ReadyPlanet.com
dot dot
bulletBUDDHISM to the NEW WORLD ERA
bullet1.Thai-ไทย
bullet2.English-อังกฤษ
bullet3.China-จีน
bullet4.Hindi-อินเดีย
bullet5.Russia-รัสเซีย
bullet6.Arab-อาหรับ
bullet7.Indonesia-อินโดนีเซีย
bullet8.Japan-ญี่ปุ่น
bullet9.Italy-อิตาลี
bullet10.France-ฝรั่งเศส
bullet11.Germany-เยอรมัน
bullet12.Africa-อาฟริกา
bullet13.Azerbaijan-อาเซอร์ไบจัน
bullet14.Bosnian-บอสเนีย
bullet15.Cambodia-เขมร
bullet16.Finland-ฟินแลนด์
bullet17.Greek-กรีก
bullet18.Hebrew-ฮีบรู
bullet19.Hungary-ฮังการี
bullet20.Iceland-ไอซ์แลนด์
bullet21.Ireland-ไอร์แลนด์
bullet22.Java-ชวา
bullet23.Korea-เกาหลี
bullet24.Latin-ละติน
bullet25.Loa-ลาว
bullet26.Luxemberg-ลักเซมเบิร์ก
bullet27.Malaysia-มาเลย์
bullet28.Mongolia-มองโกเลีย
bullet29.Nepal-เนปาล
bullet30.Norway-นอรเวย์
bullet31.persian-เปอร์เซีย
bullet32.โปแลนด์-Poland
bullet33.Portugal- โปตุเกตุ
bullet34.Romania-โรมาเนีย
bullet35.Serbian-เซอร์เบีย
bullet36.Spain-สเปน
bullet37.Srilanga-สิงหล,ศรีลังกา
bullet38.Sweden-สวีเดน
bullet39.Tamil-ทมิฬ
bullet40.Turkey-ตุรกี
bullet41.Ukrain-ยูเครน
bullet42.Uzbekistan-อุสเบกิสถาน
bullet43.Vietnam-เวียดนาม
bullet44.Mynma-พม่า
bullet45.Galicia กาลิเซียน
bullet46.Kazakh คาซัค
bullet47.Kurdish เคิร์ด
bullet48. Croatian โครเอเซีย
bullet49.Czech เช็ก
bullet50.Samoa ซามัว
bullet51.Nederlands ดัตช์
bullet52 Turkmen เติร์กเมน
bullet53.PunJabi ปัญจาบ
bullet54.Hmong ม้ง
bullet55.Macedonian มาซิโดเนีย
bullet56.Malagasy มาลากาซี
bullet57.Latvian ลัตเวีย
bullet58.Lithuanian ลิทัวเนีย
bullet59.Wales เวลล์
bullet60.Sloveniana สโลวัค
bullet61.Sindhi สินธี
bullet62.Estonia เอสโทเนีย
bullet63. Hawaiian ฮาวาย
bullet64.Philippines ฟิลิปปินส์
bullet65.Gongni-กงกนี
bullet66.Guarani-กวารานี
bullet67.Kanada-กันนาดา
bullet68.Gaelic Scots-เกลิกสกอต
bullet69.Crio-คริโอ
bullet70.Corsica-คอร์สิกา
bullet71.คาตาลัน
bullet72.Kinya Rwanda-คินยารวันดา
bullet73.Kirkish-คีร์กิช
bullet74.Gujarat-คุชราด
bullet75.Quesua-เคซัว
bullet76.Kurdish Kurmansi)-เคิร์ด(กุรมันซี)
bullet77.Kosa-โคซา
bullet78.Georgia-จอร์เจีย
bullet79.Chinese(Simplified)-จีน(ตัวย่อ)
bullet80.Chicheva-ชิเชวา
bullet81.Sona-โซนา
bullet82.Tsonga-ซองกา
bullet83.Cebuano-ซีบัวโน
bullet84.Shunda-ชุนดา
bullet85.Zulu-ซูลู
bullet85.Zulu-ซูลู
bullet86.Sesotho-เซโซโท
bullet87.NorthernSaizotho-ไซโซโทเหนือ
bullet88.Somali-โซมาลี
bullet89.History-ประวัติศาสตร์
bullet90.Divehi-ดิเวฮิ
bullet91.Denmark-เดนมาร์ก
bullet92.Dogry-โดกรี
bullet93.Telugu-เตลูกู
bullet94.bis-ทวิ
bullet95.Tajik-ทาจิก
bullet96.Tatar-ทาทาร์
bullet97.Tigrinya-ทีกรินยา
bullet98.check-เชค
bullet99.Mambara-มัมบารา
bullet100.Bulgaria-บัลแกเรีย
bullet101.Basque-บาสก์
bullet102.Bengal-เบงกอล
bullet103.Belarus-เบลารุส
bullet104.Pashto-พาชตู
bullet105.Fritian-ฟริเชียน
bullet106.Bhojpuri-โภชปุรี
bullet107.Manipur(Manifuri)-มณีปุระ(มณิฟูรี)
bullet108.Maltese-มัลทีส
bullet109.Marathi-มาราฐี
bullet110.Malayalum-มาลายาลัม
bullet111.Micho-มิโช
bullet112.Maori-เมารี
bullet113.Maithili-ไมถิลี
bullet114.Yidsdish-ยิดดิช
bullet115.Euroba-ยูโรบา
bullet116.Lingala-ลิงกาลา
bullet117.Lukanda-ลูกันดา
bullet118.Slovenia-สโลวีเนีย
bullet119.Swahili-สวาฮิลี
bullet120.Sanskrit-สันสกฤต
bullet121.history107-history107
bullet122.Amharic-อัมฮาริก
bullet123.Assam-อัสสัม
bullet124.Armenia-อาร์เมเนีย
bullet125.Igbo-อิกโบ
bullet126.History115-ประวัติ 115
bullet127.history117-ประวัติ117
bullet128.Ilogano-อีโลกาโน
bullet129.Eve-อีเว
bullet130.Uighur-อุยกูร์
bullet131.Uradu-อูรดู
bullet132.Esperanto-เอสเปอแรนโต
bullet133.Albania-แอลเบเนีย
bullet134.Odia(Oriya)-โอเดีย(โอริยา)
bullet135.Oromo-โอโรโม
bullet136.Omara-โอมารา
bullet137.Huasha-ฮัวซา
bullet138.Haitian Creole-เฮติครีโอล
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี
bulletMystery World Report รายงานการศึกษาโลกลี้ลับ
bulletสารบาญโหราศาสตร์
bulletหลักโหราศาสตร์ว่าด้วยดวงกำเนิดและดวงฤกษ์รวมคำตอบคลี่คลายปัญหาข้อข้องใจเกี่ยวกับการทำนายชะตาชีวิต
bulletทุกความคิดเห็นจากเวบนี้(เริ่ม ก.พ.55)
bulletประชาธิปไตยเท่านั้น1
bulletประชาธิปไตยเท่านั้น 11
bulletทุกความคิดเห็นจากหน้า1(ก่อน ก.พ.55)
bulletทุกความคิดเห็นจากเวบบอร์ด(ถึงก.พ.55)
bulletภาค 11
bulletภาค 12
bullet54.Hmong ม้ง
bullet133.แอลเบเนีย
bullet133.แอลเบเนีย
bulletหน้าที่เก็บไว้




กติกาประชาธิปไตย

ยินดีต้อนรับสู่เว็บไซต์ www.newworldbelieve.com และเวบคู่แฝด www.newworldbelieve.net

 ไปสู่เวบแฝดโปรดคลิกเพื่อไปสู่  www.newworldbelieve.net
 

HTTP://WWW.NEWWORLDBELIEVE.NET
HTTP://WWW.NEWWORLDBELIEVE.COM 

เราเพิ่งสร้างเวบนี้ขึ้นมาเพียง 1 วัน จากวันที่ 11 พฤษภาคม 2553 เวลา 22.30 น. เพื่อให้คู่กับเวบแฝดของเราคือ www.newworldbelieve.net   โปรดตรงเข้าไปสู่กระดานถาม-ตอบ(เวบบอร์ด)ได้เลยนะครับ มีเรื่องราวของคนรักประชาธิปไตยกับรัฐบาลเผด็จการอยู่ร้อน ๆ หรือคลิกที่นี่ได้เลยครับ.....ไปสู่เวบบอร์ด

พบหนังสือพิมพ์ดี(อินเทอเนต) เล่มที่ 45  

 

 
 
สามอาจารย์ ตุ้ม จา หวาน บนเวทีแดงเพื่อประชาธิปไตย คืนวันที่ 23 ม.ค.2554 ย้ำเป็นนักวิชาการเพื่อแดงประชาธิปไตยไปจนกว่าจะได้ประชาธิปไตยกลับมา สามอาจารย์พบประชาชนที่เอเซียอัพเดททุกวันจันทร์ อังคาร เวลา 21.30 น.
 
สิ่งที่เป็นความจริงวันนี้ ก็คือผู้หญิงเป็นแนวหน้าของประชาธิปไตยไปเสียแล้ว   แต่ประเทศไทยดูยังไม่ตื่นตัวเท่าที่ควร  จึงน่าชื่นชมที่ได้เห็นสตรีระดับปัญญาชนในมหาวิทยาลัย ลุกขึ้นมาถือธงประชาธิปไตยนำหน้ามวลมหาประชาชนเช่นนี้    ในเมื่อประชาธิปไตยสร้างความเป็นธรรมขึ้นมาตามหลัก  Equality  คือความเสมอเท่าเทียมกันในอำนาจ  สังคมไทยได้เคยยอมรับหรือไม่ในสิทธิ และความเสมอภาค ที่สตรียุคประชาธิปไตยย่อมมีอย่างเท่าเทียมกับบุรุษ   นี่เป็นประการแรก   ประการต่อไปก็คือ  คนทุกชนชั้น ทุกฐานะ  มีความเท่าเทียมกันในอำนาจ ที่จะปกครอง     เราเคยยอมรับอย่างนี้หรือไม่  ??    แน่นอน  ยังมีความกระด้างกระเดื่องต่อหลักการประชาธิปไตยข้อนี้ในสังคมไทยอยู่ค่อนข้างมาก   จึงยังคงต้องบุกเบิก  ต่อสู้ เพื่อให้เกิดความเสมอภาคขึ้นมาในสังคมไทย  สังคมที่ต้องการประชาธิปไตย  แต่ยังขาดสปิริตสูงพอที่จะยอมรับหลักการของความเสมอภาค  
 
หมายความว่า  สังคมไทยต้องยอมรับในความเสมอกันของชายและหญิง  และของชนทุกชั้น   นับแต่มีประชาธิปไตยขึ้นในสังคมใด  สังคมนั้นจะต้องเตรียมใจไว้ว่า  การขึ้นสู่อำนาจการปกครอง ทุกระดับนั้นมิได้จำกัดในเรื่องเพศเลย    มิได้จำกัดในเรื่องชนชั้น หรือหมู่กลุ่มต่าง ๆ ไม่ว่า ศาสนา หรือวัฒนธรรม   ลูก ๆ หลาน ๆ ของคนในสังคมประชาธิปไตยสามารถพูดได้และฝันได้  ว่าวันหนึ่งเขาจะขึ้นสู่ตำแหน่งอันสูงสุดของอำนาจการปกครองของประเทศนี้  .....  เขามีสิทธิที่จะพูดโดยไม่สะทกสะเทือนสะท้านใจ ว่าเขาอยากเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย  และเขาจะต้องเป็นให้ได้.......  และนี่คือความหมายของสตรี   ทำไมสตรีจึงยังไม่ตื่นตัวขึ้นมา และต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และเพื่อสิทธิสตรี ที่เป็นชนส่วนใหญ่ของประเทศ สังคม โลกวันนี้.....???? 
 
และสิ่งที่เราหวังจากสตรี เพื่อมาร่วมสร้างประชาธิปไตย ในวันนี้ เป็นอย่างมากก็คือ  สตรีมีความเป็นแม่อยู่โดยธรรมชาติ...  เราหวังในความรักและความยุติธรรมของความเป็นเพศแม่ .....ให้เป็นตัวนำในการสร้างประชาธิปไตยแบบแผนขึ้นเสียให้ได้ก่อน  ...
 
 มาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยสิ   ประชาธิปไตยนี่แหละคือธรรมชั้นสูงในพระพุทธศาสนา   เพราะการปฏิบัติธรรมประชาธิปไตย  ต้องใช้ธรรมะทุกอย่างในพระพุทธศาสนา และเป็นการปฏิบัติธรรมในการงานประจำวันเรานี่เอง  ดูแลลูก ผัว พ่อแม่ และดูแลสังคม ต่อสู้โดยหลักอหิงสา  และ สันติธรรม นี่คือสุดยอดของนักปฏิบัติธรรม .............และมีรูปธรรมที่จะได้  คือสตรีมาสู่ความเป็นผู้นำในโลกประชาธิปไตย กล้าแกร่งเข้มแข็งในเชิงเป็นผู้นำมีคุณค่าแก่ความเป็นมนุษย์ พ้นทาส  ไปสู่สังคมแห่งเสรีภาพ  ความเท่าเทียมกัน  สร้างประชาธิปไตยที่แท้จริงขึ้นด้วยสปิริตของประชาธิปไตย....เมื่อใคร ๆ หรือสตรีมาสู่เสรีภาพ  ก็ได้ความอิสระพ้นจากความเป็นทาส ทั้งทางกายและทางใจที่พ้นกิเลส  ......และสามารถจะบรรลุมรรคผล........จากการปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันนี่เอง  ........และเป็นวิถีทางที่ไม่ขัดธรรมชาติของความเป็นคน.........คนผู้สร้างระบอบประชาธิปไตย
           
 
 
แดงเพื่อประชาธิปไตยกรุงเทพ มาร่วมชุมนุม ขณะให้สัมภาษณ์นักข่าวดีเอนเอน เครือข่ายแดงเพื่อประชาธิปไตย คืนวันที่ 23 ม.ค.2554 ยืนยันว่าประชาธิปไตยเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อการปกครองเป็นธรรมแด่ชนทุกชั้น
 
 
 
นายแพทย์ท่านนี้ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ประสานงาน(ประธาน)แดงอีสานบน6จังหวัด บนเวทีแดงเพื่อประชาธิปไตย คืนวันที่ 23 ม.ค.2554 ซึ่งมีประชาชนมาร่วมชุมนุมจำนวนมากมหาศาล พอ ๆ กับการชุมนุมก่อนล้อมปราบปรามประชาชน 19 พ.ค.2553  มาวันนี้ พวกเขาพูดตรงกันว่า  ความยุติธรรมและประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับประเทศไทย พอ ๆ กับการจะได้มาซึ่งประชาธิปไตยนั้น ต้องได้มาด้วยการต่อสู้ ยืนหยัดอย่างไม่ท้อถอย  และด้วยความร่วมมือของประชาชนทุกชนชั้น  เพราะประชาธิปไตยเป็นของประชาชนทุกกลุ่ม ทุกชนชั้น ทุกลัทธินิกายศาสนา ทุกระบบวัฒนธรรม สำนักข่าว DNN [Democrat News Network] รายงานข่าวผ่านโทรทัศน์เอเซียอัพเดท  มีข้อสังเกตว่าที่ช่อง 11 มีรายการนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พูดชี้แจงเรื่องนโยบายกลางปีของรัฐบาล ที่ต้องใช้เงินถึง 1 แสนล้านบาท รวมถึงนโยบายชั่งไข่ขายด้วย
 
 
 

 

กระบวนการยุติธรรมไทยน่าอดสูเพียงไหน อับอายไปทั่วโลก
คุมขังพวกเขาทำไม ? เขาเป็นสัตว์ร้ายหรือถึงต้องตีโซ่ตรวน ?

 

โปรดติดตามและแสดงความคิดเห็นได้ในเวบบอร์ดครับ กรุณาคลิกที่นี่ได้เลย

 

 

 
 
ร่วมสร้างกติกาประชาธิปไตยไทย
 
กระบวนการยุติธรรมไทยน่าอดสูเพียงไหน อับอายไปทั่วโลก
คุมขังพวกเขาทำไม ? เขาเป็นสัตว์ร้ายหรือถึงต้องตีโซ่ตรวน ?
 
 

พวกเขาเพียงเรียกร้องให้ระบบไทยทั้งระบบ ทั้งประเทศดำเนินไปโดยวิถีทางประชาธิปไตย  ให้ละทิ้งวิถีทางเผด็จการเสีย  มาเป็นประชาธิปไตยกันเถิด  พวกเขามีแนวคิดประชาธิปไตยอยู่ในหัวแล้ว  ก็แปลว่า  ไร้ความรุนแรง  ประชาธิปไตยแปลว่าพูดคุยกันได้และแก้ไขปัญหาอย่างอหิงสาและสันติ ฉะนั้นพวกเขา ทุกผู้ทุกคน ผู้รักประชาธิปไตยในโลก ทั่วโลก ไม่เฉพาะแดงในแผ่นดินไทย จึงย่อมไม่มีแนวคิดรุนแรงอยู่ในแผนการประชาธิปไตยอยู่แล้ว  เพราะระบบประชาธิปไตยเป็นเช่นนั้น  และประชาชนแดงทั้งแผ่นดิน แดงขึ้นไปเรื่อย ๆ จนแดงทั้งแผ่นดิน พวกเขาจึงไม่ได้คิดใช้กำลังเลย  แต่นั่นเป็นความพยายามที่จะยืนยันถึงความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ จำนวนมหาศาล ที่น่าเพียงพอสำหรับฝ่ายบริหารจะรับฟัง  ในประเด็นที่ว่า เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ต่อประเทศชาติทั้งระบบ เรียกว่าถือความเห็นของประชาชนส่วนใหญ่เป็นหลัก  นี่ก็เป็นหลักการสำคัญของประชาธิปไตย พวกเขาทำถูกหลักการประชาธิปไตย แต่พวกคุณเป็นเผด็จการที่โง่เง่า ไม่เข้าใจอะไรดีอะไรชั่ว  อะไรจะเป็นประโยชน์ ไม่เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ  คุณเองต่างหากที่ทำตัวเหมือนไม่ใช่คน  เป็นสัตว์ร้าย  มีข้อเท็จจริงพิศูจน์ชัดเจนอยู่ ก็ในเหตุการณ์วันที่ 19 พ.ค.2553 นั่นเอง ไม่เห็นหรือ ?? 
 
 
แล้วคุณคุมขังพวกเขาทำไม  ?  เขาเป็นสัตว์ร้ายหรือถึงต้องตีโซ่ตรวน ?
 
 
ควรเข้าใจความดีของประชาธิปไตย  ประชาธิปไตยเป็นความหมายของมนุษย์ในสังคมทุกคน ทุกชนชั้น ที่อยู่กันอย่างมีความเสมอภาค  มีเสรีภาพ  และ ที่สุดก็เพราะประชาธิปไตยเป็นระบบพี่ ๆ น้อง ๆ  คือระบบภราดรภาพ  ฝรั่งใช้คำอยู่ 3 คำที่อธิบายประชาธิปไตยก็คือ  freedom  equality  และ fraternity  นี่เป็นความหมายของประโยชน์ของมนุษย์เอง  ทั่วโลก ที่จะสามารถอยู่กันอย่างสงบ ไร้ความรุนแรง  โลกจึงต้องการประชาธิปไตย
 
 
ถ้าเพียงคุณเข้าใจหลักการประชาธิปไตย  คุณก็จะละอายใจ ในการกระทำที่สั่งทหารล้อมฆ่าปราบปรามประชาชนมือเปล่า ๆ เหล่านี้  ที่คุมขังคนบริสุทธิ์ และตีโซ่ตรวนเขาอย่างกับเขาเป็นสัตว์ร้าย  นั่นเป็นการก่อเวรก่อกรรมอันหนักของคุณ   และเป็นเพราะคุณเขลาไม่เข้าใจประชาธิปไตย คุณไม่คิดดูย้อนหลังไปเลยเมื่อ 8 เดือนก่อนนั้น วันนั้น 19 พ.ค.2553  โทรทัศน์อัลจาชีรา (Aljazeera)มาทำข่าวอย่างละเอียด อ้างอิงได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งเรื่องสไนเปอร์ที่แอบบสังหารประชาชน  ประเด็นสำคัญที่ขออ้างอัลจาชีราก็คือรัฐบาลเองเป็นฝ่ายขอร้องให้แกนนำมอบตัว  แล้วพวกเขาก็มอบตัว เขาไม่สั่งให้ประชาชนฮือขึ้นก่อการร้ายทั่วประเทศ.... คุณลืมคำสัญญาของคุณหรืออย่างไร ???(ภาพนี้ถ่ายจากข่าวโทรทัศน์ เมื่อ 17 ม.ค.2554)
 
 
ประชาธิปไตยเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่จิตใจต้องสูงส่ง 
 
 
โปรดเข้าใจประชาธิปไตยว่าเป็นระบบที่ไม่ยุ่งยากสลับซับซ้อนอะไรเลย  แต่เป็นระบบที่ง่าย ๆ  ใช้คำว่า simple ของฝรั่งชัดเจนดี คือง่าย ๆ   ไม่สลับซับซ้อนเลย  เรื่องสำคัญที่สุดของคนก็คือเรื่องอำนาจ ที่ใคร ๆ ก็อยากมีอำนาจ  ขอให้เรามาดูสัจธรรมเกี่ยวกับอำนาจ ว่ามนุษย์ใช้มันไม่ถูกต้องมาแต่ยุคดั้งเดิม  การอยากมีอำนาจ หมายถึงการอยากอยู่เหนือคน  นั่งบนหัวคนอื่นแล้วชี้นิ้วสั่งการคนอื่น เขาไม่ทำก็ใช้กำลังที่เหนือกว่า  กระทั่งใช้กองกำลังบังคับให้เขาทำตาม นั่นเป็นธรรมอย่างไร  ในเมื่อคนอื่นก็เป็นคนเหมือนกัน มีสองมือ สิบนิ้วเหมือนกัน  เราจงลืมเสีย เพราะนั่นแหละคือ ยุคทาส  ถ้าท่านอยากมีอำนาจ แสวงหาอำนาจนั่นก็คืออยากเอาคนอื่นมาเป็นทาส นั่นเอง  มันไม่เป็นธรรมใช่ไหม ???  ซึ่งยุคนี้โลกเขาเลิกทาสกันหมดแล้ว  ในอเมริกา ถึงต้องทำสงครามกลางเมือง  เพื่อปลดปล่อยระบบทาสทั้งแผ่นดินอันกว้างใหญ่ และพวกเขาเสรีชนอเมริกัน ก็ทำได้สำเร็จ  เพราะหลักการมีว่า เสรีชนย่อมไม่ยอมเป็นทาสใคร  แม้กระทั่งความเป็นทาสของพระเจ้า....อันเป็นความหมายของความเป็นมนุษย์  
 
 
แล้วเขาก็จัดการเรื่องอำนาจอย่างง่ายมาก  นั่นคือ ไม่ให้คนใดคนหนึ่งอยู่ในอำนาจไปชั่วนิรันดร  เหมือนคนยุคเก่า  ....  ทุกวันนี้คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ  ทำสิ่งที่ฝืนสัจธรรมของเสรีชนประชาธิปไตย  คืออยากอยู่ในอำนาจไปชั่วชีวิต   นี่คือความเขลา  ที่คิดกระทำในสิ่งที่ไม่อาจเป็นไปได้ ในยุคใหม่นี้     และนี่เป็นความคิดผิดมาตั้งแต่ สนธิ บุณยรัตกลิน มุสลิมชั่วร้ายทรยศต่อรัฐบาลประชาธิปไตย  โดยล้มล้างประชาธิปไตยไทยเสีย  ทำประเทศพระพุทธศาสนาให้แตกแยก
 
ขอให้เราจงกลับมาคิดเสียใหม่  คิดให้ถูกต้องตามหลักการประชาธิปไตย   เราจงมาเข้าใจเรื่องอำนาจกันก่อน  เราจงลงจากอำนาจเสีย และยินยอมให้คนอื่นขึ้นสู่อำนาจได้  โดยการรับรองของปวงประชาชน หรือประชาชนส่วนใหญ่   เราจะต้องจำกัดการอยู่ในอำนาจ  ไม่ให้เป็นการอยู่ไปตลอดชีพ มีตัวอย่างเมื่อเร็ว ๆ นี้ ไม่ใช่หรือ  ที่ประเทศตูนีเซีย อาฟริกา  ประธานาธิบดีเบนอาลีเป็นเผด็จการฉ้อฉลจะอยู่ในอำนาจไปตลอดกาล มีเลือกตั้งทีไรแกก็โกงเอาทุกวิถีทาง ชนะมาตลอด  ประชาชนได้แต่เก็บเอาความคั่งแค้น อยุติธรรมไว้ในอก ระยะหลังแกเห็นว่าไม่ค่อยดี ก็ทำโครงการประชาวิวัฒน์  เอาเงินทองโปรยซื้อเสียงจากประชาชน  เพื่อตัวเองอยู่ได้  เหมือนรัฐบาลอภิสิทธิ์ทำอยู่ขณะนี้เลย (นายอภิสิทธิ์ลอกกากนโยบายนี้มาทำต่อในประเทศไทยขณะนี้)    แล้วอย่างไร....  ประชาชนตูนีเซีย  ซึ่งเหมือนเสื้อแดงไทยไม่มีผิดเลย  ก็เหลืออด  ก็ลุกขึ้นพร้อม ๆ กันทำสิ่งที่เรียกว่า จัสมิน เรโวลูชั่น (jasmine revolution : การปฏิวัติอย่างนุ่มนวลเหมือนสวนผึ้งดอกมะลิ) คุกแตก คือมีประชาชนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย อย่างเมืองไทยยุค ศอฉ.ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณไม่มีผิด แหกคุกออกมา ร่วมมือกับประชาชน มีฆ่ากันตายเล็กน้อย รายงานเบื้องต้นว่า 61 คน ยังไม่เท่าประเทศไทย 19 พ.ค.2553 ที่ทหารทั้งกองทัพล้อมฆ่าคนมือเปล่า ๆ และโดยที่เขาไม่ต่อสู้เลย จึงตายถึง 92 ศพ ในตูนีเซียประธานาธิบดีเผ่นออกนอกประเทศหายไปตั้งแต่วันที่ 14 มกราคม 2554 ไม่กี่วันมานี่เอง  ภายหลังครองอำนาจมา 23 ปี  คนประชาธิปไตยทั่วโลกโห่ร้องกันใหญ่ สมน้ำหน้านักเผด็จการ
 
 
ในระบอบประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ  ผู้ขึ้นสู่อำนาจก็คือผู้รับใช้ประชาชน  นี่จะต้องเข้าใจก่อน  และผู้ขึ้นสู่อำนาจ จะอยู่ไปชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้น  เช่นอเมริกาเขาให้อยู่ได้ 2 สมัย  ถ้าเก่ง   ก็ 8 ปี   นี่ก็เป็นหลักการที่ง่าย ๆ มาก คือประชาธิปไตยไม่ยอมให้คุณอยู่ตลอดชีพ  ต้องเปิดโอกาสให้คนอื่นผลัดเปลี่ยน หมุนเวียนขึ้นสู่อำนาจได้  พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องอำนาจไว้ว่า  หากอยู่ในอำนาจนานเกินไปก็จะหลงอำนาจ  เรื่องกิเลสมนุษย์ไม่พึงเสพจนติด  จะหลงและมัวเมา   ฉะนั้นเรื่องอำนาจจึงเป็นเรื่องสำคัญและเราต้องจัดการอำนาจนี้ให้ถูกต้อง
 
 
ฉะนั้น  ประการที่ 1 ก็คือ   อย่าให้อยู่ในอำนาจตลอดกาล  ให้อยู่แค่ 4 ปี 8 ปี  ก็ออกไปให้คนอื่นขึ้นสู่อำนาจแทนไป (ไทยมีบางพวกอยู่ได้ถึง 9 ปี มีเหตุผลอะไร ?)  หลักการนี้ก็ต้องใช้ในการเมืองทุกระดับนะครับ  แม้กระทั่งระดับชาวบ้าน ๆ  การจัดตั้งเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย เพื่อทำอะไรสักอย่างร่วมกันนี่  ก็ต้องระวังว่า  อยู่ใต้หลักการนี้เหมือนกัน  คืออย่าให้เป็นหัวหน้าเขาไปตลอดกาล (ระวังถึงเขาให้เป็นต่ออีกก็ต้องปฏิเสธ จะเหลิง ไปเป็นอย่างอื่นแทนเช่นนักวิชาการ นักวิจัย หรือที่ปรึกษา เป็นต้น)   ให้คนอื่นขึ้นแทนได้ เรายอมเขาเป็นหรือไม่  ถ้ายอมได้ นั่นแหละคือสปิริตของนักประชาธิปไตย และเป็นสิ่งที่จำเป็นมากที่สุดในระบบอำนาจ  เพื่อให้มีการหมุนเวียนขึ้นสู่อำนาจเสมอ   ถ้ามิฉะนั้น   เกิดปัญหาอย่างแน่นอน     
 
 
เพราะฉะนั้น เราจงมาสู่การบริหารอำนาจแบบประชาธิปไตยกันเถิด  นั่นเป็นทางแก้ปัญหาของประเทศชาติ       การเลือกตั้ง ที่จริงไม่ใช่ทางเดียว  การเลือกตั้งใช้เมื่อขนาดใหญ่มโหฬารเกินไป เท่านั้น   ประชาธิปไตยสามารถตกลงกันเองได้ว่าใครจะขึ้นเป็นใหญ่เป็นหัวหน้า  แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า  อย่าอยู่ไปตลอดกาล  ถึงเวลาต้องลงจากอำนาจ ให้คนอื่นขึ้นแทนบ้าง  เท่านั้นเอง  (ถึงจะเก่งก็ต้องลงจากอำนาจครับเมื่อถึงเวลา อย่างเช่นสิงคโปร์ อเมริกา อังกฤษดูนายกรัฐมนตรีโทนี่ แบลร์ เป็นตัวอย่าง)
 
 
และประการที่ 2  ระบบการเลือกตั้งเป็นเรื่องของประชาชน   ถ้าการเลือกตั้งไม่เรียบร้อย  เราก็เลือกใหม่  เลือกไป 2 ครั้ง ยังไม่ได้ตัว  มีปัญหา  ก็เลือกไป 3-4-5-6  ครั้งไป  ยอมลงทุนในเรื่องนี้  อย่าเสียดาย และเราต้องให้การเลือกตั้งแต่ละครั้งเป็นการเรียนรู้ไปอย่างใหญ่ทุกครั้ง  อย่างไรก็ตาม  ปัญหาของการเลือกตั้งก็คือการต่อสู้ทางการเมืองเพื่อการเลือกตั้งไม่เป็นธรรม ต้องระวังว่าระบบจะต้องเป็นธรรม  หมายความว่ารัฐบาลอย่าเอาเปรียบประชาชน   อย่าให้เหมือนตูนีเซีย   ...........  และพม่า...นั่นก็คือประชาธิปไตยต้องการสปิริตอันสูงส่ง  นักประชาธิปไตยต้องจิตใจสูง เสมอ ๆ แม้นนักบวช  นั่นแหละจึงจะมาทำงานการเมืองแบบแฟร์เพลได้ เริ่มแต่การเข้าสู่อำนาจ   อย่าคิดอยากได้อำนาจโดยวิธีการที่ผิด  โดยการโกง เอารัดเอาเปรียบ หรือซื้อสิทธิ์ซื้อเสียงประชาชน  อย่าคิดครองอำนาจประชาชนไปจนวันตายของตัวเอง นั่นเป็นความคิดของคนบ้าในยุคประชาธิปไตย
 
 
 
กติกาข้อต้น   การร่วมสร้างกติกาประชาธิปไตย 
 
 
ก็เกิดกติกาประชาธิปไตยขึ้นอย่างเงียบ ๆ ลึกซึ้งในจิตใจของเสรีชนทั้งปวง  ในเมื่อมารู้ความจริงของมนุษย์ข้อสำคัญเกี่ยวกับอำนาจ  และมนุษย์เห็นว่าความยุติธรรม และความอยุติธรรมในสังคมทั้งปวง เกิดจากการเข้าใจเรื่องอำนาจ  และเห็นความเป็นธรรม  และมนุษย์มาตกลงกันในใจเงียบ ๆ  ว่าไม่พึงมีผู้หนึ่งผู้ใดอยู่ในอำนาจตลอดกาล  การอยู่ในอำนาจจะต้องมีวาระ  จำกัดให้เป็นระยะเวลาที่เหมาะ เหมาะสมพอไม่ให้เกิดการเหลิงอำนาจ จนกระทั่งลืมสัจธรรมหลักการสำคัญ  นั่นคืออำนาจเป็นของประชาชน ประชาธิปไตยเป็นของประชาชน  เพื่อประชาชน   และโดยประชาชน   ผู้ขึ้นสู่อำนาจ ขึ้นสู่อำนาจ และอยู่ในอำนาจได้ด้วยการอนุญาตของประชาชนเสมอ  และหน้าที่ของผู้ขึ้นสู่อำนาจการปกครองมีสถานเดียวคือ  ปกครองเพื่อการรับใช้ประชาชน ประชาชนย่อมเป็นนายของผู้ปกครอง  
 
 
และดูเหมือนว่าเราไม่จำเป็นต้องทำงานมากนัก เมื่อมีประเทศประชาธิปไตยเก่าแก่ทำตัวอย่างไว้แล้ว  เช่นการกำหนดกติกาการอยู่ในอำนาจให้เป็น 4 ปี  2 วาระ เป็นต้น   
 
 
นี่เป็นกติกาตรงกันของประชาชน เสรีชนทั่วโลก  และถูกจารเอาไว้ในเส้นเลือดของเสรีชน  ในจิตใจเบื้องลึกของประชาชน  และพวกเขารู้แจ้ง รู้กระจ่าง แล้วหวงแหนอำนาจไว้เพื่อให้เป็นของประชาชนตลอดกาลไป    พวกเขาเข้าใจตรงกันอย่างนี้โดยธรรมชาติ โดยธรรมดาของเสรีชน  โดยไม่จำเป็นต้องเขียนลงเป็นลายลักษณ์อักษรใด  เพราะมันถูกเขียนเอาไว้ในใจแล้ว
 
 
แล้วเรายังต้องระวังเรื่องอำนาจต่อไปอีก และปฏิบัติต่อมันอย่างรัดกุม  อุปมาอำนาจเหมือนสัตว์ใหญ่  ถ้าเราประมาทไม่จัดการมันอย่างถูกต้อง  อำนาจก็จะทำร้ายเรา ทำร้ายสังคมเราอย่างสาหัสฉกรรจ์  ดังตัวอย่างที่เห็นชัดเจนในประเทศไทยเราเอง และประเทศต่าง ๆ ในทวีปอาฟริกาที่เริ่มมีตาสว่างเห็นเส้นทางประชาธิปไตของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชนเหมือนเช่นเรา   มนุษย์จึงดำเนินการแยกซอยอำนาจลงไปอีกเป็น 3 อำนาจ ใหญ่ ๆ  เป็นสถาบันตัวแทนอำนาจของประชาชนทั้งมวล  ในบ้านเราเอาตามอย่างของประเทศที่ก้าวหน้าไปก่อนแล้ว คือประเทศตะวันตกและอเมริกา จึงแบ่งอำนาจออกเป็น 3 สถาบันอำนาจ  เรียกว่าอำนาจบริหาร 1   นิติบัญญัติ 1  และ  ตุลาการหนึ่ง   และระวังว่าโดยหลักการสำคัญก็เพื่อควบคุมอำนาจในระดับละเอียดและให้มั่นใจจริง ๆ ว่าเราจะสามารถควบคุมอำนาจไว้ได้และเอาไปใช้ประโยชน์แก่สังคมได้  ไม่เป็นอันตรายต่อสังคมนั่นเอง    ด้วยเหตุนี้จึงกำหนดว่าหน้าที่ของสามสถาบันอำนาจนี้   และหน้าที่สำคัญก็คือการถ่วงดุลกันระหว่างอำนาจทั้ง 3 นั่นเอง    
 
 
นั่นคือแต่ละอำนาจนั้นจะต้องมีอิสรภาพของตนเองภายใต้การรับใช้ประชาชน  หมายถึงมีศักดิ์ศรีของสถาบัน  เป็นใหญ่ในหน้าที่ของตนเอง  ไม่เอนเอียงไปเข้าข้างหนึ่งข้างใด หรือรับใช้สถาบันอื่น   เช่นตุลาการก็ต้องไม่เป็นตุลาการภิวัฒน์  ไม่เป็นตุลาการสองมาตรฐาน  และไม่เป็นตุลาการศรีธนญชัย  เป็นต้น   และอำนาจบริหาร ซึ่งเป็นอำนาจการวินิจฉัยสั่งการที่มีพร้อมด้วยเครื่องมือและทรัพยากรของชาติทั้งหมด จะต้องวางตัวเป็นผู้รับใช้ประชาชน มีวาจาสัตย์ คือแถลงนโยบายไว้อย่างไร  ก็รับผิดชอบต่อการแถลงนั้น ย่อมไม่โกหกพกลม  และทั้งต้องยอมรับว่าประชาชนมีสิทธิที่จะตรวจสอบได้อยู่ตลอดเวลา  และฝ่ายบริหารต้องยอมรับในการตรวจสอบของสถาบันอำนาจอื่น  ไม่แทรกแทรงอำนาจอื่น    หรือละเมิดอำนาจอื่น  ด้านนิติบัญญัติ ท่านอย่าเขียนกฎหมายโดยปราศจากการรับรู้ การเข้าใจของประชาชน  และท่านต้องยอมให้ประชาชนตีความกฎหมายที่สับสนได้  ฐานะของอำนาจทั้งสาม ไม่ว่าฐานะด้านใด ๆ แม้กระทั่งค่าตอบแทนจากเงินเดือน ที่ได้มาจากภาษีอากรของประชาชน ก็จะต้องเสมอกัน  และมีศักดิ์ศรีของสถาบันเสมอกัน 
 
 
 
กติกาประชาธิปไตยข้อต่อไป
ว่าไปตามสถานการณ์ 
 
 
 
ร่วมสร้างกติกาประชาธิปไตยไทย
 
กระบวนการยุติธรรมไทยน่าอดสูเพียงไหน อับอายไปทั่วโลก
คุมขังพวกเขาทำไม ? เขาเป็นสัตว์ร้ายหรือถึงต้องตีโซ่ตรวน ?
 

พวกเขาเพียงเรียกร้องให้ระบบไทยทั้งระบบ ทั้งประเทศดำเนินไปโดยวิถีทางประชาธิปไตย  ให้ละทิ้งวิถีทางเผด็จการเสีย  มาเป็นประชาธิปไตยกันเถิด  พวกเขามีแนวคิดประชาธิปไตยอยู่ในหัวแล้ว  ก็แปลว่า  ไร้ความรุนแรง  ประชาธิปไตยแปลว่าพูดคุยกันได้และแก้ไขปัญหาอย่างอหิงสาและสันติ ฉะนั้นพวกเขา ทุกผู้ทุกคน ผู้รักประชาธิปไตยในโลก ทั่วโลก ไม่เฉพาะแดงในแผ่นดินไทย จึงย่อมไม่มีแนวคิดรุนแรงอยู่ในแผนการประชาธิปไตยอยู่แล้ว  เพราะระบบประชาธิปไตยเป็นเช่นนั้น  และประชาชนแดงทั้งแผ่นดิน แดงขึ้นไปเรื่อย ๆ จนแดงทั้งแผ่นดิน พวกเขาจึงไม่ได้คิดใช้กำลังเลย  แต่นั่นเป็นความพยายามที่จะยืนยันถึงความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ จำนวนมหาศาล ที่น่าเพียงพอสำหรับฝ่ายบริหารจะรับฟัง  ในประเด็นที่ว่า เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ต่อประเทศชาติทั้งระบบ เรียกว่าถือความเห็นของประชาชนส่วนใหญ่เป็นหลัก  นี่ก็เป็นหลักการสำคัญของประชาธิปไตย พวกเขาทำถูกหลักการประชาธิปไตย แต่พวกคุณเป็นเผด็จการที่โง่เง่า ไม่เข้าใจอะไรดีอะไรชั่ว  อะไรจะเป็นประโยชน์ ไม่เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ  คุณเองต่างหากที่ทำตัวเหมือนไม่ใช่คน  เป็นสัตว์ร้าย  มีข้อเท็จจริงพิศูจน์ชัดเจนอยู่ ก็ในเหตุการณ์วันที่ 19 พ.ค.2553 นั่นเอง ไม่เห็นหรือ ?? 
 
แล้วคุณคุมขังพวกเขาทำไม  ?  เขาเป็นสัตว์ร้ายหรือถึงต้องตีโซ่ตรวน ?
 
ควรเข้าใจความดีของประชาธิปไตย  ประชาธิปไตยเป็นความหมายของมนุษย์ในสังคมทุกคน ทุกชนชั้น ที่อยู่กันอย่างมีความเสมอภาค  มีเสรีภาพ  และ ที่สุดก็เพราะประชาธิปไตยเป็นระบบพี่ ๆ น้อง ๆ  คือระบบภราดรภาพ  ฝรั่งใช้คำอยู่ 3 คำที่อธิบายประชาธิปไตยก็คือ  freedom  equality  และ fraternity  นี่เป็นความหมายของประโยชน์ของมนุษย์เอง  ทั่วโลก ที่จะสามารถอยู่กันอย่างสงบ ไร้ความรุนแรง  โลกจึงต้องการประชาธิปไตย
 
ถ้าเพียงคุณเข้าใจหลักการประชาธิปไตย  คุณก็จะละอายใจ ในการกระทำที่สั่งทหารล้อมฆ่าปราบปรามประชาชนมือเปล่า ๆ เหล่านี้  ที่คุมขังคนบริสุทธิ์ และตีโซ่ตรวนเขาอย่างกับเขาเป็นสัตว์ร้าย  นั่นเป็นการก่อเวรก่อกรรมอันหนักของคุณ   และเป็นเพราะคุณเขลาไม่เข้าใจประชาธิปไตย คุณไม่คิดดูย้อนหลังไปเลยเมื่อ 8 เดือนก่อนนั้น วันนั้น 19 พ.ค.2553  โทรทัศน์อัลจาชีรา (Aljazeera)มาทำข่าวอย่างละเอียด อ้างอิงได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งเรื่องสไนเปอร์ที่แอบบสังหารประชาชน  ประเด็นสำคัญที่ขออ้างอัลจาชีราก็คือรัฐบาลเองเป็นฝ่ายขอร้องให้แกนนำมอบตัว  แล้วพวกเขาก็มอบตัว เขาไม่สั่งให้ประชาชนฮือขึ้นก่อการร้ายทั่วประเทศ.... คุณลืมคำสัญญาของคุณหรืออย่างไร ???(ภาพนี้ถ่ายจากข่าวโทรทัศน์ เมื่อ 17 ม.ค.2554)
 
ประชาธิปไตยเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่จิตใจต้องสูงส่ง 
 
โปรดเข้าใจประชาธิปไตยว่าเป็นระบบที่ไม่ยุ่งยากสลับซับซ้อนอะไรเลย  แต่เป็นระบบที่ง่าย ๆ  ใช้คำว่า simple ของฝรั่งชัดเจนดี คือง่าย ๆ   ไม่สลับซับซ้อนเลย  เรื่องสำคัญที่สุดของคนก็คือเรื่องอำนาจ ที่ใคร ๆ ก็อยากมีอำนาจ  ขอให้เรามาดูสัจธรรมเกี่ยวกับอำนาจ ว่ามนุษย์ใช้มันไม่ถูกต้องมาแต่ยุคดั้งเดิม  การอยากมีอำนาจ หมายถึงการอยากอยู่เหนือคน  นั่งบนหัวคนอื่นแล้วชี้นิ้วสั่งการคนอื่น เขาไม่ทำก็ใช้กำลังที่เหนือกว่า  กระทั่งใช้กองกำลังบังคับให้เขาทำตาม นั่นเป็นธรรมอย่างไร  ในเมื่อคนอื่นก็เป็นคนเหมือนกัน มีสองมือ สิบนิ้วเหมือนกัน  เราจงลืมเสีย เพราะนั่นแหละคือ ยุคทาส  ถ้าท่านอยากมีอำนาจ แสวงหาอำนาจนั่นก็คืออยากเอาคนอื่นมาเป็นทาส นั่นเอง  มันไม่เป็นธรรมใช่ไหม ???  ซึ่งยุคนี้โลกเขาเลิกทาสกันหมดแล้ว  ในอเมริกา ถึงต้องทำสงครามกลางเมือง  เพื่อปลดปล่อยระบบทาสทั้งแผ่นดินอันกว้างใหญ่ และพวกเขาเสรีชนอเมริกัน ก็ทำได้สำเร็จ  เพราะหลักการมีว่า เสรีชนย่อมไม่ยอมเป็นทาสใคร  แม้กระทั่งความเป็นทาสของพระเจ้า....อันเป็นความหมายของความเป็นมนุษย์  
 
แล้วเขาก็จัดการเรื่องอำนาจอย่างง่ายมาก  นั่นคือ ไม่ให้คนใดคนหนึ่งอยู่ในอำนาจไปชั่วนิรันดร  เหมือนคนยุคเก่า  ....  ทุกวันนี้คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ  ทำสิ่งที่ฝืนสัจธรรมของเสรีชนประชาธิปไตย  คืออยากอยู่ในอำนาจไปชั่วชีวิต   นี่คือความเขลา  ที่คิดกระทำในสิ่งที่ไม่อาจเป็นไปได้ ในยุคใหม่นี้     และนี่เป็นความคิดผิดมาตั้งแต่ สนธิ บุณยรัตกลิน มุสลิมชั่วร้ายทรยศต่อรัฐบาลประชาธิปไตย  โดยล้มล้างประชาธิปไตยไทยเสีย  ทำประเทศพระพุทธศาสนาให้แตกแยก
 
ขอให้เราจงกลับมาคิดเสียใหม่  คิดให้ถูกต้องตามหลักการประชาธิปไตย   เราจงมาเข้าใจเรื่องอำนาจกันก่อน  เราจงลงจากอำนาจเสีย และยินยอมให้คนอื่นขึ้นสู่อำนาจได้  โดยการรับรองของปวงประชาชน หรือประชาชนส่วนใหญ่   เราจะต้องจำกัดการอยู่ในอำนาจ  ไม่ให้เป็นการอยู่ไปตลอดชีพ มีตัวอย่างเมื่อเร็ว ๆ นี้ ไม่ใช่หรือ  ที่ประเทศตูนีเซีย อาฟริกา  ประธานาธิบดีเบนอาลีเป็นเผด็จการฉ้อฉลจะอยู่ในอำนาจไปตลอดกาล มีเลือกตั้งทีไรแกก็โกงเอาทุกวิถีทาง ชนะมาตลอด  ประชาชนได้แต่เก็บเอาความคั่งแค้น อยุติธรรมไว้ในอก ระยะหลังแกเห็นว่าไม่ค่อยดี ก็ทำโครงการประชาวิวัฒน์  เอาเงินทองโปรยซื้อเสียงจากประชาชน  เพื่อตัวเองอยู่ได้  เหมือนรัฐบาลอภิสิทธิ์ทำอยู่ขณะนี้เลย (นายอภิสิทธิ์ลอกกากนโยบายนี้มาทำต่อในประเทศไทยขณะนี้)    แล้วอย่างไร....  ประชาชนตูนีเซีย  ซึ่งเหมือนเสื้อแดงไทยไม่มีผิดเลย  ก็เหลืออด  ก็ลุกขึ้นพร้อม ๆ กันทำสิ่งที่เรียกว่า จัสมิน เรโวลูชั่น (jasmine revolution : การปฏิวัติอย่างนุ่มนวลเหมือนสวนผึ้งดอกมะลิ) คุกแตก คือมีประชาชนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย อย่างเมืองไทยยุค ศอฉ.ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณไม่มีผิด แหกคุกออกมา ร่วมมือกับประชาชน มีฆ่ากันตายเล็กน้อย รายงานเบื้องต้นว่า 61 คน ยังไม่เท่าประเทศไทย 19 พ.ค.2553 ที่ทหารทั้งกองทัพล้อมฆ่าคนมือเปล่า ๆ และโดยที่เขาไม่ต่อสู้เลย จึงตายถึง 92 ศพ ในตูนีเซียประธานาธิบดีเผ่นออกนอกประเทศหายไปตั้งแต่วันที่ 14 มกราคม 2554 ไม่กี่วันมานี่เอง  ภายหลังครองอำนาจมา 23 ปี  คนประชาธิปไตยทั่วโลกโห่ร้องกันใหญ่ สมน้ำหน้านักเผด็จการ
 
ในระบอบประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ  ผู้ขึ้นสู่อำนาจก็คือผู้รับใช้ประชาชน  นี่จะต้องเข้าใจก่อน  และผู้ขึ้นสู่อำนาจ จะอยู่ไปชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้น  เช่นอเมริกาเขาให้อยู่ได้ 2 สมัย  ถ้าเก่ง   ก็ 8 ปี   นี่ก็เป็นหลักการที่ง่าย ๆ มาก คือประชาธิปไตยไม่ยอมให้คุณอยู่ตลอดชีพ  ต้องเปิดโอกาสให้คนอื่นผลัดเปลี่ยน หมุนเวียนขึ้นสู่อำนาจได้  พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องอำนาจไว้ว่า  หากอยู่ในอำนาจนานเกินไปก็จะหลงอำนาจ  เรื่องกิเลสมนุษย์ไม่พึงเสพจนติด  จะหลงและมัวเมา   ฉะนั้นเรื่องอำนาจจึงเป็นเรื่องสำคัญและเราต้องจัดการอำนาจนี้ให้ถูกต้อง
 
ฉะนั้น  ประการที่ 1 ก็คือ   อย่าให้อยู่ในอำนาจตลอดกาล  ให้อยู่แค่ 4 ปี 8 ปี  ก็ออกไปให้คนอื่นขึ้นสู่อำนาจแทนไป (ไทยมีบางพวกอยู่ได้ถึง 9 ปี มีเหตุผลอะไร ?)  หลักการนี้ก็ต้องใช้ในการเมืองทุกระดับนะครับ  แม้กระทั่งระดับชาวบ้าน ๆ  การจัดตั้งเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย เพื่อทำอะไรสักอย่างร่วมกันนี่  ก็ต้องระวังว่า  อยู่ใต้หลักการนี้เหมือนกัน  คืออย่าให้เป็นหัวหน้าเขาไปตลอดกาล (ระวังถึงเขาให้เป็นต่ออีกก็ต้องปฏิเสธ จะเหลิง ไปเป็นอย่างอื่นแทนเช่นนักวิชาการ นักวิจัย หรือที่ปรึกษา เป็นต้น)   ให้คนอื่นขึ้นแทนได้ เรายอมเขาเป็นหรือไม่  ถ้ายอมได้ นั่นแหละคือสปิริตของนักประชาธิปไตย และเป็นสิ่งที่จำเป็นมากที่สุดในระบบอำนาจ  เพื่อให้มีการหมุนเวียนขึ้นสู่อำนาจเสมอ   ถ้ามิฉะนั้น   เกิดปัญหาอย่างแน่นอน     
 
เพราะฉะนั้น เราจงมาสู่การบริหารอำนาจแบบประชาธิปไตยกันเถิด  นั่นเป็นทางแก้ปัญหาของประเทศชาติ       การเลือกตั้ง ที่จริงไม่ใช่ทางเดียว  การเลือกตั้งใช้เมื่อขนาดใหญ่มโหฬารเกินไป เท่านั้น   ประชาธิปไตยสามารถตกลงกันเองได้ว่าใครจะขึ้นเป็นใหญ่เป็นหัวหน้า  แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า  อย่าอยู่ไปตลอดกาล  ถึงเวลาต้องลงจากอำนาจ ให้คนอื่นขึ้นแทนบ้าง  เท่านั้นเอง  (ถึงจะเก่งก็ต้องลงจากอำนาจครับเมื่อถึงเวลา อย่างเช่นสิงคโปร์ อเมริกา อังกฤษดูนายกรัฐมนตรีโทนี่ แบลร์ เป็นตัวอย่าง)
 
และประการที่ 2  ระบบการเลือกตั้งเป็นเรื่องของประชาชน   ถ้าการเลือกตั้งไม่เรียบร้อย  เราก็เลือกใหม่  เลือกไป 2 ครั้ง ยังไม่ได้ตัว  มีปัญหา  ก็เลือกไป 3-4-5-6  ครั้งไป  ยอมลงทุนในเรื่องนี้  อย่าเสียดาย และเราต้องให้การเลือกตั้งแต่ละครั้งเป็นการเรียนรู้ไปอย่างใหญ่ทุกครั้ง  อย่างไรก็ตาม  ปัญหาของการเลือกตั้งก็คือการต่อสู้ทางการเมืองเพื่อการเลือกตั้งไม่เป็นธรรม ต้องระวังว่าระบบจะต้องเป็นธรรม  หมายความว่ารัฐบาลอย่าเอาเปรียบประชาชน   อย่าให้เหมือนตูนีเซีย   ...........  และพม่า...นั่นก็คือประชาธิปไตยต้องการสปิริตอันสูงส่ง  นักประชาธิปไตยต้องจิตใจสูง เสมอ ๆ แม้นนักบวช  นั่นแหละจึงจะมาทำงานการเมืองแบบแฟร์เพลได้ เริ่มแต่การเข้าสู่อำนาจ   อย่าคิดอยากได้อำนาจโดยวิธีการที่ผิด  โดยการโกง เอารัดเอาเปรียบ หรือซื้อสิทธิ์ซื้อเสียงประชาชน  อย่าคิดครองอำนาจประชาชนไปจนวันตายของตัวเอง นั่นเป็นความคิดของคนบ้าในยุคประชาธิปไตย
 
กติกาข้อต้น   การร่วมสร้างกติกาประชาธิปไตย 
 
ก็เกิดกติกาประชาธิปไตยขึ้นอย่างเงียบ ๆ ลึกซึ้งในจิตใจของเสรีชนทั้งปวง  ในเมื่อมารู้ความจริงของมนุษย์ข้อสำคัญเกี่ยวกับอำนาจ  และมนุษย์เห็นว่าความยุติธรรม และความอยุติธรรมในสังคมทั้งปวง เกิดจากการเข้าใจเรื่องอำนาจ  และเห็นความเป็นธรรม  และมนุษย์มาตกลงกันในใจเงียบ ๆ  ว่าไม่พึงมีผู้หนึ่งผู้ใดอยู่ในอำนาจตลอดกาล  การอยู่ในอำนาจจะต้องมีวาระ  จำกัดให้เป็นระยะเวลาที่เหมาะ เหมาะสมพอไม่ให้เกิดการเหลิงอำนาจ จนกระทั่งลืมสัจธรรมหลักการสำคัญ  นั่นคืออำนาจเป็นของประชาชน ประชาธิปไตยเป็นของประชาชน  เพื่อประชาชน   และโดยประชาชน   ผู้ขึ้นสู่อำนาจ ขึ้นสู่อำนาจ และอยู่ในอำนาจได้ด้วยการอนุญาตของประชาชนเสมอ  และหน้าที่ของผู้ขึ้นสู่อำนาจการปกครองมีสถานเดียวคือ  ปกครองเพื่อการรับใช้ประชาชน ประชาชนย่อมเป็นนายของผู้ปกครอง  
 
และดูเหมือนว่าเราไม่จำเป็นต้องทำงานมากนัก เมื่อมีประเทศประชาธิปไตยเก่าแก่ทำตัวอย่างไว้แล้ว  เช่นการกำหนดกติกาการอยู่ในอำนาจให้เป็น 4 ปี  2 วาระ เป็นต้น   
 
นี่เป็นกติกาตรงกันของประชาชน เสรีชนทั่วโลก  และถูกจารเอาไว้ในเส้นเลือดของเสรีชน  ในจิตใจเบื้องลึกของประชาชน  และพวกเขารู้แจ้ง รู้กระจ่าง แล้วหวงแหนอำนาจไว้เพื่อให้เป็นของประชาชนตลอดกาลไป    พวกเขาเข้าใจตรงกันอย่างนี้โดยธรรมชาติ โดยธรรมดาของเสรีชน  โดยไม่จำเป็นต้องเขียนลงเป็นลายลักษณ์อักษรใด  เพราะมันถูกเขียนเอาไว้ในใจแล้ว
 
แล้วเรายังต้องระวังเรื่องอำนาจต่อไปอีก และปฏิบัติต่อมันอย่างรัดกุม  อุปมาอำนาจเหมือนสัตว์ใหญ่  ถ้าเราประมาทไม่จัดการมันอย่างถูกต้อง  อำนาจก็จะทำร้ายเรา ทำร้ายสังคมเราอย่างสาหัสฉกรรจ์  ดังตัวอย่างที่เห็นชัดเจนในประเทศไทยเราเอง และประเทศต่าง ๆ ในทวีปอาฟริกาที่เริ่มมีตาสว่างเห็นเส้นทางประชาธิปไตของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชนเหมือนเช่นเรา   มนุษย์จึงดำเนินการแยกซอยอำนาจลงไปอีกเป็น 3 อำนาจ ใหญ่ ๆ  เป็นสถาบันตัวแทนอำนาจของประชาชนทั้งมวล  ในบ้านเราเอาตามอย่างของประเทศที่ก้าวหน้าไปก่อนแล้ว คือประเทศตะวันตกและอเมริกา จึงแบ่งอำนาจออกเป็น 3 สถาบันอำนาจ  เรียกว่าอำนาจบริหาร 1   นิติบัญญัติ 1  และ  ตุลาการหนึ่ง   และระวังว่าโดยหลักการสำคัญก็เพื่อควบคุมอำนาจในระดับละเอียดและให้มั่นใจจริง ๆ ว่าเราจะสามารถควบคุมอำนาจไว้ได้และเอาไปใช้ประโยชน์แก่สังคมได้  ไม่เป็นอันตรายต่อสังคมนั่นเอง    ด้วยเหตุนี้จึงกำหนดว่าหน้าที่ของสามสถาบันอำนาจนี้   และหน้าที่สำคัญก็คือการถ่วงดุลกันระหว่างอำนาจทั้ง 3 นั่นเอง    
 
นั่นคือแต่ละอำนาจนั้นจะต้องมีอิสรภาพของตนเองภายใต้การรับใช้ประชาชน  หมายถึงมีศักดิ์ศรีของสถาบัน  เป็นใหญ่ในหน้าที่ของตนเอง  ไม่เอนเอียงไปเข้าข้างหนึ่งข้างใด หรือรับใช้สถาบันอื่น   เช่นตุลาการก็ต้องไม่เป็นตุลาการภิวัฒน์  ไม่เป็นตุลาการสองมาตรฐาน  และไม่เป็นตุลาการศรีธนญชัย  เป็นต้น   และอำนาจบริหาร ซึ่งเป็นอำนาจการวินิจฉัยสั่งการที่มีพร้อมด้วยเครื่องมือและทรัพยากรของชาติทั้งหมด จะต้องวางตัวเป็นผู้รับใช้ประชาชน มีวาจาสัตย์ คือแถลงนโยบายไว้อย่างไร  ก็รับผิดชอบต่อการแถลงนั้น ย่อมไม่โกหกพกลม  และทั้งต้องยอมรับว่าประชาชนมีสิทธิที่จะตรวจสอบได้อยู่ตลอดเวลา  และฝ่ายบริหารต้องยอมรับในการตรวจสอบของสถาบันอำนาจอื่น  ไม่แทรกแทรงอำนาจอื่น    หรือละเมิดอำนาจอื่น  ด้านนิติบัญญัติ ท่านอย่าเขียนกฎหมายโดยปราศจากการรับรู้ การเข้าใจของประชาชน  และท่านต้องยอมให้ประชาชนตีความกฎหมายที่สับสนได้  ฐานะของอำนาจทั้งสาม ไม่ว่าฐานะด้านใด ๆ แม้กระทั่งค่าตอบแทนจากเงินเดือน ที่ได้มาจากภาษีอากรของประชาชน ก็จะต้องเสมอกัน  และมีศักดิ์ศรีของสถาบันเสมอกัน 
 
 
กติกาประชาธิปไตยข้อต่อไป
ว่าไปตามสถานการณ์ 
 
 
มาทำความเข้าใจกัน ว่าเรื่องมันง่าย(simple)จริง ๆ จนคนทั่ว ๆ ไปขึ้นชื่อว่าคน แม้เด็ก ๆ ก็เข้าใจได้ไม่ยาก เมื่อฝ่ายรัฐบาล ไม่ว่าของพรรคการเมืองใด ได้อำนาจการบริหารแล้ว รัฐบาลต้องบริหารไปอย่างสุจริตสอดคล้องนโยบายที่ให้ไว้แด่ประชาชน นั่นคือก่อนการเลือกตั้งคุณพูดอะไรไว้ คุณก็ต้องทำตามที่พูด  นั่นคือหลักการว่าด้วยศีล(ขอที่ 4 ในพระพุทธศาสนาคือ อย่าโกหก ซึ่งชาวพุทธทั่วไปเขาถือและใช้ประมาณการณ์สถานการณ์และบุคคล) หากพบว่ารัฐบาลบริหารออกนอกแนวนโยบายที่เคยพูดไว้ต่อหน้าประชาชน แล้ว นั่นพึงเชื่อไว้ก่อนเลยว่า คือร่องรอยของรัฐบาลทุจริต คิดมิชอบต่อประชาชน    และเมื่อมีการแสดงหลักฐานสำคัญที่พิศูจน์ให้เชื่อได้ว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นจริง ๆ แล้ว นั่นหมายถึงการขาดความชอบธรรม ขาดทั้งสิทธิที่ และทั้งคุณสมบัติจะอยู่เป็นรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย   รัฐบาลก็ต้องพิจารณาตัวเอง ต้องออกไป
 
 
แต่ในความเป็นจริงของเหตุผลหลาย ๆ ด้าน ถึงแม้จะมีการทุจริตดังว่านั้นแล้ว แต่รัฐบาลที่หน้าด้านจะไม่ยอมลาออกไปง่าย ๆ อย่างเช่นรัฐบาลอภิสิทธิ์ปัจจุบันนี้เลย เราต้องให้พรรคการเมืองฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ไล่รัฐบาลแทนประชาชน ในการนี้ฝ่ายค้านจะต้องมีหน้าที่สำคัญคือการตรวจสอบแทนประชาชน สามารถตั้งกระทู้ถาม เพื่อตรวจสอบสิ่งที่น่าสงสัยได้ทุกอย่าง ทุกประการ ตลอดเวลา ตามความเหมาะสม สิ่งที่เราจะต้องมาทำความเข้าใจก็คือ สำนึกของฝ้ายค้าน ผู้ทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลนั้น ก็คือหน้าที่ในการไล่รัฐบาลทุจริตออกไป   เมื่อพบว่ารัฐบาลทุจริตโดยเหตุผลที่ฝ่ายค้านได้พบ ท่านต้องว่าไปตามเหตุผล และบทสรุปคือ ต้องไล่รัฐบาลทุจริตออกไปให้ได้ อย่าเอาไว้  ต้องไม่ยอมเปิดโอกาสให้รัฐบาลกระทำการทุจริตได้อีกต่อไป นี่ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจกันได้ง่าย ๆ ว่าทำไมเราจึงต้องมาตั้งกติกา ให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล รวมทั้งกติกาข้ออื่น ๆ ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนขับไล่รัฐบาลทุจริตได้   
 
 
เมื่อมาคำนึงดู ก็จะได้พบว่าทางตะวันตกอเมริกาก็ได้แบบแผนนี้มาจากหลักการในพระปาฏิโมกข์นั่นเอง   เมื่อประยุกต์มาใช้ในทางการเมือง ก็พบว่ามีความผิดอยู่สำคัญ ๆ 4 ประการที่สามารถจะไล่รัฐบาลออกไป โดยกติกากำหนดให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล รวมทั้งกติกาสำหรับประชาชนที่จะขับไล่รัฐบาลได้โดยตรง
หลักการในพระปาฏิโมกข์ในประเด็นนี้ก็คือหลักพระวินัย ปาราชิก 4 เมื่อเปรียบเทียบหลักการพระปาฏิโมกข์กับหลักการประชาธิปไตยแล้ว ได้ปาราชิก 4 ทั้งฝ่ายพระสงฆ์และฝ่ายรัฐบาล ดังนี้ (ลำดับแรก เป็นปาราชิกฝ่ายสงฆ์ ลำดับหลัง เป็นปาราชิกฝ่ายฆราวาส)
 
 
1   อนึ่งภิกษุใด ถึงพร้อมด้วยสิกขาสาชีพของภิกษุทั้งหลายแล้วไม่บอกคืนสิกขา ไม่ทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้ง เสพเมถุนธรรม โดยที่สุดแม้ในสัตว์เดรัจฉานตัวเมีย เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้"
 
1.    รัฐบาลเสพสมกับพรรคการเมือง หรือกลุ่มบุคคลที่ชั่วร้ายทุจริต   เช่นรัฐบาลประชาธิปัตย์ ได้ความเป็นรัฐบาลมาจากการเสพสมกับบุคคลเลว ๆ 4 ประเภทคือ ราบ 11 และพวกทหารเผด็จการอมาตยาธิปไตย,   ขบวนการโฆษณาชวนเชื่อพันธมิตรสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์ ที่นำโดยเจ๊กลิ้ม,   กระบวนการยุติธรรมสองมาตรฐาน และพรรคการเมืองโสเภณี    ฯลฯ     
 
2     อนึ่ง ภิกษุใด ถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้   ด้วยส่วนแห่งความเป็นโขมย จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี พระราชาทั้งหลายจับโจรได้แล้ว ประหารเสียบ้าง จองจำไว้บ้าง เนรเทศเสียบ้าง ด้วยบริภาษว่า เจ้าเป็นโจร เจ้าเป็นคนพาล เจ้าเป็นคนหลง เจ้าเป็นโขมย ดังนี้   ในเพราะถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้เห็นปานใด ภิกษุถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้เห็นปานนั้น   แม้ภิกษุนี้ ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้"
 
2.    รัฐบาลบริหารการเงินการงบประมาณของชาติอย่างหละหลวม เปิดช่องให้เกิดการรั่วไหล มีการเปิดทางให้แก่นักการเมืองและคนภายนอกทำทุจริตหากินกับงบประมาณอย่างมากมายมหาศาล พบการทุจริตจากโครงการของรัฐบาลทุกโครงการ วันแล้ววันเล่า แต่ในขณะเดียวกันรัฐบาลและคนของรัฐบาลก็ยังหน้าด้านไม่อับอายสายตาประชาชน ปล่อยประชาชนให้ลำบากปากกัดตีนถีบไปตามยถากรรม
 
 
3.    อนึ่ง ภิกษุใดจงใจพรากกายมนุษย์จากชีวิต หรือแสวงหาศัสตราวุธอันจะปลิดชีวิตให้แก่กายมนุษย์นั้น หรือพรรณนาคุณแห่งความตาย หรือชักชวนเพื่ออันตายด้วยคำว่า แน่ะนายผู้เป็นชาย จะประโยชน์อะไรแก่ท่าน ด้วยชีวิตอันแสนลำบากยากแค้นนี้ ท่านตายเสียดีกว่าเป็นอยู่อย่างนี้    เธอมีจิตอย่างนี้ มีใจอย่างนี้ มีความหมายหลายอย่าง อย่างนี้พรรณนาคุณในความตายก็ดี ชักชวนเพื่ออันตายก็ดี โดยหลายนัย แม้ภิกษุนี้ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้"
 
3.    รัฐบาลที่ฆ่าคน สังหารประชาชน เห็นชัดเจนในเหตุการณ์ปี 2553 ตั้งแต่ต้นปี มาหลายครั้ง จนถึงครั้งใหญ่ 19 พ.ค.2553 ที่รัฐบาลล้อมปราบปรามประชาชน ตายถึง 91 ศพ   และฆ่าคนของมูลนิธิเพื่อการกุศลที่ปฏิบัติหน้าที่การกุศลอยู่ในเขตอภัยทาน สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธศาสนา 6 ศพตายในวัดปทุมวนาราม กลางกรุงเทพ
 
 
4     อนึ่ง ภิกษุใดไม่รู้เฉพาะกล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรม อันเป็นความรู้ความเห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้ามาในตนว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ ครั้นสมัยอื่นแต่นั้น   อันผู้ใดผู้หนึ่งถือเอาตามก็ตาม ไม่ถือเอาตาม ก็ตาม เป็นรอันต้องอาบัติแล้ว   มุ่งความหมดจด จะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า แน่ะท่าน ข้าพเจ้าไม่รู้อย่างนั้น   ได้กล่าวว่ารู้ ไม่เห็นอย่างนั้น ได้กล่าวว่าเห็น   ได้พูดพล่อย ๆ เป็นเท็จเปล่า ๆ เว้นไว้แต่สำคัญว่าได้บรรลุ   แม้ภิกษุนี้ ก็เป็นปาราชิก   หาสังวาสมิได้" (ศึกษาเพิ่มเติมจากเวบบอร์ดเรื่อง ศอฉ.สามารถจับพระสงฆ์สึกได้จริงหรือ???)
 
4.    รัฐบาลโอ้อวดผลงานของตนเกินความเป็นจริง เช่นรัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่ไม่มีแม้แต่นโยบายของตนเอง เป็นนักลอกกากนโยบาย (เช่นลอกกากนโยบายประชาวิวัฒน์ของประธานาธิบดีเบน อาลี ประเทศตูนีเซีย ซึ่งบัดนี้โดนประชาชนอัปเปหิไปนอกประเทศเรียบร้อยแล้ว มาเป็นนโยบายประชาวิวัฒน์ 9 ข้อสำหรับประชาชนไทย เป็นต้น)   ไม่เคยแถลงนโยบายต่อหน้ามหาประชาชนก่อนการเลือกตั้ง และไม่เคยแถลงนโยบายในสภาผู้แทนราษฎร และไม่ปรากฏผลงานออกมาเลย ไม่ว่าตรงนโยบายหรือไม่ตรงนโยบาย และซ้ำยังออกนโยบายขัดความจริงตามเหตุตามผลที่ควรจะเป็นไปได้ตามสายตาประชาชน เช่นนโยบายชั่งกิโลไข่ขาย เป็นต้น    โดยมีการโอ้อวดเกินความจริงและการโกหกพกลมตลบตะแลงไปอย่างไม่หวั่นต่อคำครหานินทาและหน้าที่รับผิดชอบ ผ่านรายการของหัวหน้ารัฐบาลเช่น รายการเชื่อมั่นประเทศไทย   รายการเจิมสาก และเอเอสทีวี เป็นต้น 
 
 
ทั้ง 4 ประการนี้ ทำให้เกิดสิทธิอย่างสำคัญของฝ่ายค้านในรัฐสภา ที่จะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลได้  ซึ่งในการนี้ฝ่ายค้านต้องพยายามพิศูจน์ให้เห็นชัดเจนว่ารัฐบาลได้กระทำความผิดประการใดประการหนึ่งใน 4 ประการข้างต้น   ก็สามารถขับไล่ได้ 
 
 
ในสภาวะการณ์ทั่วไปในขณะนี้ รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ยุคที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นนายกรัฐมนตรี  ไม่มีข้อไหนใน 4 ข้อที่รัฐบาลนี้ไม่ทุจริต โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อที่รัฐบาลล้อมปราบปรามประชาชน 19 พ.ค.2553 นั่นเป็นหลักฐานชัดเจนอยู่แล้ว และหมายความว่ารัฐบาลปาราชิกต้องออกไปทันที  แต่ฝ่ายค้านคือพรรคเพื่อไทย อ่อนด้อย หรืออาจจะไม่รู้ในสิทธิและหน้าที่ของตน ก็ได้    ฉะนั้นจึงต้องมาทำความเข้าใจว่า ฝ่ายค้านจะต้องเข้าใจว่าหน้าที่สำคัญของตนเองมาถึงแล้ว จะเอารัฐบาลทุจริตเยี่ยงนี้ไว้ทำไมให้ทำลายชาติและประชาชน ? ถ้าเขาหน้าด้านนัก ประชาชนต้องมาร่วมใจกันขับไล่..เสมือนพระสงฆ์ต้องปาราชิก 4 ...นี่เป็นกติกาสากลธรรมชาติของประชาธิปไตย.
 
 
 
 
 
 
 

ศึกษาประชาธิปไตยไทย
คัดสรรบทวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองไทยก่อนและหลัง 19 กันยายน 2549 เกี่ยวกับประชาธิปไตยไทย

 
 
 

สารบาญ

 


 

6.    อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลสมควรแล้ว 
7.    ปัญหามุสลิมไทย
8.    รัฐบาลอภิสิทธิ์-สุเทพ-เปรมเป็นศัตรูกับสื่ออย่างไม่เป็นธรรม สื่อทุกชนิดต่างเอาตัวรอด
9.   10ธ.ค.วันพระราชทานรัฐธรรมนูญแด่ปวงชนชาวไทย 

10.  ข้อสังเกตเกี่ยวกับการเมืองไทย ในการเลือกตั้ง 23 ธ.ค.2550
11.  ผลการเลือกตั้งเป็นเจตนารมณ์ของอีสาน บทวิเคราะห์นักวิชาการตำหนิประชาชนอีสาน
12.  บันทึกประเทศไทย ชนกลุ่มใดที่บังอาจขวางเส้นทางพระราชดำเนิน ม๊อบพธม.(สนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์)บังอาจแต่ลอยนวลไม่มีใครเอาผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง

           ชมหน้า 1 ที่เก็บไว้

 

 

 

 ประชาชนผู้รักประชาธิปไตย ในสัญลักษณ์เสื้อแดง หรือ ต่างประเทศว่า Red Shirt  นัดชุมนุมระลึกเหตุการณ์8เดือน รัฐบาลล้อมปราบประชาชนผู้รักประชาธิปไตย ณ สี่แยกคอกวัว เมื่อ 10 ธันวาคม 2553 เลิกการชุมนุมประมาณ 20. 00 น. ซึ่งเป็นวันพระราชทานรัฐธรรมนูญแด่ปวงชนชาวไทย   นี่คือสัญญาณของการรวมตัวเข้มเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง  และเรื่องราวที่พวกเขาต้องการก็เหมือนเดิม เรื่องเดิม  หากรัฐบาลฟังเสียงพวกเขาแต่แรก ก็จะไม่มีการล้อมปราบปรามประชาชน 19 พฤษภาคม 2553  อันเป็นเหตุให้ประชาชนผู้ต่อสู้ด้วยสันติ อหิงสา  มือเปล่า ๆ แค่ก้อนดินและไม้ไผ่  ตามสัญชาตญาณป้องกันตัวเอง  ต้องเสียชีวิตอย่างน่าอนาถ น่าเวทนาการ ถึง 91 ศพ  รวมทั้ง 6 ศพในวัดปทุมวนาราม อย่างไม่น่าเชื่อ   การชุมนุมวันนี้ น่าที่รัฐบาลจะได้คิดว่า อีกไม่นานจำนวนเสื้อแดงก็จะท่วมท้นแผ่นดินอีกครังหนึ่ง  และรัฐบาลจะต้องทำเหมือนเดิมหรืออย่างไร   นั่นคือ  ใส่ข้อหาผู้ก่อการร้าย  ขบวนการล้มจ้าว และล้อมปราบปรามอย่างเด็ดขาดอีกเช่นเคย คิดเช่นเคย ว่าฆ่าไปสัก 500 คนก็จบ....อย่างนั้นหรือ ????  และในเมื่อความคิด  ฆ่าเสีย 500 ก็จบ ได้ทดลองไปแล้ว ผลออกมา มันจบหรือไม่  ???  มันไม่จบใช่ไหม  เห็นพิศูจน์แล้วที่แน่นนอนก็คือ  นอกจากไม่จบแล้ว รัฐบาลนั่นเองกลับตกสู่ฐานะจำเลย ผู้ฆ่าประชาชน  อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  และซึ่งจะต้องได้รับการพิพากษาในอนาคตใกล้ ๆ นี้  และคุกเป็นเรือนนอนในวันหนึ่งข้างหน้า  วันที่ประชาธิปไตยไทยรุ่งโรจน์ รุ่งเรือง  (ภาพนี้ถ่ายจากโทรทัศน์ ข่าววอยส์ทีวี....ขณะร่มเกล้า  อมาตยกุลรายงาน)

 

แล้วคำปฏิเสธทันทีว่า  ทหารไม่ได้ฆ่าประชาชน  พร้อมยัดเยียดข้อหาใหญ่ ผู้ก่อการร้ายให้ประชาชนมือเปล่า  โดยวาทะว่า  ฆ่ากันเอง  ...  พวกเดียวกันฆ่ากันเอง.....โดยลืมนึกถึงความจริง   คนเขารักกันขนาดนอนกลางดินกินกลางทรายด้วยกันมาแรมปีแรมเดือนขนาดนั้น (ก็เหมือนทหารเหมือนกัน) และพวกเขาล้วนเป็นชาวพุทธ ประชาธิปไตยตามหลักอหิงสา สันติมาตลอด จะมีคำว่าฆ่ากันเองไปทำไม นอกจากฝ่ายเผด็จการวางแผนฆ่าเพื่อหวังผลให้เกิดความเข้าใจผิดในหมู่ประชาชน การกล่าวหาเช่นนั้นจึงเป็ฯเพียงการกล่าวหา บัดนี้ความจริงเริ่มปรากฎชัดขึ้น ๆ  ว่าทหารนั่นแหละฆ่าประชาชน

 

สักสิบปีข้างหน้าเล่าเรื่องให้เด็ก3ขวบฟัง เด็กมันก็จะหัวเราะเยาะเอา  ว่า ปัญญาอ่อน ก็เดือนพฤษภาคมปี 2553 นั้น  บ้านเมืองเราเต็มไปด้วยทหารเป็นคนกลุ่มเดียวที่ถืออาวุธสงคราม  นับหมื่น ๆ คน  ออกมากระจายกำลังล้อมเมืองเต็มไปหมด      แล้วยังมีทั้งรถถัง  รถเกราะ สนับสนุนเดินหน้าเข้าหาประชาชนผู้ต่อสู้มือเปล่า ......  แล้วยังประกาศไปทั่วโลกด้วยว่าเขตนี้เป็นเขตใช้กระสุนจริง (ปัญญาอ่อนจริง ๆ) ......ขนาดนี้ถึงถืออาวุธไปเปล่า ๆ  ก็ต้องมีอุบัติเหตุคนตายได้..........แต่นี่เขายิงอย่างหูดับตับไหม้  ไม่ตายได้อย่างไร   และคนยิงนั่นแหละเป็นคนฆ่าประชาชน .......

 

คนไทยมีศักดิ์ศรีของความเป็นคน คนไทยจึงต้องเรียกร้องความเป็นธรรม และพิทักษ์ความเป็นธรรม  เพื่อให้สังคมเป็นธรรม  นั่นเป็นทางแก้ปัญหา

 

 

 

   
 
แกนนำแดง เมื่อ 9 ม.ค.2554 เวทีราชประสงค์ มีธิดา ถาวรเศรษฐ์  วรชัย เหมะ  จตุพร พรหมพันธ์ และ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ
 
 


แดงที่ราชประสงค์ เมื่อ 9 ม.ค.2554
มีจำนวน พอ ๆ กับแดงที่ราชประสงค์เมื่อ 19 พ.ค.2553
ทำไม? 
เพราะเสรีชนมีจิตใจอิสระไร้ความกลัว และไม่ยอมอยู่ใต้ความอยุติธรรม นั่นเอง  นี่คือสัจธรรม เพราะฉะนั้นเราจึงคาดคะเนได้ว่า ในอนาคต ก็จะมีความเติบโต กล้าแข็งแกร่งขึ้นไปเรื่อย ๆ ไม่มีอะไรหยุดยั้งได้  และหมายถึงเสรีชนทั่วโลก แม้ในสหภาพพม่า และในจีน นับวันก็จะเติบโต
 
 
 
 
 
 
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกาศนโยบายปฏิบัติการประชาวิวัฒน์ "คิดนอกกฎ บริการนอกกรอบ" เพื่อเป็นของขวัญแก่ประชาชน 9 ข้อ คือ
 
1.  การเข้าถึงระบบประกันสังคม โดยเฉพาะประชาชนที่อยู่นอกระบบ จะเปิดโอกาสให้ประชาชนสมทบเงิน 100 ต่อเดือน เข้าระบบประกันสังคม
 
2. การเข้าถึงสินเชื่อ โดยเฉพาะคนขับรถแท็กซี่ ผู้ค้าหาบเร่แผงลอย สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ในอัตราที่เป็นธรรม
 
3.  การขึ้นทะเบียนและจัดระบบ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง เพื่อนำไปสู่การพัฒนาระบบสวัสดิการ ต้องมีการปรับปรุงวิน ป้ายราคาต้องชัด เริ่ม มี.ค. ประเดิมพื้นที่ กทม.
 
4.  เพิ่มจุดผ่อนผัน ให้ผู้ค้าจำนวน 2 หมื่นราย มีพื้นที่ค้าขายเพื่อลดรายจ่ายนอกระบบ และพัฒนาให้เป็นจุดท่องเที่ยว
 
5.  การแก้ปัญหาค่าครองชีพ โดยเฉพาะการแก้ปัญหากองทุนน้ำมัน โดยจะมีการยกเลิกการตรึงราคา LPG ในภาคอุตสาหกรรม แต่ยังตรึงราคาภาคครัวเรือนและขนส่งต่อไป เพื่อประชาชนจะได้ใช้ในราคาที่เป็นธรรม
 
6.  การใช้ไฟฟ้าฟรีสำหรับคนที่ใช้ต่ำกว่า 90 หน่วย อย่างถาวร โดยการปรับโครงสร้างค่าธรรมเนียม
 
7.  อาหารในส่วนของผู้ประกอบการ โดยจะดูแลให้ทั้งเกษตร ผู้ประกอบการรายย่อยให้มีรายได้เพิ่มขึ้น
 
8.  อาหารในส่วนของผู้บริโภคจะต้องมีทางเลือกมากขึ้น ต้องมีการเปิดเผยต้นทุนการผลิต ต้องมีความโปร่งใส ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ โดยมีแนวคิดจำหน่ายไข่เป็นกิโลกรัม
 
9.  การแก้ไขปัญอาชกรรม โดยเฉพาจุดเสี่ยงกว่า 200 จุด จะมีการบูรณาการ การเพิ่มบุคคลากรในการตรวจตราเพื่อให้สอดคล้องกับการปฏิรูตำรวจ ซึ่งจะใช้งบประมาณ 200 - 300 ล้านบาท โดยตั้งเป้าลดปัญหาอาชญารรมได้ 20 % ภายใน 6 เดือน
 
เห็นอย่างไรโพสเข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ได้เลย เพื่อเป็นกระจกส่องให้รัฐบาลเห็นว่าประชาชนเขาเห็นด้วยหรือไม่ เชื่อมั่นหรือไม่อย่างไร
 
  • ผู้ตั้งกระทู้ กระจกเงา :: วันที่ลงประกาศ 2011-01-10 17:19:44
 
 
[1] 
ความเห็นที่ 1 (3279946) 
ฟัง ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช พูดแบบ ชำแหละ ดีกว่า....................
 
 
 
 
 
  • ผู้แสดงความคิดเห็น แดง แท้แจ๋ วันที่ตอบ 2011-01-10 21:35:44
 
 
ความเห็นที่ 2 (3280693) 
มีแต่การโฆษณาชวนเชื่อว่ารัฐบาลจะให้นั่นนี่กับประชาชน แล้วไปเอาเงินที่ไหน แต่ที่แน่ๆวันนี้ก็เห็นรีดเลือดกับประชาชนโดยการขึ้นราคาน้ำมันรถสัปดาห์หนึ่งขึ้น 2 ครั้ง น้ำมันพืชขึ้นขวดละ 9 บาท น้ำตาลทรายขาดตลาด กะทิกล่องกก.ละ 70 บาท แล้วยังสินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆอีก ยังมองไม่เห็นว่าฝันหวานของรัฐบาลจะเป็นจริงได้อย่างไร แค่ประกาศนโยบายว่าจะขายไข่เป็นกิโลแค่นี้ประชาชนก็ขำกลิ้ง นี่หรือรัฐบาลของเรา ประเทศไทยโชคดีมีนายกชื่ออภิสิทธิ์และพรรคดีแต่พูดแต่ทำงานไม่เป็นมาบริหาร ประเทศก็เปรียบเหมือนบ้าน ถ้าหัวหน้าครอบครัวหาเงินไม่เป็น ใช้เงินเติบ ดีแต่ไปกู้หนี้ยืมสินมาใช้ต่อไปก็จะพาครอบครัวล่มจมหาทางออกไม่ได้ ประชาชนเขาฉลาดแล้ว และต้องทนดูรัฐบาลเด็กนารัฐนาวาแล่นไปตามยถากรรมอย่างไม่มีที่หมาย รอแต่คนกรุงเทพฯกับคนใต้ว่าเมื่อไรจะตาสว่าง
 
  • ผู้แสดงความคิดเห็น หิ่งห้อย วันที่ตอบ 2011-01-14 20:57:10
 
 
 ความเห็นที่ 3 (3280796) 
ฟังอีกคนครับ คุณพิชัย เวชพันธ์ มาให้เอเซียอัพเดทถ่ายทอดออกไปวันนี้ กำลังฟังอยู่
 
เด็กทำอะไรอย่างไร้ความคิด คิดไม่เป็น คิดไม่รอบคอบ
 
 
 
ผมว่าแกเหลวไหลน่ะ    เด็กเล่นไม้ขีดไฟจริง ๆ ต้องรีบ ๆ ไล่หนีไป ......... 
 
  • ผู้แสดงความคิดเห็น แดง แท้แจ๋ วันที่ตอบ 2011-01-15 21:59:42
 
 
ความเห็นที่ 4 (3280825) 
 
ถ้าถามว่า อภิสิทธิ์ แกพูดอะไร?     แกลืมหมดแหละครับ ไม่รู้หรอกว่าแกพูดอะไรบ้าง แกไม่รับผิดชอบ แกพูดตามใบสั่ง เจ้านายแกเห็นว่าแกมีความสามารถทางการพูด พออาศัยได้ ก็ให้แกพูด    ก็เท่านั้นเอง   .......เชื่อเถอะน่า.....ยุคนี้ไทยอันตราย
 
 
ทำไมไม่ลองคิดดูว่าตั้งแต่รัฐประหารโดยการนำของมุสลิม 19 ก.ย.2549 แล้วมีอะไรดีขึ้น มีแต่เสื่อมลงไปทุกที นายสนธิ บุณยรัตกลิน (ปลดยศแล้ว ปลดจาก พลเอกมาเป็นทหารเลวชั้นประทวน) รับแผนมุสลิมมาทำให้ประเทศพุทธศาสนาแตกแยก     มันเป็นมุสลิมชั่วร้ายของประเทศไทย .......
 
ประชาชนไทยกลัวทำไมครับ   กลัวจนไม่กล้าพูดถึงมุสลิม มีมุสลิมชั่วร้ายในประเทศไทย   นี่ก็คือความจริง และหนึ่งในผู้ชั่วร้ายก็คือมัน สนธิ บุณยรัตกลิน    อย่าลืมซีครับ.......
 
  • ผู้แสดงความคิดเห็น สรศักดิ์ สนมไพร วันที่ตอบ 2011-01-16 10:54:43
 
 
 ความเห็นที่ 5 (3280883) 
ไม่มีวันลืม สนธิ บุณยรัตกลิน คนนี้ มันเป็นคนทรยศ ต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์   แค่ถอดยศนั่นยังไม่พอ   ............... ผมแค้นในเรื่อง ดร.มั่น พัฒโนทัย ไปเชิญมันไปเป็นประธานพรรคทำไม............. ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าคนระดับ ดร.โง่ขนาดนี้ มีในเมืองไทย .......... อุตส่าห์อยากเป็นนักการเมืองกับเขา   แต่ไม่กล้ารับผิดชอบ ไปเชื้อเชิญมุสลิมทรยศมาเป็นหัวหน้า พรรค.........พรรคคนพุทธ........ทำไมไม่กล้าเป็นหัวหน้าพรรคเอง ดร.มั่น พัฒนโนทัย ...???????
 
  • ผู้แสดงความคิดเห็น แดง แท้แจ๋ วันที่ตอบ 2011-01-16 22:29:21
 
 
 ความเห็นที่ 6 (3280884) 
พอ ๆ กับผู้หญิงชื่อ อมรา พงศาพิศ   เป็นถึงศาสตราจารย์ ทำไมเอาคนไม่รู้เรื่องประชาธิปแตยเลยเช่นอมรา พงศาพิศ ไปเป็นหัวหน้างาน สิทธิมนุษยชนแห่งชาติ   .............    ไปเรียกร้องคนไทย 7 คนถูกเขมรจับได้   แต่ แดงตายทั้งแผ่นดิน 91 ศพ ไม่มีเสียงเลย    ยัยบ้า  !!!!!! นี่หรือผู้ปกป้องสิทธิมนุษยชน ...........
 
  • ผู้แสดงความคิดเห็น แดง ดำรงธรรม วันที่ตอบ 2011-01-16 22:35:17
 
 
 ความเห็นที่ 7 (3280918) 
ก็เหมือนธาริต เพ็งดิษฐ์แหละครับ พวก ปชป.เจ้าเล่ห์ หลอกเอาไปรับหน้าแทน   รับบาปแทน........ คิดให้ดี.......
 
 
 
คนเราล้วนตกอยู่ใต้อำนาจกิเลส คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข     ไม่มีใครไม่อยากมียศ และลาภ     เอามาล่อ ทุกรายงับทันที   พวกจิ้งจอกเจ้าเล่ห์เข้าใจใช้วิธีนี้หลอกล่อเอาคนโง่ ๆ ซื่อ ๆ มารับใช้ และรับบาปแทน 
 
 
 
ในที่นี้รูปธรรมก็คือ รับผิดทางกฎหมายแทน   เข้าคุกแทน นั่นเอง   การคบกับประชาธิปัตย์ต้องคิดดูให้ดีนะครับ
 
 
 
นี่ก็มาเล่ห์เหลี่ยมไหน ยังตามวิเคราะห์กันควักเลย   ก็ส่งสส.ตนไปข้ามแดนเขมรเขา เอาวีดีโอบันทึกภาพตนเองทำผิดไว้หมด แถมโทร.บอกด้วยว่าเรื่องนี้รู้กันระหว่างตนกับนายกรัฐมนตรีคนเดียว ชัดเจน เป็นหลักฐาน............   ก็วิเคราะห์ยังไม่ออก ว่าเจ้าพวกหมาจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ มันออกอุบายอะไรออกมา ...........ชาติบ้านเมืองจะย่อยยับไปอย่างไรมันไม่คำนึง..............................................หรือมันคิดจะทำสงครามกับเขมร......  ก็น่าคิด................แต่อะไรจะเลวขนาดนั้น.................
 
 
  • ผู้แสดงความคิดเห็น สรศักดิ์ สนมไพร วันที่ตอบ 2011-01-17 12:09:24
 
 
 ความเห็นที่ 8 (3281336) 
ยังมีคนเก่งทะยอย ๆ มาชำแหละนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ มีท่านอัษฎาง์ ปาณิกบุตร มาพูดเรื่องรัฐธรรมนูญ น่าฟังมาก
 
 
 
  • ผู้แสดงความคิดเห็น กระจกธรรมดา ๆ วันที่ตอบ 2011-01-20 13:42:02
 
 
 ความเห็นที่ 9 (3281351) 
ผมเองเห็นว่า แนวการสร้างและเสนอนโยบาย ของพรรคการเมือง พรรคประชาธิปัตย์นี้ น่าฉงนมาก ๆ
 
เราไม่ทราบว่าพรรคนี้ได้เสนอกรอบนโยบายขนาดกว้างไว้อย่างไร .............. ต่อประชาชน ในคราวที่มีการเลือกตั้ง ......
 
เพราะนโยบายของพรรคการเมืองจะต้องให้ประชาชนเท่านั้นเป็นผู้เลือก..... นั่นคือเสนอต่อประชาชนในคราวที่มีการเลือกตั้ง   ................ สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งแต่เป็ฯพรรคการเมืองมา   .................    ไม่เคยเห็นเลยว่าเขาเสนอนโยบายอะไร สำหรับการพัฒนาประชาชนในอีสานเลย     ชาวอีสาณ ไม่เคยได้ยินพรรคประชาธิปัตย์พูดว่า จะทำอะไรให้อีสาน     ...................    คนอีสานจึงไม่เลือกประชาธิปัตย์    .........   แล้วมาเสนอภายหลังต่อสภาผู้แทน   ก็ถือว่าไม่ชอบธรรมอยู่ส่วนหนึ่ง    ก็พอกล้อมแกล้มไปได้
 
 
 
แต่ประเด็นคือ   เราเกรงว่าพรรคประชาธิปัตย์จะไม่เข้าใจ   ว่าที่ตนทำอยู่นี้ ระวังว่าจะไม่ชอบธรรมตามวิถีทางประชาธิปไตย   คือนโยบายการบริหารประเทศของรัฐบาลนั้น ไม่ใช่นึกอะไรขึ้นมาได้ ตอนไหน เวลาไหน ก็เอามาทำได้เลย ............     อย่างเช่นนโยบาย 9 ข้อนี้   ......   ไม่เคยได้ยินว่ามีการพูดกันไว้ต่อหน้าประชาชนก่อนที่จะเข้าสู่การบริหาร
 
 
สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์เคยพูดไว้ก่อนการเลือกตั้งก็คือ      99 วัน   แล้วก็มรกฎเหล็ก 9 ข้อ     อันนี้พอได้ยินได้ฟังอยู่   แล้วอย่างไร ?    เหลว...........   แปลว่าอะไร    แปลว่าหลอกลวงประชาชน ................   ก็ออกไปได้............เซย์ก๊ดบายไปได้เลย 
 
 
แต่เขาหน้าด้านอยู่    จึงมีโอกาสมาเรื่อย ๆ ที่จะเสนอนโยบายที่ไร้สาระต่อมา ๆ โดยไม่ชอบต่อหลักการประชาธิปไตย    คือประชาชนไม่มีโอกาสตรวจสอบก่อน เพราะเหตุที่นโยบายย่อมเกี่ยวข้องไปถึงงบประมาณ อันได้รีดมาจากภาษีของประชาชน       เมื่อเหลวแหลกไปเรื่อย ๆ เช่นนี้    ระวังว่าต่อไปประชาชน จะงดเสียภาษีเอาเฉย ๆ   คุณจะว่าอย่างไร ............   เพราะเงินที่รัฐบาลเอามาใช้จ่ายในนโยบายนั้น เป็ฯเงินของประชาชน    เขามีสิทธิ์ที่จะตรวจสอบ ห้ามปราม หรือแม้กระทั่ง เรียกคืนได้     
 
 
 
เช่นนโยบาย   ชั่งกิโลขายไข่   อย่างนี้...............
 
เลือกตั้งคราวหน้าก็ลองเสนอไปสิ ..............   ถ้าคุณมั่นใจจริง .....ไม่ใช่แอบเอามาทำหน้าตาเฉยเช่นนี้.........
 
 
  • ผู้แสดงความคิดเห็น ขนิติ ขันคำ วันที่ตอบ 2011-01-20 13:58:20
 
 
 ความเห็นที่ 10 (3281356) 
แล้วมาถึงเรื่องไปจ้างเอกชนทำนโยบายประชาวิวัฒน์ให้ 69 ล้านบาท      ทำได้อย่างไรครับ....... ถ้างั้นคุณจะให้มีผู้แทนราษฎรไปทำไม ???
 
 
 
แต่ประเด็นคือ เอกชนไม่อาจจะทำนโยบายได้.............................ไม่ถูกหลักการ   ผู้ทำนโยบายคือ พรรคการเมือง เป็นหน้าที่ของพรรคการเมือง...................... ก็เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่รู้เรื่องนโยบาย จึงแพ้ไทยรักไทยอย่างหลุดลุ่ยมาตลอด   .............   ความจริงก็คือประชาชนเขาเลือกนโยบายที่ช่วยประชาชนให้ลืมตาอ้าปากได้........... เขาก็เลือก    ไม่มีเช่นนี้ เขาก็ไม่เลือก   นี่ก็ยุติธรรมดีแล้ว.....
 
 
 
แต่ไม่ได้หมายความว่าเอกชนช่วยไม่ได้..................... แต่หมายความว่า ประชาธิปัตย์ทำนโยบายแบบสุกเอาเผากินจริง ๆ     เสี่ยงต่อความสูญเสียงบไปอย่างไม่คุ้มค่า......หรือเกิดปัญหาด้านประสิทธิภาพของงาน................... เพราะโดยพื้นฐาน   เอกชนเขาทำธุรกิจของเขา เขามักรู้มักเข้าใจเรื่องราวเฉพาะทาง ...........และเขาแคบเกินไป     ........   เขาไม่มีวิสัยทัศน์พอที่จะมองประชาชนทั่วประเทศได้รอบด้าน โดยเฉพาะเวลาเดือน 2 เดือนที่คุณไปขีดเส้นให้เขา   (เช่นเดียวกับไปมอบให้นายอานันท์ ปัญญาระชุน ทำโครงการปฏิรูปประเทศไทยให้   นายอานันท์แกจะไปรู้อะไร (แกก็หัวเอิกอากรับทรัพย์ไปเท่านั้น)...   นายประเวศร วะสี ก็เหมือนกัน รู้ว่าทำไม่ได้แต่ก็รับไปทำ ยิ่งนายสมบัติ ธำรงธัญญวงศ์ ยิ่งไม่ประสีประสา ขนาดเป็นถึงศาสตราจารย์) ........   อันนี้เขาจึงยกให้เป็นหน้าที่ของพรรคการเมือง........ที่จะต้องเป็นหน้าที่ และติดตามศึกษาเรื่องนโยบาย พร้อมอัพเดทอยู่ตลอดเวลา อันยาวนานตลอดชาติไป ........เข้าใจไหมครับ ?????
 
 
 
การไปจ้างเอกชนทำนโยบายให้ จึงเท่ากับดูถูกพรรคประชาธิปัตย์ทั้งพรรค   หรือเป็นเครื่องชี้ว่าพรรคประชาธิปัตย์ พรรคเก่าแก่ แต่ไร้สติปัญญา   มีปัญญาแค่นี้เอง คือเท่า ๆ กับบริษัทเอกชนแคบ ๆ แห่งหนึ่งเท่านั้นเอง   อันชี้ว่า   ไม่สมควรขึ้นมาอยู่ระดับผู้บริหารประเทศได้   
 
 
 
ประชาธิปัตย์จึงเป็นเช่นนี้ครับ   คือเหมือนคนเกิดมา 100 ปี แต่ไม่มีความรู้ หรือรู้นิดหน่อย หรือรู้แบบศรีธนญชัย หรือเป็นคนที่ไร้ธรรมะ ก็สู้เด็กที่เกิดมาเพียงวันเดียว แต่มีความรู้ มีธรรมะไม่ได้   (พระพุทธเจ้าตรัสไว้ครับ)    
 
ผมว่าโดยนัยยะนี้ ยุบเสียเถิด     ผู้พิพากษาอย่ามองที่อายุเลย    แต่มองที่สติปัญญาของพรรค ขนาดมีหน้าที่ทำนโยบาย ยังไม่สามารถทำหน้าที่ได้   ไม่เคยทำนโยบายเลยตลอดเวลาอายุยาวมาถึงวันนี้ ก็ยังมาทำผิดเอาเงินประชาชนไปใช้ผิดประเภท ผิดกฎหมายอีก ก็ชอบที่จะยุบเสีย โดยไม่เห็นว่าจำเป็นอย่างไรที่จะเอาพรรคที่ชราภาพ มีอายุเฉย ๆ แต่กลวงทางสติปัญญา ไว้ ทำผิด   ซ้ำซาก    ก็ยุบเสีย
 
 
 
พรรคนี้แหละ มีหัวหน้าชื่อ มรว.เสนีย์ ปราโมท เป็นหัวหน้าพรรค แล้วอาสาไปว่าความเมืองเขาพระวิหาร แล้วแพ้หลุดลุ่ย   เสียเขาพระวิหารไปให้เขมร..............................คนแค้นทั้งประเทศ แต่คนก็ยอมรับศาลยุติธรรมโลก กรุงเฮก .............. แล้ววันนี้ พรรคหัวกลวงไปทำอะไรที่ชายแดนเขมร จนเขาจับคนของตนไปขังไว้ 7 คน ..............คิดจะเอาเขาวิหารคืนโดยสงครามหรืออย่างไร ?       ก็รีบ ๆ ยุบพรรคนี้เสียก่อนเถิด ก่อนที่จะคิดการอันชั่วร้าย ไม่เป็นธรรมต่อไป
 
  • ผู้แสดงความคิดเห็น สถาวร ผดุงสิทธิ์ วันที่ตอบ 2011-01-20 14:33:18

 

 

 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
นี่คือเวบแฝด http:\\www.newworldbelieve.com http:\\www.newworldbelieve.net รวมผลงานการวิจัยทางศาสนา การศึกษาโลกลี้ลับ ศาสนาสากล งานวิจัยสังคม การเมือง วัฒนธรรม ยาวนานกว่า 14 ปี แสดงไว้ในเวบไซต์แฝดคู่นี้ เกี่ยวกับประช่าธิปไตย เรากำลังเพ่งเล็งว่าเป็นประเด็นสำคัญยิ่งของประเทศไทยขณะนี้ เพราะโดยยุคสมัยไทยไม่อาจจะย้อนกลับคืนไปสู่เผด็จการได้อีก แม้ว่าจะพยายาม ก็จะเพียงพร่าเวลาที่มีค่าไปอย่างเหลวไหล สร้างความเสื่อม เลวทราม สร้างความบอบช้ำแก่ประชาชนและประเทศไปชั่วระยะเวลาหนึ่งอันสั้นเท่านั้น คนไทยทุกชนชั้นทุกหมู่เหล่าการอาชีพฐานะจำเป็นต้องเรียนรู้ประชาธิปไตยที่แท้จริง เพราะเราต้องใช้วิถีทางนี้แก้ปัญหา ทางเดียวเท่านั้น และเวบไซต์แฝดคู่นี้พยายามนำประชาชนไปสู่วิถีทางที่ถูกต้องของประชาธิปไตยที่แท้จริง
 

 




หน้าที่เก็บไว้

หน้าปกวันตลก.รธน.ตัดสินคดีรัฐสภาร่างรัฐธรรมนญใหม่จะยุบพรรคเพื่อไทย 13 ก.ค.2555
รวมน้ำท่วม กทม. ศรีสะเกษ เทศกาลทอดกฐิน
สถานการณ์น้ำท่วม กทม.แตก ทะลักถึงใจกลางกทม.เช้า21ตค.2554
21 ม.ค.2554
ชุมนุมเสื้อแดง ภาพแกนนำ
แดงราชประสงค์ 9 ม.ค.2554 ต้อนรับปีใหม่ กว่า6หมื่นคน
20 ธ.ค.2553 Link to Aung San Suu Kyi - Dalai Lama
5 ธันวามหาราช 2553
บทสรุป 16 พ.ค.2553



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
----- ***** ----- โปรดใช้บริการการแปลของ Google Translate นี่คือเวบไซต์คู่ www.newworldbelieve.com กับ www.newworldbelieve.net เราให้เป็นเวบไซต์ที่เสนอธรรมะหรือ ความจริง หรือ ความคิดเห็นในเรื่องราวของชีวิต ตั้งใจให้ธัมมะเป็นทาน ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แด่คนทั้งหลาย ทั้งโลก ให้ได้รู้ความจริงของศาสนาต่าง ๆในโลกวันนี้ และได้รู้ศาสนาที่ประเสริฐเพียงศาสนาเดียวสำหรับโลกยุคใหม่ จักรวาลใหม่ เราได้อุทิศเนื้อที่ทั้งหมดเป็นเนื้อที่สำหรับธรรมะทั้งหมด ไม่มีการโฆษณาสินค้า มาแต่ต้น นับถึงวันนี้ร่วม 14 ปีแล้ว มาวันนี้ เราได้สร้างได้ทำเวบไซต์คู่นี้จนได้กลายเป็นแดนโลกแห่งความสว่างไสว เบิกบานใจ ไร้พิษภัย เป็นแดนประตูวิเศษ เปิดเข้าไปแล้ว เจริญดวงตาปัญญาละเอียดอ่อน เห็นแต่สิ่งที่น่าสบายใจ ที่ผสานความคิดจิตใจคนทั้งหลายด้วยไมตรีจิตมิตรภาพล้วน ๆ ไปสู่ความเป็นมิตรกันและกันล้วน ๆ วันนี้เวบไซต์ สื่อของเราทั้งหมดนี้ ได้กลายเป็นแดนสนุกน่าท่องเที่ยวอีกโลกหนึ่ง ที่กว้างใหญ่ไพศาล เข้าไปแล้วได้พบแต่สิ่งที่สบายใจมีความสุข ให้ความคิดสติปัญญา และได้พบเรื่องราวหลายหลากมากมาย ที่อาจจะท่องเที่ยวไปได้ตลอดชีวิต หรือท่านอาจจะอยากอยู่ณโลกนี้ไปชั่วนิรันดร และซึ่งเป็นโลกหรือบ้านของท่านทั้งหลายได้เลยทีเดียว ซึ่งสำหรับคนต่างชาติ ต่างภาษาต่างศาสนา ได้โปรดใช้การแปลของ กูเกิล หรือ Google Translate แปลเป็นภาษาของท่านก่อน ที่เขาเพิ่งประสบความสำเร็จการแปลให้ได้แทบทุกภาษาในโลกมนุษย์นี้แล้ว ตั้งแต่ต้นปีนี้เอง นั้นแหละเท่ากับท่านจะเป็นที่ไหนของโลกก็ตาม ทั้งหมดโลกกว่า 8 พันล้านคนวันนี้ สามารถเข้ามาท่องเที่ยวในโลกของเราได้เลย เราไม่ได้นำท่านไปเที่ยวแบบธรรมดาๆ แต่การนำไปสู่ความจริง ความรู้เรื่องชีวิตใหม่ การอุบัติใหม่สู่ภาวะอริยบุคคล ไปสู่การเปลี่ยนแปลงไปพ้นจากทุกข์ ทั้งหลายไปสู่โลกแห่งความสุขแท้นิรันดร คือโลกนิพพานขององค์บรมศาสดาพุทธศาสนา พระบรมครูพุทธะ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงแต่ท่านโปรดใช้บริการการแปลของ Google Translate ท่านก็จะเข้าสู่โลกนี้ได้ทันทีพร้อมกับคน 8 พันล้านคนทั้งโลกนี้. ----- ***** ----- • หมายเหตุ เอาขึ้นเวบไซต์ แทนของเดิม ทั้ง 2 เวบ .net .com วันที่ 21 เม.ย. 2565 เวลา 07.00 น.