1.Tha-ไทย
-----
พุทธศาสนาสอนอะไร?
นี่เป็นข่าวดีสุดประเสริฐ แจ้งไปให้รู้ทั่วโลกเลยนะ
สอนว่าเกิดมาเท่าไร ตายหมดไม่มีเหลือ....
ดูโลกเรา ก็รบกันมา มีมือเปล่า มีดาบ มีหอก มีปืนคาบศิลา มีปืนกล มีระเบิด มีปรมาณู มีอาวุธนำวิถี สั่งมันไประเบิดที่ไหนก็ได้ ตายหมด.... แต่ยังไง ... เขายังไม่พอไงล่ะ พวกอเมริกา รัสเซีย จีนแดง ยิว อาหรับ นี่แหละมันคิดต่อ ... ปรมาณูวันนี้ ระเบิดยังไม่ใหญ่โต เขาก็คิดต่อไป ให้ระเบิดทีเดียว โลกแตกเลย ..นี่ก็คิดไปเรื่อยๆ
และวันหนึ่งก็จะคิดได้อย่างนั้น และวันหนึ่ง ก็รบกันแล้วเอาระเบิดนั้นทุ่มลงไป โลกทั้งโลกก็ระเบิด แตกสลายไปทั้งโลก เป็นก้อน ๆ ........โลกตาย....แล้วก็หลายล้าน ๆ ๆ ๆๆ ปีต่อมาก็เกิดโลกใหม่ขึ้นมา........ก็มาอีกเหมือนเดิม เกิดสิ่งมีชีวิต เกิดพืช สัตว์ เกิดไดโนเสาขึ้นมา เหมือนเดิมเลย ทางเดิม ....นับล้าน ๆ ๆ ๆ ๆโกฏิปีต่อมา เป็นแบบเราเป็นอยู่วันนี้ ...แล้วต่อไป จนทุ่มระบิดโลกแตกไปอีก.........เป็นอย่างนี้แหละมาตลอด
จึงเป็นกฎอริยสัจของพระพุทธเจ้าว่าวัฏฏะสงสาร นั้นไม่ผิดหรอก ตามหลักพุทธศาสนาที่ว่า มีเกิดแล้ว ตาย มีตายแล้วเกิด ไม่เฉพาะคน คนนั้น ก็แบบเดียวกัน ตายแล้วมาเกิดใหม่ เหมือนมดเหมือนปลวกนั้นเอง มันตายไปหมดทั้งรูทั้งรังมัน แล้วก็มีมดมาเกิดใหม่อีกแล้วแก่เจ็บตายไปอีก ...ไม่เคยหายไปจากแผ่นดินมด สลับไปเรื่อย ๆ เช่นนี้ ....
โลกเรา พวกที่สร้างอาวุธวันนี้ มันหยุดไหม ? ไม่หรอก มันก็คิดไปให้ร้ายแรงไปเรื่อย ๆ มันหยุดไม่ได้หรอก จึงในที่สุด...มันก็คิดให้ระเบิดทีเดียวพังทั้งโลกได้ ไประเบิดโลกตนเองแตกเป็นฝุ่นผง ตายหมดทั้งคนทั้งโลก ....มันต้องตายไง ไม่พ้นไปจากความตายความพินาสน์เลย มันเป็นอย่างนี้เท่านั้น จึงเรียกว่าสัจธรรมว่าด้วยทุกข์อริยสัจ ......เกิดกับตายจึงเป็นธรรมดา และธรรมดา ๆ ก็คือ คนมันห้ามกิเลส อยากใหญ่ ไม่ได้หรอก มันตายเพราะอยากใหญ่ มันจึงสร้างอาวุธร้ายแรงไปไม่หยุด....
พระพุทธเจ้า ท่านพบความจริงอย่างนี้ ท่านจึงถามตนเองว่า แล้วจะทำอย่างไรจึงจะไม่ตาย ? ก็ทรงค้นพบ ว่าทำอย่างไรจึงจะพ้นไปจากโลกนี้ พ้นไปจากการที่จะต้องตาย ต้องพังพินาสน์....มันไม่ใช่แบบพระเยซูหรือ มุฮำมัด ที่บอกว่า ต้องไปอยู่กับพระเจ้ายะโฮวาห์ หรือ พระเจ้าอัลเลาะห์ เป็นอมตะไม่ตาย ........ เพราะทรงพบความจริงหมดแม้พระเจ้าก็ต้องตายเหมือนกัน เกิดใหม่เหมือนกันหมด...เพียงแต่ใช้เวลาหน่อย เวลานั้นแหละที่หลอกพระเจ้าได้ด้วย จนหลงว่าตนไม่ตายนั้นแหละ คือละเอียดไปหน่อย แม้รูปธรรม นามธรรม ก็ต้องตายไปหมด ไม่เหลือ .....
จนทรงค้นพบความจริง เป็นทางออกทางเดียว มีทางเดียว มาบอกคนทั้งหลายว่า ดูในดวงใจของเราแต่ละคนนั้นเอง มันมีกิเลส ตัณหา อุปาทาน 3 อย่าง คือ กามตัณหา ภวะตัณหา วิภะวะตัณหา เพียงเอาตัณหาทั้ง 3 อย่างนี้ออกไปหมดจากดวงใจ ให้ใจเหลือแต่ความสะอาดไม่มีอะไรเลย ก็จะได้ดวงใจใหม่สุดสะอาดสะอ้าน แล้ว แค่นี้เอง มันจะเป็นเองโดยอัตโนมัติหลังเอากิเลสออกไปหมดเกลี้ยงจริง ๆ ก็จะได้พบโลกใหม่ มันจะเป็นว่าตาเราสว่างเจิดจ้าขึ้นยิ่งกว่าดวงอาทิตย์นับร้อยดวง มองโลกแจ้งไปหมด แล้วพบโลกที่ไม่รู้จักตาย และไม่มีเกิด ไม่มีตาย อีกเลย เป็นโลกที่ไม่มีทุกข์ ไม่เป็นอย่างโลกของมนุษย์นี้เลย แบบเทียบกันไม่ติดเลย คนละศักดิ์ศรี ....ง่าย ๆ เพียงหมั่นพิจารณาดูความจริงที่ว่ามาแต่ต้นนี้ พบว่าจริงแล้วเท่านั้นเอง คือเกิดกับตาย ตายกับเกิด ของสรรพสิ่ง เป็นวัฏฏะสงสาร จะเหมือนพบสิ่งประหลาดยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน
จะเกิดหน่าย เบื่อโลก อย่างสุดๆ มองเห็นโลกสุดสกปรก ที่ทำกันอยู่ไร้สาระ เหมือนหมู่หนอนในฐานส้วมเลย เบื่ออย่างสุด ๆ รังเกียจอย่างสุด ๆ เรียกว่า นิพพิทาญาณเกิดขึ้นและนิพพิทาญาณนี้เอง มันจะชำระกิเลส ตัณหา อุปาทานไปเองแบบอัตโนมัติ แล้ว ใจก็ว่างสว่างขึ้น และ หายไป สู่โลกนิพพาน จบ......
ในแดนที่พ้นทุกข์ แดนที่มีแต่ปัญญามหาปัญญา แดนว่าง ไร้ขอบเขต ไร้ต้น ไร้ปลาย ไร้ศูนย์กลาง ไม่มีอะไรเลยในโลกนิพพานนั้น มีแต่หมู่พระอรหันต์ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย หากแต่ไม่มีตัวตน เป็นความว่างไปหมด สุดบรรยายละ นั่นแหละ ไม่เกิดอีก ไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ ไม่มีตาย ไม่มีตายแล้วเกิดใหม่อีกแล้วแก่อีก ตายอีก หมุนเวียนอยู่อย่างนี้ แบบเราไม่รู้ตัวเลย นับโกฏิล้านล้านปีมาแล้ว
เพียงเอากิเลสออกให้หมดจากใจเท่านั้นเอง ให้หมดไม่มีเหลือแม้เท่าเม็ดฝุ่น เท่านั้นเอง จะพบปาฏิหาริย์แห่งชีวิต และนั่นแหละ เป็นพระอริยบุคคล อรหันต์ขึ้นมา พ้นโลก พ้นทุกข์ พ้นการเกิด อีกครั้ง ไปเสียจากโลกที่แสนสกปรก ไร้สาระน่าหน่ายนี้สู่อีกโลกหนึ่งโลกแห่งอริยบุคคลทั้งหลาย ที่ไร้ตัวตน นิโรธนิพพาน นั้นเอง จบ...... นี่เป็นข่าวดีสุดประเสริฐ แจ้งไปให้รู้ทั่วโลกเลยนะ ...9 สค.2565 22.00 น.