1. บทนำ
ศึกษาประชาธิปไตยไทย
คัดสรรบทวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองไทยก่อนและหลัง 19 กันยายน 2549
เกี่ยวกับประชาธิปไตยไทย
ประชาธิปไตยไทยอย่าเป็นอย่างพม่า
ศึกษาจากเรื่องราวจริง และเหตุการณ์จริง ช่วงก่อนและหลังยึดอำนาจ 19 ก.ย. 2549
ประเทศไทยอย่าเป็นอย่างพม่า แม้ว่าพฤติกรรมละม้ายคล้ายคลึงพม่ามาตั้งแต่ยุคปฏิรูปปฏิวัติโดย สนธิ บุณยรัตนกลิน ทหารเผด็จการหัวเก่า เมื่อ 19 ก.ย. 2549 นั่นคือ เมื่อมีการเลือกตั้ง เดือนพ.ย. 2551 แล้ว ฝ่ายทหารพ่ายแพ้การเลือกตั้ง พรรคทหารกลายเป็นฝ่ายค้านในสภาไป ก็ไม่ยอม ใช้อำนาจกดดัน บีบคั้น สร้างสถานการณ์ ดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อให้ฝ่ายตนคืนสู่อำนาจ จนกระทั่งรัฐบาลที่ชนะการเลือกตั้งมาถึง 2 รัฐบาล นับแต่รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ต้องยุบตัวลงไปด้วยชั้นเชิงกลโกงทางการเมือง กลายมาเป็นฝ่ายค้าน ฝ่ายทหาร อมาตยาธิปไตยที่ล้าหลังระบอบเก่าอย่างพม่าจึงขึ้นครองอำนาจมาจนกระทั่งบัดนี้ สถานการณ์ปัจจุบัน ระบอบอมาตยาธิปไตยไทยกำลังพาประเทศและประชาชนเดินตามรอยรัฐบาลเผด็จการทหารพม่าไปอย่างกระชั้นชิด ไม่ผิดการก้าวย่างตามทับอย่างรอยเดียวกัน อย่างไม่ละอายต่อสายตาโลก เพราะอย่าคิดว่าจะปกปิดซ่อนเร้นการกระทำที่แอบแฝงความมุ่งหมายอันไม่ซื่อตรง ที่ทรยศต่อระบอบของประชาชนไปได้ หากแต่สายตาโลกที่เจริญด้วยวิถีทางประชาธิปไตยทั้งหลาย อันเป็นยุคใหม่ของเทกโนโลยี ที่มาพร้อมกับยุคใหม่ของลัทธิการเมืองประชาธิปไตย กำลังเริ่มไม่ไว้วางใจสถานการณ์ในประเทศไทย เริ่มมองหามาตรการที่จัดการเผด็จการในประเทศไทย เพื่อเข้าโอบอุ้มพิทักษ์ระบอบประชาธิปไตยไทย ของประชาชนผู้รักประชาธิปไตยในไทยไม่ให้เฉออกนอกลู่นอกทางไปจนตกอยู่ใต้อำนาจเผด็จการทรราชอย่างลึกซึ้ง ยากจะถอนตัวกลับคืนสู่วิถีประชาธิปไตยได้อีกครั้ง อย่างเดียวกับพม่า
ประชาชนชาวไทยจึงควรที่จะตื่นตัวขึ้นมาศึกษาเหตุการณ์ที่ผ่านมาสด ๆ ร้อน ๆ และมีความต่อเนื่องของสถานการณ์อนารยธรรมทางการเมืองนอกระบอบประชาธิปไตยมาตั้งแต่ก่อนการปฏิวัติของทหารตาบอดเผด็จการ 19 ก.ย. 2549 มาจนถึงปัจจุบัน นับตั้งแต่เกิดองค์การโฆษณาชวนเชื่อ ใส่ร้ายป้ายสี สร้างความเกลียดชังแก่รัฐบาลประชาธิปไตยครั้งใหญ่และแหลมคมขึ้นในปลายรัฐบาลทักษิณ ภายใต้การยุยงส่งเสริมของอมาตยาธิปไตยอำนาจเก่า ที่ซุ่มซ่อนคอยโอกาส และจังหวะกระทำการอยู่ อันเป็นเหตุของความร้าวฉานระหว่างประชาชนและความสับสนวุ่นวายขึ้นมาขณะนั้น จนเป็นเหตุให้คณะทหารและอมาตยาธิปไตยระบอบเก่าที่สูญเสียประโยชน์ทางอำนาจและเศรษฐกิจเนื่องด้วยนโยบายที่ฟื้นฟูอำนาจของชนทั้งหลายระดับสามัญชนขึ้นมาตามวิถีทางอำนาจประชาธิปไตย ได้โอกาสในการกระทำการแทรกแซงทางการเมือง และใช้อำนาจกองทัพในมือเข้าปฏิวัติล้มล้างรัฐบาลประชาธิปไตยลงเสีย สถาปนาอำนาจแบบเผด็จการทหารนำโดยอมาตยาธิปไตยขึ้นมาปกครองประเทศ เป็นผลสร้างความแตกแยกครั้งใหญ่ขึ้นในแผ่นดิน ๆ ระส่ำระสายมาไม่มีที่สิ้นสุด จนถึงปัจจุบันนี้
เมื่อนปช.แดงทั้งแผ่นดิน ได้ลุกขึ้นยืนหยัดต่อสู้กับรัฐบาลทหารและอมาตยาธิปไตย โดยยุทธศาสตร์การสื่อสารความจริงวันนี้ ได้ทำให้เกิดปาฏิหาริย์ขึ้นในแผ่นดินไทย นั่นคือคนทั้งประเทศตาสว่างขึ้นทั้งแผ่นดิน และสีแดงโหมโรมเร้าทั้งแผ่นดิน เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลเผด็จการคืนอำนาจให้ประชาชน แต่แล้วรัฐบาลเลือดเข้าตาก็อำมะหิต พอที่จะออกคำสั่งระดมพลและอาวุธร้ายที่ใช้ในการสงครามโดยตรง โดยระดมกองกำลังที่จัดว่าสุดยอดของกองทัพไทยดีเด่นที่สุดของกองทัพไทย รวมถึงหน่วยทหารปฏิบัติการพิเศษนับแต่หน่วยสวาท อรินทร์ราช เป็นต้น พร้อมทั้งอาวุธหนักเบา แม้กระทั่งยานยนต์ขนาดหนักใช้ต่อสู้ในสงครามโดยตรงก็ถูกระดมมาเพื่อกระชับวงล้อมเข่นฆ่าประชาชนมือเปล่า ๆ กลายเป็นโศกนาฏกรรมสำหรับประชาชนฝ่ายรักประชาธิปไตยทั้งประเทศ เพราะรัฐบาลแม้ได้สั่งการเข่นฆ่าประชาชนมือเปล่าที่มาเรียกร้องประชาธิปไตยตามสิทธิของระบอบที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ ทหารและกองกำลังปรายปรามประชาชนก็ได้สังหารประชาชนด้วยอาวุธสงครามตายไปถึง 91 ศพ โดยไร้เหตุผล และยังเตลิดเลยไปทำการละเมิดดินแดนศักดิ์สิทธิ์คือเขตอภัยทานในพระพุทธศาสนา โดยการกระหน่ำยิงฆ่าประชาชนผู้ทำหน้าที่หน่วยกูภัยเสียชีวิตถึง 6 ศพ ซึ่งเป็นการผิดธรรมเนียมระหว่างโลกสากล มีผู้สูญหายและบาดเจ็บอีกจำนวนร่วม 2,000 คน ในเหตุการณ์ 19 พฤษภาคม 2553 ซึ่งพฤติกรรมล้อมปราบปรามประชาชนเช่นนี้ รัฐบาลกลับไร้ความสำนึกรับผิดชอบไปโดยสิ้นเชิง และยิ่งไปกว่านั้น ยังไร้เหตุผลแนวคิดทางการเมืองอันชอบธรรมตามระบอบประชาธิปไตย กลับกล่าวหาว่าประชาชนเป็นผู้ก่อการร้าย และมีพฤติกรรมบ่อนทำลายไม่จงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ไปอีก ทำการจับกุมคุมขัง ดำเนินคดีอย่างเร่งรัด โดยใช้หน่วยงานลับDSI เป็นเครื่องมือร่วมสร้างเหตุผลหลักฐานเท็จขึ้นกล่าวหาประชาชน ยิ่งกว่ายุคนาซีเยอรมันเสียอีก เป็นเหตุให้ประชาชนคั่งแค้นฝังใจไปทั้งประเทศ และรอคอยจังหวะของการกลับมาของอำนาจของประชาชน ตามหลักการประชาธิปไตย
ในการต่อสู้กับรัฐบาลทหารทรราช เผด็จการอมาตยาธิปไตยไทยของมวลชนชาวไทยนั้น นับว่ามีข้อได้เปรียบกว่าทางประชาชนพม่าอย่างมากมาย เพราะประชาธิปไตยไทยได้เรียนรู้จากประชาชนพม่ามาก่อน โดยได้เห็นประชาชนพม่าที่ถูกกดขี่ และไร้อิสรภาพ เสรีชน นั่นเอง และครั้นผ่านเหตุการณ์ปราบปรามการชุมนุมครั้งใหญ่ที่เจดีย์ชะเวดากอง เมื่อ 10 ตุลาคม 2550 อันเป็นผลให้ประชาชนเสียชีวิตร่วม 200 ศพ และฝ่ายพระสงฆ์เสียชีวิต 50 ศพ การควบคุมปิดหูปิดตาประชาชนก็เข้มขึ้น ประชาชนพม่า จำยอมอยู่ใต้ปกครองของอำนาจทหารเผด็จการอย่างไม่กล้าปริปาก ส่วนประชาชนไทยมีพื้นฐานที่ดีกว่า โดยมีองค์คณะบุคคล ทางการเมืองและการศึกษาที่ประกอบด้วยผู้รู้ ด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลกว่า รู้โลกมากกว่า ได้เรียนรู้หลักการปกครองเปรียบเทียบหลายหลักการ อันลึกซึ้งไปถึงรัฐศาสตร์แห่งประชาธิปไตยที่แท้จริง มีสถาบันประชาธิปไตยตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้หลายสถาบัน ที่พอจะทบทวนตนเองให้รู้ซึ้งไปในหน้าที่ของสถาบันหรือองค์กรประชาธิปไตยในยุคประชาธิปไตยนี้ดีกว่าประเทศพม่า อนึ่งในยุคประชาธิปไตยปกครองประเทศชั่วขณะหนึ่งก่อนหน้าการปฏิวัติ 19 ก.ย.2549 ประชาชนได้เรียนรู้ประชาธิปไตยทางตรง โดยได้พบได้พิศูจน์ความดีงามมาอย่างชัดเจนถึงนโยบายรัฐบาลประชาธิปไตย ที่ทำให้ประชาธิปไตยกินได้ อันไม่เคยปรากฏมาก่อน จึงเป็นเหตุของการตื่นตัวรับทราบความดีงามของประชาธิปไตยไปอย่างกว้างขวาง และเพิ่มความศรัทธาในระบอบของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชนยิ่งขึ้นไป ยิ่งกว่าประชาชนพม่า
อย่างไรก็ตาม ยังมีแนวคิดทางการเมืองที่ยังสับสนไม่ลงรอยกันในหลักวิชา หลักการทางทฤษฎีและทางปฏิบัติแห่งระบอบประชาธิปไตยไทย อันเป็นเหตุให้ลังเลใจ ขาดความมั่นใจในวิถีทางการเมืองของเสรีชน คนพ้นยุคความเป็นทาสทุกประการ ที่ให้อำนาจเป็นของประชาชนโดยหลักการของความเสมอภาค และภราดรภาพ อันเป็นสากล ขาดความมั่นใจ ชัดเจนต่อวิถีทางหรือครรลองของระบอบอำนาจของประชาชนอันเป็นการเมืองแห่งความเป็นธรรมของประเทศชาติ
เพื่อให้เป็นการเสริมเพิ่มเติมและเน้นย้ำลงไปในวิถีทางของระบอบหรือครรลองของประชาธิปไตย คืออำนาจเป็นของประชาชน โดยหลักความเสมอภาค ภราดรภาพ และหลักเสรีภาพของเสรีชนคนในระบอบ เราจึงขอเสนอเรื่องราวซึ่งเป็นผลมาจากการมองสถานการณ์มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งก่อนสถานการณ์ 19 ก.ย.2549 ตราบมาจนถึงปัจจุบัน อันเป็นระยะที่รัฐบาลเร่งคดีที่กล่าวหาประชาชนอย่างร้ายแรงว่าเป็น การก่อการร้าย โดยกล่าวหาว่าประชาชนกระทำการเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างไม่ชอบด้วยหลักสันติ อหิงสา แต่โดยความคิดแก้ว 3 ประการของพรรคคอมมิวนิสต์ไทยยุคก่อนคือแนวคิดก่อการร้ายด้วยองค์กร 3 องค์กร คือ (1) พรรคการเมือง หมายถึง พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (2) มวลชน หมายถึงมวลชนที่ถูกจัดตั้ง หรือที่ถูกปลุกเร้าด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ และ(3) กองกำลัง หมายถึงกองกำลังติดอาวุธ หรือทหารป่าที่มีภาระในการต่อสู้ล้มล้างรัฐบาล ซึ่งเป็นการกล่าวหาโดยเหตุผลที่ล้าหลังอย่างยิ่ง และเห็นเจตนาใส่ร้ายป้ายสีพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม เพื่อกดข่ม ทำลายฝ่ายตรงข้ามลงไปโดยวิถีทางเผด็จการ
ฉะนั้น ประชาธิปไตยเท่านั้น ไม่มีระบอบอื่นใดเลยที่อาจนำชาติและประชาชนไปสู่ความหมายของชีวิต คือความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ เป็นวิถีทางที่ข้ามพ้นปัญหาไปสู่ความเจริญก้าวหน้า การพัฒนาการ ที่พบความสมหวัง ผลประโยชน์ และความสุขที่สมบูรณ์ ต่อไปนี้จะเป็นการเลือกสรรบทวิเคราะห์เกี่ยวกับทัศนะการมองเหตุการณ์เกี่ยวกับประชาธิปไตย มาตั้งแต่ต้นของสถานการณ์การเมืองอันสับสนในประเทศไทย มาแต่ก่อนสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และหลังการเปลี่ยนแปลง 19 ก.ย. 2549 เพื่อเป็นบทเรียนทางการเมืองของระบอบประชาธิปไตย ที่น่าจะเป็นทางทำความเข้าใจหรือบทศึกษาประชาธิปไตยที่แท้จริง ในทัศนะหนึ่ง เป็นเรื่อง ๆ ตามลำดับไป ดังต่อไปนี้
· บก.นสพ.ดี(อินเทอเนต)
20 ส.ค. 2553