ReadyPlanet.com
dot dot
bulletBUDDHISM to the NEW WORLD ERA
bullet1.Thai-ไทย
bullet2.English-อังกฤษ
bullet3.China-จีน
bullet4.Hindi-อินเดีย
bullet5.Russia-รัสเซีย
bullet6.Arab-อาหรับ
bullet7.Indonesia-อินโดนีเซีย
bullet8.Japan-ญี่ปุ่น
bullet9.Italy-อิตาลี
bullet10.France-ฝรั่งเศส
bullet11.Germany-เยอรมัน
bullet12.Africa-อาฟริกา
bullet13.Azerbaijan-อาเซอร์ไบจัน
bullet14.Bosnian-บอสเนีย
bullet15.Cambodia-เขมร
bullet16.Finland-ฟินแลนด์
bullet17.Greek-กรีก
bullet18.Hebrew-ฮีบรู
bullet19.Hungary-ฮังการี
bullet20.Iceland-ไอซ์แลนด์
bullet21.Ireland-ไอร์แลนด์
bullet22.Java-ชวา
bullet23.Korea-เกาหลี
bullet24.Latin-ละติน
bullet25.Loa-ลาว
bullet26.Luxemberg-ลักเซมเบิร์ก
bullet27.Malaysia-มาเลย์
bullet28.Mongolia-มองโกเลีย
bullet29.Nepal-เนปาล
bullet30.Norway-นอรเวย์
bullet31.persian-เปอร์เซีย
bullet32.โปแลนด์-Poland
bullet33.Portugal- โปตุเกตุ
bullet34.Romania-โรมาเนีย
bullet35.Serbian-เซอร์เบีย
bullet36.Spain-สเปน
bullet37.Srilanga-สิงหล,ศรีลังกา
bullet38.Sweden-สวีเดน
bullet39.Tamil-ทมิฬ
bullet40.Turkey-ตุรกี
bullet41.Ukrain-ยูเครน
bullet42.Uzbekistan-อุสเบกิสถาน
bullet43.Vietnam-เวียดนาม
bullet44.Mynma-พม่า
bullet45.Galicia กาลิเซียน
bullet46.Kazakh คาซัค
bullet47.Kurdish เคิร์ด
bullet48. Croatian โครเอเซีย
bullet49.Czech เช็ก
bullet50.Samoa ซามัว
bullet51.Nederlands ดัตช์
bullet52 Turkmen เติร์กเมน
bullet53.PunJabi ปัญจาบ
bullet54.Hmong ม้ง
bullet55.Macedonian มาซิโดเนีย
bullet56.Malagasy มาลากาซี
bullet57.Latvian ลัตเวีย
bullet58.Lithuanian ลิทัวเนีย
bullet59.Wales เวลล์
bullet60.Sloveniana สโลวัค
bullet61.Sindhi สินธี
bullet62.Estonia เอสโทเนีย
bullet63. Hawaiian ฮาวาย
bullet64.Philippines ฟิลิปปินส์
bullet65.Gongni-กงกนี
bullet66.Guarani-กวารานี
bullet67.Kanada-กันนาดา
bullet68.Gaelic Scots-เกลิกสกอต
bullet69.Crio-คริโอ
bullet70.Corsica-คอร์สิกา
bullet71.คาตาลัน
bullet72.Kinya Rwanda-คินยารวันดา
bullet73.Kirkish-คีร์กิช
bullet74.Gujarat-คุชราด
bullet75.Quesua-เคซัว
bullet76.Kurdish Kurmansi)-เคิร์ด(กุรมันซี)
bullet77.Kosa-โคซา
bullet78.Georgia-จอร์เจีย
bullet79.Chinese(Simplified)-จีน(ตัวย่อ)
bullet80.Chicheva-ชิเชวา
bullet81.Sona-โซนา
bullet82.Tsonga-ซองกา
bullet83.Cebuano-ซีบัวโน
bullet84.Shunda-ชุนดา
bullet85.Zulu-ซูลู
bullet85.Zulu-ซูลู
bullet86.Sesotho-เซโซโท
bullet87.NorthernSaizotho-ไซโซโทเหนือ
bullet88.Somali-โซมาลี
bullet89.History-ประวัติศาสตร์
bullet90.Divehi-ดิเวฮิ
bullet91.Denmark-เดนมาร์ก
bullet92.Dogry-โดกรี
bullet93.Telugu-เตลูกู
bullet94.bis-ทวิ
bullet95.Tajik-ทาจิก
bullet96.Tatar-ทาทาร์
bullet97.Tigrinya-ทีกรินยา
bullet98.check-เชค
bullet99.Mambara-มัมบารา
bullet100.Bulgaria-บัลแกเรีย
bullet101.Basque-บาสก์
bullet102.Bengal-เบงกอล
bullet103.Belarus-เบลารุส
bullet104.Pashto-พาชตู
bullet105.Fritian-ฟริเชียน
bullet106.Bhojpuri-โภชปุรี
bullet107.Manipur(Manifuri)-มณีปุระ(มณิฟูรี)
bullet108.Maltese-มัลทีส
bullet109.Marathi-มาราฐี
bullet110.Malayalum-มาลายาลัม
bullet111.Micho-มิโช
bullet112.Maori-เมารี
bullet113.Maithili-ไมถิลี
bullet114.Yidsdish-ยิดดิช
bullet115.Euroba-ยูโรบา
bullet116.Lingala-ลิงกาลา
bullet117.Lukanda-ลูกันดา
bullet118.Slovenia-สโลวีเนีย
bullet119.Swahili-สวาฮิลี
bullet120.Sanskrit-สันสกฤต
bullet121.history107-history107
bullet122.Amharic-อัมฮาริก
bullet123.Assam-อัสสัม
bullet124.Armenia-อาร์เมเนีย
bullet125.Igbo-อิกโบ
bullet126.History115-ประวัติ 115
bullet127.history117-ประวัติ117
bullet128.Ilogano-อีโลกาโน
bullet129.Eve-อีเว
bullet130.Uighur-อุยกูร์
bullet131.Uradu-อูรดู
bullet132.Esperanto-เอสเปอแรนโต
bullet133.Albania-แอลเบเนีย
bullet134.Odia(Oriya)-โอเดีย(โอริยา)
bullet135.Oromo-โอโรโม
bullet136.Omara-โอมารา
bullet137.Huasha-ฮัวซา
bullet138.Haitian Creole-เฮติครีโอล
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี
bulletMystery World Report รายงานการศึกษาโลกลี้ลับ
bulletสารบาญโหราศาสตร์
bulletหลักโหราศาสตร์ว่าด้วยดวงกำเนิดและดวงฤกษ์รวมคำตอบคลี่คลายปัญหาข้อข้องใจเกี่ยวกับการทำนายชะตาชีวิต
bulletทุกความคิดเห็นจากเวบนี้(เริ่ม ก.พ.55)
bulletประชาธิปไตยเท่านั้น1
bulletประชาธิปไตยเท่านั้น 11
bulletทุกความคิดเห็นจากหน้า1(ก่อน ก.พ.55)
bulletทุกความคิดเห็นจากเวบบอร์ด(ถึงก.พ.55)
bulletภาค 11
bulletภาค 12
bullet54.Hmong ม้ง
bullet133.แอลเบเนีย
bullet133.แอลเบเนีย
bulletหน้าที่เก็บไว้




121 เรื่องราวของชีวิต ตอนที่ 1+2+3+4 ต้นฉบับไทย

 

 

Thai

เรื่องราวของชีวิต ตอนที่ 1

  

1.

ชีวิตคืออะไร ? 

ชีวิตคือความเป็น  เพราะหากตายไปแล้วก็ไม่ใช่ชีวิต

2.

ชีวิตต้องการอะไร?

ชีวิตต้องการอาหาร ตั้งแต่เกิดมาใหม่ๆเลย  จนกระทั่งถึงวันตาย    หากไม่กินอาหารเลย ก็ไม่มีชีวิต

อาหารจึงเป็นสิ่งสำคัญของชีวิต ?  ถูกแล้ว !!!   ชีวิตจึงต้องการอาหารตั้งแต่เกิดจนตาย คนเราต้องหาอาหารกิน

หากไม่มีอาหาร  หาไม่ได้ ชีวิตเด็กทารกก็จะไม่เติบโต  ผ่ายผอม แห้งเหี่ยว  และตายไปแต่เด็ก ๆแบบในอาฟริกาและ ประเทศที่ทำสงครามกันอยู่วันนี้นั่นเอง

ขาดอาหารชีวิตคนหนุ่มคนสาวก็จะไม่มีความสดชื่น  ก็จะแห้งเหี่ยว  แรงน้อย  ผิวพรรณก็กร้าน   ความรักก็ไม่สดชื่นแจ่มใส  ทำการงานไม่ได้ แก่เร็วตายเร็ว

อาหารจึงเป็นสิ่งสำคัญคู่กับชีวิตทั้งชีวิตเลยทีเดียว

3.

คนเราต่างจากต้นไม้หรือพวกพืชอย่างไร?

คนเราเคลื่อนไหวได้ แต่ต้นไม้เคลื่อนไหวไม่ได้  อย่างต้นหว้าใหญ่ในนาผม  มันไปอมริกาอิสราเอลกับผมไม่ได้   มันอยู่กับที่ตลอดชีวิตมันเลย

เมื่อเคลื่อนไหวได้ คนเราก็รู้จักทำมาหากินกันต่าง ๆ  หาอาหาร  หาที่อยู่อาศัย บ้านอยู่ หาเครื่องนุ่งห่ม   หายารักษาโรคได้ต่าง ๆ มากมาย  ส่วนต้นไม้มันเคลื่อนไหวไม่ได้ มันก็อยู่กับที่มันตั้งแต่มันงอกจากดินยอดอ่อน ๆ  ไปจนเติบกล้าใหญ่โต นกหนูมาอาศํยมันเต็มไปหมด   แต่มันก็ไม่รู้จักทำมาหากินอะไร  มันก็กินอย่างเดียวแดดกับน้ำก็อยู่ได้  ไม่รู้จักหาอาหารอื่น หาที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัย มันไม่รู้จักหาเครื่องนุ่งห่ม   มันไม่รู้จักหายารักษาโรค

4.

คนเราเหมือนกับต้นไม้อย่างไร?

คนเราเกิดมาแล้ว เติบโต  แก่  เจ็บ  แล้วตายไปทุก ๆ คนไม่เหลือเลย  ต้นไม้ก็เหมือนกัน มันอายุยืนเป็นร้อย ๆ ปีก็มี   แต่ที่สุดมันก็แก่  ชราและผุกร่อนตายลงไปเหมือนกันกับคน

5.

แล้วคนกับต้นไม้ อะไรดีกว่ากัน?

หากคนที่เคลื่อนไหวได้รู้จักทำมาหากินเอง  รู้จักหาเครื่องนุ่งห่ม หรือมีเงินซื้อหามา  ใช้พอสมควรแก่ตน มียารักษาโรค หรือหามาได้ด้วยการแลกเปลี่ยนแล้ว ทำชีวิตให้พอเพียงมีความสุขแล้วก็คงดีกว่าต้นไม้

หากไม่รู้จักทำมาหากิน  ไม่รู้จักหาเครื่องนุ่งห่มมาใช้ยามร้อนยามหนาวไม่สามารถสร้างบ้านเรือนที่อยู่อาศัยกันภัยอันตราย  ร่อนเร่พเนจรไปเรื่อย  ไม่มียารักษาเมื่อป่วยไข้ 

แล้วก็คงไม่ดีไปกว่าต้นไม้เลย

เป็นต้นไม้ดีกว่าเป็นคนแบบนี้

6.

แล้วเราเกิดมาทำไม ???? ในเมื่อไม่ต่างอะไรกับต้นไม้???

ก็  เราไม่ได้เกิดมาเพราะเราอยากเกิดนี่นะ  เพราะถ้าเราอยากเกิดเราไม่มาเกิดเป็นคนยากคนจนเลย   จะเกิดมาเป็นเจ้าฟ้ามหากษัตริย์   เกิดในครอบครัวเศรษฐี มหาเศรษฐี มีเงินมีทองของใช้ บ้านอยู่  รถราพาหนะคันใหญ่โตโอ่อ่า

แต่เราเกิดมาจนนี่  ทั้ง ๆ ที่เราไม่ชอบเลยนี่แหละ

เราก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร?

คำถามว่า แล้วเราเกิดมาทำไม จึงหาคำตอบไม่ได้นะ  หรือหากเป็นคำตอบ  ก็แบบเดียวกับถามต้นไม้ว่าแกเกิดมาทำไม ?   ต้นไม้ก็คงตอบไม่ได้เหมือนกัน

คำตอบจะเป็นคำเดียวกัน    คือ  ไม่รู้  แต่ที่รู้ๆ ก็คือเกิดมาเพื่ออะไรก็ตาม  ในที่สุดก็ตายเหมือนกันเลยเพียงแต่ต้นไม่คนไม่เรียกว่าตาย เท่านั้นเองแต่เรียกอะไร ก็หักโค่นลงผุพังลง ตายนั่นแหละ เหมือนกันเลย

ไม่รู้เกิดมาทำไม ทำอะไรไปเพื่อใคร

แต่ในที่สุดก็แก่เจ็บ ตายไปเหมือนต้นไม้ภูเขาเลากาที่ค่อยหายไปๆ ในวันนี้นั้นเอง

7.

ก็แปลว่า ชีวิตนี้ไม่มีประโยชน์  หรือไม่มีความหมายอะไรนั่นเอง  ใช่ไหมล่ะ?????

ใช่แล้ว !!!!!!!

และนั่นแหละ  จะไปโกรธกันไปทำสงครามรบราฆ่าฟันกันไปทำไม  ไม่มีประโยชน์เลย

อย่างยูเครน รัสเซีย    อย่างอิสราเอล ฮามาส  วันนี้    ทำอะไรไป  ล้วนไม่มีประโยชน์  ไม่มีความหมายอะไรเลย  นั่นเอง  

8.

แล้วคนเราทำอะไรไปวันหนึ่ง ๆ  ?

ตื่นขึ้นมาทำอะไร ?

ล้างหน้า แปรงฟัน  เยี่ยว ปัสสาวะเอาอึออก แล้วหาข้าว  หากาแฟกิน  หาขนมปังกิน  หาแกงไก่ แกงวัวแกงควายกิน  หมูทอดกิน   มีครอบครัวก็รอแม่บ้านเรียกไปกิน  กินกับลูกกับเมีย  แล้ว  แต่พวกหนึ่งคงกินไม่เหมือนเขา  พวกที่ทำสงครามกันกลางทะเลทรายนั่นเอง เอาละ เราพอกินแล้วก็ออกจากบ้านไปส่งลูกเข้าโรงเรียนบ้าง  แทบทุกคนก็ไปทำงานกันละ  มีนายจ้าง  หรือเจ้านาย หรือ หัวหน้ากอง  อธิบดี  หรือนายกรัฐมนตรี เขาสั่งให้ทำอะไร ก็ทำตามหมด  ห้ามถามทำอย่างเดียว  เพราะเป็นข้าราชการ ส่วนพวกการเมืองก็ไปหาเรื่องด่าเขา  ในรัฐสภาบ้าง   ไปร่วมชุมนุมด่า ทำงานด่า จนวันหนึ่งเขาเอาไปเข้าคุก ฐานด่าผิดคน  ผิดเรื่องและเพราะโง่เง่าเต่าตุ่นของตนเอง นั่นเอง นี่แหละทำงานหากิน บางคนนิสัยดีก็เขียนบทกวีกาพย์กลอนคำไพเราะ ๆ   แล้วเลิกงานก็ไปเที่ยวหาฟังดนตรี พาชี  กีฬาบัตร   ไปทำหมด ตามแต่จะมีเงินมาทำได้  หรือไปกับเพื่อนที่รวย มีเงิน  อย่างกำนันคนนั้นไง  ไปชุมนุมกันนับร้อย  แล้วเอาปืนยิงกันตาย จนตำรวจจับเอาตัวเข้าคุก  แทนที่จะได้กลับบ้าน  แล้วที่สุดก็กลับบ้าน ต้องหลับต้องนอน    จนแก่เฒ่ารอความตายไม่ตื่นอีก

ก็เท่านี้แหละชีวิตคนๆ หนึ่ง

9.

ฟังมานี้ ชีวิตเราก็เหมือนกับไม่มีค่าอะไรเลย ????

ไม่ต่างอะไรกับต้นไม้?????

ถูกแล้ว  จริง ๆ ชีวิตไม่ต่างกันเลย  ชีวิตคน ๆ หนึ่งไม่ต่างจากต้นไม้เลย

ถูกแล้ว  ชีวิตไม่มีค่าอะไรเลย  ไม่ต่างอะไรจากต้นไม้

เช่นนั้นหรือ ???

ก็ที่ต่างมากก็คือคนเรามีความกลัว  ไม่เหมือนต้นไม้หรอก ต้นไม้มันไม่มีความกลัว   ลองเอามีดแหลม  หรือเอาปืนกลไปขู่จะแทงจะยิงมันสิ  มันไม่กลัวไม่สะดุ้งเลย  มันจึงดีกว่าคนเราอีก

ส่วนคนเรากลัวไปหมด   นอนอยู่เฉย ๆ ก็กลัว   กลัวไม่มีข้าวกิน  ไม่มีน้ำดื่ม น้ำอาบ  กลัวบ้านพัง  ไม่มีเงินซ่อมแซม  กลัวคนข้างบ้านจะสร้างตึกใหญ่ท่วมบ้านเรา   กลัวไม่มีเสื้อผ้าดี ๆ เท่าเขา   ไม่มีเสื้อผ้าราคาแพง ๆ ตัวละหมื่นเหมือนเขา    กลัวไม่มีรองเท้าดี ๆ อย่างนายกรัฐมนตรี  กลัวไม่มีรถยนตขับขี่ไปอวดเขา คันขี้เหร่ก็อายเขา กลัวไปหมด    คนขี้เหร่ก็กลัวสังคมจะชี้หน้าเอา ดูถูกเอา  อายเขาเวลาไปงานแต่งงาน งานดนตรี ต่าง ๆ  กลัวไปก็เลยไปแก้ด้วยการทำอะไรทุจริต ต้องโดนตำรวจจับไปเข้าคุก ตลอดชีวิตก็มี

10.

นี่แหละเป็นต้นไม้จึงดีกว่า

เพราะต้นไม้มันไม่รู้จักกลัวเลย 

ที่คนกลัวที่สุดก็กลัวตาย กลัวกันมาก  จนไม่มีคนใด  คนที่เป็นคน  ไม่มีที่ไม่กลัวตายเลย   กลัวตายกันทุกคน

เพราะเหตุนี้กระมังคนจึงนับถือบูชา  สรรเสริญเยิรยอ  คารวะ  กราบไหว้ ถวายตนเป็นลูกศิษย์  เป็นสาวก พระพุทธเจ้า 

เพราะพระพุทธเจ้าทรงสอนคนทั้งหลายให้หายกลัว แม้กระทั่งกลัวความตายได้

ตามที่ทรงสอนว่าถ้าคนสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วเหมือนพระองค์ จะไม่กลัวเลยแม้ความตายก็ไม่กลัว  เอาความตายเป็นมิตรเสียอีก

และทั้งไม่กลัวเกิด   ไม่กลัวการเกิดอีก แม้เกิดแล้วก็ไม่กลัวแก่  ไม่กลัวเจ็บ  ไม่กลัวตาย

11.

โฮ !!!!!!!!!!!!

ถ้างั้น  ต้นไม้ ที่ไม่กลัวอะไรแม้ความตาย  ก็เป็นพระอรหันต์ต้นไม้น่ะสิ ?

ไม่ใช่หรอก

เพราะพระอรหันต์ให้เป็นได้เฉพาะมนุษย์

และต้องเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์พร้อม 5ประการ คือ

(1)  รูป สมบูรณ์

(2)  เวทนา   สมบูรณ์

(3)  สัญญา สมบูรณ์

(4)  สังขาร สมบูรณ์

(5)  วิญญาณ สมบูรณ์

คือรูป เวทนาสัญญาสังขาร วิญญาณ  ต้องสมบูรณ์  ต้นไม้มันไม่มี 5 สิ่งประกอบนี้

แม้มนุษย์เอง  ถ้าเป็นคนไม่ครบ 5 ประการ บกพร่องไปเพียงประการหนึ่งประการใด หรือ เป็นมนุษย์พิการไม่สามารถบรรลุอรหันต์  พ้นไปจากความกลัวได้

สวัสดีนะ  !!!!!

12.

ก็เห็นพระเทศน์ใหญ่เลยว่า เรื่องสำคัญคือ ขันธ์ 5  นี้นี่นะท่านอธิบายทั้งปีเลยว่า  รูป  เวทนา  สัญญาสังขาร  วิญญาณ คืออะไร

ท่านก็เทศน์ไป  หากดูเหมือนท่านจะไม่รู้  ไม่เข้าใจว่าการบรรลุธรรมนั้นสำหรับผู้ที่มีความเป็นคนครบขันธ์ 5 เท่านั้น

หากไม่ครบก็จะเป็นคนพิการ ไม่สามารถบรรลุอรหันต์  หรือแค่พระโสดาบันได้

อย่างคนที่สอนที่เทศน์เองนั้นแหละ   ว่าไปทั้งวัน  คนฟัง ๆ ไปทั้งวัน  ง่วงเหงาหาวนอนไป  แต่หากคนผู้เทศน์เอง  หากตัวเองขาดไปอย่างใดอย่างหนึ่งใน 5 ประการนั้น  เช่นขาดขันธ์ที่ (3) สัญญา  จำอะไรมาผิด ๆ มาเทศน์ เพราะสมองพิการ  ขาดขันธ์(4) สังขาร  ความมีปัญญารู้จักวิเคราะห์เรื่องเหตุ และผล   รู้จักพิจารณาความสัมพันธ์เกี่ยวข้องระหว่างเหตุกับผล เชิงวิทยาศาสตร์หรือ ขันธ์(5) วิญญาณ คือสติ สัมปชัญญะ ไม่สมบูรณ์ แล้ว ก็ไม่อาจจะสำเร็จอริยมรรคอริยผลได้เลย 

ก็คนที่บกพร่องทางกายและใจ  ก็คนบ้า  คนพิการนั่นเอง  จะใช้ขันธ์5 มาวิเคราะห์ อริยสัจ 4 ของพระพุทธเจ้า จนสำเร็จอริยมรรคอริยผลได้อย่างไร !!!

..........บัวระย้า  ชบาบุณเสฏฐ์  10 ธ.ค. 2566

**********

Thai

เรื่องราวขอชีวิต ตอนที่ 2

   

1.’

ขีวิตต้องการอะไร ?    ไม่รู้

พอเกิดออกมาจากท้องแม่  ก็หากถามว่าต้องการอะไร  ก็ไม่รู้

โตมา จนแก่จะตายแล้ว ถามว่าชีวิตต้องการอะไรก็ยังไม่รู้    ก็มีเยอะเลย

เดิมชีวิตเมื่อแรกเป็นชีวิตมนุษย์ คือคนโบราณเลย  ตั้งแต่คนยังเป็นลิงอยู่

ยิ่งมีคำถามว่า ชีวิตต้องการอะไร 

เกิดมาแล้วต้องการอะไร ?.....  ไม่รู้ทั้งนั้น ….ถามอะไร ทำไม

จนถึงยุคนี้  วันนี้  รู้กันดีไปหมดว่า  ก็เงินน่ะสิ   เงิน เงิน   เงิน  เงิน

ถึงขนาดสารภาพว่า ไม่มีเงิน ชีวิตก็อยู่ไม่ได้ ....

 ให้เป็นทาสเขาก็เอา  นั่นเอง ทาสขายเสียงประชาธิปไตย ปกครองแบบประชาธิปไตยไม่ได้  มีแต่คนขายเสียง

ก็แบบประเทศไทยนี่แหละ

ต้องหาเงินกัน  คิดเรื่องเงินกันตลอดเวลา

อะไรเอาไปหาเงินได้ก็เอาไปหาเงิน

เช่นเอาเพศไปขาย   ไปหาเงิน เห็น ๆ กันอยู่

ก็ชีวิตต้องการอะไร?  คำตอบคือ หาเงิน  อย่างนั้นหรือ? 

ก็ใช่ ..... แต่มันยังไม่รอบคอบพอ

2.

รวม ๆ แล้ว มาดูสัจธรรมความจริงดีกว่า   ชีวิตต้องการอะไรนั้น   มันเกิดจากความหยาก คือตัณหานั้นเอง ชีวิตต้องการอะไร ก็แล้วแต่ว่าอยากอะไร  จึงเป็นไปตามความอยากแท้ ๆ 

พระก็สอนให้ได้ยินตั้งแต่เกิดว่า  กิเลส ตัณหา อุปาทาน  นั่นแหละแต่ฟังไม่รู้เรื่อง

 ....พระก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน เพราะไม่ใช่ภาษาไทย  ไม่มีใครแปลให้   เวลาเทศน์ ก็เทศน์ไปเรื่อยจำเอามาว่า  กิเลส ตัณหา อุปาทาน  รู้กันหมดแต่ไม่รู้ว่าคืออะไร

เด็ก ทารกมันอยากนมมันก็ร้องไห้ จนแม่มันเอานมมาให้ลูกมันกิน  โอบอุ้มมันไว้กับอก มันก็หยุดร้องไห้  พอโตขึ้น มันก็อยากข้าวอยากน้ำ 

พอโตไปอีกจนวิ่งไปมาได้มันก็มีอะไรที่มันอยากมากไปกว่ากินนมแม่ตอนเป็นเด็กทารก 

อยากอะไร ๆ  เยอะแยะ ไปหมด  

3.

ที่สำคัญที่สุดนั้น   อาหาร การกิน  นั่นเอง   จะพูดว่าชีวิตต้องการอาหาร หากไม่มีอาหาร ก็อยู่ไม่ได้ต้องตายลงไป หรืออยู่แบบไม่เท่าคนอื่นเขา  เจียม เหงียมอยู่อย่างไม่ใช่คน

....จึงโตมาก็เรียนหนังสือ...เรียนไปเรื่อย ๆ  มีพ่อแม่ออกเงินให้เรียน ไถเงินพ่อแม่ไปเรียนจนได้ปริญญาเอกจนไม่มีที่เรียนต่อ  เป็นศาสตราจารย์  เกษียณแล้ว  ก็ไม่มีไม่มีใครจ้าง เพราะไม่มีเงินจ้าง......  เรียนหนังสือก็เพื่อให้รู้วิธีทำมาหากิน  วิธีหาเงินหาทองใช้ซื้ออะไร ๆ  ได้ตามใจหยากนั้นเอง

4.

แต่เรื่องปัจจัยชีวิตนั้น ครบถ้วนแล้วมี 4 อย่าง ก็พอมีชีวิตไปได้ 

สำหรับเด็กทารก กินนมกินข้าวต้มจน โตมา ก็ต้องการเครื่องนุ่งห่ม   ไม่มีใครจะกล้าเปลือยกายอยู่กันเป็นหมู่เป็นกลุ่มหรอก  จึงหาผ้าเสื้อ-ผ้าใส่กัน หาผ้าห่มผ้าขาวม้าใช้   เป็นเรื่องใหญ่ของชีวิตอีกเรื่องหนึ่ง   แล้วก็ ต้องมีบ้าน มีที่อยู่อาศัย   มีบ้านเรือนกันแดดกันฝนกันลมพายุ กันขโมยโจรภัย

อยากได้ยารักษาโรค  แก้ปวดหัวเจ็บท้อง  ต้องมียาดม  มาวันนี้มียาพาราเซตามอนกันทุกคน

รวมเป็น 4ปัจจัยหลักที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้  อาหาร,  เครื่องนุ่งห่ม,  ที่อยู่อาศัย,  ยารักษาโรค

5.

คือ 4 อย่างนี้  เป็นเรื่องสำคัญที่ซ่อนแฝงความสำคัญไว้อย่างไร  ไม่ค่อยมีใครรู้   แต่แท้จริงพระพุทธเจ้าท่านสอนลูกศิษย์สงฆ์สาวกท่านมาตลอดว่า บวชมาสู่ศาสนานี้ให้ถือความพอเพียงในปัจจัย 4 นี้เท่านั้น แกอย่าหามาเกิน 4อย่างนี้   พระในวัดวาอารามทุกแห่ง ในนามสงฆ์สาวกจึงสวดกันทุกวันเช้าทุกเย็นว่า 

..... ปะฏิสังขา  โยนิโส  จีวะรัง ปะฏิเสวามิ  ฯลฯ

..... ปะฏิสังขา  โยนิโส  ปิณฑะปาตัง ปะฏิเสวามิ    ฯลฯ

..... ปะฏิสังขา  โยนิโส เสนาสะนัง  ปะฏิเสวามิ  ฯลฯ

..... ปะฏิสังขา  โยนิโส  คิลานะปัจจะยะเภสัชชะปะริกขารัง  ปะฏิเสวามิ  ฯลฯ

คือพระองค์สั่งให้เอาแค่ 4 ปัจจัยนี้เท่านั้น   คือ  อาหาร,  เครื่องนุ่งห่ม(จีวร3ผืน),  ที่อยู่อาศัย(วัด) และยารักษาโรค(ท่านให้กินเยี่ยวเป็นยาก็กิน) 

ความหมายก็คือ   แค่ 4 อย่างนี้สำหรับสวกของท่านก็พอเพียงแล้ว   อย่าให้เกินไปจากนี้  ถ้าเกินไปจากนี้  เป็นอันตรายแก่พรหมจรรย์ คือปฏิบัติธรรมไปสู่ชั้นสูงไม่ได้ไม่ได้  ไม่สำเร็จ   ให้พอเลี้ยงชีวิตให้เป็นชีวิตอยู่ได้  เพื่อให้ใช้ชีวิตตนเองเป็นประโยชน์แก่ตนเองอย่างสูงสุด คือ เดินตามเส้นทางมรรคผลนิพพาน ไปจนสำเร็จอรหันต์ได้ นั้นเอง ก็พอแล้ว

6.

ก็ชาวพุทธ ผู้รู้ธรรมของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  ก็พากันปฏิบัติ  การครองชีวิต  ใช้ชีวิต ๆ หนึ่งมาตามหลักความพอเพียงนี้ พยายามเอาแบบอย่างพระสงฆ์อริยสาวก คือพอเพียงใน 4 อย่าง  เป็นปัจจัยชีวิต   คือมีเพียง 4 ปัจจัยของชีวิตนั้นแหละ  ดีพอแล้ว  ไม่ให้เกินไป จึงเรียกว่าความพอเพียง  ก็พออยู่ได้มีชีวิตมาได้ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่มีปัญหาอะไรเลย  และชีวิตจึงทำแต่ความดีมาตลอด มีความสุขสงบมาตลอด   ทำประเทศชาติสยามเป็นเอกราช ชนะอริราชศัตรูมาตลอด มีความสุขสบายเป็นมหาอำนาจมาตลอด

7.

จนมาถึงราชวงศ์จักรี รัชกาลที่ 9 พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราชองค์สุดท้ายของเรา  ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินผู้ทรงธรรม  ทรงรู้ธรรม  ทรงเห็นอย่างแจ่มแจ้งทะลุปรุโปร่งไปในคำสอนของพระบรมศาสดา  เรื่องความพอเพียงในปัจจัย 4 ของหมู่สงฆ์สาวก  ทรงเข้าพระทัยเรื่องความพอเพียงของชีวิตตามหลักพระพุทธธรรมนั้น     จึงทรงพาประชาชนของพระองค์ รวมทั้งประชาชนทั้งโลก ให้ใช้ชีวิต ๆ หนึ่งแบบพอเพียง ตามปัจจัย 4 นั้นเอง   แต่มาทรงเน้นเรื่องอาหารการกินของประชาชน บุตรที่รักของพระองค์ให้อยู่ดีกินดี  ในเรื่องอาหารการกิน จึงทรงศึกษาวิจัยพบว่าการเศรษฐกิจแบบพอเพียงนั้นเอง  เป็นสิ่งที่สอดคล้องกับธรรมะพอเพียงของพระพุทธเจ้า  และทรงประดิษฐ์เศรษฐกิจแบบพอเพียงขึ้นมา  ที่รู้กันไปทั่วโลกว่าการเศรษฐกิจแบบพอเพียงนั้นเอง    จนวันนี้ประชาชนคนไทยแทบทั้งประเทศจึงได้พบความสำเร็จ เห็นคุณค่าของการเศรษฐกิจแบบพอเพียงของในหลวง ที่ทรงพาเดินไปตามธรรมะอริยสัจ 4 แห่งพระพุทธศาสนานั่นเอง

8.

และในท่ามกลางความอลเวงของการเศรษฐกิจโลก  ตามทฤษฎีโลกยุคใหม่  ที่ไม่เข้าใจเรื่องความพอเพียง  ไม่เข้าใจเรื่องชีวิต  ชีวิตคืออะไรไม่เข้าใจ  ชีวิตต้องการอะไร  ไม่เข้าใจ   เข้าใจอย่างเดียวเรื่อง ความอยาก  อยากมี  อยากเป็น อยากได้  ว่าเป็นเสรีภาพของมนุษย์  จึงปล่อยให้การเศรษฐกิจเป็นไปแบบตามความอยากเต็ม ๆ  ไม่มีสติปัญญาเห็นโทษภัยแห่งความอยากเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงไม่มีจุดจบ ไม่มีกำหนดว่าความพอเพียงอยู่ตรงไหน  เกินความพอเพียงไปแล้วจะเกิดโทษอะไร   ดังเช่น  เป็นเศรษฐี มหาเศรษฐีแล้วก็อยากเป็นมากกว่าเดิมไปอีก โกงไปกว่าเดิมอีก   ได้อำนาจการเมืองแล้วก็ไม่คิดแบ่งปันคนอื่น  คิดโกงการประชาธิปไตยไปอีก

9.

และทุกวันนี้ เขาว่าปัจจัย 4 ไม่พอเพียงเสียแล้ว เอาเพียงอาหาร  เครื่องนุ่งห่ม  ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค  ไม่พอเสียแล้ว  เขาว่าต้องเพิ่มไป ต้องมีปัจจัยที่ 5   ที่ 6   ที่ 7 8  9  10  11  ไปอีก  ….ถึงปัจจัยที่ 100 – 1000  นู้น

10.

ปัจจัยที่ 5 ก็รถยนต์ยานพาหนะแทบว่ามีคนละคันรถประจำตัวเลย  ในบ้านหลังหนึ่งมี10 คนก็มีรถยนต์ 10คัน ....เป็นหนี้กันทั้งบ้าน   และปัจจัยนี้แม้พระในผ้าเหลืองก็ยังแข่งกันใหญ่   เอามาอวดกันใหญ่เลย ก็อย่างที่จะเป็นสังฆราช เขาไปเห็นรถราในโรงรถมากมายหลายร้อยคัน ราคาแพง ๆ ทั้งนั้น  เขาเลยไม่เอาเป็นสังฆราช   เพราะไม่รู้หลักปัจจัย 4 แห่งความพอเพียง นั่นเอง .....   แต่มีอีกพวกหนึ่งพวกกรรมกรแรงงาน  อะไรที่อยากได้ อยากมี  อยากเป็น  ไม่เคยได้กับเขา  ไม่มีรถราใช้เพราะไม่มีเงินซื้อ  บ้านเรือนที่อยู่อาศัยไม่มีทั้งนั้น  ก็คิดลำบากใจไปทุกวันว่าชีวิตนี้ทำไมต่ำต้อย ด้อยค่าเขา  เป็นไทยประชาธิปไตยแต่เสียเปรียบเสียทีเขาไปชั่วชีวิต ก็คิดไปเช่นนี้กันเยอะ    ไปถามพระ พระก็ว่ากรรมเก่า  ....  อย่างพระก็คิดเหมือนกันว่าทำไมกูมาเป็นพระ   ไม่ได้ออกไปเที่ยวบาร์ คลับเหมือนคนอื่นเขา ขนาดวันนี้เขาเปิดผับ บาร์ให้ถึงตี 4  พระยังไม่ได้ไปเที่ยวเลย(ก็เลยมีแอบขโมยออกไปถึงโดนจับสึกถอดผ้าเหลืองก็เยอะ)    ก็อยู่ไปแบบนี้เยอะ

11.

ปัจจัยที่ 6 ก็มือถือ  อันนี้ก็มีกันทุกคนเลย  แม้กระทั่งเด็กอนุบาล ขึ้นมาถึงคนแก่ใกล้ตายก็ยังมีมือถือ วันหนึ่ง 24 ชม.ก้มหน้าอยู่กับมือถือเอาแต่เล่นเกมส์ออนไลน์กันตลอดคืน ตลอดวัน  ตลอด 24 ชม.    และนั่นแหละมีเรื่องบ่อย ๆ   ติดเกมส์  เล่นเกมส์ ใครมาห้ามโกรธ  แบบมีแม่มาเตือน ๆ ไม่ฟังแม่ ๆ ก็จะตีเอา  ก็โกรธ ขว้างมือถือเฉียดหน้าแม่ไป   ใส่โต๊ะตู้กระจกในร้าน   คว้าค้อนทุบตีร้านพังไปหมด ถึงว่าต้องสร้างร้านใหม่   อย่างนี้ก็มี เยอะ   ก็ถึงฆ่ากันตายก็เยอะ 

12.

และปัจจัยที่ 7 เครื่องแต่งตัว เสื้อผ้าอาภรณ์  จะต้องทันสมัยไปตามนักออกแบบฝรั่งเศสแบบต่าง ๆ สุดแต่เขาออกแบบอะไรใหม่ออกมา  ก็ทำตนเหมือนทาสผู้ซื่อสัตย์  ตามเขาไปแบบไร้ความคิดไปหมด แบบทาสความคิดฝรั่งเศส    จนต้องถึงกับกู้ยืมเงินมาแต่งตัวทำหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส  แม้ที่จริงคิดถึงแต่เจ้าหนี้   สวย ๆ ปานเทพธิดา แต่โดนเจ้าหนี้เขาตามทวงหนี้ มีการใช้หนี้แบบพิเศษ  สวย ๆ อย่างนี้แหละมีค่าเพิ่มขึ้นหน่อย  ในห้องเศรษฐี ที่เขามีเงินซื้อคนสวย ๆ รับนางงามมาเสพกามารมณ์ลับ ๆ   อย่างนี้ก็มีเยอะ  เพราะผู้หญิงขายตัวไม่ละอายใจเหมือนคนดีๆ ทั้งหลาย  ส่วนผู้ชายก็ไม่นึกถึงเมียตัวเอง  ไม่คิดแบบญี่ปุ่นเขาคือญี่ปุ่นเขาไม่ว่าหากเมียตนเองไปหาความสุขกับชายคนอื่นที่เขามีพลังมากกว่าผัวตัวเอง ...ญี่ปุ่นนี่แหละ   เขามีผัวมีเมียกันทีเป็นร้อยไปเลย    ก็เลยมีปัญหาคนฆ่าตัวตาย จนมีกระทรวงดูแลการฆ่าตัวตาย ซึ่งอังกฤษก็ทำตามต่อมา  ปัญหาเดียว ๆ กัน

13.  นั่นแหละ คือการออกไปนอกทฤษฎีความพอเพียงในปัจจัย 4 ของพระพุทธเจ้า  และทั้งในแต่ละปัจจัยทั้ง 4  ก็ยังเอาไม่อยู่  ขยับขยายออกไปเกินความพอดีไปอีก   เช่นเรื่องอาหารการกิน ก็ ไม่ใช่กินเพื่ออยู่ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า   แต่กินเพื่อความอเร็ดอร่อย  เพื่อเพิ่มพลังกามตัณหาไปหาความสุขทางกามารมณ์ต่อไป  แลนั่นก็กลายเป็นการกินกันแบบมหาราชา ใหญ่โต ราคาเป็นหมื่นเป็นแสนต่อโต๊ะจนลูกตัวเล็กมันติดในรสอร่อยของอาหาร  มันไม่ยอมกินอะไรไม่เหมือนนั้น   พอลูกมันไม่ได้กินเหมือนเดิมก็เกิดเรื่องถึงลูกฆ่าพ่อก็มีเพราะพ่อไม่ให้เงินไปเที่ยวไปกินของอร่อย ๆ 

14.

 เรื่องรถรายานพาหนะ ก็เหมือนกัน ลูกมันไม่ยอมนั่งรถไปกับพ่อกับแม่แล้ว  มันก็ขอรถส่วนตัว  ก็หาให้มัน  มันก็ไปกับเพื่อน พาเพื่อนเข้าบาร์- คลับ  ไปจนตี 3ตี 4ก็ไม่ลุก  เกิดเป็นหนี้เป็นสินเขา   เขาจะมาฆ่าเอาหากหาเงินใช้หนีไม่ได้  ก็ไปปล้นร้านทองก็มี แอบไปขายยาเสพติดก็เยอะ    ก็เลยไม่ได้กลับบ้าน  เข้าคุกไปแทนบ้าน อย่างนี้ก็มีเยอะ

15.

เรื่องบ้าน ที่อยู่อาศัย วันนี้ก็มีที่เอาโรงแรมเป็นบ้าน เอาเด็กอายุ 6 ปี  9 ปี  แบบศาสดามุฮำมัด มากอดนอน  ...แม้โตแล้วก็ยังมีเรื่อง  อย่างวันนี้  ที่มีเรื่องนักมวยใหญ่เอาเด็ก 17 ไปร่วมเพศในโรงแรม เกิดเรื่องใหญ่อยู่ขณะนี้   แบบไม่คิดเลยว่า  คุณงามความดีที่สร้างมา  เป็นนักมวยเก่งระดับโลก คนไทยนับถือยกนิ้วให้ทั้งประเทศ ลูกสาวก็ออกมาแก้ตัวให้   แต่ทำอย่างนี้ มีเรื่องอย่างนี้  ไม่ว่าทางกฎหมายจะถูกหรือผิดก็ตาม แต่ทำเสียชื่อเสียงเสียหายไปหมด   คนทั้งหลายเขาไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าทักทายแล้ว  รู้หรือเปล่า ?  ..และระวังเมื่อไม่คิดเรื่องความพอเพียง พอดีแก่ธรรมะแล้ว ต่อไปคนอย่างนี้แหละจะเอาลูกสาวคนสวยของตนเองมากอดนอนร่วมเพศ ในบ้านตนเองนั่นเอง  อะไรจะขนาดนี้  เนื่องจากไม่รู้จักความพอเพียงความพอดี นั่นเอง

16.

 เรื่องอื่นๆ ทั้งหมด  มันเกินไปจากความพอเพียง  พอดีแก่ชีวิตทั้งนั้น  ออกไปเกินความพอเพียงไปหมด แบบไม่รู้สึกว่าดีชั่วอย่างไร  ไม่เห็นว่าธรรมะมีประโยชน์แก่ชีวิตอย่างไรเลย  คนดีบอกให้ไปฟังพระเทศน์ มันบอกว่าไปฟังสาวนักร้อง  เปิดกระโปรงชะเวิบะวาบ  นั้นดีกว่า   อ้างว่าเป็นประชาธิไตยแล้ว  มาสั่งมันไม่ได้      จึงทำให้เกิดทุกข์ ทั้งทุกข์ทางกายและทางใจกันไปหมดทั้งโลกขณะนี้ …..ในเรื่องเศรษฐกิจ ก็ออกไปนอกทางทฤษฎีเศรษฐกิจแบบพอเพียงของในหลวงล้นเกล้าฯของเรา  มีแต่หวังกำไรแบบง่าย ๆ  ไม่ต้องออกแรงทั้งนั้น    อะไรที่เห็นสวย ๆ งาม ๆ จึงเป็นเพียงภาพที่หลอกลวงเท่านั้นเอง แต่ความจริงล้วนซ่อนแฝงทุกข์แสนสาหัสเอาไว้  คนแบบนี้ต่างหากที่น่าเกรงกลัว คือคนนุ่งผ้าขาวม้า

17.

แต่ในสยามประเทศวันนี้ ที่มีสิ่งที่น่าพอใจก็คือ  คนชั้นภูมิแผ่นดิน คือชาวนา ชาวไร่คนส่วนใหญ่ของประเทศเขาได้โน้มไปสู่การใช้ทฤษฎีความพอเพียง และเศรษฐกิจแบบพอเพียง กันอย่างเป็นกระแสแรงขึ้นแล้ว พวกเขากำลังนำประเทศทั้งประเทศเข้าสู่กระแสความพอเพียงอย่างเต็มตัว   นี่แหละทางที่ถูกต้อง ทางตรงแล้ว สำหรับประเทศไทยวันนี้   ที่จะนำไปสู่ความมั่นคงของประเทศ  ไปสู่ความสงบสุขที่แท้จริง  และเป็นประเทศที่มีเสน่หาน่ามาท่องเที่ยวพักผ่อนของคนทั้งโลกในอนาคต เป็นแดนที่ไม่มีคนแก่งแย่งกันเอาดีเอาเด่นเอาดัง  ไม่มีใครอยากได้ อยากดี  อยากเด่น  อยากดัง อยากเป็นนั่นเป็นนี่ จนเกินความพอดี ความพอเพียงไปนั่นเอง

18.

ก็เรื่องความพอเพียง หรือธรรมะแห่งความพอเพียงนี้ พระพุทธองค์ทรงสอนเป็นเรื่องแรกเลย ตั้งแต่ปฐมบท คือธัมมจักกัปปะวัตตนะสูตร แล้วหากแต่เป็นการซ่อนแฝงหลักธรรมอันสำคัญไว้  และ เพียงแต่ท่านสอนคนอินเดีย ด้วยภาษาอินเดีย  คนอินเดียเขาฟังเข้าใจ จึงสำเร็จอรหันต์ไปตาม ๆ กัน   แต่เมื่อมาถึงเมืองไทย อ้างว่านี่แหละคำพระพุทธเจ้าสอนแต่บทต้นเลย  เอาคำที่ทรงพูดแรกเลยนั้นแหละมา   แต่เอาคำอินเดีย(บาลี)มาพูดให้คนไทยฟังพระไทยฟัง  ก็ฟังไม่รู้เรื่องมาจนถึงทุกวันนี้   ขนาดบวชมาจวนจะตายแล้วก็ยังไม่รู้เรื่องเลย ....มันก็ไม่สำเร็จโสดาบันสักทีไม่ต้องอรหันต์หรอก

19.

ก็ที่พระองค์เริ่มสอนเรื่องอริยสัจ 4  อันเป็นเรื่องทรงคุณค่าล้ำเลิศ เพราะเป็นเหตุให้คนทั้งหลายบรรลุอรหันต์ไปตาม ๆ กันได้ต่อมาถึงทุกวันนี้   ที่คนยุคนี้คิดกันไม่ถึงก็คือเรื่อง อริยสัจข้อที่ 2   สมุทัย( เหตุของทุกข์) อริยสัจข้อที่ 2  นั้น ว่าทุกข์นั้น  มาจากเหตุ 3 อย่างคือ (1.) กามตัณหา (2.)  ภวะตัณหา  (3.)  วิภวะตัณหา  มาถึงทุกวันนี้ พระองค์บอกให้มองดูให้เห็นความจริงด้วยปัญญาตนเองเพราะพระองค์เองก็มีประสบการณ์ทางปัญญามาเต็ม ๆ จนตรัสรู้เป้ฯพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ดังที่ทรงย้ำให้ฟังตลอดเรื่อง 5 อุทะปาทิ  คือ  จังขุงอุทะปาทิ,  ญานังอุทะปาทิ ,  ปัญญาอุทะปาทิ,  วิชชาอุทะปาทิ,  อาโลโกอุทะปาทิ . นั่นเองอุทะปาทิทั้ง 5 นี้ คือเรื่องเดียวกันคือ  ปัญญา นั่นแหละ ...รูปธรรมก็ทำแบบนักศึกษา นักวิจัยเขา นักการศึกษาเขา แบบทำอย่างไรจึงได้ถึงปริญญาเอกนั่นเอง ใช้ปัญญาทั้งสิ้น

20.

นักปราชญ์ทุกวันนี้  ไม่สามารถอธิบายได้ว่า  ตัณหาทั้ง 3 คืออะไร ซึ่งนั่นบอกว่าเราไม่มีคนผู้มีประสบการณ์ในเรื่องอริยสัจ 4 เลยนั่นเอง  จริงอยู่มีการอธิบาย  แต่อธิบายไปตามหลักภาษาต่างประเทศ(บาลี)ไม่ใช่การอธิบายไปอย่างมีประสบการณ์มาแล้ว  เช่นเรื่อง กามตัณหา ก็พอเข่าใจกัน ว่าเรื่องเกี่ยวกับความรักความใคร่  รูป  รส  กลิ่น  เสียง  สัมผัส แต่ก็ยังบกพร่อง เพราะไม่อธิบายไปถึงทางปฏิบัติที่เอาชนะกามตัณหาได้อย่างสิ้นเชิง เช่นเรื่องกสิณ 10 มีอศุภะกสิณ เป็นต้น  ไม่มีใครอธิบายทางปฏิบัติได้เลย  และที่ดูจะไม่เข้าใจกันเลยก็คือ  ภวะตัณหา วิภวะ ตัณหา คืออะไร   จริงอยู่ ภวะตัณหา อธิบายไปว่า  ความอยากมี   อยากเป็น   อยากได้  แต่ไม่อธิบายต่อไปว่าอยากมี   อยากเป็น  อยากได้  ในอะไร ?  และวิภวะตัณหา คือสิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามภวะตัณหา  เข้าใจภวะตัณหาก็เข้าใจวิภวะตัณหา     จริงอยู่  มีนักจิตวิทยาฝรั่ง พยายามเอาเรื่องนี้ไปเขียนในเชิงจิตวิทยา ว่า ภวะตัณหาคือ  ความมีปมเด่น อยากเด่น  อยากดี  อยากเป้น  อยากได้    วิภวะตัณหาความความมีปมด้อย ทรมานตนไปไม่รู้จบ เพราะอยากได้ อยากดีอยากเด่นกับเขามั่ง  จนต้องหลงลืมตัวไปแสวงหามาด้วยวงิธีเลวร้าย โง่เขลาผิดกฎหมายบ้านเมือง ผิดธรรมะต้องรับโทษไปอยู่ในคุกแทนบ้าน    ปมเด่นและปมด้อย เป็นเรื่องที่คนทั้งหลายมีประจำตัวประจำความเป็นมนุษย์   นี่แหละที่พระพุทธเจ้าให้เอาออกไปเสียจากจิตใจให้หมด ทั้งปมเด่น  ปมด้อย  ก็จะสำเร็จอรหันต์   …. ซึ่งปราชญ์ฝรั่งท่านนี้ก็ยังดูจะอธิบายไปเป็นแนวทางเพื่อการกำจัดภวะตัณหา   อีกทางหนึ่งเท่านั้น  ยังต้องศึกษาให้รู้แจ้งจริงเรื่องภวะตัณหา  วิภวะตัณหา  คืออะไร?  ละเอียดไปกว่านี้อีก 

21.

อย่างไรก็ดี รูปธรรมนั้นก็คือทำความอยากตรงนี้ให้หมดไปจากดวงใจของเรา  คือ ความอยากดี อยากได้ อยากเด่น อยากดัง  อยากใหญ่มีอำนาจ  อยากมีทรัพย์   อยากเป็นหัวหน้าเขา ไม่อยากต่ำต้อยด้อยค่า อยากเป็นสส. สว.  เป็น รัฐมนตรี  นายกรัฐมนตรี  อย่างเกินความพอดีพอเพียง ถึงกับใช้อุบายเล่ห์กลต่าง ๆ  มาหลอกลวงประชาชน    แม้ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์  ให้ตนได้เป็นประธานาธิบดี   อยากมีแสง  ก็ไม่อยากขี้เหร่  ไม่อยากดำ ผมหยิกหน้างอ สวยเหมือนตอหม้อ  อยากงาม  อยากโก้ เกินความพอเพียง เกินความพอดี จนหลงใช้อุบายหามาแบบทุจริตคิดมิชอบ ....อันเป็นภวะตัณหา และวิภวะตัณหา นั่นเอง   ทำลายความอยากพวกนี้  ทำลายภวะตัณหา วิภวะตัณหาพวกนี้ เสียจากใจ  ให้ใจไม่มีความอยากพวกนี้ ก็สำเร็จอรหันต์ได้เท่านั้นเอง

22.

คำว่าเหตุ ก็คือสิ่งที่มันสร้างปัญหาให้เรา   มันเป็นเหตุร้าย จึงสร้างปัญหา อันเป็นผลร้ายขึ้น  ในคำสอนอริยสัจ 4 นี้  มองอย่างครอบคลุมทั้งหมดทั้งชีวิตในอดีต  ปัจจุบัน  และอนาคต เลย   สมุทัย คือตัวเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ยากลำบาก  ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต  ทำให้มีการเกิด  เติบโต  มีการแก่   การเจ็บและการตาย มีมาแล้วในอดีตไม่รู้กี่ล้าน ๆ ปี  มาถึงปัจจุบันก็เป็นเหมือนเดิม คือ เกิดมาแล้วเติบโตไปแก่  เจ็บ  และตาย ลงอีก   เลยไปถึงอนาคต  ก็จะมี ตายแล้วเกิดมาใหม่  ก็จะไม่พ้นแก่ ไม่พ้นเจ็บ  ไม่พ้นตาย เหมือนเดิม  อยู่เช่นนี้ มาในอดีตจนเห็นเองด้วยปัญญาว่าเป็นมาไม่รู้กี่ล้านล้านรอบแล้ว  แต่ละรอบก็มาเกิด เติบโต  แก่  เจ็บ  ตาย  แล้ว  เกิด  ...แบบนี้มานับอนันตชาติแล้ว  ที่เป็นเช่นนี้มาจากเหตุคือ  กามตัณหา ภวะตัณหา  และ วิภวะตัณหา มีสะสมอยู่ในจิตใจมนุษย์ก่อนตายลงไป ไม่รู้หมดสิ้นไปเลยนั่นเอง 

23.

พระพุทธเจ้าจึงทรงค้นพบมา ทรงพิศูจน์แล้วว่า  เหตุอะไร  ผลอะไร   เหตุคือ  กามตัณหา+  ภวะตัณหา + วิภวะตัณหา  เมื่อเอาเหตุทั้ง3นี้ออกไปหมด  มันก็เกิดผลขึ้นมาเองคือ  นิโรธ-นิพพาน   เอาเหตุออกหมดเท่านั้นเอง  ผลมันเกิดตามมาทันที  นี่แหละหลักวิทยาศาสตร์  ที่นักวิทยาศาสตร์รุ่นเริ่มแรกคิดจะบินให้ได้เหมือนนก มาคิดสร้างเครื่องบิน ก็เพราะผลจากอริยสัจธรรมเรื่องเหตุและผลของพระพุทธเจ้าในอริยสัจ4 นั่นเอง   เอาไปเริ่มศึกษาเชิงวิทยาศาสตร์สืบมาทุกวันนี้  วันนี้ ในเมื่อนี่เป็นหลักวิทยาศาสตร์จึงให้เอาเหตุ3ประการนี้ออกไปจากจิตใจให้หมดเกลี้ยงจริง ๆ  เท่านั้นก็เกิดมีพระอรหันต์ขึ้นมาในวันนี้ได้

ท่านลองพิจารณาอริยสัจ 4  1. ทุกข์  มาจากเหตุคือสมุทัย นิโรธ คือผล  และมรรค 8 ทางปฏิบัติเพื่อให้พ้นทุกข์   ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา  สมุทัยท่านว่าคือ เหตุ  อะไรล่ะคือผล ก็นิโรธ    ที่คู่กันโดยตรงคือ  เหตุ สมุทัย  กับ  ผล นิโรธ  นี่คือหลักวิทยาศาสตร์อุบัติขึ้นพร้อมกับการเกิดมาของพระพุทธเจ้านั่นเอง   ท่านจงเอาเหตุ กามตัณหา  ภวะตัณหา  วิภวะตัณหา ออกไปให้หมดจากดวงจิต  เท่านั้นเอง  ผล คือนิโรธ หรือ นิพพาน   ก็เกิดขึ้นเองทันที  เหมือนเรากดสวิตไฟ   กดเปิดไปก็สว่าง  กดปิด  ไฟก็ดับ  ไม่ต่างกันเลย เราล้างตัณหาทั้ง 3เสร็จเมื่อไร  นาที วินาทีใด   ก็สำเร็จอรหันต์ทันทีเมื่อนั้น

24.

ก็อย่างปัญจวัคคีทั้ง 5  อย่างมหากัสสปะ   อย่างองคุลีมาลย์โจรแท้ ๆ  เพียงฟังคำว่าเราหยุดแล้วแต่เธอยังไม่หยุด  ก็สำเร็จอรหันต์   อีกองค์หนึ่งทรงบอกให้เอาผ้าขาวผืนนี้ไปแขวนไว้แล้วลูบทุกเช้าทุกเย็นลูบผ้าขาวไป 3วัน สำเร็จอรหันต์   และมาองค์สุดท้ายคือวันเสด็จปรินิพพาน ก็แค่ฟังพระองค์ตอบคำถามว่า มีรอยเท้าบนท้องฟ้าหรือไม่  ทรงตอบว่า ไม่มี   ถามอีกว่า มีผู้ที่ไม่ตาย   ไม่แก่ ไม่เจ็บไม่ตายหรือไม่  ทรงตอบว่า  ไม่มี   ถามสุดท้าย มีพระอริยบุคคลทั้ง 4 โสดาบัน  สกทาคามี  อนาคามี และอรหันต์ ในศาสนาอื่นหรือไม่  ทรงตอบว่า  ไม่มี มีแต่ในพุทธศาสนาเท่านั้น ก็บรรลุอรหันต์   เป็นอรหันต์องค์สุดท้าย ที่บรรลุเร็วยิ่ง   ... มันก็มาเกี่ยวกับตัณหาทั้ง 3 ประการทั้งสิ้น   คือสำเร็จเร็ว หรือ สำเร็จช้า   อย่างอานนท์พุทธอุปปัฏฐาก  อยู่กับพระพุทธเจ้าคอยอุปปัฏฐากตลอดเวลา และทั้งได้ฟังธรรมะทุกบทที่พระพุทธเจ้าสอนคนทั้งหลาย  แต่ไม่สำเร็จอรหันต์จนแม้เสด็จปรินิพพาน ก็ยังไม่สำเร็จ   แต่พอจะสำเร็จ  ก็สำเร็จเอาตอนที่นั่งอยู่ แล้วบังเอิญจะเอนกายลงกับพื้นจะนอน ตำราว่า กำลังเอนกายลงนั่นเองก็สำเร็จอรหันต์  ..........ซึ่งหากท่านเข้าใจว่า มันเป็นเพราะเหตุสลายไปเวลาไหน วินาทีไหนก็ตาม มันก็มีผลเกิดขึ้นมาทันทีเวลานั้นวินาทีนั้น  ก็นี่แหละหลักวิทยาศาสตร์ซึ่งต่อมา  อัลเบิร์ต ไอสไตน์ จึงได้มาพบและบรรลุอรหัตตผลไป  จึงซาบซึ่งในความดีของพระพุทธศาสนา อ้างได้ว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียวที่เหมาะแก่ยุควิทยาศาสตร์ และไม่เฉพาะโลกเราแต่ทั้งจักรวาล..... มีคนที่ไหนในโลกยุคนี้ รู้ความจริงอย่างไอสไตน์บ้าง ?

25.

ก็มาดูเรื่องชีวิตที่พอเพียงต่อไป เพราะมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับอริยสัจข้อที่2 –ข้อที่ 3 คือเหตุกับผล สมุทัย- มรรคผลนิพพานของพระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนแต่ต้น ให้สาวกประพฤติเรื่องความพอเพียง   อย่างที่ว่าสวดมนต์กันทุกเช้าทุกเย็น

..... ปะฏิสังขา  โยนิโส  จีวะรัง ปะฏิเสวามิ  ฯลฯ   เรื่องปัจจัยที่1 จีวร เครื่องนุ่งห่ม ให้พอเพียงอาแค่สามผืนก็พอใช้ไปได้ตลอดชีวิต

..... ปะฏิสังขา  โยนิโส  ปิณฑะปาตัง ปะฏิเสวามิ  ฯลฯ เรื่องปัจจัยที่ 2  อาหารบิณฑบาต กินเพื่อมีชีวิตอยู่ได้ไม่ใช่กินเพื่ออเร็ดอร่อยเพิ่มพลังทางกาม

..... ปะฏิสังขา  โยนิโส เสนาสะนัง  ปะฏิเสวามิ  ฯลฯ  เรื่องเสนาสนะ ที่อยู่อาศัย พอเพียวพอหลบฝนหลบลม หลบคนร้าย พอได้ปฏิบัติธรรมสมาธิ วิปัสนาเท่านั้นก็พอ

..... ปะฏิสังขา  โยนิโส  คิลานะปัจจะยะเภสัชชะปะริกขารัง  ปะฏิเสวามิ  ฯลฯ  เรื่องยารักษาโรค เพื่อให้ร่างกายเป็นปกติใช้ประโยชน์ต่อไปได้  ไม่ต้องไปบำรุงตกแต่งให้มากเกินความพอดี พอเพียงเลย 

26.

พระพุทธเจ้าท่านเพียงให้ชีวิตเป็นอยู่แบบพอเพียง ในปัจจัย 4  เกิดมาแล้วให้ปัจจัย 4 เลี้ยงชีวิตก็พอแล้ว   ให้สนใจเรื่องเดียวเท่านั้น ว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของชีวิต นั่นคือให้ชีวิต ได้เรียนรู้ รู้แจ้งความจริงของชีวิต  คือ อริยสัจ 4 ประการ(ทุกข์  สมุทัย  นิโรธ  มรรค) และนั่นคือขอให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพานแม้ได้เป็นพระอริยบุคคลโสดาบัน ก็ถือว่ายอดเยี่ยมสุดประเสริฐแล้วเพราะโสดาบันคือได้เข้าสู่กระแสมรรคผลนิพพานแล้ว มีแต่ ไปสู่กระแสใหญ่ ไปเรื่อย ไม่มีถอยกลับ จนถึงอรหันต์ จบสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง เสมือนกระแสธารทั้งหลายไหลลงสู่มหาสมุทร์ใหญ่นิ่งสงบ  ซึ่งคนยุคนี้มีสิทธิบรรลุง่าย ๆ ด้วยเพียงความเข้าใจ ชีวิตนั้นเอง   ให้เข้าใจเรื่องเกิดมาทำไม   เข้าใจเรื่องความพอเพียงของชีวิต

27.

และนั่นแหละ ความพอเพียงของชีวิต  จึงอยู่ที่ความพอเพียง 4 อย่าง และแต่ละอย่างก็มีความพอเพียงเพื่อเลี้ยงชีวิตให้อยู่ได้  เท่านั้นเอง  อย่าให้ชีวิตออกไปสู่กระแสภายนอก   นอกความพอเพียง   ถ้าเกินออกไปนอกความพอเพียงแล้ว ชีวิตนั้นก็เปลืองเวลาของชีวิต  ดังจะเห็นว่าชีวิตของคนทั้งชีวิตไม่มีทำอะไรเลยนอกจากกระหายเงิน  หาเงิน หาทอง สมบัติพัสถาน แม้เป็นถึงเศรษฐีมหาเศรษฐีแล้ว  ความโลภ ความโกรธ ความหลงก็มาเร่งให้หาเพิ่มไปกว่าเดิมอีกแทนที่จะทำความดี เอาเงินเราไปทำความดีให้เยอะแยะ  ทำให้ไม่มีเวลาศึกษาธรรมะ ไม่รู้ทางไปสู่มรรคผลนิพพาน   เสียชาติเกิดไปเปล่า ๆ    ตายไปแล้วก็เอาสมบัติพัสถานไปไม่ได้

28.

ประเด็นสำคัญก็คือ   เราฟังพระพุทธเจ้าสอนไม่รู้เรื่อง  ทรงบอกแต่ต้นแล้วเรื่องความพอเพียง  หากเกินความพอเพียงไป นั่นคือการเพิ่มพูนตัณหา3ประการที่เป็นต้นเหตุ  แห่งทุกข์ นั่นเอง  จึงทรงสอนให้พระสาวก พุทธบริษัททั้งหลาย  ใช้ชีวิตนี้ทำงานสำคัญคือ  จงใช้ชีวิตที่เป็นอยู่ ทำลายตัณหา3ประการให้ได้แล้วก็จะบรรลุมรรคผลนิพพาน  ทีทรงตรัสว่าอริยสัจข้อที่ 3 คือ  นิโรธ  นิโรธ คืออะไร แทบไม่ต้องไปหาคำตอบ  มันเป็น ผล  ของ  เหตุคือ สมุทัย3 ประการกามตัณหา ภวะตัณหาวิภวะตัณหา นั่นเอง มันเกิดเองหลังจากเอาเหตุ 3 ประการออกไปหมดเกลี้ยงจากจิตใจแล้ว

29.

และเรื่องความไม่รู้จักพอในปัจจัยของชีวิตประการต่าง ๆ นับแต่เรื่อง  อาหาร  เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย  ยารักษาโรค หากินหาใช้ให้พิเศษ มากมายไปกว่าเดิมอีก หาเงินหาทองมาให้ได้อาหาร เข้าภัตตาคารอาหารดี ๆ  โต๊ะละ 1แสนบาท ไปเที่ยวรอบโลก   ได้เสื้อผ้าอาภรณ์ชุดละหมื่นบาท  แสนบาท  ยืมเงินเขามาซื้อ     สร้างบ้านใหญ่โตมโหฬาร  เจ็บป่วยไปรักษาต่างประเทศเสียเงินมาก ๆ อวดคนจนตายไปก็ไม่เห็นได้ประโยชน์เกิดมาเปล่า ๆ    นี่แหละสถานการณ์  ความไม่พอเพียง เป็นไปในทางทุจริต  ที่ทรงตรัสว่า  ภวะตัณหา  กับ  วิภวะตัณหา  นั่นเอง

30.

คือคนทั้งหลายตกอยู่ใต้ตัณหาความอยาก กามตัณหา  ภวะตัณหา  วิภวะตัณหา    อยากเป็น   อยากมี  อยากได้ ในปัจจัยแห่งชีวิตเกินความจำเป็นไป เกินความพอดีไป  ไม่รู้จบรู้สิ้น  เกินปัจจัย 4   หวังให้ตนมีอำนาจ  มีความใหญ่ ให้คนทั้งหลายก้มกราบไหว้ ไม่กล้าสบตา อยากมั่งคั่งร่ำรวยมหาศษล   ทรัพย์สินเงินทอง  ทาสบริวาร  ให้คนนับถือ  คนเกรงกลัวอำนาจวาสนาของตน  คิดเพิ่มพลังอำนาจตนไปเรื่อย ๆ อย่างไม่เป็นธรรม  นี่แหละ  ภวะตัณหา ตัณหาที่เราต้องฆ่าทิ้งให้หมด  จึงจะสำเร็จอรหันต์ได้

31.

มาเข้าใจเสียเถอะว่า หากเราต้องการอะไรเกินไปจากความพอเพียง   เกินไปจากปัจจัย 4 มีปัจจัย 5 – 6 – 7 ถึง 100 ถึง  1000ปัจจัยชีวิต  หรือแม้  นับไม่ถ้วนเลย......  และแต่ละอย่างในปัจจัย 4  ก็ยังเกินไปอีก   เรื่องอาหารก็ต้องให้พอเพียง   เครื่องแต่งกายก็พอเพียง  ที่อยู่อาศัย รถรา ยานพาหนะ  ก็ให้พอเพียงแก่ฐานะตน  ยารักษาโรค  ก็พอเพียงแก่โรค อย่าไปคิดอวดอำนาจ  บารมียิ่งใหญ่ ทำนองนั้น     นั่นแหละคือ  การเสริมเพิ่มพูน ภวะตัณหา  ความอยากเป็น  อยากได้   อยากดี   อยากเด่น อยากมีอำนาจ    รวมไปถึงวิภวะตัณหา  ความฝ่อ  ความเป็นปมด้อย   ในเมื่อเราไม่มีดี  ไม่มีได้   ไม่มีเด่น อย่างเขา เช่นมีบ้านอยู่เหมือนกระต๊อบเล็ก ๆ  ก็อับอายเขา   มีเครื่องแต่งตัวไม่งดงามราคาแพงอย่างเขา ก็อับอายเขา ชีวิตไม่มีความสุข ต้องหามาทุกวิธีทาง   แม้ไปโกง ไปปล้นเขาก็เอา   อย่างนี้แหละกลายเป็นทาสของตัณหาครอบตัวเองไปกว่าเก่าอีก   ยากแก่การจะได้เข้าทางมรรคผลนิพพาน

32.

สรุป  ทางมรรคผลนิพพานทางพ้นทุกข์นั้น   อย่าให้มีความอยาก  ความอยากเป็นนั่นเป็นนี่   เกินไปจากความพอเพียง    พยายามองเห็นความจริงว่าชีวิตจะไร้ค่า  หากไม่รู้ทางแห่งมรรคผล นิพพาน   ก็จะเกิดมาตายเปล่า   แต่เพียงรู้จักความพอดี พอเพียง พอมี  พอใช้  พอได้  พอมีชีวิตอยู่ พอให้ได้ฆ่าตัณหา 3 ตัวให้หมดเกลี้ยงไปจากใจเท่านั้นเอง   ทำแต่ความดีละเว้นความชั่ว  เอามรรค 8  หรือ  นิโรธคามินีปฏิปทา  ในแบบ มัชฌิมาปฏิปทา  ทั้ง 8 ข้อเป็นวิถีชีวิต นั่นแหละจะค่อยประหารไตรตัณหากวาดเกลี้ยงไปได้   แล้ว นั่นแหละ  เหมือนเหตุหมดไป  ผลดีก็เกิดขึ้นเหตุคือ  สมุทัย  เหมือนกองเพลิงใหญ่  เมื่อเอาเหตุคือเชื้อเพลิงออกไปเสียหมดสิ้น  เพลิงก็สงบลง  หายไปเอง นั่นคือ   เอากามตัณหา  ภวะตัณหา วิภวะตัณหา  ออกไปหมดจากดวงใจแล้วผลก็เกิดขึ้นแทนทันที นั่นคือ  นิโรธ หรือนิพพาน   นั่นเอง  และนั่นแหละอรหันตบุคคล

33.

ผู้พ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง  นั่นก็คือไม่กลับมาเกิดใหม่มาหมุนวนต่อไปไม่รู้จบสิ้นในวัฏฏะ เกิด แก่ เจ็บตาย  แล้วกิดใหม่   เพราะเกิดมาก็ไม่รู้เหตุรู้ผลแห่งความเป็นไปของชีวิตที่หมุนวนในห้วงทะเลทุกข์ ไม่มีวันออกไปได้เลย ว่ามาจาก  กามตัณหา  ภวะตัณหา  และวิภวะตัณหา 3 อย่างนี้นั้นเอง  รวมเอาคำว่ากิเลส ตัณหา  อปาทาน มาไว้ที่3 ตัณหานี้หมด   ครั้นได้มีความรู้แจ้งความจริง  ทำลายกามตัณหา  ภวะตัณหา วิภวะตัณหา ได้แล้ว  ก็เป้ฯการจบลงของชีวิต  ที่เป้ฯทาสแห่งทุกขัง  อนิจจัง   อนัตตา ลงหมดสิ้น

มองตามแนววิทยาศาสตร์อย่างนี้    เป็นสิ่งประเสริฐ เลอเลิศที่เกิดขึ้นได้ ตั้งแต่มีสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโปว่า คนดีคนประพฤติชอบมีอยู่ตราบใดโลกไม่ว่างเว้นจากพระอรหันต์  นั้นเอง

34.

และมาถึงบทสรุปที่ว่าคนดี นั้น  ในที่นี้ก็คือ   คนที่รู้จักความพอดี  ความพอเพียงของชีวิต ให้ใช้ชีวิตเพียงทำประโยชน์ในการชำระ ล้างตัณหาทั้ง 3 ตน  ฟอกออกไปจากจิตใจให้เกลี้ยงเกลา  เพื่อได้ความสะอาด บริสุทธิของจิตใจ  ไม่มีด่างพร้อยเหมือนเดิมอีก  และนั่นแหละ จักเป็นการชำระซึ่งต้นเหตุ แล้วผลที่ได้รับนั้นเป็นนิพพาน   สิ่งแสนประเสริฐล้ำเลิศ  มีค่าเกินกว่าการลงทุนด้วยชีวิตที่มีความพอดี พอเพียงไปอีกเหลือเปรียบประมาณได้   เพราะเป็นการจบลงของชีวิตจากการหมุนวนในวัฏฏะสงสารมานับล้าน ๆ รอบ  และจบลง  ไม่ไปต่ออีก  จบลงวันนี้ นาทีนี้  วินาทีนี้  แบบที่นี่และเดี๋ยวนี้เลย   ในเมื่อชำระเหตุปัจจัยไปหมดสิ้นแล้ว  ไม่มีไปต่อนับล้าน ๆ รอบในอนาคต  

35.

รู้ว่าชีวิตต้องการอะไร

และรู้ว่า ความพอเพียงนั้นคือ ทางปฏิบัติเพื่อเอาชนะภวะตัณหา  วิภวะตัณหา  นั่นเอง 

หากปฏิบัติ ความพอเพียงไม่ได้  ก็ไม่มีทางสำเร็จอรหันต์ 

เป็นชีวิตที่เกิดมาทำชั่วและตายเปล่าเท่านั้นเอง

หากแต่ว่าการทำชีวิตไปอย่างพอเพียง  ปัจจัย 4 พอเพียง ตามคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และรวมถึงการทำการเศรษฐกิจในแบบเศรษฐกิจแบบพอเพียงของในหลวงของเรา สำหรับยุคนี้นั้น   นั้นแหละคุณค่าที่ล้ำเลิศ  มันกำลังพิศูจน์ว่าเป็นวิถีทางแห่งความสงบสุขของมวลหมู่มนุษย์ทั้งหลาย และที่เหนือไปกว่านั้นก็คือ  มันเดินไปถูกทางสู่อริยมรรคอริยผลคือมหานิพพานแล้ว  ทางที่ค่อย ๆ กำจัดมารตัณหาทั้ง 3 ให้วอดวาย สลายหายไปตามลำดับ  จนถึงที่สุดแห่งตัณหาทั้ง3เกลี้ยงหมดไปจากดวงจิตแล้วเท่านั้นเองก็ลัดสู่อรหัตตมรรค อรหัตตผลเลยทีเดียว

โลกทั้งโลก ก็สงบสุขลงพร้อมกันทันที

เร่งพากันประพฤติเข้าเถิด  จงดำริชอบอยู่ตลอดเวลาว่า มันเป็นเรื่องเหตุและผล วิทยาศาสตร์นั้นเอง   ทำเหตุให้หมดไปได้เท่านั้นเอง  ผลคือนิโรธ-นิพพาน ก็เกิดทันที ที่นี่และเดี๋ยวนี้  นั่นแหละบรรลุอริยบุคคล อรหันต์สมบูรณ์ทันที  สวัสดี  ขอจงสำเร็จ ๆ ๆ ๆ ๆ เทอญ

**********

 

 

 

 

 

 

Thai

เรื่องราวของชีวิต ตอนที่ 3

1.

ทำไมชีวิตหนึ่ง ๆ จึงแตกต่างกันมากเหลือเกิน  เช่นเศรษฐี  มหาเศรษฐี   กับยาจกวณิพก  คนขอทาน

ในเมื่อมีอวัยวะต่างๆ เหมือนกันหมด มีหู  มีตา  มีจมูก  มีลิ้น  มีขา  มีแขน   มีสมอง  มีตับ  มีไต มีอวัยวะทั้งปวง เหมือนกันหมด

2.

มันก็ต่างกันแบบนี้แหละเป็นธรรมดา  ไม่สำคัญอะไรเลย

ก็ดูมือ  ดูนิ้วมือ  ทั้ง 5 นิ้วสิ  มันยังยาวยังสั้นไม่เท่ากันเลย

คนแต่ละคน ออกมาจากท้องมารดาคนละคนกัน  แม่มันดำลูกมันก็ดำ  แม่มันขาวลูกมันก็ขาว  แม่มันตัวเล็กตัวเตี้ย ลูกมันก็ตัวเล็กตัวเตี้ย   พ่อมันตัวโตตัวใหญ่  ลูกมันก็ตัวโตตัวใหญ่

ตามเผ่า ตามพันธุ์มันนั่นเอง 

อย่างฝรั่ง  มันก็ดังโม  คือจมูกมันโตใหญ่   คนไทยก็จมูกแฟบ  จนมาวันนี้คนไทยก็เสริมจมูกกันโตแบบฝรั่งไปหมด

เรียกว่านิยมฝรั่งก็ว่าได้

3.

เราอยากมาสู่ประเด็นว่าด้วย ความทุกข์  ความสุข   มันเกิดจากอะไร

ทำไม แม้กระทั่งเป็นเศรษฐี มีทรัพย์มากมาย  กินทั้งชาติก็ไม่หมด  แต่ทำไมจึงดูมีแต่ความทุกข์  วันหนึ่ง ๆ มีแต่ปัญหาของชีวิต   ไม่มีความอยู่นิ่งเป็นสุขเลย   มันเกิดอะไรขึ้น  มันเป็นไปได้หรือที่มหาเศรษฐี จะมีแต่ทุกข์ยากลำบาก เต็มไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บป่วยไข้  คือชีวิตที่ทุกข์ทรมานไปวันหนึ่ง ๆ  ไม่เคยเห็นเลยว่ามีความสุขเลย

4.

อย่างเช่นคน ๆ หนึ่งในประเทศไทยวันนี้  ที่ได้เคยเป็นนายกรัฐมนตรี มีน้องเขยเป็นนายกรัฐมนตรี  มีน้องสาวเป็นนายกรัฐมนตรี   มีลูกสาวเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง เตรียมเป็นนายกรัฐมนตรี   ก็นายทักษิณ ชินวัตร นั่นเอง  เดิมเป็นตำรวจ  พ.ต.ท.  เขาถอดยศ  ฐานมีความประพฤติไม่สมแก่ฐานะนายตำรวจ  ต่อมาให้น้องสาวเป็นนายกรัฐมนตรี  ก็โกงบ้านโกงเมืองเหมือนพี่ชาย  เช่นคดีจำนำข้าวไปเหมือนพี่ชาย เขาฟ้องศาลเหมือนพี่ชายเลย ศาลให้ลงโทษ 5 ปี   ตำรวจจะจับไปเข้าคุก ก็หลบหนีไปต่างประเทศ จนถึงทุกวันนี้  ก็เอ่ยชื่อได้ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั่นเอง

5.

สำหรับนายทักษิณ ตอนเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ไปใช้ตำแหน่งหน้าที่โกงเงินหลายอย่าง  หลายคดี  จนศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุก รวมกันถึง 10 ปี  ก็ไม่ยอมรับโทษ    หนีการจับกุมคุมตัวของตำรวจ ที่เขาจะเอาไปเข้าคุก  หนีไปอยู่ต่างประเทศ  ทำธุรกิจอยู่ต่างประเทศ   แต่ประเทศที่เจริญเช่นอังกฤษ เขาไม่ให้เป็นพลเมืองของเขา  เพราะเขาไม่รับคนโกงเป็นพลเมืองของเขา  เขาไม่รับทั้งพี่ทั้งน้อง   ก็ตระเวนไปประเทศต่าง ๆ  จนถึง 17 ปี  จนที่สุดถูกต่างประเทศขูดเลือดจนเงินหมดเกลี้ยงกระเป๋า  เลยกลับคิดถึงเมืองไทย สำนึกว่าไทยคือแผ่นดินแม่  ไม่มีแผ่นดินไหนดีเท่าแผ่นดินไทย  จึงยอมกลับมารับโทษ  ขี่เครื่องบินส่วนตัวมาลงสนามบินสุวรรณภูมิ  เมื่อเดือน ส.ค.2566 ปีกลายนี้เอง   แต่ ก็โกงเหมือนเดิม  คือศาลลดโทษ 10 ปี เหลือ 8 ปี ให้ไปเข้าคุก   ก็ไม่ยอมเข้าคุกไม่ยอมเป็นนักโทษ  แล้วโกงต่อ จนได้รับอภัยโทษ เหลือโทษ 1 ปี  ไปอยู่ ร.พ.ตำรวจ ชั้น 14

6.

ประเด็นคือ ขนาดนี้ ชีวิตก็ยังร่อนเร่ พเนจร หนีจากบ้านเกิดเมืองนอนไปอยู่แผ่นดินต่างประเทศ   หลายประเทศที่เขาเรียกเอาค่าแผ่นดินเขา เป็นเงินตอบแทนอย่างมากมายมหาศาล แบบไม่มีความปรานีให้   เอาความเป็นเศรษฐีไปจ่ายบำรุงต่างประเทศไปมหาศาล

7.

ก็เพราะทำผิดกฎหมายบ้านเมืองไทยเรานั้นเอง หนีโทษไปถึง 17 ปี จึงยอม จนใจจนความคิดกลับมารับโทษ  หนีไปพร้อมกับน้องสาว ที่ทำผิดกฎหมายเหมือนพี่ชาย  เป็น 2 อดีตนายกรัฐมนตรีไทย พรรคเพื่อไทย  ที่ถูกศาลไทยตัดสินลงโทษทั้งพี่ชายและน้องสาว ที่เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีประเทศไทยทั้งพี่ทั้งน้อง   และบากหน้าหนีแผ่นดินไทยไปอยู่แผ่นดินอื่น   ไปตกทุกข์ได้ยากอยู่ต่างประเทศ  ตามสัจธรรมพุทธศาสนาที่ว่า  สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมนั่นเอง

8.

ทำให้ชีวิต  ขนาดนี้ไม่มีความสุขเลย  ขนาดเป็นเศรษฐี  มหาเศรษฐี ที่โลกจารึกชื่อร่วมกับมหาเศรษฐีโลกหลายคน แต่ทำไมไร้ความสุขสดชื่นของชีวิตไปหมด มีแต่ความเศร้าโศรก ที่พลัดพรากจากพ่อ แม่ พี่น้อง  ภรรยาทีรัก  และบ้านที่อบอุ่น ไปแอบร้องห่มร้องไห้อยู่ต่างประเทศ

9.

นั่นแหละ ผลกรรม  ได้รับผลกรรมชั่วของตัวเอง  ที่โกงบ้านโกงเมือง มันบอกความหมายของ ธรรมะแห่งความพอเพียง ขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  ในเรื่องปัจจัย 4 ของชีวิต ที่เพียงพอเพียงใน อาหาร,  ที่อยู่อาศัย,  เครื่องนุ่งห่ม,  และยารักษาโรค  เท่านั้น   และบอกไปถึงเรื่อง เศรษฐกิจแบบพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 ของเรานั้นเอง   เพราะวิถีทางแห่งความพอเพียงนั้น เอง  เป็นวิถีธรรมปฏิบัติ สู่การตัด ลดละตัณหาสำคัญ 2 อย่าง คือ  ภวะตัณหา  กับ  วิภวะตัณหา ตามสัจธรรมเหตุที่กีดกั้นทางนิพพานหรือนิโรธของพระพุทธเจ้า   ในเมื่อไม่มีความพอเพียงในปัจจัย 4  มีแต่ความโลภมาก ขนาดได้ภูเขาทองคำมาแล้ว ก็ยังคิดหาภูเขาเพชร ต่อไปอีก แบบโกงทุกประการเพื่อให้ตนได้ตามความโลภของมหามารโลภนั้น   นั่นแหละกลับเป็นการหล่อเลี้ยงภวะตัณหา วิภวะตัณหาให้เติบใหญ่ไปเรื่อย และนั่นแล้ว  จะสำเร็จธรรมระดับโสดาบัน ถึง อรหันต์ได้อย่างไร   นี่แหละตัวอย่างที่หลงผิด และเลวทรามของการต่อสู้เพื่อทางมรรคผลนิพพาน  ที่เห็นชัดเจนที่สุด ถึงความโง่เขลา ไม่เข้าใจอะไรเลยเกี่ยวกับตัณหา ในอริยสัจ 4 ขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า    

10.

เพียงรู้จักความพอเพียง  อยู่ในธรรมะแห่งความพอเพียง  ดั่งคำสอนในปัจจัย 4 แด่องค์สงฆ์สาวกนั้น เท่านั้นเองก็กำราบตัณหาทั้ง 3  กามตัณหา  ภวะตัณหา  และ วิภวะตัณหา ได้  นั่นแหละทางที่มหาเศรษฐี  สามารถบรรลุอรหันตบุคคลได้  เสวยสุขในสมบัติอันประเสริฐมหาศาลกว่าสมบัติทางโลกเสียแบบไม่รู้ประมาณได้

11.

และหากชนคนธรรมดา ถึงคนผู้ลำบากยากจน  แต่ไม่มีปมด้อย ไม่ตีความเศรษฐี-วนิพกยาจก ต่ำต้อยด้อยค่า  ทำลายปมด้อยของชีวิต ทำชีวิตให้พอใจกับความพอเพียง  เศรษฐกิจแบบพอเพียง   ด้วยอยู่กับความดี   ความดีเป็นชีวิตทุกลมหายใจเข้าออกแล้ว  หมั่นสำรวจ  สำคัญที่ดวงใจ  ดวงจิต  ดวงวิญญาณ  ที่ต้องชำระ สรรสร้างให้สะอาด บริสุทธิ์ผุดผ่อง  ผ่องแผ้ว  แคล้วจากปัญหาใดใดให้ได้แล้วสะอาด  สว่าง สงบแล้ว  นั่นแหละวิถีทางที่ชำระตัณหาทั้ง3อย่างได้สำเร็จ  และนั่นคือส่งผลสู่นิโรธ-นิพพาน บรรลุอรหันต์ได้ทันใดนั่นเอง   แบบ ที่นี่และเดี๋ยวนี้เลยทีเดียว  และไม่จำกัดเพศ  วัย  เชื้อชาติ  ศาสนา ทุกฐานะทุกระดับมหาอำนาจใดใดเลยทีเดียว

จงเร่งทำให้ได้เถิด  ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ไม่ว่าเศรษฐี หรือกระยาจก......12 ม.ค. 2567

-----

เรื่องราวของชีวิต ตอนที่ 4 

1.

ชีวิตมนุษย์กับต้นไม้

คำถามก็คือ ต้นไม้มันมีความสงบกว่ามนุษย์  มันนิ่ง  แม้จะมีลมพายุพัดมามันก็ไม่ร่ำร้อง  หวาดหวั่นสะดุ้งกลัวอะไรเหมือนมนุษย์เลย

เรียกว่ามันมีความสุขกว่ามนุษย์หรือไม่ ?

มันก็มีความสุขกว่ามนุษย์

มันมีความนิ่ง  สงบ  ไม่หวาดสะดุ้งกลัวอะไรเหมือนมนุษย์

2.

ต้นไม้ มันไม่ได้เรียนหนังสือ  ไม่ได้เรียนรู้ วิจัยธรรมชาติชีวิตดวงดาว ดวงตะวันเหมือนมนุษย์เลย  แต่มันก็อยู่ได้ดี มีความสงบสุข กว่ามนุษย์อีก

ก็ทำไมมนุษย์ ที่แม้เกิดมาก็แสวงหาความรู้ไปไม่หยุดหย่อน  รู้อะไรไปหมด   แต่ทำไมยิ่งรู้มาก  ก็ดูเหมือนยิ่งกลับมาทำลายตนเอง

อย่างวันนี้  ดูจากการสงครามอิสราเอล-ฮามาส  ยูเครน-รัสเซีย

ดูเอาเถิด อาวุธร้ายที่ 2 ฝ่ายรบกันนั้น  ที่ล้วนเกิดจากมันสมอง สติปัญญา ความรู้ของมนุษย์ที่ฉลาดปราดเปรื่องทั้งนั้น

แต่ทำไมจึงเอามาฆ่าฟันห้ำหั่นกันจนตายไปยิ่งกว่าอาหารเสียอีก

3.

มันแปลว่าอะไร ?

มันก็แปลว่ายิ่งรู้มากก็ยิ่งเป็นภัยแก่ตนเอง แก่มนุษย์ด้วยกันเองไม่ใช่หรือ?

สู้ต้นไม้ไม่ได้นี่นะ

4.

ก็มนุษย์นั้นดีที่กลับใจได้

ในอดีต  ในประวัติศาสตร์โลกเรา  ก็ดูอโศกมหาราชสิ

เก่งกล้า  ฆ่าคนทั้งทวีปแล้วจึงมาสำนึกรู้ความผิดบาปของพระองค์  กลายมาเป็นนักการศาสนาผู้ยิ่งใหญ่ของโลก  ผู้ซาบซึ้งในสัจธรรมแห่งชีวิต  แล้วอุทิศตนเป็นทาส  ผู้เผยแผ่พระพุทธศาสนาออกไปทั่วโลก   ออกมาถึงสยามนามประเทศไทยทุกวันนี้  คนไทย คนจีน ลาว  เขมร เวียดนาม เกาหลี มาเลเซีย  จึงได้พบพระพุทธศาสนา

5.

แล้วพระเจ้าอโศกมหาราชท่านได้อะไรจากการรับใช้งานการเผยแผ่พระพุทธศาสนามาจนตลอดชีวิตเล่า?

ท่านก็ได้สำเร็จโสดาบัน  เป็นอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา  ที่มีทางเดินของชีวิตต่อไปเป็นความสูงส่งไปอีก ถึง สกทาคามี  อนาคามี  และที่สุดถึงอรหันต์  สูงส่งไปไม่ตกต่ำอีกแล้วในอนาคต   แม้ตายแล้วเกิดมาใหม่   ชีวิตใหม่ของท่านก็จะขึ้นสูงต่อไป  จนที่สุดสำเร็จอรหันต์  ก็จบชีวิตลง หยุดลงทุกอย่าง  พ้นโลกนี้ ไปสู่โลกนิพพาน  แดนพระพุทธเจ้า

6.

พระเจ้าอโศกมหาราช ท่านเป็นถึงจักรพรรดิ  ก็ยังสำเร็จแค่โสดาบัน  แล้วคนธรรมดา ๆ อย่างเราท่านทั้งหลาย  จะได้ดีดีไปกว่าพระองค์ท่าน สำเร็จอรหันต์เกินท่านได้อย่างไร?

ก็ง่ายนิดเดียว  เพียงต้องรู้ความจริงว่ามนุษย์ทั้งหลาย ทุกชาติกำเนิดเกิดมาเผ่าพันธุ์ใดก็ตาม  แต่ละคนมี 2 ภาคส่วน คือร่างกาย กับ จิตใจ

ทุก ๆ คนจะมีเหมือนกันหมด แม้คนยากคนจน  ก็มีกายกับใจ เสมอกับเศรษฐี มหาเศรษฐี  คือคนเรานี้มีเท่ากันหมด ก็กายกับใจ    เหมือนกันหมด  เท่ากันหมด

ทีนี้ พระพุทธเจ้าท่านทรงค้นพบว่า สิ่งสำคัญที่สุดนั้นคือเรื่องของจิตใจ

7.

ท่านพบว่า จิตใจคนทั้งหลายมีแต่สิ่งชั่วร้ายสกปรก  และจิตใจของคนทั้งหลายทุกคนเลยมีแต่ความอยากในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส  ความใฝ่ปรารถนาอยากได้ อยากมี อยากเป็น อยู่ตลอดเวลา แบบว่าอยากไปไม่รู้จักพอ ไม่รู้จบสิ้น   ก็ทรงค้นพบความจริงนี้ ภายหลังทรงออกผนวข เที่ยวแสวงหาความจริงถึง 6 ปี

ความอยาก ที่ว่าตัณหานั้นแหละ ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ  พบว่ามันอยู่ในจิตใจของคนทุกคน  ชื่อว่าคนจะมีตัณหาอยู่ทั้งหมด 3 อย่าง  ท่านตั้งชื่อว่า กามตัณหา   ภวะตัณหา  และ วิภวะตัณหา    ในใจของคนเรา ไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากตัณหาความอยากทั้ง 3 อย่างนี้เต็มไปหมด

8.

ก็มันอยู่ในใจของคนเราทุกคนแล้ว ทำไมคนอื่นๆ  แม้นักบวช ศาสนานิกายอื่น ๆ มากมาย จึงค้นไม่พบเหมือนพระพุทธเจ้าเล่า ?

ก็เพราะไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญน่ะสิ   ไม่คิดว่ามันมีความหมายอะไร  ไม่คิดว่ามีความยิ่งใหญ่ซ่อนเร้นอยู่   เมื่อบังเอิญพบเข้าแล้ว  เห็นความเคลื่อนไหวของมันแล้ว จึงรู้ว่ามันเป็นเรื่องสำคัญยิ่งจริงๆ                               

เริ่มแต่พบว่า  มันจะหลบซ่อน  มันกลัวเราจะมองเห็นมัน   มันเหมือนอะไร ที่ซ่อนอยู่ในความมืดนั่นเอง  มันจะระวังตัวไม่ให้เรามองเห็น   มันจะกลัวสายตาเรามากๆ ๆ ๆ

มันกลัวแสงสว่าง  มันจะหลบไปในความมืด ที่มืดๆ เสมอ   เราจึงมองไม่เห็นมันเลย  และไม่รู้ว่ามีมารร้าย ตัณหา3ประการนี้อยู่อย่างเงียบกริบในใจเรานี่เอง

9.

แต่แล้ว พระพุทธเจ้าท่านทำสมาธินิ่งสนิท อยู่เนิ่นนาน  นิ่งสงัด ๆ  อยู่ตลอดเวลา  หลายวันหลายคืน  ท่านคอยมองตรวจตราความเคลื่อนไหวของสรรพสิ่ง  สรรพโลกสรรพเหตุการณ์    แล้ววันหนึ่งท่านก็ได้พบได้เห็นตัณหา 3 ตนนี้  เห็นรูปร่างมัน ว่ามันมีรูปหรืออรูปอย่างไร  ลักษณะอุปนิสสัยของมัน   ความปรารถนาของมัน  เห็นว่ามันทำอะไร   ทรงเห็นหมด   และทรงรู้ว่ามันกลัวแสงกลัวความสว่าง   กลัวสายตาของพระองค์   มันจะหลบไม่ให้เห็นตัวมันตลอดเวลา  แล้วพอพระองค์ทรงจ้องมองมันเขม็ง...ทรงฌาน...ขับไล่ความมืดไปหมด มีแต่แสงสว่างเจิดจ้ารอบไปหมด มันก็ดับดิ้นสิ้นลงไปทันทีทั้ง3 มารร้าย3ตัณหานั้น

10.

จึงทรงทราบความจริงว่ามีมารหรือตัณหา 3 ตนร้ายนี้อยู่ในดวงใจมนุษย์   และทรงรู้ความจริงว่า  เมื่อเอาตัณหาหลุดพ้นออกไปหมดจากดวงใจแล้ว ก็จะได้พบโลกใหม่  หรือ  จิตใจใหม่ที่สะอาด  สว่าง และสงบ  ทันที 

คือโลกใหม่นี้เกิดขึ้นเองเลยทีเดียว  โดยอัตโนมัติ   จากการที่เพ่งมองดูมารร้าย จนมันสลายหายเกลี้ยงไป เพียงดังว่าเกิดแม่น้ำท่วมโลกชำระล้างสิ่งสกปรกทั้งหลายไปหมดเหลือโลกใหม่ที่ใสสะอาด  งดงาม

ดังที่ทรงประกาศแด่ปัญจวัคคีย์ว่า

-           ความดับโดยสิ้นกำหนัด โดยไม่เหลือแห่งตัณหานั้น  นั่นแหละใด

-           ความวางตัณหานั้น

-           ความปลดปล่อยตัณหานั้น

-           ความไม่พัวพันแห่งตัณหานั้น

รวมความหมายก็คือฆ่าชำระล้างตัณหาทั้ง 3 กาม ภวะ  วิภวะ ตัณหาพ้นไปจากใจได้หมดเกลี้ยงนั่นเอง

ก็จะพบโลกใหม่ ได้โดยอัตโนมัติ ทันทีทันใดเลย

โดยเพียงการมองเห็น เพียงการสลายความมืดที่ตัณหาหลบซ่อนอยู่  เท่านั้นเอง  ก็สำเร็จอรหันต์

11.

คนทั้งหลาย ก็ทำได้แบบเดียวกับพระพุทธเจ้า โดยเป็นหลักวิทยาศาสตร์  มีต้นเหตุของปัญหา แล้วทำลายต้นเหตุนั้นเสียได้ อุปมาเหมือนเชื้อเพลิงไหม้คุกรุ่นอยู่  เราเอาเชื้อเพลิงออกให้หมดเท่านั้นเอง  ไฟก็ดับไปหมด  ตัณหาทั้ง 3 ก็คือเชื้อเพลิงนั่นเอง  ก็รู้ต้นเหตุเช่นนี้  ก็เอาต้นเหตุออกไปให้หมด  เท่านั้นเองผลก็เกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ

ก็เท่านี้เองจริง ๆ 

เอาตัณหาทั้ง 3 ออกไปให้หมดเกลี้ยง    จากใจเรา   ก็บรรลุอรหันต์

เท่านั้นเองจริง ๆ 

เพียงเรามาคิด   เพียงจิต  เพราะเราไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีอะไรอยู่ในจิตใจของเรา

พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่เคยคิดมาก่อน  ศาสดาอื่น ๆ ก็ไม่เคยคิดมาก่อน    ว่ามีอะไรอยู่ในจิตใจของเรา

เท่านั้นเอง

และจงมองสำรวจ สังเกต  ติดตามดูตลอดเวลา จนพบว่ามีมารแห่งความอยากทั้ง 3 นั้น  นั่นเองเป็นเจ้านายผู้สั่งการเราตลอดมา  เราเป็นเพียงทาส

12.

-ความทะยานหยากในอารมณ์ที่ใคร่ หลงไปในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ความดี ความงาม ความสวย  ไพเราะ  กามตัณหา

-ความทะยานอยากในความมี ความเป็น ใฝ่ในอำนาจ  ความเด่นความดัง ความไม่รู้จักพอ   ภวะตัณหา

-ความทะยานหยากในความไม่มี  ไม่เป็น  ความด้อยต้อยต่ำในอำนาจ วาสนา ฐานะอันด้อย  เป็นปมด้อยในชีวิต คิดทดแทนไปผิด ๆ   วิภวะตัณหา

13.

ตัณหาเหล่านี้ อยู่เต็มไปหมดทุกห้องแห่งหัวใจคนทั้งหลาย 

จงล้างมันออกเถิด  เหมือนล้างสิ่งสกปรกออกไปจากห้องนอน  ห้องน้ำ  ห้องทำงาน   ห้องครัวของเรา บ้านของเรา

เท่านั้นเอง 

ตัณหาทั้ง 3  ทั้งหมด  เกลี้ยงไปจากดวงใจ  เวลาใด  ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ก็สำเร็จอรหันต์ขึ้นมาที่นี่และเดี๋ยวนี้   ถึงโลกนิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ทันที

มนุษย์คนไหนไหน  ยุคไหน  สมัยใดก็ตาม  ที่มี 2 สิ่งนี้คือ  กาย  กับ ใจ   จงทำใจให้พ้นจากตัณหาทั้ง 3 ให้ได้      เท่านั้นเอง  รางวัลแห่งชีวิตอันประเสริฐล้ำเลิศจะยิ่งใหญ่

และจะพบจิตใจ   ที่ยิ่งใหญ่  ไม่แพ้อโศกมาราช อย่างแน่นอน

เริ่มเถิด  เริ่มเลย  เพ่งมองดู  มันอยู่ในจิตใจเรานี่เอง  ขณะนี้นี่เอง

มองเห็นมันเท่านั้นเอง   กวาดมันออกไป เท่านั้นเอง 

เท่านั้นเองจริง ๆ

แล้วจะมัวช้าอยู่ทำไมเล่า?

ขออำนวยพรให้ผ่านสู่โลกนิพพานด้วยเทอญ

***** บัวระย้า ชบาบุณเสฏฐ์  6 ม.ค. 2567

-----

@ เรื่องราวของชีวิต ตอนที่1+2+3+4 เฉพาะภาษาไทยต้นฉบับ138ภาษาโลก

-----




28.Mongolia-มองโกเลีย

1..วาทะที่ 1.. kata nombor satu: Wuhan virus, bagaimana dunia akan menyebarkan virus yang mengerikan ini? Kenali kebenaran dan kebersihan Begitu kotor dahulu
2..วาทะที่ 2. Ω 2 дахь үг, Wuhan вирус нь орчин үеийн ертөнцийl
3..วาทะที่ 3.Ω 3 дахь үг: Дэлхий Cowit-19-ээс 14 хоногийн турш зуг
4..วาทะที่ 4..Дөрөв дэх үг .. COVI-19 вирус, вирусыг ялаарай. Дэl
5..วาทะที่ 5.Үйл ажиллагаа явуулж COVID-19 дайны эсрэг тула
6..วาทะที่ 6..COVID-19-ийн нас барагсдыг оршуулсан газар хан
9..Дугаар 9. Манай байшин бүр сүм хийд юм. Дэлхи
10..วาทะที่ 10.. Хангалттай эдийн засаг ба илүүдэл нь эн&
12..วาทะที่ 12..Энэ бол COVID 19-ийн ес дэх үг бөгөөд хүмүүст бүm
32..วาทะที่ 32..Mother's grace พระคุณของแม่
34..วาทะที่ 34..Ковидын эрин үед Энэтхэг болон дэлхийн &#
38..วาทะที่ 38.. Үхлийн аюултай коронавирус хүний ​​ер
39..วาทะที่ 39..Өнөөдөр Англид буй COVID-ийн шинэ үүлдэр бол &#
41..วาทะที่ 41 สคส.2564 43 ภาษาโลก แสนเวทนาโควิดเอาชีวิตชาวโลกไปมหาศาล จงสู้ด้วยสัจธรรมแห่งความสันโดษเถิดทางนั้นไปสู่โลกนิพพาน ที่สิ้นทุกข์มีแต่สุขอมตะนิรันดร
42..วาทะที่ 42.Хятадын шинэ жилийн хувьд 2021 оны 2-р сарын 12
43..วาทะที่ 43.Валентины өдөрт зориулав
44..วาทะที่ 44..Хөгшрөхөөсөө өмнө эсвэл өнөөдөр КОВИД-
50..วาทะที่ 50. เสนอรัฐบาลทั่วโลกให้สร้างเมืองใหม่ ช่วยประชาชนคนอดอยากให้รอดชีวิต
51..วาทะที่ 51. จันทร์เต็มดวงบ่งบอกดวงจิตผ่องแผ้ว15Оват, Патимокха гэсэн шившлэгийг 
52..วาทะที่ 52 แด่วันสตรีสากล For International Women's Day
53..วาทะที่ 53.. Дайн бол амьдралын асуудал юм Нэг амьдр
54..วาทะที่ 54..Рупанг Бхикаве Анатта харагтун, лам хув&#
55..วาทะที่ 55.. 55 дахь үг..Мьянмарын төрийн эргэлт хийх х
57..วาทะที่ 57..To Montenegro : แด่ประเทศมอนเตเนโกร คิดการปฏิวัติและล้มล้างสถาบันกษัตริย์ไทย???
58..วาทะที่ 58..To Afganistan and new Taliban แด่อาฟกานิสถานและตาลีบันใหม่
59..วาทะที่ 59..To Afganistan and new Taliban 2 แด่อาฟกานิสถานและตาลีบันใหม่ 2
60..วาทะที่ 60..To Afganistan and new Taliban 3 แด่อาฟกานิสถานและตาลีบันใหม่ 3
61..วาทะที่ 61..สัญญาณสันติธรรมแห่งโลกยุคใหม่ Signs of peace in the new world ERA
62..ยอดสุภาษิตโลก (44ภาษา) world proverb(44 languages)
63..ลาลิสาแบลคพิ้งค์ Come out and listen to LALISA BLACKPINK
64..TO UNO
66..วันเด็กแห่งชาติ
67..44ภาษาแด่วันคริสต์มาส 25 ธค.2021
68..ปัญหามุสลิม Лалын шашинтнууд, Лалын ертөнцийн асуу&#
69..วันสำคัญของมวลมนุษย์ทั้งโลก รอบ 16 ก.พ. 2565Маха Бучагийн өдөр, дэлхий даяарх k
70..แด่สงครามรัสเซีย-ยูเครน Орос-Украины дайнд
75..อริยสัจธรรมข้อที่ 1 ทุกข์ Эрхэмсэг үнэн No1 Зовлон
76..อริยสัจธรรมข้อที่ 2 สมุทัย เหตุแห่งทุกข์Зовлонгийн 2-р эрхэм үнэн, зовлонгий&
77..อริยสัจธรรมข้อที่ 3 ทุกขนิโรธ Гурав дахь эрхэм үнэн: Дукха Ниродха
79.. The 4 Noble Truths, 4 manuscripts for translations of 64 world languages, complete the 4 Truths, Samutaib, Nirodha, the Path. 79..อริยสัจธรรม 4 ต้นฉบับ สำหรับการแปล 64 ภาษาโลก ครบ 4 สัจจะทุกข สมุทัยบ นิโรธ มรรค
90 อริยสัจ ๔ Please translate to your language by Google translate
91 คำชี้ทางปฏิบัติ สังหารกามกิเลสลงได้จริง Please translate to your language
93 Тайландын лалын шашинтнууд Исламын судр
99..อริยสัจธรรมแห่งชีวิต บทที่ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 Please translateto your language by Google translate
99..อริยสัจธรรมแห่งชีวิต บทที่ 1 2 3 4 5 Please translateto your language by Google translate
100..Буддизм юу сургадаг вэ? Энэ бол гайхалтай 
101..การเมือง เสนอให้คิด คนไทยไปสู่ประชาธิปไตยจริง ๆ ชุดที่1-5 18 เรื่องต้นฉบับไทยสมบูรณ์
102..Please translate NWE ต้นฉบับ ยอดสุภาษิต เดือนกันยายน 2565 50บท ภาษา ไทย-อังกฤษ
103 Please translate Phayap Panyatharo ประวัติชีวิตนักปฏิบัติธรรมทั้งชีวิต พระพยับ ปัญญาธโร (เล่าเอง) ตอนที่ 1-2 ไทย 48 บท
104.pleasetranslate รวมยอดสุภาษิต ถ่ายทอดไป 138ภาษาโลก ครอบพลเมือง 7.6 พันล้านคน
105 please translate รวมยอดสุภาษิตวรรคสั้น 210 บทต้นฉบับ ถ่ายทอดไป 138 ภาษาโลกครอบ 8พันล้านประชากรทั้งโลก
106 please translate ปัญหาของพระพุทธศาสนาแก้ไขได้ง่ายทั้งระบบสงฆ์แล้วนั้นหมายถึงสว่างรุ่งเรืองไปทั้งโลกยุคนี้
107. ส.ค.ส.(ส่งความสุขปีใหม่) 2566 แด่พลโลก 8พันล้านชีวิต
108.Please translate อิสลาม-พุทธศาสนา รายวัน 21 ธ.ค.2565 สมาธิ3ระดับสุดยอดมหานิพพาน
109. Please translate รายงานการวิจัยความคิดเห็นของคนไทยต่อปัญหาเดินขบวนในกรุงเตหะราน อิหร่าน
110.please translate พุทธศาสนารายวัน 26 ต.ค.65-5 ม.ค.66(21ตอน)ปัญหาพุทธศาสนาวันนี้แรงร้ายแต่แก้ไขได้ด้วยพุทธิปัญญา ไทย
111.please translate พุทธศาสนารายวัน 26 ต.ค.65-5 ม.ค.66(21 ตอน ๆ ที่21) กลับมาทำหน้าที่เถิด
111.please translate การเมืองโลก ประชาธิปไตยอเมริกาจากธัมมจักกัปปวัตนสูตร สู่กาลามสูตร ต้นฉบับ 138 ภาษาโลก
112 please translate พุทธศาสนาวันนี้ รำลึกวันอาสาฬหบูชา วันพุทธองค์ทรงแสดงปฐมเทศนา
120 แด่เพื่อน 2567
122.การเมืองไทยวันนี้ 22สค.2566 ทักษิณกลับไทยแบบมหาเศรษฐีต้องโทษอาญาแผ่นดินเข้าคุกทันที8ปีทบทวน11กพ.2567
123 โหราศาสตร์ชี้ชะตาสงครามรัสเซีย-ยูเครน และ อิสราเอล-ฮามาส
124 โหราศาสตร์ ดาว6ดวงเคลื่อนมารวมกัน ใน7เม.ย.2567 อะไรจะเกิดขึ้นแก่ประเทศไทย
125 พุทธศาสนา โอวาทปาฏิโมกข์ วันมาฆะบูชาของชาวพุทธไทยและชาวพุทธทั้งโลก
126 การเมืองไทยวันนี้ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ พิธา-ก้าวไกลคิดล้มล้างการปกครอง ไม่ผิดหรอก
127 การเมืองไทยคัวอย่างที่น่าอัยอาย อำนาจตุลาการสูงสุดถูกแทรกแซงก้าวก่ายลดน้อยด้อยค่ามาตลอดจากอำนาจยริหารแม้หน่วยงานกระจิบกระจ้อยต้อยต่ำแค่กรมราชทัณฑ์ยังทำได้
128 เรื่องราวของชีวิต ตอนที่ 5
129 พุทธศาสนารายวัน 9 มี.ค.2566 มรรค 8 เพื่อบรรลุอริยบุคคลอรหันต์
130 การเมืองไทยวันนี้ 11 มี.ค. 2567 ศึกษาการเมืองไทย ประชาธิปไตยไม่เหมาะแก่การเมืองสัตว์ป่า จ่าฝูงเผด็จการทุกชนิด ประชาชนไทยต้องตื่นทำหน้าที่แล้วดูนายพลยอร์จ วอชิงตัน ผู้รู้ธรรมะประชาธิปไตยโลก
131 พุทธศาสนา สมาธิสูงสุดปราณ และ 9 เทกนิคการฝึกสมาธิของแพทย์ประสานกัน
132 การเมืองไทยวันนี้ยังเละเทะสับสนด้วยยุคซ็อฟท์เพาเวอร์ และพลังสงครามจิตวิทยา อันซ่อนเร้นเกินความรู้สึกอันเกี่ยวกับการเมืองอันตรายทั้งสิ้น
133. รวมเรื่องร้ายกาจรายวันในโลกยุคนี้ 4 เรื่อง
134 การเมืืองไทยวันนี้ 30 มี.ค.2567 บอกความคิดอ่านยังด้อยพัฒนาเป็นการเมืองต่ำต้อยด้อยพัฒนาจริง ๆ
135. การเมืองไทยในรัฐสภาวันนี้ 28 มี.ค. 2567 รับเรื่องบ่อนการพนันครบวงจรถูกกฎหมาย



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
----- ***** ----- โปรดใช้บริการการแปลของ Google Translate นี่คือเวบไซต์คู่ www.newworldbelieve.com กับ www.newworldbelieve.net เราให้เป็นเวบไซต์ที่เสนอธรรมะหรือ ความจริง หรือ ความคิดเห็นในเรื่องราวของชีวิต ตั้งใจให้ธัมมะเป็นทาน ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แด่คนทั้งหลาย ทั้งโลก ให้ได้รู้ความจริงของศาสนาต่าง ๆในโลกวันนี้ และได้รู้ศาสนาที่ประเสริฐเพียงศาสนาเดียวสำหรับโลกยุคใหม่ จักรวาลใหม่ เราได้อุทิศเนื้อที่ทั้งหมดเป็นเนื้อที่สำหรับธรรมะทั้งหมด ไม่มีการโฆษณาสินค้า มาแต่ต้น นับถึงวันนี้ร่วม 14 ปีแล้ว มาวันนี้ เราได้สร้างได้ทำเวบไซต์คู่นี้จนได้กลายเป็นแดนโลกแห่งความสว่างไสว เบิกบานใจ ไร้พิษภัย เป็นแดนประตูวิเศษ เปิดเข้าไปแล้ว เจริญดวงตาปัญญาละเอียดอ่อน เห็นแต่สิ่งที่น่าสบายใจ ที่ผสานความคิดจิตใจคนทั้งหลายด้วยไมตรีจิตมิตรภาพล้วน ๆ ไปสู่ความเป็นมิตรกันและกันล้วน ๆ วันนี้เวบไซต์ สื่อของเราทั้งหมดนี้ ได้กลายเป็นแดนสนุกน่าท่องเที่ยวอีกโลกหนึ่ง ที่กว้างใหญ่ไพศาล เข้าไปแล้วได้พบแต่สิ่งที่สบายใจมีความสุข ให้ความคิดสติปัญญา และได้พบเรื่องราวหลายหลากมากมาย ที่อาจจะท่องเที่ยวไปได้ตลอดชีวิต หรือท่านอาจจะอยากอยู่ณโลกนี้ไปชั่วนิรันดร และซึ่งเป็นโลกหรือบ้านของท่านทั้งหลายได้เลยทีเดียว ซึ่งสำหรับคนต่างชาติ ต่างภาษาต่างศาสนา ได้โปรดใช้การแปลของ กูเกิล หรือ Google Translate แปลเป็นภาษาของท่านก่อน ที่เขาเพิ่งประสบความสำเร็จการแปลให้ได้แทบทุกภาษาในโลกมนุษย์นี้แล้ว ตั้งแต่ต้นปีนี้เอง นั้นแหละเท่ากับท่านจะเป็นที่ไหนของโลกก็ตาม ทั้งหมดโลกกว่า 8 พันล้านคนวันนี้ สามารถเข้ามาท่องเที่ยวในโลกของเราได้เลย เราไม่ได้นำท่านไปเที่ยวแบบธรรมดาๆ แต่การนำไปสู่ความจริง ความรู้เรื่องชีวิตใหม่ การอุบัติใหม่สู่ภาวะอริยบุคคล ไปสู่การเปลี่ยนแปลงไปพ้นจากทุกข์ ทั้งหลายไปสู่โลกแห่งความสุขแท้นิรันดร คือโลกนิพพานขององค์บรมศาสดาพุทธศาสนา พระบรมครูพุทธะ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงแต่ท่านโปรดใช้บริการการแปลของ Google Translate ท่านก็จะเข้าสู่โลกนี้ได้ทันทีพร้อมกับคน 8 พันล้านคนทั้งโลกนี้. ----- ***** ----- • หมายเหตุ เอาขึ้นเวบไซต์ แทนของเดิม ทั้ง 2 เวบ .net .com วันที่ 21 เม.ย. 2565 เวลา 07.00 น.