www.newworldbelieve.net
Facebook.com Phayap Panyatharo
การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร 2556
การปลิ้นปล้อนหลอกลวงของมรว.สุขุมพันธ์ แห่งพรรคประชาธิปัตย์ ในการหาเสียงเลือกตั้ง 3 มี.ค.2556
ภาพนี้ พานทองแท้ ชินวัตรโพสต์ลงในเฟสบุ๊ค ให้ความตักเตือนแด่ประชาชนกทม.ว่าคน ๆนี้ กับพรรคประชาธิปัตย์ของเขาเชื่อถือไม่ได้เป็นเพียงนักหลอกลวงประชาชน
เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาเป็นทางการเวลา 20.10 น.ดังนี้
20.10 น.ผลคะแนนการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ นับครบ 100% อันดับ 1 ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร 1,256,231 คะแนน อันดับ 2 พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ 1,077,899 คะแนน อันดับ 3 พล.ต.อเสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส 166,582 อันดับ 4 นายสุหฤท สยามวาลา78,825 คะแนน อันดับ 5 นายโฆษิต สุวินิจจิต 28,640 คะแนน ฯลฯ
นั่นแปลว่า พรรคประชาธิปัตย์ และ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ได้รับการตัดสินจากประชาชน ให้เป็นผู้บริหารกรุงเทพมหานคร และส่วนพรรคเพื่อไทยและพล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ หมายเลข 9 เป็นฝ่ายตรวจสอบ โดยคะแนนเสียงอยู่ในระดับเลย 1 ล้านเสียงทั้งผู้ชนะและผู้แพ้นั้น เป็นประเด็นแห่งความหวังของทางฝ่ายประชาชนผู้รักประชาธิปไตย
นั่นเป็นความจริง ถ้าจะพูดให้ถูกจริง ๆ ก็คือวาทะว่าประชาธิปไตยไม่มีผู้ชนะหรือผู้แพ้ ในแง่ของประชาชน เพราะถึงแม้ฝ่ายใดเป็นผู้บริหาร กทม. หรือชนะการเลือกตั้งระดับไหน ไม่ว่าระดับรัฐบาลที่บริหารประเทศหรือระดับท้องถิ่น ที่บริหารท้องถิ่น ประชาชนในระบอบประชาธิปไตยนั้น คำว่าสิทธิ หน้าที่ ก็ยังคงมีอยู่เท่าเดิมเต็มอัตรา และคำว่า เสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพนั้น ก็ยังคงเป็นคุณสมบัติอันอมตะของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยทุกสถานะการณ์ และนอกนั้น ประชาชนฝ่ายที่พ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง ก็ยังมีสิทธิเต็มที่ที่จะตรวจสอบการบริหารฝ่ายที่ชนะอย่างเต็มที่อีกด้วย โดยถือเป็นสิทธิอันชอบธรรมของประชาชน เพราะนั่นแหละประชาธิปไตย คือการปกครองของประชาชน เพื่อประชาชน และโดยประชาชน ....... มันไม่ใช่ยุคกษัตริย์หรือเผด็จการในอดีต ซึ่งในการขึ้นสู่อำนาจของระบอบนั้นไร้หลักการของประชาชนโดยสิ้นเชิง เมื่อมีการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินครั้งไร อีกฝ่ายหนึ่งชนะเป็นเจ้าขึ้นมาแล้ว ฝ่ายที่พ่ายแพ้จะต้องหลบหนีอพยพกันครั้งใหญ่ เพื่อเลี่ยงภัย ตัดหัวเจ็ดชั่วโคตร .....หรือโดนไล่ออกถอดออก ปลดออกจากตำแหน่ง หรือจำต้องละสถานะการทำมาหากินมาแต่เดิม
ฉะนั้นนี่คือความดีและสปิริตของระบอบประชาธิปไตย คุณไม่จำเป็นต้องเสียใจ อะไรเลย เมื่อคุณพ่ายแพ้ในระบอบนี้ การพ่ายแพ้ของคุณไม่ได้ทำให้คุณต้องถูกลากตัวไปกุดหัวทิ้ง 7 ชั่วโคตร คุณยังอยู่ในสถานะเดิมทุกอย่าง ในฐานะประชาชน คุณมีเงินเดือนกินต่อไป คุณมีงานทำต่อไป ซ้ำยังจะได้รับบริการจากฝ่ายรัฐบาลหรือผู้บริหารตามที่เขาสัญญาเอาไว้ก่อนการเลือกตั้งทุกอย่างโดยไม่มีข้อยกเว้น นั่นคือความเสมอภาค ของประชาชนทั้งปวง ทุก ๆ คนในประเทศประชาธิปไตย อย่างเสมอภาคกับประชาชนคนอื่น ๆ ไม่ว่าฝ่ายที่ชนะหรือเราฝ่ายแพ้ และซ้ำมีสิทธิที่จะได้ขึ้นเงินเดือน ไปพร้อม ๆ กับฝ่ายที่ชนะการเลือกตั้ง นอกจากนั้นคุณก็มีสิทธิ์ในการเปลี่ยน หรือเลือกข้างได้ตลอดเวลา โดยไม่มีใครคัดค้านได้ ด้วยเหตุฉะนี้ จึงกล่าวได้ว่าไม่มีผู้ชนะหรือผู้แพ้ มีแต่ผู้ชนะด้วยกัน ซึ่งหมายความว่าเราจะต้องเข้าใจคำว่าชนะ หมายถึงชนะเสียงเลือกตั้ง และแพ้หมายถึงแพ้เสียงเลือกตั้งเท่านั้น แต่ที่ว่าชนะด้วยกันทั้งหมดนั้นหมายถึงประชาชนคนไทยทุกคนในประเทศที่จะได้ประโยชน์เต็มที่จากทุก ๆ รัฐบาลหรือผู้บริหาร
จากภาพเหตุการณ์ที่เห็นในการเลือกตั้งครั้งนี้ จึงน่าเป็นอุทาหรณ์สำหรับพรรคการเมืองไทย สำหรับพรรคเพื่อไทย ที่ได้ต่อสู้มา ตั้งแต่ระดับชาติมาแล้วนั้น จนถึงระดับท้องถิ่นคราวนี้ ก็ต้องถือว่ามาถูกทางของประชาธิปไตยแล้ว ควรยืนหยัดแนวทางต่อสู้แบบการสร้างสรรค์นโยบาย ให้หลายหลากและเป็นแนววิทยาศาสตร์ต่อไป ในเรื่องนโยบายก็เห็นชัดว่า พรรคเพื่อไทยสามารถทำได้ และได้รับการยอมรับจากประชาชนมาโดยตลอด และมีแนวโน้มสูงที่พรรคเพื่อไทยจะเปิดตาประชาชนให้เข้าใจในวิถีทางการต่อสู้ในระบอบประชาธิปไตยดีขึ้นไปเรื่อย ๆ ในขณะที่พรรคประชาธิปไตย์ ซึ่งทางเราได้ดูแคลนเอาไว้ว่าเป็นเพียงอันธพาลในระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น(ดูที่สส.พรรคนี้โยนแฟ้มเอกสารใส่ประธานสภา ขึ้นไปฉุดยุดยื้อประธานสภาให้ลุกจากเก้าอี้ ลากเก้าอี้ประธานสภาออกไป ฯลฯ ไม่เรียกว่าอันธพาลแล้วคุณจะเรียกว่าอะไร) ก็ยังคงใช้วิธีการต่อสู้แบบเดิม ๆ สำหรับการต่อสู้ในการเลือกตั้งกทม.ครั้งนี้ ที่จริงพรรคประชาธิปัตย์ ที่เสนอนโยบายกรุงเทพมหานครไปนั้นเป็นเพียงการใช้วาทกรรมเท่านั้น ซึ่งประชาชนกทม.จะต้องตรวจดูนะครับ ว่าเขาเสนอนโยบายไว้กี่ข้อ อะไรบ้าง แล้วเขาจะตั้งใจทำจริง ๆ เพียงไร ซึ่งเป็นเพียงวาทะกรรม แล้วละเลงวาทกรรมเท่านั้นเอง เพราะมิได้ผ่านกระบวนการสร้างนโยบายมาอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ (คุณเข้าใจไหม คือไม่ผ่านการพิศูจน์ วิเคราห์วิจัยมา ว่ามันจะเอาไปทำได้จริง ๆ หรือเปล่า และพรรคนี้สร้างนโยบายไม่เป็น ตัวอย่างเช่นนโยบายไข่ชั่งกิโล ที่ไปจ้างนักวิจัยฝรั่งทำให้ด้วยเงินถึง 70 ล้านบาท (ซึ่งจริงใช้เงินเพียง 10,000 บาทก็สรุปเป็นนโยบายได้ อีก 69 ล้าน 9 แสน 9 หมื่นบาทโดนงาบ เป็นค่าโง่) แล้วยังมีนักวิชาการ(นักวิชาเกินมากกว่า) ไปแนะนำอีกด้วยว่าถึงไม่มีนโยบายตนเอง ลอกของพรรคเพื่อไทยไปก็ได้ อะไรจะไม่รู้เรื่องขนาดนั้น ถ้าคุณลอกเขาไปโดยไม่เข้าใจกระบวนการที่เขาทำนโยบายมา คุณก็จะทำไม่ได้ นี่คือ วาทะกรรม ที่ไปอ้างนโยบายแล้วไร้หลักการ แบบเอาดีเข้าตัวเอาชั่วเข้าคนอื่น ใส่ร้ายป้ายสีอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย และทั้งหมดกระทำไปแบบไร้สปิริตจิตใจของระบอบประชาธิปไตยไปโดยสิ้นเชิง มุ่งหวังเพียงชัยชนะ แม้ว่าจะเป็นวิธีการที่ดูหมิ่น หลอกลวงประชาชนคนรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ตาม ....เหมือนเดิม เหมือนการเลือกตั้งระดับชาติที่ผ่านมาในเดือนพฤษภาคม 2554 และแน่นอน เสียงที่ประชาชนกทม.มอบให้แด่พรรคเพื่อไทยนั้น มันแสดงถึงการรับวิธีการของพรรคเพื่อไทยที่เป็นประชาธิปไตยเพิ่มขึ้นอีกอย่างมากมาย ขณะเดียวกันวิธีการของการปลิ้นปล้อน หลอกลวงด้วยวาทะกรรม กำลังถดถอยลงไปตามลำดับ
เมื่อเราไปถึงระบบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ เราก็จะพบว่าพรรคการเมืองได้ต่อสู้กันอย่างขาวสะอาด เต็มไปด้วยสปิริตจิตใจและความชาญฉลาดในการเสนอนโยบาย ซึ่งย่อมหมายถึงการวิเคราะห์นโยบายของคู่แข่ง ของพรรคการเมืองที่ปลิ้นปล้อนหลอกลวงให้เป็นที่ประจักษ์อย่างแจ่มแจ้งด้วยอย่างขาดไม่ได้ วันนี้เรามีความหวังขึ้นหลายเปอร์เซ็นต์แล้ว ที่การต่อสู้โดยวิถีทางที่ขาวสะอาด เต็มไปด้วยสปิริตจิตใจ จะค่อย ๆ ไล่พรรคการเมืองที่ปลิ้นปล้อน หลอกลวง ให้หดหายไปจากแผ่นดินประชาธิปไตยในที่สุด
ประชาชนกทม.อดทนอีกสักนิดแล้วประชาธิปไตยอันเที่ยงธรรมก็จะมาสู่ในไม่นานเกินรอแล้ว
สุไหงปาดี ชินะกุล
4 มี.ค. 2556/
การปราศัยหาเสียงเลือกตั้งวันสุดท้าย ในภาพการหาเสียงของพรรคเพื่อไทย และ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ เย็นวันที่ 1 มี.ค. 2556 ณ สวนลุมพินี มีนายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย ขึ้นปราศัยช่วย พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ เบอร์ 9 ปรากฎว่าประชาชนมาเต็มพื้นที่และพออกพอใจพรรคเพื่อไทยและเบอร์ 9 คาดการณ์ว่าจะเป้นไปตามโพล คือชนะขาด
ในขณะที่พรรคเพื่อไทยยังคงแสดงออกซึ่งวิสัยทัศน์ที่กว้างขวางกว่าและมีเหตุผล ที่แสดงถึงความจริงใจในการบริหารงานให้เกิดผล มีประสิทธิภาพจริง นั่นคือการเสนอนโยบายล้วน ๆ นโยบายดังกล่าวนี้ตามหลักการแล้ว ต้องเป็นแนวคิดวิทยาศาสตร์ เป็น scientific methods ที่พิศูจน์ได้ แต่พรรคประชาธิปัตย์วันนี้ กลับเสนอสิ่งที่เหลวไหลจริง ๆ เพราะไร้เหตุผล ไร้แนวนโยบายที่จริงใจต่อประชาชน แทบร้อยเปอร์เซ็นต์ของการต่อสู้ทางการเมือง พรรคประชาธิปัตย์ยังคงใช้วิธีการ เอาดีเข้าตัวเอาชั่วเข้าคนอื่นต่อไปแบบเดียวกับการเมืองระดับชาติ และที่สำคัญการกล่าวหาคู่แข่งอย่างไม่เป็นธรรม เช่น ถ้าไม่เลือกประชาธิปัตย์แล้วจะเสียเมือง เสียกรุงเทพมหานครให้คนโกงบ้านโกงเมืองเขาครอบครอง เป็นต้น ซึ่งที่จริง น่าเป็นการหมิ่นแคลนประชาชน ไม่น่าที่จะสร้างความนิยมแก่ประชาชนผู้เจริญอย่างคนกรุงเทพมหานครได้อย่างไร เพราะเบื้องต้นแห่งทฤษฎีประชาธิปไตยนั้นก็คือ อิสระเสรีภาพของปวงชน หมายถึงอิสระเสรีภาพที่จะคิด และที่จะศึกษาวิจัย หาเหตุและผลด้วยตนเอง จึงสมกับความเป็นมนุษย์ผู้ปกครองตนเองได้ ซึ่งแน่นอน นี่เป็นความหวังของประชาธิปไตยจริง ๆ สำหรับการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร วันพรุ่งนี้ ที่ 3 มีนาคม 2556
- สุไหงปาดี ชินะกุล
2 มี.ค.2556
ภาพนี้เป็นการหาเสียงของพรรคเพื่อไทย สนับสนุน พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครในนามพรรคเพื่อไทย หมายเลข 9 โดยมีท่านนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะสมาชิกพรรคเพื่อไทย นำขึ้นรถแห่หาเสียงรอบบ่าย ถนนเจริญกรุง ถนนสีลม ถนนพระราม 4 และถนนบ่อนไก่ วันนี้ ที่ 23 ก.พ. 2556 [ได้มาจาก FB. Yingluck Shinnawatra ที่โพสต์สด ๆ เมื่อเวลา 16.25 น.วันนี้] ภาพนี้แสดงถึงการต้อนรับของประชาชนดีมาก บ่งบอกถึงความพออกพอใจชื่นชม นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาลไทย พรรคเพื่อไทยและแน่นอนย่อมหมายถึงความนิยมต่อผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ทำให้เป็นความหวังว่าจะชนะ ได้เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แล้วการบริหารกรุงเทพมหานครก็จะเชื่อมต่อกับการบริหารประเทศของรัฐบาล อย่างไร้รอยต่อ นั้นแน่นอน ขณะนี้ เมื่อนับวันนี้เป็นวันที่ 1 แล้ว ก็ยังคงเหลือเวลาอยู่อีกเพียง 8 วัน ก็ถึงวันเลือกตั้ง นั่นคือ 3 มี.ค. 2556 บางที ถ้าหากเรามองว่าสำนักโพล ต่าง ๆ ที่ทำการสำรจมาตั้งแต่ต้นแล้ว ก็นับได้ว่าเป็นมืออาชีพ และมีวินัยของสำนักเขาอย่างดีแล้ว ก็พอจะเชื่อได้ว่า มันได้ชี้บอกไว้เรียบร้อยแล้วว่า เบอไหนจะชนะ ระหว่างเบอร์ 9 พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ กับ เบอร์ 16 มรว.สุขุมพันธ์ บริพัตร อดีตผู้ว่าคนที่แล้ว การเลือกตั้งคราวนี้ จึงอยากจะให้ได้เห็นเป็นข้อพิศูจน์เสียทีว่า สำนักโพลของสถาบันการศึกษาเรา นับแต่ เอแบค สวนดุสิต นิดา กรุงเทพ บ้านสมเด็จ อีสาน ฯลฯ ได้ทำการวิจัยอย่างถูกต้องเป็นมืออาชีพเพียงใด หากผลไม่ออกมาตรงตามที่โพลเหล่านี้ชี้ตรงกันหมด คือ เบอร์ 9 นำมาตั้งแต่ต้น โค้งที่ 1 ถึงโค้งที่ 4 สุดท้ายยังนำห่างไปกว่าเดิมอีก หากเกิดความผิดพลาด ผลที่ออกมาไม่ตรงคำพยากรณ์ แล้ว สำนักโพลเหล่านี้น่าพิจารณาตัวเองเสียที ว่ามือไม่ถึง อ่อนด้อยในวิทยาการว่าด้วยการวิจัยจริง ๆ เป็นเพียงมือสมัครเล่น สะเปะ สะปะ เชื่อถือไม่ได้ กลายเป็นสำนักหลอกลวงประชามหาชนไป
อีกอย่างหนึ่งที่จะได้เห็น ก็คือการเลือกของประชาชนกรุงเทพมหานคร ว่าจะออกมาอย่างไร ระหว่างพรรคการเมืองที่สนับสนุนอมาตยาธิปไตยเผด็จการ โดยทอดตนลงรับใช้เผด็จการมาตลอดนับแต่มีการรั ฐประหาร 19 ก.ย.2549 มาถึงการก่อเหตุเผด็จการสั่งล้อมฆ่าประชาชน ในเดือนเม.ย.-พ.ค.2553 คือพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคการเมืองที่นำพาประชาชนต่อสู้มาเพื่อประชาธิปไตย นั่นคือเพื่อการอยู่ดีกินดีที่ยกระดับของประชาชนให้สูงขึ้น มีประชาธิปไตยที่กินได้ ที่สร้างสรรค์ความเสมอภาค เสรีภาพ และภราดรภาพ ทั้งแผ่นดิน คือพรรคเพื่อไทย ประชาชนผู้รักและต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยไทย จะได้เห็นชาวกรุงเทพมหานครจะแสดงท่าทีออกมาอย่างไร มีความหวังเพียงใดว่าในใจกลางของประเทศที่ประกอบด้วยคนที่เจริญในวิทยาศาสตร์และเทกโนโลยีอย่างสูง จะสามารถเข้าใจอะไร ๆ ทางการเมืองระบอบประชาธิปไตยเพียงใด พวกเขาเข้าใจหรือไม่ว่าแนวโน้มกระแสการเมืองโลกยุควิทยาศาสตร์และเทกโนโลยีชั่นสูงนั้นเป็นกระแสอย่างแรงของประชาธิปไตยโลก อันเป็นประเด็นหลักที่ให้ความหมายถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญไปสู่ความก้าวหน้าของประเทศ นั่นก็คือการยกระดับอารยธรรมที่สูงชั้นเหนือไปกว่าเดิม และอารยธรรมชั้นสูงนั้นย่อมหมายถึงการเป็นฝ่ายนำและเป็นฝ่ายชนะเสมอ ในขณะที่อารยธรรมชั้นต่ำย่อมถูกทอดทิ้งและล้าหลัง ชาวกรุงเทพเองจะเป็นผู้ที่ถ่วงความเจริญของชาติเอง ด้วยการสนับสนุนพรรคการเมืองระบอบอมาตย์เผด็จการ อันหมายถึงอารยธรรมชั้นต่ำนั้นอยู่หรืออย่างไร ซึ่งบัดนี้ มองจากตัวแปรหลายด้าน รวมทั้งโพลที่สำรวจดังกล่าว นับว่ามีความหวังว่าจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในองค์ความรู้ความเข้าใจของประชาชนชาวกรุงเทพมหานคร ในประเด็นการเมืองระบอบประชาธิปไตย ที่ชัดเจน ตาสว่างขึ้น และวาทะว่าคนอีสาน(คนเหนือ คนตะวันออก คนตะวันตก คนไพร่เสื้อแดงทั้งแผ่นดิน) เลือกรัฐบาล แต่คนกรุงเทพล้มรัฐบาล อันเป็นวาทะที่เริ่มจากพรรคอมาตย์และ มีคนที่ไม่หวังดีต่อระบอบประชาธิปไตยได้ขยายความใสร้ายชาวกรุงเทพมหานครไปเช่นนี้ ซึ่งเป็นการไม่สมควร เพราะเล็งเห็นเจตนาอันชั่วร้ายที่มุ่งสร้างความแตกแยกระหว่างประชาชนอย่างไร้เหตุผล มาวันนี้ เราจึงมีความหวังว่า ชาวกรุงเทพมหานคร จะได้ลบล้างความหมายอันเลวทรามเช่นนี้เสีย นั่นคือความหมายที่ว่าชาวกรุงผู้เจริญแล้ว จะเข้าใจประชาธิปไตย เข้าใจการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของคนอีสาณ คนเหนือ และเสื้อแดงทั้งแผ่นดิน รวมทั้งประชาชนผู้เข้าใจประชาธิปไตยที่ขยายออกไปในกรุงเทพมหานครเองด้วย และทำการเปลี่ยนแปลงกรุงเทพมหานครจากระบอบอมาตยาธิปไตยไปสู่ระบอบประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์เสียที จึงขอฝากคำขวัญเอาไว้ก่อนการเลือกตั้งแด่ชาวกรุงเทพมหานครเพียงคำเดียวครับ คือคำว่า Change Change Change กรุงเทพจะต้องเปลี่ยนอย่างแน่นอน ขอบคุณครับชาวกรุงเทพ
- ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆิน
23 ก.พ. 2556