ลึกซึ้งไปกับสัจธรรมว่าด้วยทุกข์  เวลาที่พ่อขอถ่ายภาพเขา

พ่อ: นี่คือคนดีที่โลกไม่ต้องการ  นักปราชญ์ผู้แสวงหาสัจธรรม โดยได้ชีวิตทุกข์เป็นครูสอน เพียงแต่แม้ทุกข์ยากเพียงใด ก็ทำแต่ความดีผ่านความชั่วไปให้ได้เท่านั้น พร้อมดวงจิตคิดวิจัยธรรมะ มีสัมมาสติอยู่กับสัจธรรมแห่งชีวิตอยู่ตลอดเวลา  นั่นแหละโลกนิพพานอันประเสริฐสุดขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

***24 ม.ค.2565  09.10 น.

-----

*****

*****

-----

บทที่ 4..เรื่องที่ 4..มาริโอ มนิช คนพิการอังกฤษ,ผู้รู้ในทุกข์และสุขของผู้อื่น ผู้รักเสรีภาพ นั้นแหละการปฏิบัติธรรมเอาธรรมชาติเป็นครูสอน

 เรื่องเล่าจากพระครูพุทธิพงศานุวัตร  มาริโอ มนิช

-----

กุมารทอง: ก็อีกคน ฝรั่งตัวโตใหญ่พิการคนนั้น ชื่อ  มาริโอ มนิช  เคยอยู่กับพ่อที่กุฏิเก่าถึง 3 เดือนเศษๆ

พ่อ: มันเป็นคนพิการ ที่หนีจากสถานคนพิการออกมาท่องเที่ยวต่างประเทศและชอบเมืองไทยที่สุด

กุมารทอง: แต่มันก็ทำให้พ่อต้องลำบากกับการเลี้ยงดูมัน แม้กระทั่งกาแฟ มันชอบ  กินกาแฟยังกะน้ำ  ผมเห็นวันหนึ่งมันถามกาแฟจากพ่อ  พ่อบอกว่ากาแฟหมดแล้ว มันบอกว่าก้นขวดกาแฟมีอยู่เอาน้ำร้อนใส่เท่านั้นเอง   แสดงความเชี่ยวชาญเรื่องกาแฟของมัน

พ่อ:เรื่องอาหาร มันกินอาหารบิณฑบาตได้ทุกอย่าง มันชอบกล้วยหอมไทย อร่อยมาก  มันว่าที่อังกฤษขายแพงเลยทีเดียว ลูกนี้ร่วมร้อยบาท มีโยมหลายคนหลายครอบครัวที่ได้พบเขา ตามมาส่งข้าวปลาอากหารให้เป็นประจำ

กุมารทอง: แต่ที่เป็นเรื่องยากสำหรับพ่อก็คือมันคนตัวโตใหญ่ คนไทย4 คนจึงหามมันไปได้และพ่อต้องพยุงมันขึ้นบันไดไปใช้ชั้นบนกุฏี ให้มันพักนอน

พ่อ: มันต้องการให้พ่อโทรศัพท์ติดต่อประเทศอังกฤษให้  มีเจ้าหน้าที่ที่มันรู้จักดี ให้ทวงถามเรื่องเงินเดือนคนพิการ   ที่ขาดบัญชีเขาไปหลายเดือนแล้ว  ให้รีบส่งเงินเข้าบัญชีเขาเพราะไม่มีเงินใช้เลยกำลังเดือดร้อนอย่างหนัก    ติดต่อทางโทรศัพท์ ซึ่งขณะนั้นแพงมากเลยทีเดียว  จนได้เบอร์ฟรีจากสถานทูตอังกฤษทีหลัง  นานทีเดียวถึงส่งเงินเข้าบัญชีให้  จนท.บอกว่าเขาเป็นคนพิการที่กำลังสร้างปัญหา  เขาจะต้องกลับประเทศในทันที

กุมารทอง : แต่พ่อก็ช่วยแก้ไข ติดต่อทั้ง จนท.ในอังกฤษ  และ สถานทูตอังกฤษในประเทศไทย  กระทั่งบันทึกรายงานเกี่ยวกับมาริโอ มนิช ในประเทศไทย ส่งไปให้ สส.คนหนึ่งที่เกี่ยวข้องในสภาผู้แทนราษฎรอังกฤษ 

พ่อ: ก็พอเงินเข้าบัญชี ก็เฮกันเลยทั้งเราและเขาเอง  แต่เงินก็ไม่มากนักและที่จริงเขาให้เป็นค่าบ.กลับประเทศอังกฤษ   มาริโอ มนิช ต้องกลับประเทศอังกฤษ หากมิฉะนั้นจะไม่ได้รับเงินเดือน เขามีเงื่อนไขไม่ให้คนพิการออกนอกสถานคนพิการ ออกมาแล้วต้องกลับเข้าไปในกำหนดที่มอบให้ จึงมีการตามตัวเขาให้กลับประเทศอังกฤษ

กุมารทอง: มาริโอก็ได้กลับอังกฤษ  แต่แล้วไม่นาน เขาก็ได้กลับมาหาพ่ออีก  วันนั้นเช้ามืดเลย เขาคอยพ่ออยู่ที่กุฏีหลัง คุยกับพระสามเณรอยู่ พอเห็นพ่อที่กำลังจะออกบิณฑบาต เขาก็ร้องเสียงดังเลยว่า  พระอาจารย์พะยับ.....

พ่อ: เขาบอกว่าจะต่อไปฟิลิปปินส์  เอาตั๋วเครื่องบินไปกลับ ให้ดู จะไปวันไหนกลับวันไหน มีบอกไว้หมด เรื่องที่ประหลาดก็คือ เขาทำอย่างไรจึงออกมาจากสถานที่คนพิการและออกมาต่างประเทศได้

กุมารทอง: คราวนี้ดูเขาดีขึ้น  นั่งรถคันงาม  รถคนพิการ   และดูแต่แรกแล้ว ไม่เห็นเขามีความทุกข์โศกอะไร  หน้าตายิ้มหัวเราะกับคนทั้งหลายเสมอเลย

พ่อ: คราวก่อนเขามาตามหาพระหมอนวดไทยที่สุรินทร์ เป็นหลวงพ่อผู้มีชื่อเสียงมากเลย  แต่พอส่งตัวไปถึงแล้ว หลวงพ่อตอบมาว่าเลิกรักษาแล้ว เพราะหลวงพ่อชราไปจนไม่มีแรง และคนไข้คนนี้เป็นฝรั่ง ตัวโต เวลามันนอนลง จะเคลื่อนย้ายต้องใช้คนถึง 4 คนหามมันไป

กุมารทอง: ขนาดมันจะเดินเข้าห้องนอนพ่อยังต้องคอยพยุงมันไป แต่ผมก็ไม่เห็นว่าพ่อรังเกียจและเห็นคุยกับมันจนดึกดื่นไปทุกคืน ๆ ตลอดเวลา 3 เดือนเลยทีเดียว

พ่อ:พ่ออยากได้ข้อมูลศาสนาจากประเทศอังกฤษนั้นเอง มันเล่าว่าโปรเตสแต้นท์กับคาธิลิก ยังคงรบกันในแดนเหนือสก็อตแลนด์ ไอร์แลนด์ เป็นคนสองพวกเช่นเดียวกับมุสลิมพวกนิกายชีอ๊ะห์  กับ พวกนิการสุหนี่  อยู่แผ่นดินเดียวกันแต่แฝงความเคียดแค้นของสองความคิดสองศาสนา คิดเคียดแค้น แก้แค้นกันอยู่ตลอดเวลา  ไม่กี่วัน ๆ ที่สงบ ก็มีระเบิดตูมตามขึ้นมาครั้งหนึ่งเสียชีวิตกันไปทีละครั้ง เสมอเช่นนี้ จนถึงวันนี้  นี่เป็นความจริงที่เราได้จากคนอังกฤษ

กุมารทอง:เขาว่าเขาไม่ได้นับถือศาสนาแต่ก็คุยเรื่องศาสนากับพ่อทุกคืน ๆ

พ่อ:เขานับถือ สปิริต  เขาว่าเขาสามารถติดต่อกับสปิริตได้ ก็เช่นเดียวกับคนทรงเจ้าบ้านเรานั้นเอง เขาว่าสปิริตช่วยเขาให้หมัดตรงน๊อคคู่ต่อสู้ง่าย  เขาและพี่ชายเคยเป็นนักมวยมีชื่อเลยละ พี่ชายเป็นระดับแชมป์เลย

กุมารทอง: แล้วเขาก็จากพ่อไปฟิลิปปินส์  ตอนเดินจากพ่อไปเขาหันมาโลกมือให้พ่อพูดว่า  กู๊ดบาย  พระอาจารย์พะยับ

พ่อ: แล้วเขาก็กลับมาอีกหลังจากนั้นราวๆ 3 เดือน  แล้วพ่อก็บอกเขาว่า  ไปหาที่พักใหม่นะ  อย่ามาที่นี่อีกเลย

กุมารทอง:เขาก็เชื่อพ่อ เขาจากพ่อไปตั้งแต่วันนั้นไม่กลับมาอีกเลย ไม่ได้ข่าวเขาอีกเลย ร่วม10กว่าปีมาแล้ว ที่น่าแปลกใจก็คือ เขาไม่ถามเหตุผลเลยว่าทำไมพ่อจึงไม่ให้เขาอยู่ด้วยอีกแล้ว

พ่อ: เขาเองก็รู้ดีอยู่เองและพอใจจะบอกลาพ่ออยู่แล้ว นั่นคือ พ่อแก่ชราแล้ว  อุ้มประคับประคองเขาไม่ได้เหมือนแต่ก่อน  เขาเข้าใจความหมายดีจึงจากพ่อไปด้วยคำว่า แฟเวลล์ พระอาจารย์พะยับ  และมาริโอ  มนิช  ก็ไม่ได้กลับมาอีก   เขาบอกเราถึงความเป็นผู้ดีอังกฤษ คือรู้ทุกข์ รู้สุขของคนอื่น มองทุกข์ของคนอื่นเสมอทุกข์ของตน นั่นแหละสัญชาตญาณการปฏิบัติธรรมที่เข้าถึงธรรมโดยแท้จริงละ !!!

-----

*****

*****

-----

บทที่ 5..เรื่องที่ 5..เพื่อนอีกคนได้จากไป แม้มีชีวิตที่สมบูรณ์ มีฐานะตำแหน่งอำนาจทางโลก  แต่สิ่งที่เพื่อน ๆ ไม่รู้เลยเรื่องพุทธศาสนนธรรมมรรคผลนิพพาน ประวัติการต่อสู้เพื่อบรรลุสัจธรรมสูงสุดในพระพุทธศาสนาสิ่งที่เพื่อนๆ ไม่รู้เลย

เรื่องเล่าจากพระครูพุทธิพงศานุวัตร  เพื่อนอีกคนได้จากไป

-----

กุมารทอง: คุณพี่หมอสวัสดิ์ อำพลพิศลย์ ได้มาบอกเพื่อนพ่ออีกคนหนึ่งได้จากไปแล้ว ตั้งแต่ต้นเดือน ก.พ.แล้ว

พ่อ: เพื่อนร่วมรุ่น ศรีสะเกษวิทยาลัย ชื่อองอาจ พรหมศร  เป็นสถาปนิก อยู่หนองคาย

กุมารทอง: อยู่ไกลปานนั้นก็ยังส่งข่าวมาบอกพ่อ รู้เรื่องราวของพ่อ

พ่อ: เพื่อนร่วมรุ่นมัธยม ศรีสะเกษวิทยาลัย ยังคงคิดถึงกันและกันอยู่เมื่อพ่อกลับมาในคราบนักบวชมาศรีสะเกษอยู่วัดโนนน้อยปีแรก ก็มี วัลลภ แก่นทิพย์  ผจก.ทีโอทีศรีสะเกษ, พาเพื่อนหมอรังสรรค์ วรวงศ์ เชียงใหม่  ธำรงค์  เกษมสุข.... และ นรินทร์ วงศ์วิรัช  รวม 5 คนออกไปเยี่ยม   จากนั้น วัลลภได้เอาบัญชีรายชื่อเพื่อนร่วมรุ่น มามอบให้ถือไว้ และค่อยบันทึกต่อไป

กุมารทอง : ก็จากนั้น รจน์ โสตสิริ กับ วัลลภ แก่นทิพย์ เองก็ถูกพ่อบันทึกไปแล้ว  คราวนี้ก็องอาจ พรหมศร  เพื่อนร่วมรุ่นของพ่อล้วนแต่เป็นคนใหญ่คนโตกันทั้งนั้น  ส่วนมากที่สุดเป็นผู้อำนายการโรงเรียน มีฐานะดี ๆทุกคนเลย

พ่อ: รวมแล้ว รุ่น2501รวม56 คน เสียชีวิตไปแล้ว 23คน  หายไป ติดต่อไม่ได้ 7 คน ยังคงมีชิวิตอยู่ 23คน)แต่เพื่อนแทบทุกคนของพ่อ ล้วนแต่อ่อนในเรื่องพระพุทธศาสนา อย่างหมอรังสรรค์ วรวงศ์ ยังถามพ่อเลยว่าจะเรียกพ่อว่าอย่างไร  เขาไม่เข้าใจคำนำหน้าชื่อพระ   เรียกไม่ถูก ยิ่วันนี้ยิ่งเรียกยาก

กุมารทอง: ก็ที่วัดพ่อวันนี้ โฆษกเขาเอ่ยชื่อพ่อว่า  หลวงพ่อ, พระอาจารย์พระครูพุทธิพงศานุวัตร, ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาพุทธาราม,พระอารามหลวง   แต่เพื่อนๆ เหล่านี้ เขาแทบไม่รู้ว่าพ่อบวชมาทำไม? ทำไมจึงลาราชการทหารออกมาบวชตั้งแต่หนุ่ม อายุตอนนั้นเพียง 40 ปีเท่านั้น ซึ่งหากแอยู่ต่อไปก็คงได้เป็นนายพลเข้าไปแล้ว  และที่เพื่อนๆ คิดก็คือพ่อก็มีความรู้ จบถึงปริญญาตรี -โท จากธรรมศาสตร์และนิด้า ทำไมไม่ได้เป็นเจ้าคณะอำเภอ  เจ้าคณะจังหวัด อย่างที่พระทั้งหลายเขาอยากเป็นกัน เช่นกรณี จังหวัดกาฬสินธุ์ที่ดังอยู่ขณะนี้

พ่อ: มันเป็นความเสื่อมของพุทธศาสนา ของพระพุทธเจ้า  ทุกวันนี้ แม้พระทั่วไปคนทั่วไป ก็ไม่เข้าใจว่า  บวชทำไม จนคิดหรือทำในสิ่งที่ผิด ว่าเป็นสิ่งที่ถูกไปหมด ลาภ ยศ สรรเสริญกลับเป็นที่นิยมไปหมด

กุมารทอง:คนที่คิดอย่างพ่อคิดแทบไม่มีหรอกในโลกยุคนี้  สมัยนี้  อย่างที่แค่คิดบวช อย่างตั้งใจขอบวชแบบถวายชีวิตไปเลยอย่างพ่อนี้ก็หาไม่มีอีกแล้ว

2.

พ่อ: เพื่อนของพ่อ ที่เข้าใจพ่อ พอเอ่ยได้ 2 คน คนหนึ่งเคยเรียน มธ.ด้วยกัน ชื่อวรรณดี สรรพกิจ  เป็นเพื่อนที่เก่งทางกวีนิพนธ์ เคยได้รางวัลกวีรางวัลที่  1  ถึง 1 แสนบาท เป็นเพื่อนคนเดียวที่ก่อนบวช ได้เล่าเรื่องให้ฟัง ค้างคืนด้วยที่บ้านจอมพล สะพานควาย กทม. เขาฟังด้วยความศรัทธาและสนับสนุน  เพราะรู้นิสัยกันมาดี

กุมารทอง:ก็ เขาได้มาเยี่ยมพ่อครั้งหนึ่ง ที่กุฏิหลังไม้  

พ่อ:  เป็นเรื่องประหลาด องค์การฟอกหนังนี้ มีเพื่อนของพ่ออีกคนหนึ่งคราวอยู่ห้องคิงส์ รร.เตรียมอุดมศึกษา กทม.ด้วยกัน แสงชัย สุนทรวัฒน์ เป็น ผอ.อยู่ก่อน  จนเคราะห์ร้ายถูกลอบสังหารเสียชีวิตเป็นข่าวครึกโครมไปในเวลานั้น   แล้ว เพื่อนพ่อคนนี้ วรรณดี สรรพกิจ  ได้เป็น ผอ.ต่อมา   

กุมารทอง: แสงชัย สุนทรวัฒน์ เคยอยู่อเมริกานี่ครับ และอยู่ในเหตุการณ์ฆ่าพระไทย 4 รูปในอเมริกาเป็นข่าวใหญ่ในเวลานั้น และแสงชัยได้เขียนเรื่องราวของวัดไทย  พระไทยในอเมริกาลงนสพ.ไว้อย่างมีเหตุผลที่คนไทยไม่เคยเข้าใจมาก่อน

พ่อ: พ่อกำลังหวังว่าจะได้เพื่อนคนนี้แหละมาช่วยพ่อเผยแผ่พระธรรมคำสอนไปต่างประเทศ  แต่เขาตายไปเสียก่อนน่าเสียดาย  ส่วนวรรณดี สรรพกิจนั้น คราวเป็นนักศึกษาธรรมศาสตร์ด้วยกัน เขาเป็นเด็กวัดราชาธิวาส เคยไปเยี่ยม คุยธรรมะกับเขาบ่อย ๆ  คุ้นกับวัดราชาธิวาสดี  จนท่านเจ้าคุณคราวนั้นก็ยังอยู่มาถึงวันนี้

กุมารทอง: ก็วรรณดี สรรพกิจ เพื่อนพ่อคนนี้  คงสนใจเรื่องการบวชของพ่อมาก สนใจมรรคผลมาก ก็ถึงขนาดลาออกจากผอ.องค์การฟอกหนังแห่งประเทศไทย ไปบวช ตามที่มาเยี่ยมพ่อแล้วเล่าเรื่องให้ฟังนั้นแหละครับ

พ่อ: ถูกแล้ว  เขาเล่าให้ฟังอย่างตื่นเต้นว่า  ตั้งใจบวชแบบไม่ลาสิกขาเลย จะเอาตามพ่อนั้นแหละ แต่แล้วก็อยู่ไม่ได้ ทนไปหลายเดือนอยู่ แต่ไม่ถึงปีหรอก ลาสิกขาออกไปกลับไปเอา ผอ.ต่อ   ก็บอกชื่นชมพ่อมาก ที่อยู่ในเพศพระสมณสาวกได้อย่างไรแบบไม่สะดุ้งสะเทือนอะไรเลย

กุมารทอง: ถูกแล้วพ่อ การบวชอย่างพ่อ หาแทบไม่มีอีกแล้ว เพราะมีแต่บวชเนื่องมาจากปัญหาทางโลกกันทั้งนั้น เช่นอกหักบ้าง  มีศัตรูคู่แข่งทางการงานอาชีพสู้เขาไม่ได้ก็มาบวช  หรือโดยมาก แทบทั้งหมดเพราะเรื่องงาน หางานไม่มีทำ  เป็นลูกชาวไร่ชาวนาทั้งนั้น  ก็มาบวช ก็พอเจริญในหน้าที่การงานแบบราชการพระ ได้ตำแหน่ง ได้ยศถาบรรดาศักดิ์แล้วลาภมากมายมาง่าย ๆ ก็อยู่ไปๆ อย่างนี้กันทั้งนั้น   แต่พ่อ ไม่ใช่เลย

พ่อ: พ่อทำทุกอย่างเพื่อเกียรติ์อันดีงามของพระพุทธศาสนา เพื่อการที่เราเองเป็นคนมีเกียรติ์มีความดีเต็มสมบูรณ์  อย่างน้อยการบวชของพ่อนั้น เป็นการบวชของผู้ที่ได้ชัยชนะทางโลกมาแล้ว   ไม่ใช่เข้ามาอยู่ในพุทธศาสนาแบบผู้ที่พ่ายแพ้หลบมาอาศัยเพื่อพ้นศัตรูหมู่อมิตร อย่างนั้น ไม่ใช่  ผู้ที่แพ้สงครามหนีหัวซุกหัวซุนมาอาศัยผ้าเหลืองอยู่   อันเป็นประเด็นสำคัญของพ่อก่อนคิดการบวช  ที่มุ่งหมายสูงส่ง ต้องทำตนสำเร็จทางโลกชนะทางโลกแบบนี้ก่อนเข้าสู่ร่มผ้ากาสาวพัสต์ เพื่อเกียรติของพระพุทธศาสนา

กุมารทอง : พ่อก็จะปฏิเสธเรื่องชีวิตคู่มาตลอด พบความทุกข์ระทมทรมานจากความรักมากมาย  อันเนื่องมาจากการปฏิเสธ  ทั้ง ๆ ที่ได้พบล้วนแต่ความสด สุข  ชื่น น่ายินดีพอใจตลอดมา พ่อพบสตรีล้วนแต่คนสวย ๆ  ผู้ดี มีงานการศึกษาทั้งนั้น 

พ่อ: เรื่องนี้เป็นกรรมเก่า ที่พ่อต้องชดใช้มาจนถึงวันนี้ ขณะนี้

3.

กุมารทอง:ที่คนสงสัยแม้เพื่อน ๆ ของพ่อนี่แหละ ก็คือเรื่องการศึกษาธรรมะของพ่อ พ่อเป็นสายพระธุดงค์สายไหน มีหลวงปู่หลวงพ่ออะไรเป็นครูบาอาจารย์ แม้เรื่องการศึกษาทฤษฎี  คราวพ่อย้ายบ้านใหม่ ไปอยู่สวนธนบุรี ใกล้วัดบางขุนเทียนนั้น  พ่อก็ได้ทำสิ่งประหลาดที่สุด คือเผาตำรา หนังสือธรรมะ ทิ้งหมด เอากระดาษบันทึกธรรมะออกมานั่งเผาไปตลอดคืน  เผาแบบเป็นพิธีกรรม แบบฉีกเผาลงในปีบทีละแผ่นไปจนหมดเล่ม   จนบ้านทั้งบ้านไม่มีหนังสือไม่มีตำรา  ไม่มีกระดาษสักแผ่นเดียว มีมาก็เผาหมด เป็นบ้านประหลาดที่ไม่มีหนังสือ  ไม่มีแม้กระดาษบันทึกข้อความ  ว่างไปถึง 14 ปี

พ่อ:ขณะนั้นมีหนังสือเรียนชั้นปริญญาตรี-โท ราคาแพงเช่น อีโคโนมิกส์ และ สถิติ หนังสือสั่งจากนอกราคาร่วมเล่มละพัน ถึงสามพ้นบาทฉีกเผาทิ้งหมด  เผาอยู่ถึง 2-3 วันจึงหมดเกลี้ยง  บ้านว่างจากหนังสือตำรับตำราไปหมด จนรู้สึกว่างในสมองไปหมด

กุมารทอง:มันประหลาดที่ว่า พ่อศึกษาพระธรรมเพื่อมรรคผล นิพพานอย่างไร หรือว่าการสำเร็จพระโสดาบันไปแล้วนั้นกระมังทำการศึกษาไปได้เอง   โดยไม่ต้องมีตำรา เพราะพ่อเผาตำราทิ้งหมดและยังตั้งใจอีกว่าจะไม่ต้องไม่อ่านพระไตรปิฏกอีกเลย

พ่อ:  มีเจตนาโดยตรงที่จะต้องไม่อ่านพระไตรปิฏก คราวแรกที่ได้พบพระไตรปิฏกในห้องสมุดนิด้า และได้เปิดพบเรื่องทิฏฐิ62 ประการ ในพระสุตตันตปิฏก สูตรแรกแล้วอ่านอย่างไม่วางสายตาไปจนจบทิฏฐิ 62 ประการ  มาคิดว่าการอ่านพระไตรปิฎกจะทำให้เรารู้ไปก่อน แต่จะเป็นการรู้แบบหลงเชื่อหลอกลวงตนเอง  ไม่ใช่รู้แจ้งจริง  ส่วนเราศึกษาธรรมะนั้นต้องการความรู้แบบรู้แจ้งจริงด้วยความเข้าใจด้วยสติปัญญาตนเองจริง ๆ  ขณะนั้น ไม่ได้ศึกษาพระธุดงค์ใดด้วย  แต่มีเรื่องภายในที่ค่อนข้างพิสดารที่มารู้ทีหลังว่าเป็นผลของสมาธิที่ลุ่มลึกซึ้งมาเดิมแต่เด็กแล้ว นั้นคือการบังเกิดมีเทพธิดาประจำใจขึ้นภายในจิตใจ (เป็นหญิงสวยงาม บริสุทธิผุดผ่อง) โดยที่สมาธิแตกไปเป็นฌาณเป็นผลของฌาณที่ทำให้เกิดภาพผู้หญิงคนสวยแสนดีขึ้นในจิตใจ  จึงตั้งชื่อว่าเทพธิดาประจำใจ  นี่แหละที่คุยกันแต่เรื่องธรรมะ และคุยเรื่องพระพุทธเจ้า  ไม่คุยเรื่องอื่นใดเลยโดยเฉพาะเรื่องกามารมณ์  สกัดกั้นไปเลย  เทพธิดานี้ จะออกมานั่งคุยข้างนอกบนโต๊ะ  เก้าอี้  หรือยืนลอยอยู่ต่อหน้าก็ได้  คุยกันขณะไปเที่ยวก็ได้ ขณะนั้น ตนเองบริหารงานห้องข่าวปฏิบัติการจิตวิทยา หรือ สงครามจิตวิทยา อยู่สวนรื่นฤดี กองอำนายการป้องกันและปราบปรามคอมมิวนิสต์(รักษาความมั่นคงภายใน)  มักค้างคืนในห้อง และนั้นแหละเป็นห้องปฏิบัติธรรมเฉพาะตัวไปเลย  และมีเทพธิดาประจำใจ เป็นผู้คอยเตือนชี้นำทางให้ตลอด  เพิ่งรู้ทีหลังว่า  นีคือการทำสงครามกับกามตัณหา มีเทพธิดามาคอยห้ามเตือนความคิดทางกามตลอดเวลา  จนชนะแล้วเทพธิดาประจำใจจึงได้หายไปจนเท่าทุกวันนี้

กุมารทอง:  ตอนที่พ่อออกบวชนั้น แผ่นดินไหวที่จ.กาญจนบุรี เห็นภาพข่าว มรว.เสนีย์ ปราโมช ถือถ้วยกาแฟมือสั่นเพราะแผ่นดินไหว  การบวชก็มีแต่เรื่องประหลาดๆ เช่นขณะจะเริ่มพิธีสวดมนต์ บ้านพัง นาค4คน ที่ร่วมบวชกับพ่อหัวหกตกลงดินกันไปหมด  แต่ประเด็นก็คือ การบวชของพ่อ พ่อมิได้คิดจะมาอยู่อย่างทุกวันนี้

4.

พ่อ: พ่อวางแผนไว้แล้ว จึงได้ออกบวชที่วัดบ้านถ้ำอ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี บวชแล้ววางแผนทดสอบวิชาสมาธิเปิดถ้ำ  พบนางยักษิณี(ตามประวัติ) แล้วทำเตโชกสิณสำเร็จที่แม่น้ำหน้าวัด   และวิชาปราณ แล้วจะธุดงค์เข้าชายแดนด้านเมียนม่า แล้วมุ่งธิเบต แบบสละชีวิตทั้งชีวิต ไปในเส้นทางนี้ จนกว่าจะพบสิ่งที่ตนอยากพบ  ซึ่งขณะนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งที่ต้องการ อยากได้อยากพบนั้นเป็นอย่างไร  รู้แต่ว่าสิ่งที่ได้พบขณะนี้มันยังไม่ใช่  มันยังไม่ใช่ จะต้องตามหาต่อไป  จนพบว่า ใช่แล้ว    จริง ๆ ก็คือ  อยากรู้ให้ได้ว่าอะไรคือพระอรหันต์  อะไรคือพระพุทธเจ้า ขอเท่านี้เองแม้จะต้องให้ประพฤติอะไรไปตลอดชีวิตก็เอา 

กุมารทอง: แต่แล้วแผนทั้งหลายก็ล้มเหลวลงนี่ครับ พ่อไม่ได้ออกไปจากสังคมมนุษย์ แต่กลับใกล้ชิดมนุษย์ยิ่งขึ้น  การปฏิบัติธรรมของพ่อกลายเป็นการปฏิบัติท่ามกลางสังคมมนุษย์  ท่ามกลางการเมือง  เศรษฐกิจ สังคมไปหมดเลยทีเดียว

ก็เป็นที่ทราบว่า แม่ป่วยพอดีให้โทรเลขมาเรียก  พ่อก็กลับไปศรีสะเกษ  และอยู่กับแม่ไป 2ปีแม่ก็ตายไป  แล้วนั่นแหละพ่อก็จะกลับเข้าป่าอีก   แต่ก็พลาดไปอีกเลยไม่ได้ไปไหนเลยเท่าทุกวันนี้

พ่อ: นั้นเป็นปีแรกที่บวช 23 พ.ค.2526  แม่ป่วยเสียก่อนเดินทาง เลยต้องกลับศรีสะเกษดูแม่อยู่ 2 ปีท่านก็จากไป แล้วก็เตรียมเข้าป่าอีกครั้ง  ขึ้นไปทดสอบวิชาปราณ อดข้าว  และอดน้ำบนเพดาลอุโบสถ ครบถ้วน 7 วัน สำเร็จ ก็ลงมาจะเตรียมเดินทาง  แต่แล้ว พบคำสั่งเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ พระเทพวรมุนี ท่านคุ้นกับแม่เหมือนญาติผู้ใหญ่  ให้ไปรับตำแหน่งเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ อันบังเอิญพระครูศรีวรปรีชา เลขาคนเดิม มรณภาพแบบไปกินผลไม้ที่ท้องนาท้องแน่นตายไปเฉยๆ  จึงได้ออกจากวัดโนนน้อย ไปอยู่วัดพระโตมา ถึงทุกวันนี้

กุมารทอง: แต่พ่อก็ได้ปฏิบัติธรรมในป่าช้า พบขบวนผีมาร้องเพลงดนตรีป่าช้ากล่อมพ่อตลอดคืน ทั้งในป่าช้าไทย ป่าช้าจีน  และพ่อได้เอาป่าช้าเป็นวัดมาตลอด  เอาสวนศรีนครินทร์สวนลำดวน เป็นที่ฝึกฝนปฏิบัติกสิณอากาศ  อากาสานัญจายตนฌาน เนวสัญญานาวัญญายตนฌาน  เอาสวนราชสักการะ ปฏิบัติอากาสกสิณ   รวมเป็นสถานที่ 3 แห่งเป็นวัดป่าของพ่อ และไม่ขี่รถ  เดินไปตลอดทั้ง 3 แห่งเป็นประจำ เอาแต่เดิน จึงมีคนเห็นพระอะไรเดินคนเดียวดึก ๆ ดื่น ๆ จะเอารถไปส่งก็ไม่เอา  ส่วนที่สวนราชสักการะนั้น เคยไปปักกลดฝั่งหนองน้ำด้านตะวันตก เป็นประจำ  จนบัดนี้เขาทำเป็นเกาะกลางทะเลสาบใหญ่เมืองศรีสะเกษไปแล้ว

5.

พ่อ: ถูกแล้ว แต่ก็หาได้สำเร็จธรรมะ  สำเร็จในสิ่งที่ตนแสวงหามาตลอดชีวิตไม่  รู้ตัวอยู่ว่าได้อะไร  แต่ก็ยังไม่ใช่ จนถอดใจไปแล้วว่า  ได้แค่นี้ก็พอแล้ว ชาตินี้ชีวิตนี้ได้แค่นี้แหละ  เอาแค่นี้.. จนกระทั่งวันที่ 12-13 เมษายน 2558 นี่เอง  อายุ 72 ปี 4 เดือน  คืนนั้นไปพานำญาติโยมผู้ปฏิบัติธรรมทั้งคืนประมาณ  2,000 คน นั่งสมาธิ สวดมนต์ข้ามคืนกัน  เป็นคราวที่ตั้งใจระดมทุกความรู้ทุกวิชาการ  นับแต่ สมาธิ  กสิณ  และปราณ มาพร้อม  เพื่อเพียงว่าให้ผ่านการนั่งสมาธิไปตลอดคืนแบบที่เคยทำมาเท่านั้นเอง  (ความจริงการนั่งสมาธิข้ามคืนเป็นเรื่องปกติของเรา จนไม่มีการนอนเป็นพระผู้มีปกติอยู่ด้วยอิริยาบถสามอยู่ปกติแล้ว แบบหาใครหรือพระที่ไหนทำได้อย่างนี้ไม่มีอยู่แล้ว  ทำไป 7 วันตาบอด หรือถึงตายมาในยุคพระพุทธเจ้าแล้ว  แต่เราทำมา 17 ปีไม่เป็นเพราะเป็นผลมาจากวิชาปราณ  สำเร็จมาก่อนบวช รวมแล้ว 17 ปี จึงเกิดริดสีดวงทวาร  หยุดไปช่วงหนึ่ง มาฟื้นขึ้นอีกครั้งภายหลัง)   แต่คราวนี้นั่นเอง กลับได้พบได้ประสบได้รับในสิ่งที่ตนแสวงหามาตลอดชีวิต ทั้งตลอดชีวิตนักบวช ที่ตนเองพิจารณาต่อมาอีกหลายวัน   นี่แหละใช่แล้ว

กุมารทอง : ตอนนั้นพ่อก็รู้เองว่า  ใช่แล้ว  แต่ก่อนนั้นแม้ขณะนั่งหลับแทนการนอนไปถึง 17 ปี พ่อก็รู้ว่ามันยังไม่ใช่และไม่หยุดแสวงหาและทั้งไม่เคยโอ้อวด

พ่อ: ถูกแล้ว  มันบอกเองเพราะเหตุที่ไม่มีความสงสัยอะไรค้างเหลืออีกเลย ว่า นี่แหละ ใช่จุดจบหมดจดแล้ว  ตนไม่ปรารถนาอยากรู้อะไรอีกต่อไปเลย จบลงแค่นี้  นี่แหละ อยากให้เพื่อนเก่า ๆ  ได้รู่ว่า เพื่อนของพวกเขาคนนี้ นายพยับ เติมใจ หรือ พยับ ปัญญาธโร คนนี้ เกิดมาเพื่ออะไร ? และเขาได้ทำสิ่งที่เขาเกิดมาทำได้สำเร็จลงไปแล้ว  ตอนอายุแก่ร่วม 73 ปีเข้าแล้ว   และที่วัลลภ แก่นทิพย์ เอาบัญชีรายชื่อเพื่อนร่วมรุ่นมาให้บันทึกนั้นก็จะได้บันทึกไปเรื่อยๆ   แต่ที่อยากบันทึกมากที่สุดก็คือ  บันทึกเพื่อน ๆได้เข้าใจสัจธรรมระดับมรรคผลนิพพานให้ได้   และรู้จักเพื่อนคนนี้อย่างแท้จริง  แม้เท่าเพื่อน วรรณดี สรรพกิจ ก็ดีมากแล้ว

กุมารทอง:และวันนี้ พ่อก็ได้เริ่มงานเผยแผ่สัจธรรม  อริยสัจธรรมไปทั่วโลกแล้ว   ด้วยการเผยแพร่สัจธรรมที่ได้รู้ ปราศจากความสงสัยทุกประการ  ที่แน่แท้จะเป็นประโยชน์สูงสุดล้ำเลิศแก่คนทั้งโลกด้านการได้พบความสุขแท้นิรันดร พ้นทุกข์นิรันดร  จึงได้แปลธรรมะออกไป 63 ภาษา ด้วยความอนุเคราะห์อย่างเต็มที่ของการแปลของกูเกิล  ที่ครอบคนทั้โลก 7.3 พันล้านคน ทางเวบไซต์ ของพ่อนั้นเอง  เป็นงานที่พ่อกำลังเริ่มและหวังผลอย่างเต็มที่ใน  5 ปีข้างหน้าโลกทั้งโลกจะกระเดื่องตื่นเต้นขึ้น   นั่นคืองานเมตตาธรรมการโปรดโลกให้พ้นทุกข์เลยทีเดียวละ.

พ่อ:มันเกิดจากความรู้สึกว่าสิ่งที่เราได้พบนี้เป็นของดี ที่เพื่อนเราควรจะได้รู้ ยิ่งกว่าที่จะไปรู้เรื่องอื่นใดทั้งสิ้น  และแม้ควรให้คนทั้งโลกได้รับได้รู้ของดีนี้ด้วยกันไปทั้งโลกเลยทีเดียวและนี่แหละหน้าที่ที่ได้พบจากความฝัน 5ครั้งก่อนออกบวช 

·         9 ก.พ.2565  13.30 น.

-----

*****

*****

-----

 

ตอนที่ 5 ประวัติใน นสพ.ดีอินเทอเนต  16 บท..พระผู้มีปกติอยู่ด้วยอิริยาบถ 3  

โปรดคลิกติดตามไปดู

 

 

-----

*****

*****

-----

  




ประวัตินักสู้ผู้ประกาศพุทธศาสนาสู่โลกยุคใหม่

Biography of Capt. Payub Termjai, Phra Phayub Panyatharo, Phrakhru Putthipongsanuwat, Including the history of all kinds of fighters in this world until the end of eternal victory.
ประวัติดั้งเดิม 16 ตอน จากหนังสือพิมพ์ดี เล่าแด่เพื่อนสมาชิก



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
----- ***** ----- โปรดใช้บริการการแปลของ Google Translate นี่คือเวบไซต์คู่ www.newworldbelieve.com กับ www.newworldbelieve.net เราให้เป็นเวบไซต์ที่เสนอธรรมะหรือ ความจริง หรือ ความคิดเห็นในเรื่องราวของชีวิต ตั้งใจให้ธัมมะเป็นทาน ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แด่คนทั้งหลาย ทั้งโลก ให้ได้รู้ความจริงของศาสนาต่าง ๆในโลกวันนี้ และได้รู้ศาสนาที่ประเสริฐเพียงศาสนาเดียวสำหรับโลกยุคใหม่ จักรวาลใหม่ เราได้อุทิศเนื้อที่ทั้งหมดเป็นเนื้อที่สำหรับธรรมะทั้งหมด ไม่มีการโฆษณาสินค้า มาแต่ต้น นับถึงวันนี้ร่วม 14 ปีแล้ว มาวันนี้ เราได้สร้างได้ทำเวบไซต์คู่นี้จนได้กลายเป็นแดนโลกแห่งความสว่างไสว เบิกบานใจ ไร้พิษภัย เป็นแดนประตูวิเศษ เปิดเข้าไปแล้ว เจริญดวงตาปัญญาละเอียดอ่อน เห็นแต่สิ่งที่น่าสบายใจ ที่ผสานความคิดจิตใจคนทั้งหลายด้วยไมตรีจิตมิตรภาพล้วน ๆ ไปสู่ความเป็นมิตรกันและกันล้วน ๆ วันนี้เวบไซต์ สื่อของเราทั้งหมดนี้ ได้กลายเป็นแดนสนุกน่าท่องเที่ยวอีกโลกหนึ่ง ที่กว้างใหญ่ไพศาล เข้าไปแล้วได้พบแต่สิ่งที่สบายใจมีความสุข ให้ความคิดสติปัญญา และได้พบเรื่องราวหลายหลากมากมาย ที่อาจจะท่องเที่ยวไปได้ตลอดชีวิต หรือท่านอาจจะอยากอยู่ณโลกนี้ไปชั่วนิรันดร และซึ่งเป็นโลกหรือบ้านของท่านทั้งหลายได้เลยทีเดียว ซึ่งสำหรับคนต่างชาติ ต่างภาษาต่างศาสนา ได้โปรดใช้การแปลของ กูเกิล หรือ Google Translate แปลเป็นภาษาของท่านก่อน ที่เขาเพิ่งประสบความสำเร็จการแปลให้ได้แทบทุกภาษาในโลกมนุษย์นี้แล้ว ตั้งแต่ต้นปีนี้เอง นั้นแหละเท่ากับท่านจะเป็นที่ไหนของโลกก็ตาม ทั้งหมดโลกกว่า 8 พันล้านคนวันนี้ สามารถเข้ามาท่องเที่ยวในโลกของเราได้เลย เราไม่ได้นำท่านไปเที่ยวแบบธรรมดาๆ แต่การนำไปสู่ความจริง ความรู้เรื่องชีวิตใหม่ การอุบัติใหม่สู่ภาวะอริยบุคคล ไปสู่การเปลี่ยนแปลงไปพ้นจากทุกข์ ทั้งหลายไปสู่โลกแห่งความสุขแท้นิรันดร คือโลกนิพพานขององค์บรมศาสดาพุทธศาสนา พระบรมครูพุทธะ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงแต่ท่านโปรดใช้บริการการแปลของ Google Translate ท่านก็จะเข้าสู่โลกนี้ได้ทันทีพร้อมกับคน 8 พันล้านคนทั้งโลกนี้. ----- ***** ----- • หมายเหตุ เอาขึ้นเวบไซต์ แทนของเดิม ทั้ง 2 เวบ .net .com วันที่ 21 เม.ย. 2565 เวลา 07.00 น.