ล้อมกรอบประชาธิปัตย์วันนี้ดูดี ๆ
นายธนาอภิปรายดร.ฆิกเมฆเฉลย
วันนี้ สภาอภิปรายมาตรา 10 คนที่อภิปรายอยู่ขณะนี้(อภิปรายมาตั้งแต่ 14.24 ผมฟังมาตอนนั้น เป็นสส.พรรคประชาธิปัตย์ ชื่อนายธนา เจียรวนิช ภาพนี้ถ่ายจากจอโทรทัศน์ขณะนายธนาอภิปรายยู่ขณะนี้ .......ผมเห็นเขาคนนี้อภิปรายครั้งหนึ่งแต่เมื่อเช้าแล้ว ด้วยท่าทางเย่อหยิ่งมาก ซ้ำข่มขู่ว่าพวกปชป.จะยื่นฟ้อง ตลกรัฐธรรมนูญ ...คำว่าเย่อหยิ่งของผม หมายถึงนายธนานี้แกมองคนอื่นต่ำต้อยกว่าแก โง่กว่าแก ไม่รู้กฎหมายเท่าแก อะไรประมาณนั้น การมองคนไม่ใช่คนนี้ บอกถึงความป่าเถื่อน เผด็จการ เป็นประชาธิปไตยยาก ขณะนี้เวลา 15.00 น. นายธนาก็ยังอภิปรายไม่จบอยู่ รวมเวลาอภิปรายมา 30 นาทีแล้ว ยังไม่เข้าเรื่องเข้าราวเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวสงวนคำอภิปรายไว้อย่างไร ผม ในฐานะราษฎรคนหนึ่งนี่ เห็นว่า ท่าทางของผู้แทนราษฎรคนนี้ ดูเย่อหยิ่งแล้ว โง่อวดฉลาดอีก และครั้นพิจารณาไป ๆ สส.ปชป.ก็เหมือน ๆ กับนายคนนี้แหละ แกพยายามจะอวดความรู้ทางกฎหมายของแก (อวดผิด ๆ น่ะครับ นึกว่าคนโง่ ฟังแกไม่ทัน) เอาละซี ! มาถึงบทนี้แล้วซี ..... พยายามจะสอนประธานสภา ออกภาพว่าตัวเก่งเหนือใคร ๆ เป็นยอดปราชญ์ อะไรประมาณนั้นครับ ..... แล้วพอพลาดท่าแก่ประธานสภา ก็มองหาเพื่อน ๆ ก็ลุกขึ้นช่วยแก้สถานการณ์ไป กล้อมแกล้ม แกก็ได้ใจไปอีกต่อหนึ่ง เรื่องก็เลยยืดไปอีก ......พายัพ ปั้นเกตุ สส.พท.ขอให้ยึดข้อบังคับ อย่าไปใส่ร้ายคนอื่น .... ประธานสภา ก็ย้ำไปอีกว่า นายธนาไม่ควรใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นในสภา นายธนายังไม่ยอม .....ประธานสภาว่า พยายามให้เกียรติ์นายธนา รอว่าจะจบ ก็ไม่จบสักที มันก็ซ้ำและฟุ่มเฟือย ประธานอบรมว่า ไม่อยากให้ภาพพจน์ไม่ดีออกไปสู่ภายนอก ขอให้สรุปได้แล้ว ....(ก็ 15.23 น.แล้วขณะนี้) ขอให้ให้เกียรติ์ซึ่งกันและกัน นาที 2 นาทีก็คงพอ อย่างลูกผู้ชาย.......สุรเชษฐ์ แวอาแซ ปชป.ลุกขอประท้วงประธานสภาตามข้อ 5 ....ว่านายธนาให้เหตุผลหลักการที่ฟังได้ ควรให้เวลา......ท่านประธานไม่น่าใช้อารมณ์ ท่านประธานทราบหรือไม่ว่าคนเข่ารู้สึกอย่างไรต่อประธานสภา ผมขอประท้วงประธานตามข้อ 5 ....ประธานว่าอย่าโกหก ....โกหกกลางสภา .....การประชุมต้องมีกติกาแล้วประธานสมศักดิ์ก็สอนว่า .......อำนาจการวินิจฉัยของประธานเป็นที่สุด ให้ประธานวินิจฉัย ไม่ใช่ตัวท่านวินิจฉัย ..... มุสลิมนี่คงฟังไม่รู้เรื่อง แล้วจ่าประสิทธิ์ ไชยศรีษะ สส.สุรินทร์ พท. ลุกขึ้นยืนยัน นายสุรเชษฐ์ท่านโกหกกลางสภา ผมยืนยันได้ แล้วจ่าประสิทธิ์เสนอปิดอภิปราย ประธานว่าการเสนอปิด ควรเป็นคนละวาระกับการประท้วง ..... ยังไม่ทันที่จ่าประสิทธิ์จะเสนอปิด ก็มีฝั่งปชป.ยืนขึ้น.........สภาทำท่าจะเละเทะอีกครั้ง .............แต่แล้วจ่าประสิทธิ์ เสนอว่าที่ว่าหัวล้านเหมือนกัน ผมไม่ได้ว่าท่าน ผมก็หัวล้านเหมือนกัน มาชนหัวล้านกันไหมล๋ะ จะได้จบกัน สภาทั้งสองฝั่งหัวเราะ ... ประธานให้นายธนา ว่าขอแบบลูกผู้ชาย ......นายธนาว่า ผมก็จะให้ท่านเหมือนลูกผู้ชายเหมือนกัน .........แล้วอภิปรายต่อ ...... ไม่ทราบอีกนานไหม นายธนาจะยอมจบลงเสียที ผมฟังเขาพูดมาตั้งแต่ 14.24 น. ถึงเวลานี้ 15.30 น.แล้ว หมายความว่าเสียเวลาช่วงนายธนาพูดนี้ ไปกว่าชั่วโมงครึ่งแล้ว โดยไม่ได้สาระอะไรเลย.......ผมเน้น ไม่ได้สาระอะไรเลย เพราะสส.ปชป.เวลาอภิปราย ไม่ได้เคารพกฎข้อบังคับ ซึ่งในที่นี้ก็คือ ที่สงวนสิทธิ์คำอภิปรายเอาไว้นั้นอย่างไร และที่สำคัญไม่มีจุดยืนหรือแนวคิดอยู่ข้างหลักการประชาธิปไตย แต่ยึดอยู่กับหลักการเผด็จการอมาตยาธิปไตย ...หรือโดยรวมก็คือ พวกหัวล้าหลังคร่ำครึในสังคมประชาธิปไตยโดยแท้จริง..........
นายยอดเยี่ยม ยิ่งยง
11 ก.ย.2556/15.55 น.
บทแทรก มาพิจารณากัน ในประเด็นที่ว่า โง่อวดฉลาด ..."โง่อวดฉลาดอีก และครั้นพิจารณาไป ๆ สส.ปชป.ก็เหมือน ๆ กับนายคนนี้แหละ แกพยายามจะอวดความรู้ทางกฎหมายของแก (อวดผิด ๆ น่ะครับ นึกว่าคนโง่ ฟังแกไม่ทัน)" เช่น สส.พรรคนี้จะอ้างอยู่บ่อยเลยว่า ข้อบังคับ จะใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญไม่ได้ ..... จะต้องเอารัฐธรรมนูญเป็นหลัก .....แล้วอ้างแนวคิดนี้ไปถกเถียง ..... จริงอยู่เราถกเถียงกันได้ แต่เราจะถกเถียงในสิ่งที่ไร้สาระเช่นนี้ไปทำไมในสภาของชนชั้นผู้นำของชาติ สภาเขามีไว้สำหรับบัณฑิต? เราฉลาดหรือโง่ล่ะ คือการอ้างเช่นนี้ เท่ากับไม่เข้าใจหลักการปกครอง บริหารเลย......ข้อบังคับมันไม่ใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญนั่นก็ถูกแล้ว แต่มันต้องดูว่าเรื่องอะไร .... ในที่นี้ ข้อบังคับนั้น มันก็อ้างมาจากรัฐธรรมนูญนั่นแหละ รัฐธรรมนูญให้อำนาจไว้ ในเมื่อมาเข้ากฎข้อใดของข้อบังคับ ๆ ก็มีอำนาจตัดสิน ชี้ผิดชี้ถูกได้ เข้าใจไหมครับ ? ผมก็ได้ฟังมานานที่สส.พรรคปชป.หลายคนพูดกันโง่ ๆ มาอย่างนี้ และคิดว่าน่ามีใครอธิบาย สั่งสอนสส.ปชป.ให้เข้าใจหน่อย บังเอิญวันนี้ท่านประธานสภา(สมศักดิ์) ท่านอธิบายประเด็นนี้นิดหน่อย ผมมาอธิบายเพิ่มเติมไป คือ คุณต้องมี reference น่ะ เข้าใจไหม คุณธนา ? ตอนนี้คุณต้องอ้างมาจาก ข้อบังคับ ไม่ใช่อ้างรัฐธรรมนูญ เพราะมันอยู่ที่ว่าเรื่องอะไร ........อีกเรื่องหนึ่ง ที่เป็นเรื่องใหญ่และสำคัญมาก เป็นหัวใจหลักของประชาธิปไตย แต่พรรคปชป.ทั้งพรรคยังมืดแปดด้าน แกพยายามจะอ้างว่าพวกมากลากไป แทนความหมายของ Majority ในภาษาสากล ซึ่งนอกจากแสดงถึงความไม่เข้าใจหลักการและวิถีทางประชาธิปไตย...ทำลายตัวเอง ทำลายสง่าราศีของตัวเองแล้ว(ในวันนี้คนอาจจะยังเห็นไม่ชัดว่ามีตัวโง่ในรัฐสภาไทยเช่นสส.ประชาธิปัตย์ แต่ในวันนี้มันได้จารึกเรื่องราว...ความคิดโง่ ๆ ....รวมทั้งพฤติกรรมอันธพาลของพรรคนี้ไว้สำหรับรุ่นต่อไปไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว) ยังหมายถึงออกนอกลู่นอกทาง แล้วยังพาคนตาบอดอื่นเดินตามไปอีก แล้วยังหมายถึง ด้วยเหตุที่ไม่เข้าใจ หรือด้วยอวิชชานั้น เป็นเหตุให้ตัวเองประพฤติในทางที่ขัดขวางความเจริญของประชาธิปไตยไทย และกลายเป็นพรรคที่มุ่งทำลายระบอบประชาธิปไตย ที่ชาติไทยทั้งชาติสถาปนามาตั้งแต่ปี 2575 แล้ว....อีกต่างหาก ...... ในวันนี้ ไม่เข้าใจแม้กระทั่งเรื่องเบื้องต้นของประชาธิปไตย
เรื่องประชาธิปไตยนั้น เขาต้องมองมาตั้งแต่มีการเสนอตัวเข้ารับใช้ประชาชนนู่น ในระบอบนี้เขาให้ประชาชนเป็นใหญ่ จึงให้สิทธิในการเลือกของประชาชน พรรคประชาธิปัตย์ต้องไปมองมาตั้งแต่วันเลือกตั้ง 3 ก.ค.2553 และก่อนหน้านู้น ดูว่าท่านได้บอกประชาชนไว้อย่างไรบ้าง .... ผมหมายถึงนโยบายน่ะ....พอจะเข้าใจไหม ? อะไรคือนโยบาย ? ........ ก็ปรากฎมาตั้งแต่จุดเริ่มต้นนั้น ที่พรรคประชาธิปัตย์ทำนโยบายไม่เป็น...เป็นนักลอกกากนโยบายตัวยง....ก็เพราะไม่รู้ว่านโยบายคืออะไรนั่นเอง....จะยกตัวอย่าง นโยบายไข่ชั่งกิโล .... ทำเองไม่เป็นก็ไปจ้างนักวิจัยฝรั่งทำให้ .... ปรากฎว่าให้ค่าจ้างเขาถึง 69 ล้านบาท แล้วออกมาเป็นนโยบายไข่ชั่งกิโล.........มาพูดถึงนโยบายอันนี้วันนี้ ไม่ทราบเหมือนกันว่านายอภิสิทธิ์จะรู้สึกอับอายขายหน้าเด็ก ๆ ยุคนี้กันหรือไม่ ? นอกจากตัวนโยบายไม่สนองความต้องการของประชาชนแล้ว ก็มีประเด็นครับ คือไปจ้างเขาถึง 69 ล้านบาท รู้หรือไม่ว่าแท้จริงเขาใช้เงินเพียง 10,000 บาทเท่านั้นเองในการสร้างนโยบายระดับนี้ เหลือนั้น 68ล้าน 9แสน 9 หมื่น งาบอย่างสบาย ๆ ........ คุณได้รู้อะไรขึ้นมาล่ะ..... ก็คือพรรคประชาธิปัตย์เมื่อตอนเข้าสนามเลือกตั้งครั้งล่าสุด ที่พรรคเพื่อไทยชนะถล่มทะลายและยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยนั้น พรรคนี้ยังไม่รู้ว่านโยบายคืออะไร เวลาพูด ก็ไปเอาอะไร ๆ ที่คร่ำครึในกฎหมายคร่ำครึมาหาเสียงกับประชาชน ถ้าดูเวทีประชาธิปัตย์นัดยิ่งใหญ่ที่ราชประสงค์ก่อนเลือกตั้ง .....ก็ดูสิว่าพรรคนี้แถลงนโยบายอะไร ....ก็ได้พบแล้วว่า เขาไม่ได้แถลงนโยบายอะไรเลย ...สิ่งที่เขาพูดในเวทีวันนั้นนั้นคือเรื่องโกหกพกลม ใส่ร้ายใส่ความคนเสื้อแดง ....ว่าเป็นผู้ก่อการร้าย คิดล้มสถาบัน เป็นพวกเผาบ้านเผาเมือง ....และเข่นฆ่าทหาร ซึ่งในตอนนี้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ถึงหลั่งน้ำตาบนเวทีเห็นใจทหารที่ถูกสังหาร(แทนที่จะสงสารประชาชน 98 ศพ) ...... นั่นมันไม่เกี่ยกับนโยบายอะไรเลย .........แปลว่าพรรคประชาธิปัตย์ยังไม่เข้าใจนโยบาย ไม่มีแม้แต่คำเดียวที่บอกประชาชนว่าจะทำอะไรบ้าง แต่กล้าอาสาไปรับใช้ประชาชน ............ประชาชนเขาก็ไม่เอายังไงล่ะ .......... แล้วทำไมเขาไปเอาพรรคทักษิณ พรรคเพื่อไทยล๋ะ ? ก็เพราะพรรคเพื่อไทย เขารอบรู้เรื่องราวของประชาธิปไตย ทำให้เขาเข้าใจประชาชน ....เขาก็คิดทำอะไร ๆ ก็เพื่อประชาชนทั้งสิ้น เพื่อความเจริญของประชาธิปไตยทั้งสิ้น แล้วเขาก็ไปรีเสิรชมาว่าจะทำอะไร(พูดถึงเรื่องรีเสิรช ปชป.ก็ไม่กระดิกอีก ทุเรศจริง ๆ ก็ไม่แปลกใจตอนได้เป็นรัฐบาลก็พาประเทศชาติเข้าป่าเข้าดงไป) และจะทำอย่างไร จะใช้เทกโนโลยีตัวไหนมาสร้าง เราเองทำไม่ได้ จะเอาคนที่ไหนจึงจะทำนโยบายตัวนี้ได้ เขาก็นำเสนออกไปสู่ประชาชนทั้งหมดในวาระการเลือกตั้งนั่นเอง (ลองไปอ่าน.....นโยบายทักษิณ ๆ คิด เพื่อไทยทำ ตามลิ้งค์นี้ครับ "ทักษิณคิดเพื่อไทยทำ ประชาชนพ้นทุกข์" คลิกไปเลย......จะได้ฉลาดขึ้น) มันบอกอยู่แล้วว่า พรรคเพื่อไทยเหนือชั้นในด้านการบริหารจัดการนโยบายและการเข้าถึงความเดือดร้อนของประชาชนกว่าพรรคประชาธิปัตย์ อย่างผู้ใหญ่กับเด็ก เด็กกับผู้ใหญ่ นั่นเลยทีเดียว ......มาวันนี้ .....สิ่งที่ประชาธิปัตย์ทำได้ก็คือเด็กเกเร เด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ตกอยู่ใต้อารมณ์อันธพาล ก๊ยการเมือง กุ๊ยข้างถนน ควบคุมตัวเองไม่ได้ มันดีอย่างไรที่คุณไปยื้อยุด ฉุดประธานสภา ในอาการขับไล่ออกจากตำแหน่งที่ทรงเกียรติของประชาชน และมันดีอย่างไรที่คุณไปโยนแฟ้มใส่ประธานสภาซึ่ง ๆ หน้า ในสภาที่ทรงเกียรติ์ เพราะนั่นมีความผิด ฐานล้มล้างระบอบรัฐสภาโดยตรง คุณเป็นนักกฎหมายไม่เข้าใจหรือ ? ทำไมไม่สังวรณ์ในหลักความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายล่ะ ? ถ้ากฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์แล้วสังคมจะสงบลงได้อย่างไร? และล่าสุด น่าอดสูที่สุดคือเมื่อ ต้นเดือนก.ย.นี้เอง นายวัชระ เพชรทอง ก่อกวนสภาให้เกิดเหตุน่าอดสู ถูกตำรวจสภาควบคุมตัวหามออกไปจากที่ประชุม กับนายเชน เทือกสุบรรณ น้องชายนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ลุกขึ้นมาทุ่มเก้าอี้ใส่ประธานสภา ถึง 2 ตัว เก้าอี้ถึงแขนหัก แล้วยังเดินออกไปชี้หน้าชี้ตาด่าประธานสภา.....แล้วนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หน.พรรคปชป.ก็ออกมาเท้าแขนด่าประธานสภาต่อ แล้วยังไม่พอนายชวน หลีกภัย ออกมายกหางให้ท้ายนายเชนต่อไปอีก นีคือช่วยกันสร้างความอดสู อับอายต่างชาติ (คุณอาจจะไม่รู้สึก แต่คนไทยเขารู้สึก แม้กระทั่งคนไทยในเท๊กซัส เช่นคุณอำนาจ สุนทรวัฒน์ ที่อยู่อเมริกามานานถึงกว่า 30 ปี เขากลับมาเมืองไทยวันสองวันนี้ ยังมาออกอากาศบอกอดสูใจ บอกว่าพรรคการเมืองเช่นนี้ทำลายประชาธิปไตยไทยเอง และทำลายตัวเอง และจะต้องตกจากตำแหน่ง.....ผู้นำฝ่ายค้าน!!!)
ทีนี้ ในเมื่อตัวเองโง่เง่าเต่าตุ่นขนาดนี้แล้ว จะไปทำอะไรได้ ? ซ้ำพกความอิจฉาริษยามาทั้งพรรคทั้งพวก (พวกเขาคืออะไร ใครบ้างประชาชนเขาก็รู้ ๆ กันหมดแล้ว หัวหน้าพรรคปชป.ตัวจริงเขาก็รู้ โดยเฉพาะสว.40 องค์กรอิสระ ตลกต่าง ๆ เป็นต้น ประชาชนเขาก็รู้กันทั่วหมดแล้ว ไม่มีซ่อนเร้นสายตาประชาชนไปได้แล้ว ณ เวลานี้
แล้วคุณเข้าใจไหมว่าระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบที่วางระบบไว้อย่างดีมากทุกระบบเลย ถ้าคุณเข้าใจแล้ว นี้แหละเป็นระบบของการก้าวหน้าของประชาชนของชาติ และเป็นระบอบของอนาคตอย่างแท้จริง.......ความหมายตรงนี้คือ แนวโน้มของประเทศต่าง ๆ บนโลกนี้ จะต้องเป็นประชาธิปไตย .......หลายประเทศ แม้เป็นเผด็จการอยู่ ก็ยังแอบเอาชื่อประชาธิปไตยไปใช้เลย .....ดูคำว่าสาธารณรัฐ ...สหภาพประชาชนเพื่อประชาธิปไตย... นำหน้าชื่อประเทศ เป็นต้น
มายกตัวอย่างง่าย ๆ สักตัวอย่างหนึ่งก่อนก็แล้วกัน
ก็เรื่องนโยบายนี่ไง แน่ละประชาธิปัตย์ไม่มีนโยบายอะไรเลย...ประชาชนเขาก็ไม่ค่อยเห็นความสำคัญนักเขามองว่าไม่ประสีประสา แต่พรรคเพื่อไทยที่เสนอนโยบายเอาไว้ ล้วนโดนใจประชาชนทั้งสิ้น แต่โดยระบอบประชาธิปไตยประชาชนจะต้องได้รับการประกันว่าจะได้มีการนำนโยบายเหล่านี้ไปทำขึ้นจริง ๆ.....ไม่เพียงการพูดหาเสียงเปล่า ๆ ...เช่นนโยบายด้านคมนาคมนี่แหละครับ รถไฟความเร็วสูง เขาเสนอไว้ก่อนการเลือกตั้ง ........ นโยบายเรื่องจำนำข้าว ฯลฯ เป็นต้น ...เพื่อให้มีการประกันว่านโยบายเหล่านี้ต้องได้รับการขับเคลื่อนไปจงได้ ไม่ให้ชงักงันเป็นเพียงคำพูด ........... นี่แหละระบอบประชาธิปไตยจึงกำหนดให้ระบบการตัดสินใจโดยเสียงส่วนมาก............นั่นคือ Majority rule minority right ฝ่ายที่ได้เสียงส่วนมากมาจากการเลือกตั้งจึงหมายถึงผู้ที่จะต้องไปทำนโยบาย ไปทำงานเหล่านี้ให้แล้วเสร็จ ฉะนั้น แม้ว่าในสภาจะมีเสียงส่วนน้อยไม่เห็นด้วย แต่โดยเสียงส่วนมากนั่นเอง มีความชอบธรรม ตามระบอบประชาธิปไตย ในแง่ที่ว่าต้องทำตามความประสงค์ของประชาชนผู้เลือกตั้งรัฐบาลเข้ามา ....... เข้าใจไหมครับ ?
ถ้าไปทำตามฝ่ายค้าน แล้วมันจะได้ทำอะไรล่ะ? เพราะฝ่ายค้านไม่ได้บอกไว้เลยว่าเขาจะทำอะไร ...มันไม่ชอบธรรมใช่ไหม ? (คลิกไปดูทักษิณคิด เพื่อไทยทำนะครับ อ่านแล้วจะฉลาดขึ้น มีคนอ่านร่วมหมื่นแล้ว....มันเรียนรู้ประชาธิปไตยครับ)
ฉะนั้น พรรคเพื่อไทยจึงมีสิทธิ์ มีความชอบธรรมทุกประการ ที่จะทำนโยบายทุกนโยบายที่เสนอผ่านการเลือกตั้งของประชาชนมา .............และเขาจะต้องทำได้ ผ่านสภาไปได้ทุกนโยบาย ตามการประกันของหลักการประชาธิปไตย ในหลักที่ยอมรับกันทั้วไปอย่างเป็นหลักการสำคัญดังกล่าว คือหลัก majority จะต้องเข้าใจให้ดี ว่ามีความชอบธรรมโดยการเลือกของประชาชนส่วนใหญ่นั่นเอง ทีนี้ตามหลักของส่วนน้อย ๆ ก็สามารถให้เหตุผลในเชิงการเสริมเพิ่ม เติมไปให้นโยบายทำดีไปกว่าเดิม หรือจะหัก อย่างประชาธิปัตย์ทำไปโง่ ๆ นี้ก็ได้ แต่คุณต้องเข้าใจและยอมรับเสียงส่วนใหญ่ โดยความชอบธรรมอย่างไร และหลักการจริง ๆ นั้น เพื่อเกิดความมีเหตุมีผล ท่าทีของพรรคฝ่ายค้านจะต้องอยู่ในท่าทีของความเคารพในเสียงส่วนใหญ่และเคารพในความต้องการของประชาชน...ผู้เลือกนโยบาย และต้องการให้มีการทำนโยบายที่เขาเลือกนั้น ให้เสร็จลงไปอย่างมีประสิทธิภาพจนได้.........คุณต้องสังวรในมารยาท ไม่หักหาญ ไม่ทำลายความสุขของคนส่วนใหญ่ ส่วนที่เขาเลือกนโยบาย ................ และคุณก็เข้าใจไม่ใช่หรือว่าผลของนโยบายดี ๆ ของพรรครัฐบาล(รัฐบาลไหนก็ตาม) ตามหลักการประชาธิปไตย ย่อมเสมอภาค เข้าใจไหมครับ? ..... หมายความว่าประชาชนชาวใต้ที่เลือกพรรคประชาธิปัตย์ก็ย่อมได้รับอานิสงส์ไปด้วยเท่าเทียมกับประชาชนส่วนใหญ่ผู้เลือกพรรครัฐบาล นั่นเอง นี่คือความดีของระบอบประชาธิปไตย ฉะนั้นคุณควรเคารพคนส่วนมาก
และเคารพผมด้วย ครับ เพราะขณะนี้ ผมในฐานะประชาชนผู้เลือกนโยบายพรรคเพื่อไทยมา อยากเห็นรถไฟหัวจรวดแล่นบนแผ่นดินไทยเต็มทีแล้ว ประชาธิปัตย์โง่ ๆ ความคิดไม่ทันเขา อย่าสะเออะมาขวางเลย ขอร้อง อีก2-3 ปีก่อน ปชป.ควรเจียมตัว อย่าเอาหัวกฎหมายที่คร่ำครึมาก่อกวนเลย ค่อยเรียนรู้ไปสัก2-3ปีข้างหน้า ปชป.จึงจะค่อยรู้อะไรขึ้นบ้าง ในเรื่องประชาธิปไตย ถ้าไม่โดนชาวใต้ยุคใหม่ไล่ออกจากสภาไปเสียก่อน
อนึ่ง ความสมบูรณ์ของประชาธิปไตยไทยอยู่ตรงจุดไหน.....อยู่ตรงเรื่องกฎหมายนี่เองแหละครับ ปชป.ต้องค่อยเรียนรู้ไป วันหนึ่งก็คงจะเข้าใจได้ทุกอย่าง รวมทั้งเข้าใจเรื่องที่คนประชาธิปไตยกำลังเข็นกันอยู่คือ......ทำไมจึงต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ?
- ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆินทร์
12 ก.ย.2556/10.55 น.