การเมืองไทยวันนี้ยังเละเทะสับสนด้วยยุคซ็อฟท์เพาเวอร์ และพลังที่ซ่อนเร้นสงครามจิตวิทยาเกี่ยวกับการเมืองอันตรายทั้งสิ้น
A.
การเมืองไทยวันนี้ ยุคซ็อฟท์ เพาเวอร์ เราก็น่าจะรับฟังเรื่องที่เราอาจจะไม่เคยรับฟัง และรับอารมณ์ที่เราคิดว่าไม่น่าจะรับได้ เกี่ยวกับการเมืองทั้งสิ้น
เรื่องนักโทษคนหนึ่ง ที่หนีคดี หลบการจับกถุมไปร่อนเร่อยู่ต่างประเทศถึง 17 ปี ...เป็นผู้กระทำผิดในขณะที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีประเทศไทย หลายสิบคดีเลยทีเดียว จนบางคดีหมดอายุความไป ... หากอย่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนแล้ว นั่นแหละเขาเอาไปประหารชีวิตพร้อมริบสมบัติหมดเข้ารัฐหมดเลย อย่างที่เคยประหารนักการเมืองคนหนึ่งในรัฐบาลเอง โทษฐานทุจริตโกงเงินงบประมาณแผ่นดินแบบเดียวกันนี้เมื่อเร็ว ๆนี้นั่นเอง
แล้วนักโทษหลบหนีไปคนนี้ ก็นายทักษิณ ชินวัตร นี่แหละเคยเป็นตำรวจที่โดนเขาไล่ออกถอดยศฐานทำตัวไม่เหมาะแก่ตำรวจโจรอยู่แล้ว ยังถ่ายทอดพฤติกรรม แบบเดียวกันกับตน คือนักลงทุนแล้ว โกงอย่างมีชั้นเชิง .....แล้วก็โดนคดีความ ที่ดังไปถึงเมืองจีน ก็คดี จำนำข้าว ของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั่นเอง ซึ่งนี่ถูกศาลตัดสินพร้อม ๆ กับพวก ระดับรัฐมนตรีทั้งนั้น ที่น่าอับอายไปทั่วโลก ที่ล้วนเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาล นั้นเอง คือ แค่นี้ก็น่าขายหน้าไปทั่วโลกแล้ว แต่คนไทยเรากลับไม่ค่อยรู้สึก ที่ว่าจะขายข้าวให้จีน แต่ไม่ได้ขาย...ซึ่งจีนเขาต้องตำหนิอย่างแรงอยู่แล้ว ว่าเอาประเทศเขาไปอ้าง โกงกินประชาชนได้อย่างไร จำเป็นนายกรัฐมนตรีที่ไร้ความน่าเชื่อถือไปหมด ตั้งโครงการหรือนโยบายชื่อเพียงการหลอกลวงประชาชน ไม่ได้ขายข้าวให้ประเทศจีนตามชื่อ จนที่สุดต้องคดี โกงบ้านโกงเมืองเหมือนพี่ชาย....คนที่ว่าหนีไป17 ปีและกลับมา เมื่อ นั้นเอง หลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ โดยให้พรรคพวกทั้งรัฐบาลตนหลายคนติดคุกแทน เช่นนาย รมว.พาณฯชย์ ติดคุก 42 ปี ตนเองหนีไปอยู่เซอร์เบีย และตั้งแต่พี่ชายกลับมา ก็เตรียมตามพี่ชายเข้ามาด้วย
ทั้งพี่ทั้งน้องนี่แหละก่อปัญหาการเมืองไทยอยู่ขณะนี้
เริ่มจากนายทักษิณ รู้ตัวเองว่ากลับมาอย่างนักโทษ ที่มีโทษพิพากษาแล้ว มีคดีที่ตัดสินแล้ว 3 คดี จะต้องติดคุก 10 ปี
เดินทางกลับมาแบบเศรษฐี มหาเศรษฐีขี่เครื่องบินเจต ส่วนตัวมาลงสุวรรณภูมิ สวมรองเท้าข่มนรม.เศรษฐาสวมนาฬิการาคา 18 ล้านบาทอวดคนไทย แทนที่กรมราชทัณฑ์จะคุมตัวปลดทรัพย์สินแบบนักโทษ หากแต่กลายเป็นนาย ภาพออกมาเหมือนคนสำคัญต่างประเทศมาเยี่ยมไทย ดูแล รักษาความปลอดภัยรอบตัวยอย่างดี และที่น่ารันทดกับการเมืองไทย ก็นักการเมือง พรรคเพื่อไทย มาคอยต้อนรับ เต็มไปหมด และแทบลงกราบเท้านักโทษคนนี้ โดยการนำของ นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่เป็นถึงรองนาวกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีพาณิชย์ รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน นั่นเอง นำพวกมาต้อนรับ จนตำรวจเขาคิดว่าเกินไป จับเอาคนหนึ่งที่กำลังจะกราบเท้าทักษิณ ดึงออกมา ไม่มีการล่ามโซ่ขา ไม่มีการสวมกุญแจมือ ไม่มีการเปลี่ยนเครื่องแบบจำเป็นชุดนักโทษ ....แต่คนไทยก็ดูว่า ไม่เห็นจำเป็นอะไร คนสำคัญขนาดทักษิณ ก็ต้องให้เกียรตื เป็นนักโทษพิเศษ อะไรอย่างนั้น (นี่คือลักษณะทาสไร้ศักดิ์ศรี ไม่มีความเป็นเสรีชน... โจรหรือผู้ดีมาปกครองก็ได้ขอแต่มีข้าวกินอะไรทำนองนั้น...นี่แหละปัญหาประชาธิปไตยของประเทศด้อยพัฒนา)
แต่เมื่อไปถึงศาล โทษ 3 คดี 10 ปี ศาลลดไป 2 ปี เหลือลงโทษ 8 ปี และครั้นถึง กรมราชทัณฑ์ ๆ เสนอไป ขอพระราชทานอภัยโทษ ตั้ง 7 ปี เหลือเพียง 1 ปี) ..... ต้องติดคุก 1 ปี
เรื่องของเรื่องก็คือ แม่จะทรงอภัยโทษให้เหลือลงโทษเพียง 1 ปีก็ตาม แต่เขาก็ยังเป็นนักโทษ ต้องเข้าคุก 1 ปี อย่างไรครับ
และแปลก ที่กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ได้เตรียมการต้อนรับนักโทษคนนี้แบบพิเศษ แต่เดิมเลย พอมาถึงก็ออกกฎราชทัณฑ์ใหม่ เรื่อง ไม่ต้องให้นักโทษจำคุกในเรือนจำ ให้จำคุกที่บ้านก็ได้ อันเป็นการต้อนรับนักโทษพิเศษคนนี้เลย ทีเดียว
และสร้างเรื่องหลอกคนไทยทั้งประเทศ เริ่มแต่วันที่กลับประเทศนั้นแหละ พอศาลพิพากษา 8ปีแล้ว ก็เอาไปเข้าคุก ยังไม่ทันเกรียนผม เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวสวมเสื้อ ผ้าแบบนักโทษ พอเข้าห้องได้ไม่กี่นาที ก็ชัก ดิ้นชักงอ จะตายลง ออกอาการป่วยหนัก คนก็กลุ้มรุมกันใหญ่ นายภูมิธรรม บอกว่าแกกลัวการเป็นนักโทษ กลัวคุก แท้จริงไม่ป่วยอะไรเท่าไร แต่อาการออกมาแบบนั้น แพทย์ รพ.ราชทัณฑ์ก็ไม่กล้ารักษา ว่ารพ.กรมราชทัณฑ์ ไม่มีเครื่องมือแพทย์ดีพอเหมาะแก่โรค ก็รักษาไม่ได้ ต้องส่งไป รพ.กรมตำรวจ เอาขึ้นชั้น 10 เลย และบังเอิญกล้องบันทึกเสียหมด เลยไม่มีกล้องรายงานนายทักษิณ บนชั้น 10 เลย และไม่ให้ใครมาเยี่ยม นายแพทย์ที่เป็นผอ.บอกว่าห้ามถามอาการป่วย หรือป่วยเป็นอะไรห้ามถาม เพราะ เป็นสิทธิของผู้ป่วย เลยก่อเกิดกระแส รักความสงสัย คิดว่าไม่เป็นธรรมสุจริตของประชาชนขึ้น
B.
เรื่องของเรื่องก็คือ รัฐบาลก็ไม่เอาใจใส่เลย ว่าผิดกฎหมาย ผิดความชอบธรรมอย่างไร
จนครบวาระ 180 วัน ให้ออกจาก รพ.ตามระเบียบใหม่
ข่าวว่ากลัวประชาชนมาต่อต้านเลยให้ออกทางประตูผี คือคนที่ตายในโรงพยาบาลทุกแห่งจะมีประตูสำหรับเอาศพออก อยู่ด้านท้ายของอาคาร เขาเอาทักษิณออกประตูคนตาย เหมือนเอาศพออกเลย ....โดยทักษิณ และญาติ ๆ อาจจะไม่รู้ก็ได้ แต่คนตาย ญาติๆคนตาย ที่เอาศพออกจากโรงพยาบาลเขาจะรู้ดี เพราะการเอาศพออกจากโรงพยาบาลนั้น เขาจะมีพิธีกรรม โดยอาราธนาพระมาที่ห้องพักศพนั้นก่อน เพื่อทำพิธีกรรม พระจะสวดนำส่งวิญญาณผู้ตายไปสู่สุคติ ให้บุญ รับบุญทานจากญาติ ๆ ผู้ตาย และนำศพและวิญญาณออกมาทางประตูนี้ แต่นายทักษิณ ไม่ได้ทำพิธีเลย เอาออกไปแบบนักโทษเดนตายไปควบคุมตัวอยู่บ้านจันทร์ส่องหล้า
แล้วนายฮุนเซน (ที่มีคำนำหน้าเหมือนเป็นราชวงศ์ชั้นสูงราชอาณาจักรกัมพูชานั้น ไม่ใช่แสดงว่าเป็นเชื้อเจ้าอะไรนะ เป็นเพราะกษัตริย์ สีหนุองค์ก่อนเอาใจเลยตั้งชื่อให้เป็น สมเด็จนำหน้า แบบราชวงษ์ว่า สมเด็จฮุนเซนต์ แต่จริง ๆ นายฮุนเซน ธรรมดา ๆนี่เอง) และเราก็เรียกตามความจริงว่านายฮุนเซน ก็ไม่ผิดอะไร อดีตผู้นำ นรม.เขมร ที่ให้จัดการเลือกตั้ง ให้ลูกชายเป็นแทน(แบบเกาหลีเหนือเลย) เมื่อปีกลายนี้เอง มาเยี่ยมที่บ้านจันทร์ส่องหล้าทันทีเลย(ก่อนนี้ก็นายฮุนเนท รมว.เขมรลูกชายฮุนเซน มาเยี่ยมล่วงหน้าก่อน) โดยไม่สนใจรัฐบาลเศรษฐาเลย ก็ที่ว่าป่วยหนัก ก็เลยกลายเป็นเรื่องร่วมกันโกหกช่วยเหลือนักโทษนั้นเอง คนก็เริ่มตื่นตัวขึ้นมา และเริ่มรู้ถึงสิทธิและหน้าที่ของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย หน้าที่โดยตรงของประชาชนในการปกครองประเทศ
โดยเฉพาะพลเมืองดี ที่ออกมาต่อต้าน ในนามผู้คุ้มครองความยุติธรรม มาอยู่ถึงวันนี้
แล้วพอไม่กี่วัน นายทักษิณ ก็หายป่วย และออกลวดลายนักการเมือง เป็นผู้นำพรรคการเมืองขึ้นมาทันที
โดยเดินทางไปยังบ้านเกิดที่ จ.เชียงใหม่ ในวันที่ 14 มี.ค.67 นี้ ซึ่งในช่วงเช้าเวลาประมาณ 07.30 น. จะเดินทางไปสักการะศาลหลักเมืองกรุงเทพฯ ก่อน จากนั้นจะเดินทางไป จ.เชียงใหม่ ด้วยเครื่องบินส่วนตัว และเข้าพักที่บ้านพักในสนามกอล์ฟ ซัมมิท กรีนวัลเล่ย์ ต.แม่สา อ.แม่ริม
จากจุดนี้เอง ที่พบว่าทักษิณ ชินวัตร คืนมาสู่บทบาทหัวหน้าพรรคเพื่อไทยและนั่นคือ หัวหน้ารัฐบาลชุดปัจจุบันนี้ ดังที่ปรากฏการเคลื่อนไหวใหญ่ของนักการเมือง ไปเยี่ยมเฝ้านายทักษิณกันไปตามลำดับแม้กระทั่งนายเศรษฐา ทวีสิน นรม. และนายภิมิธรรม เวชยชัย และมี รมว.เกษตรพรรคพลังประชารัฐร.อ.ธรรมนัสพรหมเผ่า ไปเฝ้าอยู่หลายวันหลายคืน ซึ่งนายคนนี้เคยมีประวัติต่างประเทศว่าเคยถูกศาลต่างประเทศสั่งจำคุกฐานค้ายาเสพติดมาแล้ว ท้ายสุด นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ก็ตามไป คล้ายจะเจรจาเรื่อง ม.112 สร้างไทยเป้ฯสาธารณรัฐให้ทักษิณ ชินวัตร เป้ฯประธานาธิบดีคนแรก ต่ออีก นั่นเอง
นี่คือปรากฏการการเมืองที่กำลังส่อทิศทางแห่งความยุ่งยากทางการเมืองไทยต่อไปอีกหรือไม่?
แต่แน่นอน
เรากำลังจะได้พบ อิทธิพลของสิ่งที่เราลืมไปนานแล้ว และวันนี้ก็ไม่ค่อยจะได้คิดถึงมัน ทั้ง ๆ ที่ไทยเราได้ต่อสู้มาอย่างยืดเยื้อ จนชนะมาแล้ว นั่นคือสงครามคอมมิวนิสต์ มาจนถึง คำสั่งที่ 66/2523 ของนายกรัฐมนตรีพล.อ.เปรม ตินสูลานนท์ โดยการบริหารของ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงแห่งชาติ(กอ.รมน.)
อันให้ความหมายอย่างเดียวกันกับภาวะไทยยุคทักษิณกลับบ้านเกิดเมืองนอนวันนี้ ณ เชียงใหม่ วันนี้
นั่นคือ สงครามจิตวิทยา Psychological Warefare อันมีลักษณะสงครามที่ซ่อนเร้น หาตัวตนไม่ได้แต่ทรงอิทธิพลยิ่งใหญ่
ที่นักการเทืองไทย ยุค 2562-2566 แทบจะไม่รู้เรื่องเลย
ซึ่งมันออกภาพมาเบื้องต้น เรื่อง soft power
มันซ่อนความหมายของ สงครามเย็น cokd war ที่กำลังกลับมาสู่โลกยุคนี้อีกครั้งหนึ่ง (ตามที่ท่าน สี จิ้นผิง ประธานาธิบดี สาธารณรัฐจีนได้กล่าวไว้ ในการประชุม สงครามรัสเซีย-ยูเครน)
แทรกมากับข่าวไทยกลายเป็นแดนท่องเที่ยวชั้นหนึ่งของโลก …แต่น่าระวังว่า จะนำมาซึ่งสงครามซ่อนเร้นทั้งหลาย
และข่าวการลงโทษที่เพิ่มขีดแรงขึ้นไปเรื่อย ๆ
C.
อย่างเช่นข่าววันนี้ เรื่องในเวียดนาม อัยการเวียดนาม เสนอโทษประหารชีวิตเจ้าแม่อสังหาริมทรัพย์ เพราะทำความผิดมาตลอดไม่เคยหยุดยั้งเลย ก็หน้าตาดี ๆ แต่ใจชั่วร้ายคิดอย่างเดียวโกง ก็เอาไปประหารเสีย หากมีชีวิตอยู่ความคิดโกงก็ยังมีต่อไป
ถ้าเราทำอะไรกับ นายทักษิณ ชินวัตร และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นี่แหละ อะไรจะเกิดขึ้นในลักษณะ สงครามจิตวิทยา
และในทางตรงกันข้าม ถ้านายทักษิณ นางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะ การเมืองจ่าฝูงสกุลชินวัตร คิดเอาสงครามจิตวิทยามาใช้กับ การเมืองไทย
อะไรจะเกิดขึ้น ? อย่างนายภูมิธรรม เวชยชัย ดูเหมือนเขาเป็นเครื่องมือชิ้นหนึ่งที่ไม่มีความคิด แต่ถูกเอาไปใช้ เราในฐานะคนหนึ่งผู้เป็นเจ้าของประเทศ จะคิดทำอะไรกับคน ๆ นี้ ?
อะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม แต่ เราชาวไทย นักการเมืองไทย ฝ่ายความมั่นคงไทย จำเป็นต้องให้การเมืองไทย เดินไปอย่างเข้มแข็ง มีจริยธรรมการเมืองเต็มพร้อมเสมอ 3 ประการ คือ เสรีภาพ เสมอภาค และ ภราดรภาพ ควบคู่กับการยุทธศาสตร์ที่ทันโลก จึงจะทำการเมืองสร้างสรรค์ขึ้นมาได้ บ้านเมืองพบความสงบไม่วุ่นวายทั้งภายในและภายนอกประเทศ เพราะระบบการเมืองมั่นคง เขื่อถือได้
เราต้องสำนึกในในสัจธรรมการเมือง การสร้างการเมืองให้เป็นธรรม ตามระบอบประชาธิปไตยให้ได้และ การเมืองนั้นต้องเป็นเครื่องมือที่สร้างสรรค์ เพื่อชาติและประชาชนไทย มีสามัคคีธรรม ไม่มีการแตกแยกอย่างเด็ดขาด
และนั่นก็คือ ประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ ต้องตื่นขึ้นมาดูแลทำหน้าที่ของตน นักการเมืองทั้งหลายในระบอบประชาธิปไตยเป็นเพียงผู้รับใช้ของประชาชนเจ้าของอำนาจรัฐอธิปไตยประชาชน เท่านั้น.
-----
@ การเมืองไทยวันนี้ ยุคซ็อฟท์ เพาเวอร์ เราก็น่าจะรับฟังเรื่องที่เราอาจจะไม่เคยรับฟัง และรับอารมณ์ที่เราคิดว่าไม่น่าจะรับได้ เกี่ยวกับการเมืองทั้งสิ้น