Phayap Panyatharo ได้แชร์ความทรงจำ
ดูความทรงจำของคุณ
9 มีนาคม 2023 ·
Thai
พุทธศาสนารายวัน 9 มี.ค. 2566 มรรค 8 เพื่อบรรลุอริยบุคคล อรหันต์
ต้นเรื่อง : มรรค 8 หรือ มัชฌิมาปฏิปทา หรือ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
ปัญหาทางการศึกษา เป็นเรื่องที่เป็นเหตุมาจากการศึกษาตั้งแต่เด็ก ๆ ถึงผู้ใหญ่ของชีวิตมนุษย์ทั้งหลาย มาจากการบกพร่องทางการศึกษาเรื่องมรรค 8 นี้ตลอดมา จึงควรให้เด็ก ๆ ในโรงเรียนไปถึง มหาวิทยาลัยระดับปริญญาเอก ครู อาจารย์ ถึงศาสตราจารย์ ฯลฯ เพื่อให้ได้รู้ในสิ่งที่เป็นความรู้อันสูงส่งที่สุด ทีเมื่อรู้แล้วก็ทำให้อวิชชาสลายหายไป บังเกิดวิชชาส่าว่างไสวเจิดจ้าดวงตาส่ว่างไสวรู้แจ้งโลกไปหมด นั่นคือ มรรค8 ที่พุทธองค์ทรงตรัสว่า เป็นอันเดียวกับ มัชฌิมาปฏิปทา 8 ข้อเดียวกัน เป็น ทางสายกลาง อันเดียวกับวิถีทางพ้นทุกข์ คือ อริยสัจธรรมข้อที่ 4 ทุกขะนิโรธะคามินีปฏิปทา หรือ มรรค 8 ที่เป็นความรู้ที่ยอดเยี่ยมกว่าความรู้ทั้งหลาย เพราะเป็นเหตุให้พ้นทุกข์ ให้บรรลุอรหันตมรรคอรหันตผลได้ แบบ ไม่มีเงื่นไขในเรื่องกาลเวลา มีการปฏิบัติอยู่ตราบได ก็ไม่ว่างจากผู้บรรลุมรรคผลนิพพาน จึงควรเอาเรื่องมรรค 8 นี้ไปสอนเป็นวิชาความรู้ที่สำคัญยิ่งกว่าวิชาทั้งหลาย เริ่มจากเด็ก ๆ ชั้นอนุบาล ขึ้นไปถึงระดับปริญญาเอก อาจารย์ ถึงศาสตราจารย์ในสถาบันทั่วโลกเลย ดังขออธิบายนำทางไปดังนี้
อริยสัจ 4 คือ(1.) ทุกข์ (2.) สมุทัย หรือ เหตุแห่งทุกข์ (3.) นิโรธ หรือนิพพาน (4.) มรรค 8 นี่คือสัจธรรมสูงสุดของพุทธศาสนา หรือของพระพุทธเจ้า เรื่อง มรรค 8 จึงน่าที่คนทั้งหลายจะรู้ถึงคุณค่าของสัจธรรมข้อนี้ ในฐานะข้อปฏิบัติเพื่อให้ถึงความพ้นทุกข์ ให้ได้สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลสูงสุดคือ อรหันตบุคคล นั้นเอง
มาเริ่มเรื่อง มรรค 8 หรือทางปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ 8 ประการ
1. สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ ความหมายของทิฏฐินั้น คือความเข้าใจ ว่าชีวิตของคนแต่ละคนนั้น ย่อมมีการเกิดออกมาก่อน แล้ววันหนึ่งก็จะมีการตาย กันไปทุกคน ขณะที่มีชีวิตอยู่ นั้นจึงต้องอยู่ด้วยสัมมาทิฏฐิ คิดทำอะไร ๆ ให้เข้าใจเบื้องต้นไปเลยว่าตนของตนนั้นเอง ต้องเป็นผู้พึ่งตนเองให้เกิดขึ้นให้ได้ก่อน จะคิดไปพึ่งพ่อแม่ ตลอดไปไม่ได้ ต้องคิดสร้างตนเองให้มีความดี ความสามารถที่จะเดินวิถีชีวิตไปด้วยตนเอง และในระดับที่สูงขึ้นไป ก็ต้องทำความเข้าใจไปอีกว่า จะหมายถึงสัมมาทิฏฐิเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิทั้งหลาย เรื่องเทวดา เทพเจ้าที่จะต้องเข้าใจว่า ถึงมีสิ่งศักดิ์สิทธ์ใดใด นั้นก็หาได้เป็นที่พึ่งของเราได้ เท่าการพึ่งตนเองไม่ จึงต้องระวังอย่าให้เกิดการหลงผิดไปจากคติธรรมที่ว่าตนแลย่อมเป็นที่พึ่งแห่งตน เพราะในที่สุดตนเองนั้นแหละเมื่อมีความสามารถทำอะไรได้ด้วยตนเองเก่งมีวิชาความรู้ สามารถใช้วิชาหาทรัพย์สมบัติหาความร่ำรวยได้ด้วยตนเอง มีเหตุมีผลไปตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา หรือหลักวิทยาศาสตร์นั้นเอง จึงกลายไปเพิ่มไปสู่ความเข้าใจต่อไปอีกเรื่อง กรรม กรรมคือการกระทำของตนของคนทั้งหลายเท่านั้น ที่ส่งผลไปต่าง ๆตามเหตุและผลของกรรมนั้น ตามที่ตนเองนั้นแลเป็นผู้กระทำเอง ในระดับสูงส่ง ระวังว่า เรื่องมรรคผลนิพพานนั้น ก็คือ เรื่องที่เราทุกคนเข้าใจเรื่องตนเองนี่เอง ที่จะต้องทำเอาเอง พึ่งตนเองนั่นแหละคือการปลดปล่อยจากความเป็นทาส มาสู่เสรีชน ของยุคสมัยนี้ และหมายถึงความเห็นเรื่องความเชื่อตามลัทธิศาสนาต่าง ๆนั้น ที่นำพาเราไปสู่ความเชื่ออันศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้าของเทวดาผู้สร้างนั้น เป็นสิ่งที่ไร้เหตุตุผลโดยสิ้นเชิง ตามหลักของพระพุทธศาสนาไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพเจ้า ใดใด ไม่อาจจะช่วยเราได้เลย การช่วยตนเองนั้น ทำให้มีการเจริญในธรรม คือทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วสะสมไปตามการกระทำของเราเอง ไม่มีใครทำให้ สะสมความดีให้เรา เราต้องทำเอาเองเท่านั้น ทำแต่ดีก็สะสมแต่ความดีไปได้เรื่อย ๆในดวงจิตของตนนั้นเอง ไม่ใช่สะสมให้คนอื่น อันเป็นเหตุให้จิตใจค่อยสะอาด ค่อยสะสมความสงบลงไปเรื่อย ๆ งที่สุดแล้ว ก็หมดสิ้นไปจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน สำเร็จอรหันต์ได้ด้วยการทำแต่ความดีล้วน ๆ นี่แหละ ให้เข้าใจเหตุผลเช่นนี้ จึงเรียกว่ามีสัมมาทิฏฐิ ที่เอาไปกระทำทางกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมของตนเองไปตลอดชีวิต
2. สัมมาสังกัปโป ดำริชอบ คือเรื่องความคิดอ่าน ตรึกตรองภายในจิตใจของตนนั้น ให้เป็นเรื่องที่ถูกต้องเสมอ อย่าคิดเรื่องกิเลส ตัณหา อุปาทานคิดแต่เรื่อง อริยสัจ 4 อยู่เสมอ เพื่อให้ได้รู้ความจริงของชีวิต นั่นคือให้รู้เรื่องทุกข์ เหตุของทุกข์ ให้รู้ผลของการชำระเหตุของทุกข์ คือตัณหาทั้ง 3 กาม ภะวะ วิภะวะ ตัณหา ตรงนี้เองทำให้เป็นพระอรหันต์ได้ และรู้คำสอนเรื่องมรรค 8 ที่เป็นทางปฏิบัติรบราฆ่าตัณหาได้ ให้ลุถึงความดับทุกข์ ทั้งในระดับโลก และระดับธรรม อริยธรรมเพื่อมรรคผลนิพพานเองเลย คิดแต่เรื่องการทำบุญ ทำทาน การทำแต่ความดี ที่เกิดประโยชน์แก่ตนเอง ไม่คิดไปตามความโกรธแค้น อาฆาต พยาบาทจองเวรคนอื่น แต่คิดไปในทางดับ หยุดความโกรธแค้นพยาบาทเสียให้หมดสิ้นไปจากสันดาร แห่งดวงจิตดวงใจของเราโดยสิ้นเชิง คิดไตรตรองในเรื่องความดีมีเมตตาจิตต่อคนทั้งหลาย คิดแต่เรื่อง ศีลธรรม เรื่องสมาธิ และปัญญาความเข้าใจทุกข์ของชีวิตและสรรพสิ่ง คิดตรึกตรองเรื่องหน้าที่ตัวเอง ว่าตัวเองมีหน้าที่อะไร ตามวัย อายุที่ผ่านไป ๆ ทำหน้าที่ให้ถูกต้อง อย่าคิดทำชั่วอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะไปพบ หรืออยู่ท่ามกลางสถานการณ์ที่เลวร้ายเพียงใดก็ตาม นั้นแหละจักนำไปสู่ดวงจิตที่มีแต่ความดีล้วนๆ แล้วสะสมความดี หรือ กรรมดีไปล้วน ๆ อย่างเดียว หมั่นคิดตรึกตรองอริยสัจธรรมของพระพุทธเจ้า ให้เห็นจริงตามสัจธรรมทั้ง 4 คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี้ ไปจนกรรมดี ทั้งกาย วาจา ใจ สติปัญญา สว่างไสว ตรัสรู้สัจธรรมแห่งชีวิตขึ้นมา เกิดความสงบ สะอาด สว่าง พอกพูนในดวงจิต เต็มที่ ตรงคำสอนในโอวาทปาฏิโมกข์ ก็บรรลุมรรคผลนิพพานได้
3. สัมมาวาจา วาจาชอบ ระวังวาจาคำพูดตนเอง โดยเข้าใจตามเหตุตามผลว่า วาจาเป็นเหตุของสามัคคีธรรม ของสังคมทุกระดับ นับแต่ภายในครอบครัว พ่อ แม่ ลูก ปู่ ย่า ตายาย ลูกหลานเหลนโหลนเอง ไปถึงคนทุกคนในสังคม หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด ประเทศ โลก โดยยุคออนไลน์นี้วาจาจึงเป็นสามัคคีธรรมสำคัญมาก หากวาจาไม่เป็นสัมมาวาจาแล้ว จะทำให้คนทั้งหลายโกรธกัน เกลียดชังกันและกลายเป็นทำร้ายเข่นฆ่าด่าทอกันใหญ่โตออกไปถึงเข่นฆ่าทำลายชีวิตกัน ฉะนั้น สัมมาวาจาต้องสมบูรณ์ โดยมีวาจาที่ต้องระวัง อยู่ 4 ประการ ตามหลักพุทธศาสนานั้นก็คือ (1.) วาจาโกหก (2.) วาจาหยาบคาย (3.) วาจาส่อเสียด คือการพูดยุแยกให้คน 2 คน หรือ 2 ฝ่าย 2 พวกเข้าใจผิดจนเกิดแตกแยกเป็นศัตรูกัน (4.) วาจาเพ้อเจ้อ คือพูดอะไรไปไม่ยืนบนเหตุผลเลย มุ่งความแตกสามัคคีธรรมแด่คนทั้งหลาย แบบการโฆษณาชวนเชื่อ หวังผลประโยชน์ส่วนตนส่วนพรรคพวกตน นี้เอง หากไม่ระวังเรื่อง สัมมาวาจาแล้ว สังคมจะเสี่ยงต่อความแตกสามัคคีธรรม มาตั้งแต่ทุกระดับ ในด้านมรรคผล สัมมาวาจาจะสร้างแต่มิตร มีการได้คบมิตรคบบัณฑิตย์ ผู้รู้ เพื่อนที่รักกัน นี้เอง เมื่อทุกคนรักษาวาจาได้แล้ว จิตใจก็จะพบแต่ความเย็น ความสุจริต ความดีงามก็เกิดขึ้นและสะสมลงไปในดวงจิตตลอดเวลา ไปไม่นาน การสะสมความสงบ ชื่นเย็นในจิตใจถึงระดับฆ่ากิเลส ตัณหา อุปาทาน หมดไปจากดวงจิตได้ก็บรรลุอริยธรรม ตั้งแต่ชั้นต้นโสดาบัน ไปถึงอรหัตตผลได้ อันเนื่องจากสิ่งแวดล้อมดี มีความสงบ มีความเย็นไม่วุ่นวาย มีแต่มิตรไมตรีจิตรอบด้าน มีสามัคคีธรรมกันทั้งสังคมนั้นเอง
4. สัมมากัมมันโต การงานชอบ การงานชอบก็คือเราจะทำอะไรก็ได้ด้วยทางกายก็ดี ทางวาจาก็ดี ทางมโนกรรม ความคิดแต่เรื่องดี ๆ คือทำแต่กรรมดีทางกาย วาจา และใจ และให้ความคิดตรงกัน เราคิดอะไร ก็พูดอย่างนั้น ไม่โกหกหลอกลวงตนเอง ออกปากบอกเขาไว้อย่างไร ก็ทำอย่างนั้น การที่เราทำอะไรแบบ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ตรงกันหมดนี่แหละจะนำเราไปสู่ทางตรง ที่ไม่อ้อมค้อม เฉออกไปทางอื่น และเมื่อเร่งเดินตามทางนี้ไป ก็ย่อมถึงมรรคผลนิพพานได้ในชีวิตนี้เอง อันเนื่องจาก กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม เป็นอย่างเดียวกัน ทำให้กิเลส ตัณหา อุปาทาน ถูกจำกัดให้คับแคบ และที่สุดหายไปหมด ก็บรรลุมรรคผลนิพพานได้
5. สัมมาอาชีโว อาชีพชอบ เรื่องนี้ด้วยการเข้าใจเสียก่อน ว่าเกิดมาแล้วก็ต้องเลี้ยงชีพตนเองให้อยู่ไปได้ มีอาหาร ที่อยู่ เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ปัจจัยแห่งชีวิตตามยุคสมัย จะต้องหามาให้พอ และนั่นแหละมาสู่อาชีวะ ซึ่งผู้ฉลาดต้องทำสัมมาอาชีวะ เพื่อมรรคผลนิพพาน การทำมาหากินอย่างสุจริต ต้องไม่หวังร่ำรวยจากการโกง เอารัดเอาเปรียบคนอื่น ในการร่ำเรียนวิชาก็ให้รู้ทันวิชาต่าง ๆ ว่าเป็นวิชาที่เอาไปคดโกงคนอื่นหรือไม่เช่นออนไลน์ ต้องระวังว่าจะเป็นมิจฉาอาชีโว ระวังให้ได้จึงจะถึงมรรคผลนิพพาน พร้อมกับความตั้งใจประกอบอาชีพ มุ่งหวังความร่ำรวยจากผลงานอาชีพที่สุจริตอย่างเด็ดขาด ทันโลก ทันสถานการณ์ด้วยสติปัญญาด้วยความพากเพียรชอบ นั้นเอง ทำให้เป็นเหตุอันชอบที่นำไปสู่ผลดีทั้งทางการงานอาชีพเองและทางมรรคผลนิพพาน พร้อมกันไปได้ นำไปสู่ ชีวิตอันสงบ มีความสุข พร้อมสำเร็จธรรมในดวงจิตชั้นสูงส่งได้
6. สัมมาวายาโม ความเพียรชอบ หมายถึงความเพียรทำแต่ความดี ไม่ทำชั่ว ทำแต่การขัดเกลา ชำระจิตใจ ให้สะอาด สัมมาวายาโม ความเพียรชอบ นี้เองที่ควรให้คนรู้จักตั้งแต่เกิด นั้นคือความเพียร หรือความขยันขันแข็ง โดยให้รู้จักมารใหญ่ที่กั้นความพากเพียรนี้ ที่เราจะต้องไล่มันออกไปจากจิตใจให้หมดให้เกลี้ยงให้ได้ ให้เหลือแต่ความขยันอยู่ในจิตใจ อย่างเดียว ซึ่งต้องค่อยฝึกฝนไปตามลำดับชีวิตที่เติบโต ไปเรื่อย จนตลอดชีวิตให้เหลือมีแต่ความขยันอย่างเดียว ไล่ความขี้เกียจออกไปหมด นั่นเอง มรรคผล นิพพานมาถึงแล้ว ชีวิตย่อมสงบพร้อมสำเร็จธรรมในดวงจิตระดับอรหันต์ชั้นสูงได้
7. สัมมาสติ สติชอบ ให้คิดให้ถูกเกี่ยวกับเรื่องกาลเวลา ให้หัดมองเรื่องปัจจุบันนี้ ว่าเราทำอะไรอยู่ขณะนี้ วันนี้ ชั่วโมงนี้ นาทีนี้ วินาทีนี้ ว่าเราทำอะไรทำดีหรือชั่ว ทำสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ หากกำลังคิดอะไรชั่ว ๆ อยู่ก็รู้ทันว่ากำลังคอดชั่วอยู่ ก็ต้องปรับใจตนเองเสีย ให้เลิกคิดอะไรชั่ว ๆ พิจารณาให้รู้เหตุและผลของดี ของชั่ว เลิกคิดอะไรชั่ว ๆ คิดแต่สิ่งที่ดี ๆ เหตุดี ผลดี ที่จะให้ประโยชน์เราตามเหตุและผลนั้นเอง ฝึกการตรวจสอบตนเองปัจจุบันอย่าคิดไปหวังโชคในวันหน้า แต่เข้าใจเหตุผลว่าปี เดือน วันหน้านั้น จะเป็นผลจากเหตุที่เรากระทำในวันนี้ นั่นเอง การมีสัมมาสติในปัจจุบันจึงเป็นการประพฤติธรรมความไม่ประมาทนั้นเอง เมื่อไม่ประมาทเสียแล้ว ก็มีสติรู้ตัวตลอดเวลา ก็ทำให้ปลอดจากการทำชั่วตลอดเวลา ทำแต่ความดีตลอดเวลา ทำจิตใจให้สะอาดสว่าง สงบไปได้เรื่อย ๆ แล้วที่สุดก็ถึงมรรคผลนิพพาน บรรลุอรหันต์ได้ โดยสัมมาสตินี้เอง
8. สัมมาสมาธิ สมาธิชอบ เป็นเรื่องทางจิตใจ นั่นคือเราจะทำอะไร ๆ ต้องให้เต็มใจทำ ให้จิตใจมุ่งมั่นต่องานจริง ๆ เอาใจใส่เหมือนทำสงครามเลย จิตใจก็จะกล้าหาญ มีความเข้มแข็งแกร่งกร้าวกล้าหาญ มั่นใจในการบุกเบิกการงานใหม่ ๆ และไม่ท้อถอยมุ่งมั่นให้งานใดใดที่เรารับผิดชอบให้สำเร็จลงให้ได้ ไม่สำเร็จไม่ยอมเลย นี่แหละสะสมจิตใจเป็นสมาธิ ที่จะแก่กล้าไปเรื่อย ๆ ไม่หยุด จะเป็นนักสู้ผู้ทรหดอดทน และกล้าหาญ การทำสมาธิชอบในงานอาชีพในชีวิตประจำวันแบบนี้แหละจะสร้างสมาธิ จิตใจให้โดยอัตโนมัติ ครั้นเมื่อไปปฏิบัติธรรมสมาธิ ก็จะบรรลุระดับสมาธิไปได้ง่ายตามลำดับคือ คณิกะสมาธิ อุปปะจาระสมาธิ และอัปนาสมาธิ ก็สำเร็จอรหันต์ได้ง่าย ๆ
ในเมื่อมรรค 8 นี้ เองแต่ละข้อ ในที่สุดจะนำไปสู่เส้นทางอริยมรรค สู่ปลายทางคือการพ้นทุกข์ พ้นสมุทัยไปสู่นิพพานหรือนิโรธ ตามหลักพระพุทธศาสนา ได้รู้แจ้งอริยสัจ 4 สูงสุดนั้นเลย ผลจะได้สูงสุดถึงความพ้นทุกข์ ระดับอรหันต์ จึงควรเร่งรีบเร่งสอนเด็ก นักเรียน นักศึกษา ให้รู้ คุณค่าแห่งวิชชาอันสูงสุดทั้ง 8 ข้อ นี้ เพื่อให้เข้าใจและเร่งฝึกฝนตนไปตามลำดับของวิถีชีวิต ซึ่งตามแนวแห่งมรรคทั้ง 8 จักก่อเกิดการสะสมซึ่ง “ สัมมา” ความดีล้วน หรือ ความชอบล้วน ของแต่ละข้อ คือสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ไปเรื่อย ๆ มีการกวาดล้าง “มิจฉา” คือความชั่ว ความผิด ทั้ง 8 ประการออกไปจนเกลี้ยงไม่มี มิจฉาเหลืออยู่ คือไม่มี มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปโป มิจฉาวาจา มิจฉากัมมันโต มิจฉาอาชีโว มิจฉาวายาโม มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ สิ่งที่เป็นมิจฉา จะถูกกวาดล้างออกไปเรื่อย ๆ ตามลำดับวัย ของชีวิตในเมื่อไม่หยุดหย่อนแล้ว จนที่สุด กวาดล้างออกไปหมด เหลือแต่ สิ่งที่เป็นสัมมาทั้ง 8 ประการ นั้นแหละที่เป็นเป้าหมายของการปฏิบัติมรรค 8 ที่จะค่อยกวาดล้าง มิจฉา ทั้ง 8ประการออกไปจากดวงจิต ใช้ชีวิตทั้งชีวิตนี้ทำสิ่งนี้ ผลก็เท่ากับการกวาดล้างกิเลส ตัณหา อุปาทาน หรือ กาม ภะวะ วิภะวะ ตัณหาเหตุแห่งทุกข์ทั้ง3 ประการหมดไปได้ สมุทัย เหตุแห่งทุกข์ออกไปหมดสิ้น ก็บรรลุอรหันตบุคคล ตามเหตุผลนี้ นั่นเอง เริ่มเรียนรู้ปฏิบัติมรรค 8 ตั้งแต่เด็กไปเถอะ ไม่เสียเวลาเกิดมาเป็นมนุษย์เปล่า ๆเลย จนกระทั้ง กวาดล้าง มิจฉา ทั้ง 8 ได้มีแต่ สัมมาทั้ง 8 ข้อ ก็สำเร็จมรรคผลนิพพานสูงสุด พ้นทุกข์ไปเป็นอมตะนิรันดร นั่นแหละสู่มรรคผลนิพพานโลกของพระพุทธเจ้าอริยบุคคลอรหันต์ทั้งหลาย.
@ พุทธศาสนารายวัน 9 มี.ค. 2566 มรรค 8 เพื่อบรรลุอริยบุคคล อรหันต์ ต้นฉบับ 138ภาษาโลก
-----
-----
-----