ข้อคิดจากการตัดสินของ ตุลาการรัฐธรรมนูญล้ม
พรบ.กู้เงิน 2ล้านล. ของรัฐบาล
ร่างพรบ.กู้เงิน 2 ล้าน ล.ของรัฐบาล โดยมีสาระสำคัญว่า จะให้อำนาจ กระทรวงการคลัง กู้เงินมาพัฒนาโครงการพัฒนาพื้นฐานทางคมนาคมของประเทศ เป็นรูปธรรมก็คือ โครงการสร้างรถไฟความเร็วสูง ลงไปยังภาคใหญ่ของประเทศไทยทั้ง 4 ภาค คือ เหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคตะวันออก โดยแผนเชื่อมโยงไปยังประเทศรอบบ้านเรา และเชื่อมการคมนาคมไปยังประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน มาเลเซีย เมียนมาร์และลาว ซึ่งประเทศเหล่านี้ต่างก็ได้พัฒนาโครงการรถไฟความเร็วสูงไปตาม ๆ กันแล้ว นั้น ก็มีฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลคือพรรคประชาธิปัตย์ร้องเรียนไปยังศาลรัฐธรรมนูญ และศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินออกมาด้วยมติ 8:0 เมื่อวันที่ 13 มี.ค.2557 ไม่อนุญาตให้รัฐบาลดำเนินการโครงการเงินกู้ดังกล่าว เป็นการดับความฝันของประชามหาชนทุกชนชั้นของประเทศลงอย่างน่าตระหนกตกใจ
ลองมาพิจารณาตามเหตุผลที่มองเห็นทั่ว ๆ ไป โดยวิสัยทัศน์ทั่วไปของหลักการบริหารและหลักการนิติศาสตร์ ตามระบอบการปกครองประชาธิปไตย พอจะมีประเด็นให้พิจารณาได้ดังต่อไปนี้
1. อาจจะเป็นได้ว่ารัฐธรรมนูญฯ 2557 เป็นรัฐธรรมนูญที่มิได้มีบทบัญญัติ หรือข้อความใดในบทบัญญัติที่ให้การรับรองนโยบายฝ่ายบริหาร โดยเฉพาะนโยบายที่มีลักษณะก้าวหน้าเกินยุคสมัยที่คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตามไม่ทัน ไม่เข้าใจ ก็เลยตัดสินไปตามหลักกฎหมายที่มีอยู่และนั่นเป็นการอิงอยู่บนความคร่ำครึของกฎหมายที่เขียนขึ้นโดยคณะบุคคลที่มีแนวคิดคับแคบหัวโบราณ และยังมาให้คณะบุคคลที่มีหัวคิดคับแคบไร้วิสัยทัศน์ทำการตัดสินอีก ผลจึงออกมาอย่างนี้.....ที่ไม่เกินความคาดหมายแต่อย่างใด ในประเด็นเช่นนี้ ทุกฝ่ายควรจะมองด้วยใจเป็นธรรมว่า นี่เป็นปัญหาร่วมกันของทุกฝ่าย ที่ทุกฝ่ายจะมีทางออกร่วมกันเสมอโดยร่วมกันมองประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลัก และหากเราเชื่อในทฤษฎีความคิด วาจา การกระทำย่อมสัมพันธ์กัน มีความคิดจึงมีวาจา มีวาจามีการกระทำ เราจะต้องนำหลักธรรมะมาใช้ ในที่นี้ก็คือหลักธรรมง่าย ๆ พื้น ๆ ของสังคมพุทธนั่นเองคือทุกฝ่ายต้องพยายามระงับโลภะ โทสะ และโมหะ ลงไป ค่อยแก้ปัญหาร่วมกันไป นั่นคือปัญหากฎหมายที่ล้าหลัง คร่ำครึเกินไปจนไม่สามารถสนองนโยบาย หรือความปรารถนาของประชามหาชนได้ นั้นประการหนึ่ง ส่วนปัญหาบุคคลที่คร่ำครึ ก็เช่นเดียวกัน ก็จะค่อย ๆ แก้ไขปัญหาไปได้ และแน่นอน ทุกฝ่ายต้องคำนึงถึงความจำเป็นในการพัฒนาเสมอ และในระบบอบประชาธิปไตยย่อมสามารถแก้ไขกฎหมายได้เสมอ เราจะต้องร่วมกันคิดแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้ทันสมัยและชอบด้วยหลักการประชาธิปไตยมากขึ้น
2. การที่ศาลรัฐธรรมนูญ โดยมติเสียงทั้งหมดคือ 8:0 ลงมติออกมาเช่นนี้ นี่เป็นหลักฐานที่เห็นชัดเจนถึงการก้าวก่ายของอำนาจตุลาการ ไปแทรกแซงก้าวก่ายอำนาจบริหาร โดยสามัญสำนึกที่คนเข้าใจทั่วไปก็คือ ศาลรัฐธรรมนูญไม่เข้าใจหน้าที่ของตน ไม่เข้าใจหลักการบริหาร และกระบวนการบริหารประเทศ ในขณะเดียวกันก็อาจจะเป็นไปได้ว่า ฝ่ายบริหารอาจจะไม่เข้าใจในหลักการนิติบัญญัติ และกระบวนการศาล ก็เป็นได้ ทั้งนี้ก็เพราะโดยหลักการแบ่งอำนาจของระบอบประชาธิปไตยที่กำหนดอำนาจสูงสุดไว้เป็น 3 อำนาจ คือ นิติบัญญัติ บริหาร และ ตุลาการนั้น นั่นหมายถึง หลักการว่าด้วย specialist (ความชำนาญเฉพาะด้าน) ในแต่ละด้าน ในเมื่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีความชำนาญในหลักการศาล และมีหลักการว่าการตัดสินความใดใดต้องตัดสินไปตามกฎหมายที่ชี้บอกแนวพิจารณาเอาไว้ จะไปตัดสินนอกกฎหมายไม่ได้ กลับต้องไปตัดสินก้าวก่ายในงานที่ตนไร้ความชำนาญ คือหลักการบริหารด้านต่าง ๆที่ทันสมัยโดยเศรษฐกิจ การเงิน การคมนาคม การพัฒนา การสื่อสาร แม้กระทั่งหลักการปกครองทั่วไป และโดยเฉพาะหลักการประชาธิปไตย.......ก็ออกนอกขอบข่ายความชำนาญของตน ออกนอกกฎหมายที่ให้แนวพิจารณาเอาไว้ ก็จะเหมือนเดินไปในความมืด หรือคนตาบอดเราดี ๆ นั่นเอง ก็จะกลายเป็ฯทำหน้าที่ตัวตลก เป็นที่ขบขันของชาวโลก ตัวอย่างเช่นนายสุพจน์ ไข่มุกด์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ออกความเห็นไว้ก่อนหน้านี้ไม่นานว่า อย่าเพิ่งไปสร้างรถไฟความเร็วสูงอย่างที่รัฐบาลคิดทำเลย ให้ทำถนนลูกรังให้ทั่วทั้งประเทศเสียก่อน ...... อันเป็นสิ่งชี้บอกไปถึงวิสัยทัศน์ของตุลาการท่านนี้ว่าย้อนยุคไปไกลขนาดไหน ..... เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงต้องอยู่ในหน้าที่ของตน ไม่พึงไปก้าวก่ายหน้าที่ของคนอื่น ในเมื่อปัญหาใด ไม่มีกฎหมายกำหนดไว้ หรือกฎหมายไม่ทันการณ์ ไม่ทันยุคสมัย นั่นย่อมมีหลักความยุติธรรมกำหนดแนวทางไว้แล้วว่า ให้ยกประโยชน์แด่จำเลย ...นี่คือแนวทางความยุติธรรมไม่ใช่หรือ ? ฉะนั้น จงอย่าก้าวก่ายอำนาจ ก้าวก่ายหน้าที่ และยกประโยชน์ให้จำเลย เป็นการป้องกันการกระทำการพิจารณาที่อยุติธรรมของเรา
3. สถานะขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญฯ 2550 โปรดมองอย่างมีเหตุผล โดยหลักการของระบอบประชาธิปไตย ซึ่งโดยบทบัญญัติในมาตรา 2 มาตรา 3 มาตรา 4 และมาตรา 5 ก็เพียงพอที่จะอ้างได้ว่า ประเทศไทยจะต้องมีการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย นั่นหมายความว่าความคิดอื่นใดที่ไม่เป็นความคิดประชาธิปไตย ย่อมขัดรัฐธรรมนูญ ตามอำนาจมาตรา 2-3-4-5 นี้ .....และมาดูรูปธรรมที่ปรากฎมา และปรากฎอยู่ขณะนี้ พรรคประชาธิปัตย์ได้ทำอะไรในสภา ในฐานะรัฐบาล และในฐานะฝ่ายค้านพวกเขาได้ทำไปตามหลักการประชาธิปไตยหรือไม่? ถึงแม้ท่านจะไม่เข้าใจหลักการการปกครองเลย ท่านก็จะเ็ห็นว่าบทบาทของพรรคประชาธิปปัตย์ เป็นได้เพียงรัฐบาลอันธพาลเมื่ออยู่ในหน้าที่บริหาร และเป็นได้เพียงอันธพาลในสภา เมื่ออยู่ในหน้าที่ฝ่ายค้านในสภา เท่านั้น ....ในเมื่อท่านได้มาคำนึงว่าหลักการประชาธิปไตยนั้น ต้องแข่งขันกันอย่างมีสปิริตจิตใจอย่างสูง มิแตกต่างจากการแข้งขันกีฬาเลยแม้แต่น้อย นั่นคือ รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย ใช่ไหม? แต่ ท่านได้เห็นอะไร จากพรรคประชาธิปัตย์......พรรคนี้เมื่อเป็นรัฐบาล ได้ออกผังล้มเจ้าออกมา ปั่นปลุกทหารให้เข้าใจผิด แล้วสั่งการเข่นฆ่าประชาชน โดยนายสุเทพ ซึ่งเป็น ประธาน ศอฉ.ขณะนั้นได้ออกแผนล้มเจ้า และได้บอกเปิดเผยว่าจะใช้ยุทธการงูเหลือมรัดเหยื่อ หรือล้อมฆ่าประชาชนนั่นเอง และเปรย ๆ ว่า ฆ่าคนเสื้อแดงเสียสัก 500 คน ก็คงเรียบร้อย (แต่ฆ่าได้เพียง 99 ศพ) นั่นเป็นข้อเท็จจริง ซึ่งขณะนี้ ได้ตัดสินโดยศาลสถิตยุติธรรมไปแล้ว ทั้งนายอภิสิทธิ และนายสุเทพ ได้ตกเป็นผู้ต้องหาไปแล้ว ในขั้นถูกหมายจับทันที ... สิ่งนี้บอกอะไรท่าน มันบอกว่า พรรคประชาธิปัตย์ประพฤติผิดแนวทางของระบอบประชาธิปไตยมาแต่ต้นแล้ว และ ตลอดมาจนถึงขณะนี้ และในระยะหลังมานี้ จะต้องมองอย่างตรงตามหลักการประชาธิปไตย นับแต่การที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รอง หน.พรรคประชาธิปัตย์ ได้ประกาศลาออกจาก สส. พร้อมคณะสส.ปชป.รวม 9 คน เพื่ออะไร ? เพื่อมาก่อม็อบ หรือที่เรียกด้วยวาทะสวยหน่อยคือ ต่อสู้นอกสภา ..... และพฤติกรรมที่เห็นก็คือ หาเรื่องกล่าวร้ายรัฐบาลโดยหลักการโฆษณาชวนเชื่อ และหลักที่ใช้มาตลอดคือ อิงสถาบัน กับอิงความดี นั่นคือหลัก The Sun Also Rises. [ดวงอาทิตย์ก็พลอยส่องแสงกับเขาด้วย....อิงสถาบัน] All that glitters is not gold. [ที่เปล่งประกายระยิบระยับแพรวพราวนั้นไม่ใช่ทองเสมอไป....อ้างว่าฝ่ายตนดี ถูกต้อเสมอ....เอาดีเข้าตัวเอาชั่วเข้าคนอื่น] และมีสถานีโทรทัศน์ของตนที่คอยโฆษณาบิดเบือนข่าวให้ร้ายรัฐบาล คอยตอกย้ำแนวทางที่ผิดให้เป็นถูกลงในม็อบฝ่ายตน คนของตนมาจนถึงเวลานี้ (แต่เมื่อประชาชนรู้ความจริง ก็เสื่อมลง) ..และพรรคประชาธิปัตย์ก็เข้าใจผิดไปอีก โดยไม่เข้าใจว่าการต่อสู้นอกสภานั้น ประชาธิปไตยทำได้ เพียงแต่คุณต้องไม่กระทำไปแบบละเมิดสิทธิของคนอื่นเท่านั้น...โดยเฉพาะการละเมิดที่ร้ายแรงคือการละเมิดชีวิตและทรัพย์สินของคนอื่นคุณทำไม่ได้ ....แต่สุเทพ-ปชป.ทำอะไร...ดูว่าเขาทำอะไรในวานนี้ วันนี้ ? ก็จะเห็น...... ผู้เป็นวิญญูชนมีสามัญสำนึก ผู้รักความยุติธรรมก็จะรับได้อย่างนั้นหรือ? การปิดกรุงเทพมหานคร ที่ทำความเดือดร้อนไปทั้งกรุง แล้วยกพวกอันธพาลไปปิดสถานที่ราชการ เป็นปกติประจำวันมาถึงวันนี้ .... นั้นชอบธรรมหรือ? ในขณะที่รัฐบาลหาเงินให้ชาวนาที่กำลังเดือดร้อนกันทั้งแผ่นดิน แต่พรรคประชาธิปัตย์ กลับพาม็อบไปปิดธนาคาร ห้ามธนาคารจ่ายเงินออกไป รัฐบาลจะขายข้า่ว พรรคประชาธิปัตย์ยกพวกไปขับไล่พ่อค้าที่มาประมูลราคา นี่คือบทบาทของพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยหรือ ? แม้เด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมยังรู้ในความชอบธรรม-ไม่ชอบธรรม เลย แล้ววิญญูชนคนรักธรรมคนไหนจะยอมตนไปร่วมมือ.อันเป็นการผิดทั้งศีลธรรม และกฎหมาย ?
มาดูพรรคประชาธิปัตย์ต่อ....... มันเริ่มที่ร่าง พรบ.นิรโทษกรรม ..... ที่ชาวเสื้อแดงที่สนับสนุนรัฐบาลแท้ ๆ และประชาชนผู้รักความยุติธรรมรับไม่ได้นั้นก็คือ....มันนิรโทษให้ฆาตกร 2 คน คืออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ สุเทพ เทือกสุบรรณ ด้วย นั่นเอง แต่ในขณะนั้น พรรคนี้ประเมินสถานการณ์ผิดไปทุกอย่าง จนถึงกับมีมติให้สส.ทั้งพรรคลาออกจากตำแหน่งของประชาชน ออกจากสภามาทั้งพรรค มาร่วมต่อสู้กับม็อบสุเทพในนาม กปปส. อ้างพรบ.นิรโทษโฆษณาให้ร้ายรัฐบาลไปอย่างสุด ๆ โดยไม่คำนึงเจตนาที่ดี ที่มุ่งหมายรอมชอม เจรจาเพื่อให้สังคมไทยสงบลงเสีย ปชป.กลับไปปลุกเร้าด้วยการโฆษณาชวนเชื่อต่อไปอย่างหนัก จนถึงระดมมวลชนเข้ากทม.ได้เป็นที่น่าตื่นตกใจ โดยอ้างว่า 6 ล้านคน (แต่ตามการอ้างของ บีบีซี และสื่อต่างประเทศมีจำนวนอย่างสูง 1แสน ห้าหมื่น) .... รัฐบาลต้องถอน ร่างพรบ.นิรโทษ ......และครั้นม็อบยังก้าวร้าวต่อมา โดยนายสุเทพตั้งตนเป็นอะไรก็ไม่ทราบชัดเหมือนกัน(เพราะกปปส.ไม่ทราบว่าตนทำอะไรไปเพื่ออะไร เหมือนเสียสติไปแล้ว บ้าจะเอาอำนาจอย่างเดียวโดยไร้เหตุผล) ได้ออกคำแถลงการณ์ว่าตนยึดอำนาจได้แล้ว ขอให้ผบ.ตร. ผบ.ทบ.รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ ฯลฯ มารายงานตัว ....ออกคำสั่งอย่างนั้นอย่างนี้เป็นรายวัน แต่ไม่มีใครมารายงานตัวเลย กลายเป็นเรื่องตลกสุดฮาไปทั้งโลกเลย(ต่อมาสื่อต่างประเทศก็หลั่งมาศึกษา พบว่าเป็นม็อบตลกโลก สุดฮาจากประเทศไทย) .........ตรงนี้มีสิ่งที่ต้องทำความเข้าใจว่าทำไมนายสุเทพ-พรรคปฃป.จึงทำอย่างนั้น.....เพราะไม่เข้าใจหลักการประชาธิปไตยนั่นเอง .... สุเทพคิดว่าระดมมวลชนมาได้ขนาด 6 ล้านนั้น มันบอกถึงหลักการประชาธิปไตยทางตรง ..... ซึ่งเป็นการเข้าใจผิดในสาระของระบอบประชาธิปไตยอย่างน่าสงสาร......เพราะ 6 ล้านที่ว่าแม้ขนาดนั้นจริง ก็ยังไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่ของประเทศ ประชาธิปไตยย่อมยึดกติกา เขามีหลัก Majority rule minority right ......แต่นายสุเทพ-ปชป.ทั้งพรรคเข้าใจผิด ซึ่งได้รับการโต้แย้งจากนักวิชาการเสื้อแดง(คือนักวิชาการที่เข้าใจระบอบประชาธิปไตยที่รู้จริง) รวมทั้งคนเสื้อแดงและรวมทั้งคนเสื้อขาวที่ออกมาจุดเทียนกันทั่วประเทศ..... และในเมื่อรัฐบาลเขามีสิทธิ์ ในเมื่ออำนาจบริหารเดินไปไม่ได้ ไม่สามารถใช้อำนาจบริหารประเทศได้ ... มีกติกา...กำหนดไว้รับรองไว้ ในรัฐธรรมนูญ 2550 นี่เอง ...รัฐบาลก็มีสิทธิ์ยุบสภา....ซึ่งหมายถึงการคืนอำนาจให้ประชาชน .......ให้ประชาชนเลือกกันใหม่ว่าจะเอาฝ่ายปชป.-กปปส. (ที่อยากได้อำนาจหรือพูดโก้หลงโก้ไปว่าตนเป็นรัฏฐาธิปัตย์ อยู่ขณะนั้น มาถึงขณะนี้) อันเป็นไปตามหลักของระบอบประชาธิปไตย .......... แล้วกำหนดวันเลือกตั้ง เป้ฯวันที่ 2 ก.พ.2557 ... คราวนี้ ก็ได้พบว่า กปปส.-ปชป.ได้ตัดสินใจผิดพลาด แบบโง่ในระบอบประชาธิปไตยอีกครั้งหนึ่งที่สำคัญมาก นั่นคือตัดสินใจบอยคอตการเลือกตั้งหนนี้....... เป้ฯวิธีการที่ทำลายตนเองอย่างแท้จริง ไม่มีใครทำลายพรรคนี้ เขาทำลายตนเอง ดับตนเอง ดับอนาคตตนเอง ด้วยความโง่เขลา ไม่เข้าใจระบอบประชาธิปไตยด้วยตนเอง ........ เพราะในระบอบประชาธิปไตย กฎกติการะบอบประชาธิปไตย ทุกคน ทุกพรรคการเมืองมีเสรีภาพ ในการที่จะคิด จะพูด จะทำ ....โดยมีความรับผิดชอบด้วยตนเอง ......... มันไม่ผิดเลยที่พรรคประชาธิปัตย์จะไม่ลงเลือกตั้ง .... เพราะคุณโตแล้ว ..... ไม่ใช่เด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม .... คุณมีเสรีภาพ........ แต่สิ่งที่ปชป.ทำไม่ถูกตามหลักการประชาธิปไตยก็คือ การไปขัดขวางการเลือกตั้งนั้น เป็นความผิดฉกรรจ์ในระบอบประชาธิปไตย.........พฤติกรรมจะเหมือนการขัดเส้นทางของประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตยทั้งประเทศ ........ ย่อมได้รับผลร้ายแก่ตนเองอย่างฉกรรจ์......อุปมาเหมือนกวางน้อยขวางทางของหมู่ช้าง ... .พอกล่าวได้เลยว่า เมื่อปชป.-กปปส. ทำหน้าที่ขัดขวางการเลือกตั้งมาจนถึงปัจจุบันนี้ ...... ชาวโลกเขายอมรับไม่ได้ และหมายถึงการสิ้นไป ดับไป ของพรรคการเมืองนี้โดยสมบูรณ์ตามธรรมชาติของระบอบประชาธิปไตย
องค์กรอิสระ เช่นศาลรัฐธรรมนูญ พยายามช่วยเหลือพรรคการเมือง ชื่อประชาธิปัตย์นี้ ....... โดยไม่เข้าใจเหมือนกัน ไม่เข้าใจประชาธิปไตย โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่เข้าใจกฎหมายรัฐธรรมนูญ ที่ตนมีหน้าที่ดูแลอยู่ ......นั่นคือไม่เข้าใจมาตรา 2 มาตรา 3 มาตรา 4 และมาตรา 5 เป็นต้น ของ รธน. 2550 ฉะนั้น จึงตัดสินทุกข้อกฎหมายโดยที่ไม่เข้าใจกฎหมาย
และที่สำคัญ โดยที่ไม่เข้าใจมาตราดังกล่าว และไม่เข้าใจหลักการระบอบประชาธิปไตย ....... จึงไม่เข้าใจตัวเอง ไม่เข้าใจสถานะของตนเองตามระบอบประชาธิปไตย และตามกฎหมายรัฐธรรมนูญไทย แม้ฉบับปัจจุบันนี้ ......... โดยไม่เข้าใจว่าตนเองเป็นเพียงองค์กรเถื่อน .......นั่นหมายถึง ไม่มีสิทธิที่จะทำหน้าที่อยู่แล้ว ถึงทำหน้าที่ไป ผลก็เป็นโมฆะ (โปรดไปดูคำอธิบายเพิ่มเติมนะครับคลิก)
สรุปแล้วก็คือ ประเทศไทยอย่าได้หลงลืมตัวอีกต่อไปเลย อะไรที่ทำไปถูกหลักประชาธิปไตยก็จงทำเถิด ........ จัดการให้มีการเลือกตั้งให้เสร็จลงไปโดยเร็วเท่านั้น ทุกอย่างก็จะดีขึ้น ไม่งั้นเราจะเอาตามใจตามความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็พินาสน์ อยากได้อำนาจ อยากได้ตำแหน่งโดยทางที่ไม่ชอบธรรม หลงตนเอง ว่าตนเป็นนั่นเป็นนี้ คือหลงในอัตตาตัวตน หลงในตัวกูของกู ตามที่ท่านพุทธทาสภิกขุได้สอนเอาไว้ ...ขอได้นำมาศึกษาเถิด ชีวิตเราก็เท่านี้ แก่แล้วมีแต่จะจากลูกหลาน จากประเทศไทยไป จะจากไปอย่างมีความสุขในบั้นปลายชีวิตก็ขอให้อภัยเถิด ก่อนตายจงได้เห็นแสงสว่างในประชาธิปไตยของประเทศ นั่นคือความหมายของอนุชนเรามาสู่ระบบ หรือเรือใหญ่ที่จะอาจออกทะเลมหาสมุทรไปได้พร้อม ๆ กับประเทศอาเซียนเขา หรือจะให้ดีก็พร้อม ๆ ประเทศสากลเขาทั้งโลก นาวาใหญ่นามว่าประเทศไทยก็จะใช้ฝีจักรสู่มหาสมุทรใหญ่ เป็นสง่างามในท่ามกลางประเทศสากลทั้งหลาย คุณไม่อยากเห็นหรือ? ...จะต้องทำได้ด้วยระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น...
จงคิดดี พูดดี ทำดี ทุกอย่างก็จบลงด้วยรอยยิ้ม ครับผม
ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆินทร์
14 มี.ค.2557 10:30:30
บทแทรกที่ 1
คำว่า "เถื่อน" ตามหลักการระบอบประชาธิปไตย ..... ท่านต้องมีเหตุผล ตามหลักการของประชาธิปไตย หมายถึง องค์กรใดก็ตามที่ได้อำนาจมาโดยไม่ได้รับการอนุมัติจากเจ้าของอำนาจ คือประชาชน ....... และองค์กรที่ไม่เถื่อน ก็ก็ตรงกันข้าม คือองค์กรที่ได้รับอนุมัติจากประชาชน.........ภาษาชาวบ้าน ๆ ว่า ต้องมีการเชื่อมโยงกับประชาน ทั้งนี้ก็เพราะตามหลักการประชาธิปไตย อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย ผู้เป็นเจ้าของประเทศ เจ้าของอำนาจการปกครองโดยทุกคนมีสิทธิในอำนาจนั้นเท่าเทียมกัน 1 คน 1 เสียง
พูดโดยรูปธรรม....สำหรับคนที่ไม่ค่อยเข้าใจนามธรรม....ก็คือ เถื่อน.....หมายถึง ไม่ได้ผ่านการอนุมัติของสภาผู้แทนราษฎร(สภาที่ราษฎรเลือกเข้ามาทำหน้าที่แทนพวกเขา) ..... และเมื่อผ่านสภาผู้แทนราษฎรแล้ว องค์กรนั้น ก็ถูกต้อง มีอำนาจในการที่จะทำหน้าที่โดยสมบูรณ์ในส่วนหน้าที่ของเขา เช่นองค์กรรัฐบาล ฝ่ายบริหาร มีรัฐบาลทักษิน รัฐบาลสมัคร รัฐบาลสมชาย และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ......... นี่แหละองค์กรที่ชอบธรรม ที่ไม่เถื่อน ตามหลักการประชาธิปไตย เพราะรัฐบาลเหล่านี้ ได้ผ่านการเลือกตั้งของปวงชนทั้งแผ่นดินมาทุกรัฐบาล จึงเรียกว่าองค์กรที่ถูกต้องชอบธรรม ไม่ใช่องค์การเถื่อน และมีสิทธิและหน้าที่โดยสมบูรณ์ที่จะใช้อำนาจบริหารอันเป็นอำนาจสูงสุด 1 ใน 3 ของอำนาจอธิปไตยของประชาชน
สภาผู้แทนราษฎร ทุกสภา แต่อดีตถึง ชุดสุดท้ายที่พ้นอำนาจไปเมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2556 ก็เป็นองค์กรที่ถูกต้องชอบธรรม ไม่เถื่อน เพราะได้ผ่านการเลือกตั้งมาทุกสภา
องค์กรใดที่ไม่ผ่านสภาผู้แทนราษฎร ไม่ได้รับอนุมัติจากสภาผู้แทนราษฎรนั่นแหละ แน่แท้ มันคือองค์กรเถื่อน
ย่อมไม่มีทั้งสิทธิ และหน้าที่ ที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตน โดยมีผลผูกพันองค์กรอื่น ๆ หรือ ทุกองค์กรได้
นายยอดเยี่ยม ยิ่งยง
15 มี.ค. 2557 12:12:30
บทแทรกที่ 2
พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งกำลังจะอำลาราชการไปในเดือนกันยายนนี้แล้ว ได้ออกมาตอบโต้จตุพร พรหมพันธ์ ผู้ซึ่งได้รับมอบตำแหน่งประธานนปช.มาใหม่ ๆ เมื่อวานนี้เอง ว่านายจตุพร เป็นคนไร้เกียรติ์ ไม่น่าที่จะได้เป็นผู้นำประชาชนเลย ในขณะเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ พูดเต็มปากว่าท่านเองเป็นคนมีเกียรติ
เราพอจะเข้าใจได้ ในประเด็นเกียรติยศของพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา นั่นคือเกียรติ์ของนายทหารมียศระดับพลเอก และตำแหน่งสูงสุดของกองทัพ คือผู้บัญชาการทหารบก ถูกละ นายพลคนนี้เป็นคนมีเกียรติ์อย่างแน่นอน และระดับแห่งเกียรติ์ย่อมสูงสุดเลยทีเดียว
พอ ๆ กับนายพล หรือ ผู้บัญชาการเหล่าทัพเหล่าอื่น ..... ในสายงานนี้ แม้นายทหารระดับนายร้อยตรีคนหนึ่งก็ถือว่า มีเกีรติ์ ไม่ใช่ธรรมดา
เมื่อเอายศฐาบรรดาศักดิ์มาเป็นมาตรฐานแล้ว คุณจตุพร พรหมพันธ์ ก็ย่อมกลายเป็นคนไม่มีเกียรติ์ไป เพราะนายจตุพร พรหมพันธ์ เป็นเพียงคน ๆ หนึ่งที่ไม่มียศฐาบรรดาศักดิ์อย่างพลเอก ประยุทธ จันทร์โอชา และแม้ครั้งหนึ่งนายจตุพรเคยเป็นข้าราชการการเมืองในตำแหน่ง สส.ในรัฐสภาอันสูงเกียรติ์ แต่ในส่ายตาของพล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายจตุพรก็ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งนั้นนานเท่าไร ไม่อาจเทียบได้กับพล.อ.ประยุทธ์ แถมนายจตุพรยังเป็นคนขี้คุกขี้ตะรางอีกด้วย
พล.อ.ประยุทธคิดอย่างไรกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เราคิดว่า ก็คงคิดในแนวคิดเดียวกับที่คิดกับคุณจตุพร พรหมพันธ์ นั่นเอง
อาจจะคิดใหญ่ ๆ ในใจตนเองว่า ดาวบนบ่าไม่มีสักดวง อย่าหวังว่ากูจะยอม........
บังเอิญมีเรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้นพอดี
นี่เป็นตัวอย่างของแนวคิดสังคมไทย ในระบบวัฒนธรรมเจ้าขุนมูลนาย ระบบอำมาตย์เดิมครับ
มันจึงเป็นระบบวัฒนธรรมที่ขัดขวางทำให้เป็นประชาธิปไตยยาก หรือเป็นไปไม่ได้เลย
ตัวอย่างที่เราได้เห็นชัดเจนขึ้นมาในเร็ว ๆ นี้อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ นายสมบัติ ธำรงค์ธัญวงศ์ ซึ่งมีเกียรติ์สูงเพราะเป็นถึงศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยก็เป็นถึง อธิการบดี
อีกคนหนึ่งคือ นายเสรี วงศ์มณฑา ก็เป็นคนมีเกียรติ์เหมือนกัน เพราะเป็นคนจบ ด๊อกเตอร์
สองคนหลังนี้ได้กล่าวว่า พวกเขาเป้นคนมีเกียรติ์จึงควรมีสิทธิ์ได้คะแนนเสียงมากกว่าประชาชนธรรมดา ๆ นายสมบัติกล่าวว่า ประเทศไทยเราการใช้สิทธิ 1 คน 1 เสียงนี้ใช้ไม่ได้ ส่วนนายเสรี วงศ์มณฑา บอกว่า ประชาชนสามแสนคนในกรุงเทพ ก็เป็นประชาชนที่ีมีคุณภาพกว่าประฃาชน 15 ล้านคนในภาคอีสาน
มี สส.พรรคประชาธิปัตย์คนหนึ่งคือนายเจริญ คันธวงศ์ เมื่อชาวต่างประเทศถามว่าทำไมคนกรุงจึงไม่ยอมรับเสียงประชาชนอีสาน เขาตอบว่าคนอีสานเป็นคนไม่มีเกียรติ์ ในบ้านเขานั้นมีคนอีสานมาทำงานเป็นคนรับใช้ กวาดบ้าน ถูพื้น เทขยะ ล้างถ้วยจาน ทำความสะอาดสร้วม ......
ซึ่งท่าทีเช่นนี้ คนไทยเองนี่แหละบอกได้เลยว่าเป็นการดูถูกดูหมิ่น เหยียดหยาม ไปจนถึงให้ค่าราคาไว้อย่างต้อยต่ำ
เมื่อระบอบประชาธิปไตยไทยได้ยกย่องเชิดชูความเป้นมนุษย์และยอมให้อำนาจการเมืองให้พลเมืองแต่ละคนมีสิทธิ์ 1 คน 1 เสียง ตามหลักการเมืองอารยประเทศสากลยุคใหม่ จึงมีคนอย่างนายเสรี วงศ์มณฑา นายสมบัติ์ ธำรงค์ธัญวงศ์ นายเจริญ คันธวงศ์.....และแน่ละย่อมรวมถึงพล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ที่เพิ่งแบไต๋ตัวเองออกมาวันนี้ ..... รับไม่ได้
นายชวน หลีกภัย ได้พูดย้ำไปแล้วย้ำอีกว่ารัฐบาลได้รับเลือกตั้งมาจากคนอีสาน-คนเหนือ ก็เป็นรัฐบาลโง่ ๆ เหมือนคนอีสานและคนเหนือ และเป็นหน้าที่ของประชาชนฉลาด ๆ อย่างคนกรุงเทพมหานคร ที่จะล้มล้างรัฐบาลโง่ ๆ เสียทุกครั้ง ดังวาทะว่า คนเหนือ-อีสานตั้งรัฐบาล คนกรุงเทพมหานครล้มรัฐบาล .... เพราะโดยระบอบประชาธิปไตย ที่มีคนโง่มากกว่าคนฉลาด ย่อมได้รัฐบาลคนโง่มา ให้คนฉลาดทนไม่ได้ ...ก็ต้องล้ม และเป็นท่าทีเดียวกันกับการเคลื่อนไหวของฝ่ายอำมาตย์ที่พยายามคิดล้มล้างรัฐบาลยิ่งลักษณ์อยู่ในขณะนี้ โดยเหตุผลเช่นเดียวกันนี้
นี่ก็เป็นเรื่องที่เราไม่เข้าใจหลักการและทฤษฎีของระบอบประชาธิปไตยอีกประเด็นหนึ่ง เป็นเรื่องของความไม่เข้าใจเช่นเคย
อันเนื่องมาจากการแบ่งชนชั้นในสังคมไทยและวัดระดับความเป็นคนด้วยกันด้วยสิ่งที่เรียกว่าเกียรติ์ และอื่น ๆ เช่นความร่ำรวย เป็นต้น
ถ้าเรายังยืนอยู่บนแนวคิดวัฒนธรรมเช่นนี้ต่อไป หลักความเสมอภาค หรือ EQUALITY ก็ใช้ไม่ได้ หลักสิทธิ 1 คน 1 เสียงก็จะใช้ไม่ได้ ตามที่นายสมบัติพูดมา
และแน่นอนปัญหาการพัฒนาประเทศไทยจึงได้ประสบปัญหาด้านวัฒนธรรมประชาธิปไตยที่สาหัสฉกรรจ์อีกปัญหาหนึ่ง
และยอมรับว่าเป็นปัญหาที่สำคัญ ยิ่งใหญ่อยู่แม้ในขณะนี้
แต่.........นั่นกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ตรง ๆ ว่าเป็นปัญหาอวิชชา คือความโง่เขลาไม่เข้าใจหลักการประชาธิปไตย นั่นเอง
เราไม่เข้าใจหลักพื้นฐานของวัฒนธรรมระบอบประชาธิปไตย 2 อย่าง คือ เรื่อง สิทธิ และ หน้าที่
เรื่องสิทธิ หมายถึง ความระยอบระย่ออย่างเด็ดขาด ที่ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง ที่จะใช้สิทธิของเราอย่างไม่ละเมิดสิทธิของคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิในชีวิตและทรัพย์สินของคนอื่น ฉะนั้นในประเทศฝรั่ง เราจะได้ยินคำว่า ขอโทษ เป็นนิสัยสันดานของคนในประเทศเขา นั่นหมายถึงการระมัดระวังอย่างยิ่งที่จะไม่ละมิดคนอื่น แม้ในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ........ คำว่าขอโทษ(รวมทั้งคำว่า ขอบคุณ ขอบใจ) คนไทยก็เพิ่งนำมาใช้ไม่นานนักนี้ ในชั่วอายุคนนี้เอง เดิมฝรั่งไม่เคยได้ยินคำนี้จากไทย จึงมองว่าคนไทยเป็นคนเถื่อน
ประเด็นในวันนี้ก็คือคำว่าหน้าที่ นี้เป็นวัฒนธรรมอย่างจำเป็นของระบอบประชาธิปไตย และอย่างจำเป็นของประเทศด้อยพัฒนาป่าเถื่อน ที่จะต้องเปลี่ยนแนวความคิดเดิม วัฒนธรรมเดิมในยุคเจ้าขุนมูลนายในการมองมนุษย์อย่างไม่ใช่มนุษย์ หรือการมองคนอย่างไม่ใช่คน การมองคนโดยเอาสิ่งที่เรียกว่าเกียรติ หรืออย่างอื่นเช่นความร่ำรวยมาวัดอันเป็นแนวคิดที่แบ่งคนออกไปเป็นชนชั้น ที่ขัดหลักการประชาธิปไตย .....อย่างเช่นพล.อ.ประยุทธ มองคุณจตุพร ว่าไม่มีเกียรติ์เท่าตน นั่นแหละ นั้น เป็นการมองที่ไม่ถูกต้องเพราะ ไม่ส่งเสริมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของมนุษย์..... ไม่ถูกต้อง ตามบทบัญญัติในมาตรา 4 รธน.2550 ที่ว่า
<<< มาตรา ๔ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง>>>
เอาละ มามองหลักธรรมในพุทธศาสนาประกอบสักเรื่อง
มีคำสอนของพุทธศาสนาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้คือ เรื่อง อินทรีย์ 6 สอนว่า มีผู้ยิ่งใหญ่อยู่ 6 นายด้วยกัน คือ
1. ตา
2. หู
3. จมูก
4. ลิ้น
5. กาย
6. ใจ
ทั้ง 6 นายนี้ ต่างก็มีอำนาจหรือความยิ่งใหญ่ หรือเป็นใหญ่ (อินทรีย์แปลว่าอำนาจ ความเป็นใหญ่) พอ ๆ กัน โดยมองที่หน้าที่ของแต่ละคนนั้น นั่นคือ เขาแต่ละคนมีอำนาจและเป็นใหญ่ในหน้าที่ของเขา เช่นหู ก็มีอำนาจและเป็นใหญ่ในเรื่องการได้ยิน คนอื่นอีก 5 คนนั้นจะได้ยินเท่าเขาอย่างเขาไม่ได้ ในหน้าที่การได้ยินนี้หูจึงทรงอำนาจและย่อมเป็นใหญ่กว่าผู้อื่น, ตา ก็มีอำนาจและเป็นใหญ่ในเรื่องการเห็น อีก 5 คนนั้นจะเห็นเท่าเขาอย่างเขาไม่ได้ ในหน้าที่การเห็นนี้ตาจึงทรงอำนาจและย่อมเป็นใหญ่กว่าผู้อื่น, จมูก ก็มีอำนาจและเป็นใหญ่ในเรื่องการดมกลิ่น, ลิ้น ก็มีอำนาจและเป็นใหญ่ในเรื่องการลิ้มรสชาติ, กาย ก็มีอำนาจและเป็นใหญ่ในเรื่องการสัมผัสร้อนหนาวหรือไออุ่นไอเย็น, ใจ ก็มีอำนาจและเป็นใหญ่ในการคิดการวิเคราะห์วิจัยการปรุงแต่ง
เจ้านายทั้ง 6 คนนี้ต่างก็ยอมรับในหน้าที่ของกันและกัน มองว่าหน้าที่ของใครก็สำคัญพอ ๆ กัน จึงเกิดความเสมอภาคขึ้น
เคยมีนิทานมาแต่ก่อนสอนนักเรียนชั้นประถมศึกษาในบ้านชนบทมาเรื่องหนึ่ง คือเรื่องการวิวาทกันของอวัยวะ เริ่มแต่มาวันหนึ่ง ฟันรู้สึกว่าตนทำงานหนักกว่าคนอื่น และมองว่าท้องไม่เห็นทำอะไร ดีแต่คอยรับอาหารที่เราบดเคี้ยวแล้ว และอิ่มคนเดียว ฝ่ายมือก็ไปกล่าวโทษปาก ว่าปากไม่เห็นทำอะไร ดีแต่คอยรับเอาข้าวน้ำที่มือเราออกแรงทำนำมาป้อนให้ ฝ่ายเท้าก็บอกว่าพวกเอ็งทั้งหมดเหนื่อยสู้ข้าไม่ได้ ข้าพาพวกเจ้าทั้งหมดทั้งเดินทั้งวิ่งกว่าจะได้อาหารมา อวัยวะต่าง ๆ ก็วิวาทกันเช่นนี้ แล้วฟันก็โกรธไม่ยอมเคี้ยวอาหารอีกต่อไป เท้าก็ไม่ยอมออกเดินทางไปหาอาหาร กะเพาะก็ไม่ย่อยอาหาร ทวารก็ไม่ปล่อยของเสียออกไป ฯลฯ รวมความว่าอวัยวะต่าง ๆ ต่างหยุดทำหน้าที่ของตนลงเสีย...ในไม่ช้า ก็เกิดเจ็บป่วยเป็นโรคขาดอาหาร มือเท้าก็อ่อนแรงลงไป ฟันก็โยกคลอนด้วยโรคฟัน กะเพาะอาหารก็อ่อนล้า ในที่สุดอวัยวะเหล่านั้นก็มาเห็นสัจธรรม จึงเริ่มกลับมาทำหน้าที่อีกครั้งหนึ่ง เท้าก็ทำหน้าที่ของเท้า มือก็ทำหน้าที่ของมือ ปากก็ทำหน้าที่ของปาก ฟันก็ทำหน้าที่ของฟัน ลำใส้เล็ก ใหญ่ก็ทำหน้าที่บดรีดอาหาร กะเพาะอาหารก็ย่อยอาหารส่งพลังงานไปสู่ร่างกายและอวัยวะน้อยใหญ่ ทวารหนักก็ปล่อยกากอาหารออกไป....เป็นต้น
ท่านจะเห็นว่าอวัยวะน้อยใหญ่ที่ประกอบเป็นร่างกายของเรา มันมีความสำคัญเท่ากันหมด โดยต่างก็มีหน้าที่ของตน หากอวัยวะอันใดอันหนึ่งไม่ทำหน้าที่เสีย ก็จะกระทบไปถึงร่างกายและอวัยวะทั้งหมด อวัยวะต่าง ๆ ได้ทราบสัจธรรมแล้วก็รักสามัคคีกัน ไม่ดูหมิ่นเหยียดหยามกันต่อไปอีก เกิดความเสมอภาคและระบบประชาธิปไตยขึ้นในร่างกายร่างนั้น
ในการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมการเมืองจากระบบขุนนางอำมาตย์ไปสู่ระบบประชาธิปไตย เราจึงต้องมาเปลี่ยนแนวคิดกันใหม่ โดยมองคนที่หน้าที่
ท่านก็จะไม่ต้องมองว่าท่านมีเกียรติมากมีเกียรติ์น้อยกว่าคนอื่น แต่ก็จะเห็นคนอื่นมีความสำคัญพอ ๆ กันกับเรา โดยที่มองที่หน้าที่ของเขา เช่นคนใช้ในบ้านของท่าน ท่านลองใช้หัวคิดดู ว่างานของคนใช้นั้นย่อมมีความสำคัญ หากไม่มีคนทำหน้าที่ตรงนั้น บ้านของท่านก็จะสกปรก ขยะก็จะรกกองเต็มบ้านของท่าน ส้วมไม่มีคนใช้ดูแล กลิ่นของเสียก็จะกระจายไปเต็มบ้านของท่าน แล้วท่านจะอยู่ได้อย่างไร ฉะนั้น จึงต้องมีผู้ทำหน้าที่ตรงนี้ และท่านเห็นไหมว่าหน้าที่ตรงนี้มีความสำคัญทีเดียว และสำคัญพอ ๆ กับหน้าที่ของท่านเลยทีเดียว คิดเช่นนี้แล้ว คนเราก็มาสู่ความเสมอภาคกันได้ และเคารพกันได้ในสิทธิของ 1 คน 1 เสียง และระบบประชาธิปไตยไทยก็ย่อมก้าวหน้าเข้าสู่ระบบที่สมบูรณ์ เป็นแดนที่มีคนเสมอคน ก็เป็นสังคมที่มีการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข
การมองประชาชนก็เช่นเดียวกัน มองชาวนาก็มองที่ความสำคัญของหน้าที่ของชาวนา มองคนกรุงก็มองที่หน้าที่ของเขาเช่นเดียวกัน เมื่อแต่ละคนมีหน้าที่แตกต่างกันตามความชำนาญการของตน จะเป็นเหตุของการเหยียดหยาม แบ่งชนชั้นกันได้อย่างไร
ฉะนั้น จงมาร่วมทำความเข้าใจกันอย่างเร่งด่วนในเรื่องคนเสมอกันที่หน้าที่ จงมองคนที่หน้าที่ของเขา แล้วแนวคิดแห่งชนชั้น อันเป็นอุปสรรคของประชาธิปไตยก็จะหมดไปเอง
ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆินทร์
17 มี.ค.2557 21:45:50