ประเด็นมาตรา 112
ประเด็น มาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือที่มีคนเรียกกันให้น่ากลัวเหลือเกินว่า “กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”
ซึ่งมีข้อความว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย (1) พระมหากษัตริย์ (2) พระราชินี (3) รัชทายาท หรือ (4) ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี”
ที่ได้เป็นที่สังเกตมาตลอดถึงข้อบกพร่อง ในการบังคับใช้กฎหมายมาตรานี้ ที่ปรากฏว่ามีการบังคับใช้อย่างไม่เป็นธรรม ไม่ตรงต่อความเป็นธรรม และ เป็น 2 มาตรฐานอย่างชัดเจน พอ ๆ หรือยิ่งกว่ากรณี 2 มาตรฐานในกฎหมายอื่น กรณีอื่น ๆ เสียอีก เช่นกรณี ดา ตอร์ปิโด หรือ ดารณี ชาญเชิงศิลปะกุล อดีตผู้สื่อข่าว หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทยและสถานีโทรทัศน์เคเบิลไทยสกายทีวี อดีตแกนนำกลุ่มสภาประชาชน ซึ่งเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2551 ดา ตอร์ปิโด ได้ขึ้นเวทีปราศรัยกลุ่มต่อต้านพันธมิตร ณ บริเวณท้องสนามหลวง ระหว่างปราศรัยนี้เธอได้ใช้ถ้อยคำดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันเบื้องสูง อันเป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และกองทัพบกมองว่าถือเป็นการมิบังควรอย่างที่สุด ทำให้กองทัพบกมีหนังสือด่วนที่สุด ถึงผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เรื่องขอให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดต่อพระมหากษัตริย์ ทำให้ ดา ตอร์ปิโด ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดี ลงโทษจำคุก 18 ปีไปแล้ว แต่ในขณะเดียวกัน สนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งได้นำคำพูดที่ดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของดา ตอร์ปิโด ไปออกอากาศที่เอเอสทีวี และเหยียบย่ำดา ตอปิโดต่อในเวลาใกล้เคียงกันอันเป็นการผิดกฎหมายอย่างชัดเจน เหตุใดจึงยังคงลอยนวลอยู่ได้สบาย ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เช่นเดียวกับสองมาตรฐานในการจัดการดำเนินคดีกรณี พธม.ยึดทำเนียบรัฐบาล และยึดสนามบิน ที่เป็นสนามบินนานาชาติ ที่เห้นชัดเจนอย่างยิ่ง เป็นต้น ซึ่ง การบังคับใช้อย่างเป็น 2 มาตรฐาน ทำไมพฤติกรรมอันผิดกฎหมายเดียวกัน คนหนึ่งกับอีกคนหนึ่งจึงได้รับการปฏิบัติจากวงการกฎหมายไม่เท่ากัน และทำได้อย่างไร ในระบอบประชาธิปไตย และที่สำคัญเหตุใด ไม่เข้าใจฐานะของประเทศที่อยู่ในระบอบประชาธิปไตย ที่ประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ เจ้าของอำนาจอธิปไตยอันสูงสุด และคิดต่อต้านพลังประชาชน คดีหมิ่นเหมือนกัน แต่ดาวตอร์ปิโด ถูกพิพากษาจำคุกไปแล้ว ได้รับการลงโทษ แต่ในขณะเดียวกัน นายสนธิ ลิ้มทองกุล ยังลอยนวลอยู่อย่างสบาย ดุจดังว่าสุนัขมีปลอกคอ ทำนองนั้น นอกจากนี้กรณี ความยุติธรรมตามกฎหมายก็ยังเป็นกรณีที่ดั้งเดิม ที่กลายเป็นเหตุของการที่มีกระแสสังคม ออกมาชำระกฎหมายขณะนี้ โดยเฉพาะนักกฎหมายรุ่นใหม่ เช่นคณะนิติราษฎร์ และนักเขียน 359 รายชื่อ โดยเหตุที่ความอยุติธรรมในวงการยุติธรรมไทยเห็นชัดเจนเหลือเกิน และเลยมาถึงคดีอากง หมิ่นสถาบันทาง เอสเอ็มเอส ถูกพิพากษา 4 กะทง ๆ ละ 5 ปีรวมเป็น 20 ปี ที่ก่อเกิดกระแสล่าสุดขึ้นมาต่อประเด็นนี้
และยังมีกรณีหนึ่งที่ชัดเจนที่สุด แต่เงียบหายอย่างไร้ร่องรอย ก็คือ กรณีพธม.นำโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล พล.ต.จำลอง ศรีเมือง โพธิรักษ์แห่งสันติอโศก และพรรคประชาธิปัตย์ ขณะที่ชุมนุมยึดทำเนียบรัฐบาลอยู่และล้นเลยออกมาบริเวณสะพานมัฆวาน ได้ทำการปิดเส้นทางพระราชดำเนิน ที่ทรงเสด็จไปประกอบพระราชพิธี พระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่งทรงสิ้นพระชนม์ เวลา 02.54 น. วันที่ 2 ธันวาคม 2550 ณ ร.พ.ศิริราช พระชันษา 84 ปี ซึ่งมีพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ ทั้งสิ้น 6 วัน ระหว่างวันที่ 14-19 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2551 ที่ต้องเสด็จผ่านถนนราชดำเนิน ดังนี้
-วันศุกร์ที่ 14 พ.ย.2551 บำเพ็ญพระราชกุศลออกพระเมรุ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
-วันเสาร์ที่ 15 พ.ย.2551 พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุ ท้องสนามหลวง
-วันอาทิตย์ที่ 16 พ.ย.2551 พระราชพิธีเก็บพระอัฐิ ณ พระเมรุ ท้องสนามหลวง
-วันจันทร์ที่ 17 พ.ย.2551 บำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระอัฐิฯ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
-วันอังคารที่ 18 พ.ย.2551 เชิญพระอัฐิประดิษฐานบนพระที่นั่งมูลสถานบรมอาสน์ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
-วันพุธที่ 19 พ.ย.2551 ทรงบรรจุพระสรีรางคาร ณ อนุสรณ์สถานรังษีวัฒนา สุสานหลวงวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
แต่ในระหว่างเวลา 6 วันที่เสด็จพระราชดำเนินโดยสถลมาร์คเพื่อไปประกอบพระราชพิธีนั้น ทั้ง ๆ ที่ทางตำรวจได้เข้าไปขอร้องให้เปิดถนนราชดำเนินเพื่อทรงเสด็จ แต่ก็หายินยอมไม่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพร้อมขบวนพระราชอิสริยยศ ซึ่งประกอบด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชบริพารทั้งสิ้น รวมทั้งคณะรัฐมนตรี และบุคคลสำคัญในสามสถาบันสูงสุดของชาติ ต้องหลีกชนกลุ่มดังกล่าวนั้นที่ยึดครองทำเนียบรัฐบาลและบริเวณถนนราชดำเนินไว้ ซึ่งก็คือ พธม. กลุ่มสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์ นั่นเอง เป็นเหตุให้ต้องทรงเสด็จอ้อมไปทางถนนลูกหลวง ซึ่งเป็นถนนชั้นรอง ตลอดเวลา 6 วันที่ทรงเสด็จไปประกอบพระราชพิธีในแต่ละวันแต่ละพิธี นั้น
กรณีนี้มิยิ่งกว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตาม ม.112 อีกหรือ แต่ทำไมเงียบกริบมาจนถึงบัดนี้ และมีลักษณะลึกลับ อย่างยิ่ง เพราะยังคงไม่มีแม้สื่อมวลชนแต่กระแสเดียวพูดถึงตั้งแต่บัดนั้นจนถึงบัดนี้ และคนหรือบุคคลผู้ออกอาการว่าภักดีอย่างสูงสุด เช่น ผบ.ทบ.- และพรรคประชาธิปัตย์หายไปไหน แต่นี่เป็นความจริง ที่แสดงถึง ยิ่งไปกว่า 2 มาตรฐานเสียอีก นี่แหละตัวอย่างอันชัดเจนที่สุด ที่เน้นย้ำไปถึงความชอบธรรมในการที่จะหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นการโต้เถียงเชิงวิชาการ ตามแบบปฏิบัติสากลของสังคม ประเทศที่รับรองการเป็นระบอบประชาธิปไตย การที่คณะนิติราษฎร์ และนักเขียน 359 รายชื่อดังกล่าว ได้กล่าวว่า บัดนี้เป็นโอกาสอันดีที่สังคมไทยจะได้พูดถึง กรณี ม.112 ในเชิงสร้างสรรค์ ตามสิทธิของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย นั้นน่าเป็นเหตุผลที่สมควรจริง ๆ ในเมื่อเรามีบทที่รัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับ ตามระบอบประชาธิปไตยสากล ที่รับรองสิทธิเบื้องต้นของประชาชนไทยเอาไว้
กรณีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนี้ เคยมีกรณีตัวอย่างมานานกว่า 2011 ปีแล้ว เกิดขึ้นที่กรุงเยรูซาเล็ม แคว้นยูเดีย เมืองขึ้นของจักรวรรดิโรมันในยุคนั้น อันเป็นเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ ที่กรณีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนี้ ได้เป็นผลให้โรมันทั้งอาณาจักร ต้องล่มจมลงไป แล้วเกิดศาสนาที่ยิ่งใหญ่ของโลกขึ้นมา ดำรงอยู่ถึงปัจจุบันนี้ คือศาสนาคริสต์ ซึ่งก็คือเรื่องราวของเยซูแห่งนาซาเรธ (Jesus of Nazareth) ซึ่งทรงเป็นเพียงเด็กจากหมู่บ้านเล็ก ๆ ของช่างไม้ชื่อว่า หมู่บ้านนาซาเรธ เท่านั้นเอง แต่กรณีที่ทรงถูกกล่าวหาว่าทรงดูหมิ่นพระเจ้า (blasphemy) ของพวกเขา ได้ทำให้ชายผู้นี้โด่งดังไปถึงระดับศาสดาของศาสนายิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์
ให้ความเข้าใจเบื้องต้นก่อนว่า ได้มีการติดตามจับตัวพระเยซูคริสต์ ภายหลังที่ทรงเริ่มประกาศศาสนาเพียง 3 ปี และพระองค์มีพระชนมายุเพียง 33 ปีเท่านั้นเอง ในข้อหา คล้าย ๆ กับกรณีมาตรา 112 ไทยนี่เอง นั่นคือข้อกล่าวหาว่าพระองค์ ดูหมิ่นพระเจ้าของนักบวชที่ครองเมืองอยู่
ลองวิเคราะห์จากพระคัมภีร์ไบเบิล ต่อไปนี้ ตอนพระเยซูตอบโต้กับพวกอมาตย์หัวเก่าในยูเดีย ที่นับถือพระเจ้าอับบราฮาม ดังนี้
ชาวเมือง : Where is Your Father? [John 8: 19]
พระบิดาของท่านอยู่ที่ไหน?
พระเยซูตรัสว่า : You know neither Me nor My Father; if you knew me, you would know My Father as well. [John 8:19]
ตัวเราก็ดี พระบิดาของเราก็ดี ท่านทั้งหลายไม่รู้จัก ถ้าท่านรู้จักเรา ท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย
ชาวเมือง : Do we not say rightly, that you are a Samaritan and have a demon? [John 8:48]
: ที่เราพูดว่า ท่านเป็นชาวสะมาเรียและมีผีสิงนั้นไม่จริงหรือ?
พระเยซู : I have no demon, but I honour My Father, and you dishonour Me. I do not desire My own glory; there is One who investigates that and who judges. With assurance I tell you, everyone who observes My teaching will never see death.[John 8:49-51]
:เราไม่มีผีสิง แต่เราถวายพระเกียรติแด่พระบิดาของเรา และท่านลบหลู่เกียรติเรา เรามิได้แสวงหาเกียรติของเราเอง แต่มีผู้หาให้ และพระองค์นั้นจะทรงพิพากษา เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดประพฤติตามคำของเราผู้นั้นจะไม่ประสบความตายเลย
ชาวเมือง : Now we know that You have a demon.[John8:52]
: เอาล่ะ เรารู้แล้วว่าท่านมีผีสิง
: You are not superior to our father Abraham, who died,are you? And the prophet died. Whom do you make Yourself? [John8:53]
: ท่านเป็นใหญ่กว่าอับราฮัม บิดาของเราผู้ทรงเป็นศาสดาพยากรณ์ ที่ตายไปแล้วหรือ ท่านอวดอ้างว่าท่านเป็นผู้ใดเล่า?
พระเยซู : If I should ascribe glory to Myself, My glory whould be worthless. My Father whom you call "our God" ascribes glory to Me. You do not know Him, but I know Him, and if I said, "I do not know Him" I would be a prevaricator like yourselves. But I know Him and observe His word. [John8:54-55]
: ถ้าเราให้เกียรติแก่ตัวเราเองเกียรติของเราก็ไม่มีความหมาย พระองค์ผู้ทรงให้เกียรติแก่เรานั้นคือพระบิดาของเรา ผู้ซึ่งพวกท่านกล่าวว่าเป็นพระเจ้าของพวกท่าน ท่านไม่รู้จักพระองค์แต่เรารู้จักพระองค์ และประพฤติตามพระดำรัสของพระองค์
ชาวเมือง : You are not yet 50 years old and Have You seen Abraham ? [John 8 : 57]
: ท่านอายุยังไม่ถึงห้าสิบปี ท่านเคยเห็นอับราฮัมหรือ ?
พระเยซู : Truely before Abraham's birth I am. [John 8:58]
: เราขอบอกความจริงแด่พวกท่านว่าเราเกิดก่อนอับราฮัม
ซึ่งทั้งหมดที่พระเยซูตรัสมานี้ ชาวเมืองเห็นว่าเป็นการดูหมิ่นพระเจ้าอับบราฮามของพวกเขาทั้งสิ้น แล้วครั้นเมื่อพระเยซูกล่าวว่าพระองค์ทรงรู้จักพระเจ้าอับบราฮามดีกว่าชาวเมือง และทรงเกิดก่อนพระเจ้าอับราฮาม ศาสดาของชาวยิว แคว้นยูดายเสียอีก คนก็โกรธจัด Then they picked up stones to hurl at Him : but Jesus concealed Himself and passed out of the temple.[John8: 59]
: คนเหล่านั้นจึงหยิบก้อนหินขึ้นจะขว้างพระองค์ แต่พระเยซูทรงหลบและออกไปจากบริเวณพระวิหาร และหนีไปหลบซ่อนพระองค์ และเป็นเหตุให้ทางการเยรูซาเล็มประกาศจับตัวพระเยซูฐานหมิ่นพระเจ้า ทำให้ประชาชนโกรธแค้นและเกิดความสับสนอลหม่านขึ้นในหมู่ประชาชนและทั้งมีผู้ฟ้องร้องในข้อหาต่าง ๆ อีกหลายข้อหา ในที่สุด ด้วยการจ้าง ยูดาส อิสคาริโอท สาวกคนที่13 ของพระเยซูเอง ด้วยเงิน 30 เหรียญ ให้บอกที่ซ่อนของพระเยซู ยูดาส ก็พาทหารไปหาพระเยซูในถ้ำ ที่แวดล้อมด้วยสาวก 12 คน บอกทหารว่า คนไหนที่เขาจูบ คนนั้นแหละพระเยซู ให้จับกุมตัวเอา เขาจึงจับพระเยซูได้ในคืนที่มีพิธีเลี้ยงอาหารเย็นมื้อสุดท้าย(the last supper)มัดตัวไป ที่บ้านคายาฟัส ที่พำนักและศาลของมหาปุโรหิต มหาปุโรหิตก็ทำการสอบสวน
ข้อกล่าวหาก็คือทำทรัพย์สินประชาชนเสียหาย ทำร้ายร่างกายคนอื่น อวดอ้างตนเป็นผู้วิเศษและดูหมิ่นพระเจ้า อวดอภินิหาริย์ว่าสามารถยกพระมหาวิหารขึ้นใหม่ได้ในสามวัน โดยฝ่ายบ้านเมืองมีพะยานบุคคลเป็นพ่อค้าคนหนึ่ง ที่ถูกพระเยซูไล่ตีเอาด้วยแซ่ และทำสัตว์ ทรัพย์สินเงินทองของเขาเสียหายที่วิหารใหญ่เมืองเยรูซาเล็ม คราวที่พระเยซูเข้าเมืองมาก่อเรื่องแต่คราวแรก
การซักพยานและการตอบโต้แก้ข้อกล่าวหาในศาลของมหาปุโรหิต มีข้อความว่าดังต่อไปนี้
พะยาน : This fellow said, I have power to destroy God’s temple and to build it again in three days. [Mattew 26:61]
: คนนี้ได้กล่าวว่าเขาสามารถจะทำลายพระวิหารของพระเจ้าและจะสร้างขึ้นใหม่ ในสามวัน"
พระเยซู : ทรงนิ่งอยู่ ไม่ทรงตอบโต้
มหาปุโรหิต : Have you nothing to say ? What about their evidence against you? [Mattew 26:63]
: ท่านจะไม่แก้ตัวในข้อหาที่พะยานเขาตั้งมานี้หรือ?
พระเยซู : ทรงนิ่งอยู่ ไม่ทรงตอบโต้
มหาปุโรหิต : I charge You on oath by the living God that You tell us whether You are the Christ, the Son of God. [Mattew26:63]
: เราขอกล่าวหาท่าน โดยให้สาบาญต่อหน้าพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ให้บอกเราตรงไปตรงมาว่า ท่านเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าหรือไม่?
พระเยซู : As you say. Besides. I tell you that shortly you will see the Son of Man seated at the right hand of the Almighty and coming upon the cloud of heaven. [Mattew 26]
: ที่ท่านพูดนั้นถูกเลยละ ยิ่งกว่านั้นอีก เราขอบอกท่านทั้งหลายว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ ท่านทั้งหลายจะได้เห็นพระบุตรมนุษย์ประทับนั่งบนที่นั่งเดียวกันเบื้องข้างขวาของพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ และเสด็จมาบนเมฆล่องมาจากฟ้าสวรรค์
มหาปุโรหิต : (ลุกขึ้นฉีกเสื้อของตน) He has blasphemed! What further need do we have to witnesses? You have now heard His blasphemy. What do you think? [Matthew 26:65]
: เขาพูดหมิ่นประมาทพระเจ้าแล้ว ท่านทั้งหลาย ก็ได้ยินเขาพูดหมิ่น ประมาทพระเจ้าแล้ว เรายังจำเป็นต้องการพยานมายืนยันเพิ่มอีกหรือ ท่านทั้งหลายคิดเห็นอย่างไร?
ชาวเมือง : He deserves death! [Mattew 26: 66] : ควรปรับโทษถึงตาย
ในระบบศาลแคว้นยูเดีย เมืองเยรูซาเล็ม เมืองขึ้นโรมันขณะนั้น เมื่อศาลท้องถิ่นคือ คณะมหาปุโรหิตสอบสวนได้ข้อสรุปแล้ว ซึ่งในที่นี้ สรุปว่า He deserves death! [Mattew 26: 66] : ควรปรับโทษถึงตาย ก็นำเรื่องยื่นต่อเจ้าเมืองที่มาจากจักรพรรดิโรมันพิพากษาเป็นชั้นสูงสุด และแล้ว ปีลาต(Pilate) จากโรม ก็พิพากษาให้ตรึงกางเขนพระเยซู โดยให้ลงโทษด้วยการเฆี่ยนอย่างสาหัสเสียก่อน แล้วให้แบกไม้กางเขนไปยังตำบลหัวกะโหลก บนเนินเขา ใกล้กรุงเยรูซาเล็ม ทำการตรึงไว้ หากไม่ตายก็ให้เอาหอกแทงให้ตาย โดยโทษฐานดูหมิ่นพระเจ้า(blasphemy)
หากโลกไม่มีเรื่องราวของการหมิ่นพระเจ้า (blasphemy) เกิดขึ้น โลกคงไม่มีศาสนาคริสต์ และ ศาสดาเยซูผู้ยิ่งใหญ่(หรือที่ยุคใหม่นิยมที่ชื่อว่า จีซัส ไครส์ : Jesus Christ)ที่โลกทั้งโลกบูชา ซึ่งกำลังคล้ายคลึงกับกรณี ม.112 ไทยในขณะนี้เป็นอย่างยิ่ง แต่ยุคนี้เป็นยุคประชาธิปไตย ประชาธิปไตยนั้นคล้ายหลักการศาสนาในประเด็นที่จิตใจของประชาชนต้องยิ่งใหญ่ ต้องก้าวข้ามอารมณ์ โลภ โกรธ หลง การยึดมั่นถือมั่น อันเป็นเรื่องส่วนตัวไปเป็นเรื่องส่วนรวม ให้ได้ นั่นแหละเงื่อนไขสากลของประชาธิปไตย
· บุษบา บุญเสฏฐ์
อรบุศป์ ละอองธรรม
28 ธ.ค.2554 /10.15 น.