แต่ความไม่ชอบมาพากลในศาสนา หรือ ลัทธิศาสนาในประเทศไทยนี้ มีอยู่มากในลัทธิที่มาจากต่างศาสนา ที่มาจากลัทธินอกวงการคณะสงฆ์ไทย เหตูก็เพราะไม่มีกฎหมาย หรือเหตุผลทางกฎหมายเข้าไปควบคุมได้ กลายเป็นว่า สิ่งที่กฎหมายบังคับควบคุมนั้นควบคุมเฉพาะพวกเดียวกันเอง แต่พวกที่มาจากต่างประเทศไม่ควบคุม ในเรื่องเดียวกันมีกฎหมาย สำหรับควบคุมเรากันเอง แต่ไม่ควบคุมองค์กรที่มาจากต่างประเทศ เช่นในเรื่องพระธรรมวินัย พระสงฆ์ไทยประพฤติผิดไปเล็กน้อย มีความผิด แต่สำหรับนักบวชหรือเจ้าลัทธินอกวงการสงฆ์ไทยกลับทำได้ ไม่ผิด เช่นนี้เป็นต้น ลักษณะแบบนี้แหละที่น่าที่สื่อมวลชน โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ ที่ชอบจับผิดเอากับพวกเดียวกันเอง แต่ไม่ยอมเข้าไปจับผิดพวกต่างลัทธิศาสนา
ถ้าลองย้อนไปดูประวัติศาสตร์จีน แม้จะมองอย่างมโนภาพพอหยาบ ๆ ก็จะเห็นว่ามีอยู่ยุคหนึ่งที่การศาสนาในจีนได้เกิดความสับสนขึ้นอย่างใหญ่หลวง จนไม่มีใครรู้อะไรถูกอะไรผิด อะไรคือสัจธรรม อะไรคืออสัจธรรม อันเป็นหลักลัทธิที่เพี้ยน ๆ ไปจากพุทธมหายานในประเทศนั้น ผลที่เป็นรูปธรรมก็คือ ได้เกิดสิ่งที่เรียกว่าสถานธรรม หรือศาลเจ้าพ่อ และศาลเทพเจ้า ขึ้นมากมายในประเทศนั้น คนไม่ได้เคารพคนด้วยกันโดยเหตุโดยผลแห่งความเป็นมนุษย์ แต่อยู่ใต้อำนาจศาลเจ้า สถานธรรม เจ้าพ่อ และ เทพเจ้า แล้วเพื่อช่วงชิงผลประโยชน์ สำนักต่าง ๆ เหล่านี้ก็แย่งชิงกัน มีการโฆษณาชวนเชื่ออวดอ้างฤทธิ์เดช วิชา อภินิหารย์ต่าง ๆ เกิดขึ้นอย่างมากมาย ระหว่างศาลเจ้า และสำนักต่าง ๆ แล้วเกิดการประลองฤทธิ์ ประลองกำลังกันระหว่างศาลเจ้า สำนักต่าง ๆ เหล่านั้น ทำให้ในองค์รวมของประเทศจีนเกิดความวุ่นวาย ไม่เคยสงบสุข
เหตุการณ์ได้ผ่านมาอย่างสับสน คลุมเครือ และวุ่นวายมาตลอด จนมาถึงยุค เหมาเจ๋อตุง จึงเสนอทฤษฎี ลุงโง่ย้ายภูเขา ขึ้นสอนประชาชน ...... นั่นคือ ไม่มีเทพเจ้า ไม่มีเจ้าพ่อ ไม่มี ผู้วิเศษ ที่จะมาช่วยประชาชน นอกจากมือมนุษย์ แม้ภูเขาทั้งลูกก็ต้องย้ายด้วยมือมนุษย์ ทำอย่างมนุษย์ คือทำแบบลุง โมเดลของลุงโง่ แกเอาจอบเสียมไปขุดย้ายภูเขาเอาเอง เพื่อจะสร้างเส้นทางสำหรับการเคลื่อนผ่านมาของกองทัพประชาชน ก็เกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่ในประเทศจีน รวมเรียกทุกระบบว่า ปฏิวัติวัฒนธรรม ตามที่โลกรู้จักดีนั้น และเป็นการปฏิวัติจริง เพราะล้มระบบทั้งหมดอย่างรุนแรง เรียบเกลี้ยง แต่ในยุคนั้นยังไม่มีการเรียนรู้ประชาธิปไตยในประเทศจีน เหมาเจ๋อตุงจึงทำให้คนทั้งหลายเสมอภาค ตามทฤษฎี equlity โดยการทำให้ประชาชนเป็นคอมมิวนิสต์เสมอ ๆ กันหมด นั่นก็คือพวกเทพเจ้า เจ้าพ่อในศาลเดิม ในสำนักเดิม ๆ ก็ถูกกวาดล้างไป แม้พระสงฆ์องค์เจ้า ที่ในยุคนั้นก็ล้วนเป็นพระสงฆ์มีฤทธิ์มีเดช มีกำลังภายใน เป็นโพธิสัตว์ เป็นอริยะไปตาม ๆ กัน เอาไปเจาะเอ็นน่องร้อยโซ่ ลากไปทำไร่ทำนา ในคอมมูน หรือนารวมของรัฐ เสมอ ๆ กันกับประชาชน ทั้งแผ่นดิน
ที่จริงแล้ว นี่คือทฤษฎีมนุษย์ นั่นเอง ใกล้เคียงหลักการประชาธิปไตยอยู่ เพียงแต่ อำนาจสูงสุด ยังคงอยู่ที่คนกลุ่มหนึ่ง และอยู่เหนือประชาชนทั้งปวงเท่านั้น แต่กระนั้นพวกที่ครองอำนาจนี้ พวกเขาก็มาสู่ความหยิ่งของคนด้วยกันเอง ไม่ได้จำนนต่อเทพเจ้า ต่อเจ้าพ่อ ต่อเทพต่อมาร อื่น ๆ เหมือนเดิม เป็นการปกครองของมนุษย์โดยสมบูรณ์แล้ว
ในส่วนของวัฒนธรรม ก็ยังมีพวกวัฒนธรรมเดิมคือพวกลัทธิเทพเจ้า เจ้าพ่อศาล เจ้าพ่อภูเขาเลากา ทั้งพระโพธิสัตว์ต่าง ๆ หลบหนีหลีกเร้นความตายไปกับเจียงไคเชค ไปสู่ใต้หวัน และที่สุด บางส่วนกระจัดกระจายมาถึงเมืองไทย
และมาสร้างระบบทาสขึ้นในไทยต่อไป
มีข้อเท็จจริงที่ปรากฎในเมืองไทย นั่นก็คือ วงการศาลเจ้า วงการพระโพธิสัตว์ต่าง ๆ วงการศาสนานอกพุทธไทย ที่หนีตายเหมาเจ๋อตุงมาคราวนั้นเอง ที่อยู่นอกกฎหมายเกี่ยวกับศาสนาในเมืองไทย ในลักษณะที่กล่าวไว้ข้างต้น เป็นเหตให้ได้ช่องทางโอกาสของการหลอกลวงโดยอ้างพิธีกรรมต่าง ๆ อันศักดิ์สิทธิ์ ดำเนินการไปได้และสร้างสำนักธรรมของตนขึ้นได้อย่างใหญ่โต โดยการหลอกลวงเอาคนไปเป็นทาสรับใช้พิธีกรรมของตน สำนักของตน ศาลเจ้าของตน ไปตลอดชีวิตได้ อย่างถูก ๆ โดยไม่มีกฎหมายเข้าไปจัดการได้ กลายเป็นระบบทาสยุคประชาธิปไตยไปได้จริง ๆ
มีกรณีตัวอย่างการหลอกลวงที่เป็นสามัญ ๆ รู้กันทั่วไปก็คือ จะมีคณะผู้หวังดี หรือนักบุญ คอยอโพรชตัวเองไปยังหญิงสาว ๆ วัยรุ่น ๆ ผู้ผิดหวังในความรัก อกหักอย่างแรงจนแทบฆ่าตัวตาย พาไปปลอบโยน โฆษณาชวนเชื่อต่าง ๆ ให้เชื่อในเทพเจ้า เจ้าพ่อ หรือแม้พระโพธิสัตว์ พระพุทธเจ้า(พระพุทธเจ้าในที่นี้จะหมายถึงเทพเจ้าองค์หนึ่ง ไม่ได้หมายถึงมนุษย์) ด้วย และให้มอบกายถวายชีวิตแต่สิ่งที่ไม่มีตัวตนเหล่านั้น มีหน้าที่ดูแล ประกอบพิธีกรรมบูชา ถวายเข้าของแด่สิ่งที่ไม่มีตัวตนเหล่านั้น ตลอดไปถึงการก่อสร้างสถานธรรมปฏิบัติให้ใหญ่โตมโฆฬาร เพื่อให้คนทั้งแผ่นดินได้ทำบุญ ฯลฯ อ้างว่าได้บุญ ได้รับใช้พระศาสนา อ้างโลกหน้า เมื่อตายไปแล้ว มีสวรรค์36 ชั้นเจ้าฟ้า (สำนวนว่าสิบหกชั้นฟ้าสิบห้าชั้นดิน) คอยรับอยู่ ...... โดยวิธีง่าย ๆ เท่านี้เอง ก็ได้คน ๆ หนึ่งไปเป็นทาสไปรับใช้สำนักธรรมของตนได้คนหนึ่งไปตลอดชีวิตเขา ซึ่งปรากฎว่า เกิดมีทาสยุคใหม่ขึ้นในสถานธรรมเช่นนี้อย่างมาก โดยที่คนทั้งหลายและแม้ตัวเขาเองในที่แห่งนั้นไม่เข้าใจว่า นั่นเป็นระบบทาส และไม่ชอบด้วยหลักการประชาธิปไตย
มาคำนึงว่า สถานธรรม สำนักปฏิบัติเหล่านี้แหละครับ(ไปดูแถว ๆ ทะเลตะวันออกซิครับ เขาสามารถถมทะเลสร้างสถานธรรมขึ้นมาได้อย่างไรอย่างใหญ่โตมโหฬาร ไปเจาะเอามาดูหน่อย) ที่แท้จริงถูกเหมาเจ๋อตุงวินิจฉัย ตัดสินแล้วว่า ไม่ควรมีกิจการอยู่ในแผ่นดินอีกต่อไป แต่ได้สืบทอดมีชีวิตกิจการต่อมาได้ในประเทศนี้ ประเทศไทย โดยกฎหมายอ้างสิทธิในการนับถือศาสนา อย่างหลวม ๆ เปิดโอกาสให้สืบต่อไปได้ และเกิดระบบทาสขึ้น
ฉะนั้น นี่แหละครับ ผมจึงเรียกร้องให้สื่อมวลชนได้ทำหน้าที่ให้สมบูรณ์หน่อย ทำข่าวภาคเจาะลึกเข้าไปถึงแก่นของสัจธรรมให้ได้จริง ๆ เอาความจริงที่เป็นธรรมออกมาสู่สังคมให้ครบถ้วน จึงจะเป็นความไม่ลำเอียงอย่างสมกับเป็นกระจกที่สะท้อนความจริง จริง ๆ
|