การแถลงนโยบายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์
ประธานรัฐสภา นายกรัฐมนตรี
นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
การแถลงนโยบายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ต่อรัฐสภา กำหนดมีการแถลง 2 วัน ๆ ที่ 23-24 ส.ค.2554 แต่ในวันที่ 24 ส.ค.ที่กำหนดปิดการประชุมนั้น ได้เกิดความรุนแรงในรัฐสภา ทำให้องคประชุมไม่ครบ พรรคประชาธิปัตย์วอล์คเอาท์ ประธานสภาจำต้องเลื่อนไปอีกเป็นวันที่ 3 วันที่ 25 ส.ค.2554 จึงจบเสร็จลง
ในการแถลงนโยบายของรัฐบาล เห็นได้ว่าพรรคฝ่ายค้านคือพรรคประชาธิปัตย์ มิได้มองการแถลงนโยบายว่ามีนัยยะสำคัญเพียงแจ้งให้รัฐสภาทราบเท่านั้น เพื่อที่รัฐบาลจะได้ทำงานต่อไปตามนโยบายที่แถลง การเปิดให้อภิปรายนโยบายนั้น ตามหลักแล้วฝ่ายค้านต้องจดหัวข้อเอาไว้ เพื่อการติดตามไปดู ว่ารัฐบาลจะได้ทำงานอย่างไร มีประสิทธิภาพเพียงใดหรือไม่ หากได้พบว่ามีการบริหารไม่ตรงตามนโยบาย ไร้ประสิทธิภาพ หรือมีการผิดพลาดประการใดใด อย่างร้ายแรงโดยมีผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนที่ชัดเจนชัดแจ้ง ฝ่ายค้านก็สามารถยื่นเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเพื่อถอดถอนรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี หรือรัฐบาลทั้งคณะได้ ซึ่งกติกาของระบอบประชาธิปไตยข้อนี้ นี้ได้ระบุในรัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับอยู่แล้ว
แต่การประชุมรัฐสภาเพื่อแถลงนโยบายคราวนี้ พรรคฝ่ายค้านกลับไม่สังวรณ์ว่านัยยะอะไรเป็นอะไร ออกท่าทีประหนึ่งว่าเป็นการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ที่บริหารงานล้มเหลวลงโดยสิ้นเชิง ประมาณนั้น จึงได้เกิดการตอบโต้ระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้านขึ้นอย่างรุนแรง และเมื่อจนต่อเหตุผล ก็ไม่ยอมรับเป็นเหตุให้พรรคประชาธิปัตย์เกิดทิฏฐิในทางที่จะเอาชนะ วอล์คเอาท์ ทำให้ไม่ครบองค์ประชุม จำต้องปิดประชุม เป็นเหตุให้เสียเวลาของสภาไปอีก 1 วัน และมีนักหนังสือพิมพ์เอาไปคาดคะเนในทางที่ไม่ดีต่อการเดินไปของระบบรัฐสภาไทยยุคนี้ว่าจะไม่ราบรื่น รัฐบาลจะต้องเผชิญกับฝ่ายค้านฝีปากจัดต่อไปจนอาจจะเพลี่ยงพล้ำได้ ยังมีประเด็นสำคัญที่สส.ฝ่ายค้านพรรคประชาธิปัตย์ยกขึ้นมาพูด อย่างไม่คำนึงถึงความสำคัญและความหมาย นั่น คือแนะนำรัฐบาลว่าควรนำเอาแนวพระราชดำริไปทำก็พอ ไม่ต้องไปคิดสร้างนโยบายอื่นอีกหรอก พร้อมโอ้อวดว่ารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่แล้ว ได้นำเอานโยบายตามพระราชดำริไปทำทั้งหมด ซึ่งการพูดนี้เท่ากับกล่าวว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้นำเอาพระบรมราโชบายทุกอย่างไปบริหารประเทศ ตนบริหารไปในนามของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวล้วน ๆ แต่ผลการบริหารตามแนวพระราชดำริของพรรคประชาธิปัตย์ที่ผ่านมากลับล้มเหลว เศรษฐกิจตกต่ำเข้าของ น้ำมันราคาแพงลิ่ว แม้กระทั่งน้ำมันปาล์มทั้งราคาแพงทั้งขาดตลาด ต้องเข้าคิวซื้อ สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนทุกหย่อมหญ้า เกิดกรณีล้อมเข่นฆ่าประชาชน 91 ศพ ปิดกั้นข้อฎีกาของประชาชนที่ฎีกาถึงในหลวง แล้วทำให้ประเทศไทยเกิดข้อพิพาททางชายแดนกับกัมพูชา เกิดการปะทะตามชายแดนศรีสะเกษ สุรินทณ์ บุรีรัมย์ หวิดเป็นสงครามระหว่างประเทศ ประชาชนไทยต้องอพยพกันจ้าละหวั่น นับหมื่น ๆ คน แล้วเกิดคดีเยอรมันยึดเครื่องบินส่วนพระองค์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช มกุฏราชกุมารไทย ขึ้นล่าสุด เป็นเหตุเสื่อมเสียถึงพระองค์ อันนี้ สส.ผู้เสนอแนะนั้นจะถือว่าพรรคประชาธิปัตย์บริหารงานตามพระบรมราชโองการล้มเหลวลงโดยสิ้นเชิงหรือไม่ เท่ากับรับพระบรมราชโองการไปแล้ว กระทำการชั่วโฉด ไร้ผลตามพระราชดำริ หรือไม่ ? ถ้าเป็นยุคก่อนก็เท่ากับรับดาบอาญาสิทธิ์แล้ว แพ้ศึกสงครามมา โทษก็ต้องหนักถึงประหารชีวิต ทั้งแม่ทัพนายกอง แต่ประชาธิปัตย์ไม่ได้คิดถึงความจริงเช่นนี้เลย จึงใช้วาทะกรรมออกไปอย่างไร้สติ ปราศจากความยั้งคิดใดใด มุ่งเอาชนะคะคานอย่างเดียว เป็นเหตุให้สภาวุ่นวาย แม้ว่าที่จริงก่อผลเสียหายแก่พรรคประชาธิปัตย์เอง ที่ได้ออกท่าทีไม่ให้ความร่วมมือในการบริหารประเทศในองค์รวมของประเทศประชาธิปไตยไทย
แล้วทางฝ่ายรัฐบาล ที่โดนโจมตีอย่างหนักว่านโยบายทำไม่ได้ ไม่ตรงตามที่รับปากประชาชน เป้นต้น อย่างไรก็ตาม มาเช้าวันที่ 27 ส.ค. 2554 ประเทศไทยทั้งประเทศก็ได้พบกับผลของนโยบายพรรคเพื่อไทยนโยบายแรก โดยทำตามสัญญาข้อแรกที่ด่วน นั่นคือลดราคาน้ำมันเชื้อเพลิงลง โดยชะลอการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน เอาจากกองทุนน้ำมันมาใช้ก่อนชั่วคราว ส่งผลให้ราคาดีเซลลดลงลิตร 3 บาท เบนซิน 95 ลดลิตรละ 8.20 บาท และเบนซิน 91 ลิตรละ 7.17 บาท มีผล 27 ส.ค. 2554 นี้ ปรากฎว่าเสียงประชาชนและเสียงหนังสือพิมพ์ตอบรับกันอย่างอื้ออึงอยู่ขณะนี้ นับว่าเป็นการเริ่มประเดิมนโยบาย ตามที่ได้ให้คำมั่นสัญญาไว้กับประชาชน ซึ่งนี่คือนัยยะสำคัญของรัฐบาลประชาชน เพื่อประชาชนและโดยประชาชน เสียงประชาชนย่อมเป็นเสียงสวรรค์ เมื่อบริหารไปตามครรลองประชาธิปไตยแล้ว ย่อมได้รับการสนับสนุนของประชาชนตลอดไป
แต่อย่ามองเฉพาะเรื่องนี้เรื่องเดียว ดูว่าพร้อม ๆ กันนี้ และแม้ก่อนการแถลงนโยบาย ก็พอเห็นได้แล้วว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ได้เอาใจใส่ต่อประชาชนกรณีน้ำท่วมมาก่อนแล้ว มีอีกหลายนโยบายที่กำลังขับเคลื่อนไปเป็นระลอก ๆ รวมทั้งสถานการณ์ตอบรับจากต่างประเทศ เช่นญี่ปุ่นก็ค่อยดีขึ้น ๆ เราเองก็ยังต้องคอยมองดูเหมือนกัน และเชื่อว่ารัฐบาลจะทำได้
- สุไหงปาดี ชินะกุล
28 ส.ค.2554/08.00 น.